แล้วก็เริ่มมืดลง พวกเราตั้งค่ายใกล้กับซากปรักหักพังที่อยู่ไม่ห่างนัก
กองไฟดีดสะเก็ดไฟออกมา แสงจากไฟนั้นส่องให้เห็นถึงซากปราสาท เงามืดไหวตัวอย่างเงียบๆบนกำแพงปราสาท
พวกเราเหมือนเป็นนักแสดงฝึกหัดซ้อมบทก่อนการแสดงที่ไม่มีทางได้ขึ้นเวทีหลังจากทิ้งไปนาน
“ผู้จ้างวานของพวกเรา……ท่านไพมอนสนใจในตัวฝ่าบาทเป็นอย่างมาก”
หนึ่งในเงานั้นเปิดปากในความมืด
“นาน นานมากแล้ว”
“ระบุได้ไหมว่านานแค่ไหน”
“นับจากตอนนี้ก็เกือบปีค่ะ”
หนึ่งปี ก็นับตั้งแต่ช่วงที่พิจารณาคดีในราตรีวัลเพอกีสเลยนี่ อย่าบอกนะว่า ไพมอนแอบจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของผมมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว……?
“พวกเราได้เกี่ยวหาข้อมูลของฝ่าบาท จากตอนที่ชิงตัวมนุษย์มาจากตลาดค้าทาส ตอนที่ท่านฆ่าลูกชายพ่อค้าผู้มีชื่อเสียง……. ฝ่าบาทเกลียดกลิ่นยาสูบหรือเปล่า?”
ผมส่ายหัว เป็นเชิงบอกเธอว่าไม่ได้รังเกียจ
“ขอโทษด้วยค่ะ”
ผู้หญิงผมสีฟ้าหยิบไปป์ออกมา พูดขณะที่ยัดใบยาสูบเข้าไปในไปป์
“ความจริงพวกเราประหลาดใจกันมาก กลุ่มเรานั้นออกจะมีชื่อเสียงในโลกปีศาจ แต่แทนที่จะทำสัญญากับพวกเราแค่สักเดือน ท่านไพมอนกลับทำสัญญาระยะยาวกับพวกเรา พวกเราได้งานขุดคุ้ยประวัติเบื้องหลังจอมมารลำดับ 71 …….ซึ่งมันก็ดีสำหรับพวกเราที่มีปัญหาทางการเงินพอดี
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างเริงร่า
แต่สำหรับผมแล้ว ยิ้มของเธอนั้นมันแห้งไร้อารมณ์ ผมมีพลังในการอ่านอารมณ์ของปีศาจจึงบอกได้ว่า ไม่มีอารมณ์อะไรเลย เช่นเดียวกับใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้ถูกไฟเผาที่เป็นเหมือนดั่งหน้ากาก
“เจ้าต้องผิดหวังมากแน่ๆ”
“พวกเราเป็นเช่นนั้นจริง จนกระทั่งครึ่งปีที่แล้ว”
เธอพ่นควันออกมาจากปาก
“ครึ่งปีที่แล้ว บริษัทเคียนคุสก้าเลยมาทำงาน ‘นั้น’ เล่นๆเหมือนเป็นงานยามว่าง พวกเราเลยต้องเฝ้าระวังเรื่องนั้น จึงไม่ได้ติดตามเฝ้าดูฝ่าบาท พวกเราจึงไม่ได้รู้เรื่องเลย จึงไม่มีทางอื่นนอกจากการบอกกับนายจ้างของเรา,ท่านไพมอนว่า ท่านอาจจะดูผิดไป”
ผู้หญิงคนนั้นหันมายิ้มให้
“นับตั้งแต่ตอนนั้น ฝ่าบาทก็ไม่ถูกสงสัยว่าเป็น ศูนย์กลางของโลกมาเกือบห้าเดือน”
“…….”
“จะมีสักกี่คนบนโลกนี้กันที่รู้ความจริง ? เรื่องข่าวที่ท่านปล่อยออกไปทั้งโลกปีศาจและโลกมนุษย์ด้วยการใช้ประโยชน์จากข่าวลืออย่างชำนาญจนทำให้มนุษย์นั้นเคลื่อนกองกำลังเข้ามา.”
เสียงของเธอฟังดูเหมือนกำลังตื่นเต้น
“ท่านบิดเบือนความจริงเพื่อให้กองทัพมนุษย์ เพื่อผลักดันกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่า จอมมารลำดับ 71 อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มาโดยตลอด?
ฉันยืนยันกับท่านว่า มีน้อยกว่าสิบคนที่รู้ความจริง น้อยกว่าสิบคนที่ว่านั้นรวมทั้งฝ่ายโลกมนุษย์และโลกปีศาจ พวกเราช่างได้รับเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งของสิบคนนั้น”
เธอหัวเราะ
“ความจริง ตอนนั้นฉันรู้สึกได้เลยว่า ได้เติมเต็มชีวิตตนเองในฐานะมือสังหาร ฉันยินดีกับฝ่าบาทไพมอน ถึงแม้ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักร้อยหรือสองร้อยปี คงไม่มีประสบการณ์ใดที่ทำให้ฉํนตื่นเต้นได้เท่า 6 เดือนที่ผ่านมา
……ฝ่าบาท ท่านรู้ไหม? ฉันน่ะตื่นเต้นมากที่ได้มาพูดคุยกับท่านเช่นนี้”
ผมหยิบกระติกส่วนตัวขึ้นมาจิบน้ำ
“แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ข้าไม่อาจสัมผัสได้สักเสี้ยวอารมณ์จากเจ้าเลย”
“นับแต่เกิดมา ฉันได้ฆ่าอารมณ์ตัวเองแล้วค่ะ”
ผู้หญิงตรงหน้าหัวเราะอีกครั้ง ช่างเป็นหญิงสาวที่หัวเราะบ่อยเสียจริง
“ผู้คนอาศัยอยู่ในทะเลทราย และผู้คนที่อาศัยอยู่ริมทะเลสาบ คุณค่าของน้ำของผู้คนทั้งสองกลุ่มนั้นย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า แม้อารมณ์เพียงเล็กน้อยก็ใหญ่โตมากมายสำหรับเจ้ารึ?”
“ถูกแล้วค่ะ”
เป็นที่แน่นอนว่า หากอยากจะเข้าไปใกล้ตัวจอมมาร อารมณ์ของคุณต้องเบาบางเสียจนจับไม่ได้เช่นเดียวกับผู้หญิงคนนี้
ผมสงสัยขึ้นมาทันทีว่า มือสังหารนี่เลี้ยงดูกันยังไง? พอผมถามอ้อมๆแบบนั้น เธอก็ดูดไปป์ก่อนจะตอบ มันเหมือนกับคลี่ปมด้ายที่พันกันยุ่ง
“ก่อนอื่นเลย ท่านต้องเป็นทาสในการควบคุมเพื่อที่จะได้เผชิญหน้ากับจอมมารได้
หากทั้งร่างกายและจิตใจตกใต้อาณัติของบุคคลหนึ่งแล้ว ท่านก็จะสามารถทำร้ายจอมมารได้ แม้จะเป็นปีศาจก็ตาม”
“แล้วอย่างนั้นไม่เป็นการสูญเสียอิสรภาพไปรึ?”
“ใครจะไปสนล่ะ? ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก ขนมปังแถวหนึ่งสำคัญกว่าอิสรภาพด้วยซ้ำ”
ผมเริ่มเข้าใจคร่าวๆแล้วว่า ชีวิตของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะโลกปีศาจหรือโลกมนุษย์ต่างก็มีผู้หิวโหยเต็มไปหมด ในท่ามกลางคนที่หิวจนตายนั้นก็มีเด็กกำพร้าอีกมาก หัวหน้าสมาคมมือสังหารและกิลด์ก็ชอบที่จะเอาเด็กกำพร้าพวกนั้นมาเลี้ยง
เด็กกำพร้าพวกนั้นยินดีรับสัญญาทาส ไม่สิ เมื่อพวกเขาเป็นเด็กกำพร้าแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากตอบรับ…….
“เจ้าสามารถเอาตราทาสออกได้ไหม?”
“อ่าา มันออกจะยากสักหน่อย มันสลักในหัวใจ พวกเขาตั้งใจทำอย่างนั้นตอนที่ผ่าตัดเรา”
“ที่หัวใจ?”
พอมาคิดดูอีกที เดธไน้ท์บอก อะไรบางอย่างเรื่องหัวใจด้วย
“พวกเขาสลักวงเวทย์ไว้ที่หัวใจได้ยังไงกัน?”
“เป็นพิธีฉลองแรกเข้าน่ะ จะเขียนวงเวทย์รักษาไว้บนอก แล้วค่อยวางวงเวทย์ทาสไว้บนนั้น พวกเขาก็จะเทโพชั่นรักษาที่อก จากนั้นก็เฉือนผ่าหัวใจ …….อืม ก็เป็นอะไรประมาณนั้นแหละ”
“หืมม”
ผมทำหน้ารังเกียจ พูดง่ายๆพวกเขาใช้เวทย์และโพชั่นในการทำให้คนๆหนึ่งหมดสภาพแล้วทำอะไรก็ได้กับที่หัวใจ
พวกเขาอาจเรียกว่า ผ่าตัด แต่มันก็ไม่ต่างจากการทรมาน ผู้หญิงตรงหน้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดีจึงผงกหัว
“ช่างเป็นยุคสมัยที่อันตรายเหลือเกิน”
“ใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริง”
เธอยังคงยิ้มออกมา
ความเงียบชั่วครู่อยู่ท่ามกลางพวกเรา มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด
ยุคสมัยที่อันตราย
ต้องใช้เวลาสักพักเพื่อที่จะครุ่นคิดถึงความรุนแรงของวลีนั้น
“ไม่นานนักหรอก ตอนที่ท่านไพมอนเปลี่ยนใจ ท่านไพมอนอยู่ๆก็เปลี่ยนคำขอขึ้นมาหลังแผนการรบกับกองกำลังมนุษย์ ณ ที่ราบบรูโน่ เธอสั่งให้พวกเราปกป้องฝ่าบาท”
“เธอทำแบบนั้นไปทำไม?”
“ผู้จ้างวานของเราอยากเป็นเพื่อนกับด้านดีๆของฝ่าบาท”
ด้านดีๆของผม ห้ะ?
ดูเหมือนว่า ตอนที่ผมอยู่กับกองทัพพันธมิตร ไพมอนช่วยผมไว้จากสถานการณ์การพูดสุนทรพจน์ เธอเสียเวทมนตร์ที่สั่งสมมาหลายพันปีเพื่อจะช่วยผม
หากพูดกันด้วยเหตุผล มันน่าตลกที่จะมาคิดว่า คนอย่างไพมอนนั้นจะพยายามช่วยผม เธอทำแบบนั้นไปทำไมกัน?
“ผู้จ้างวานของเรานิยามตนเองว่ามา ผู้นิยมสาธารณรัฐ”
“อะไรนะ?”
“ท่านไพมอนบอกว่า ท่านจะเข้าใจ หากพวกเราบอกกับท่านอย่างนี้”
ผู้นิยมสาธารณรัฐ? ใครนะ? ไพมอนเนี่ยนะ?
เหมือนผมโดนค้อนทุบเข้ากลางกบาล ผมได้ยินคำที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้ยิน
ไพมอนไม่ใช่อีโรคจิตธรรมดาคนหนึ่งเรอะ?
( TTL : ยังมีหน้าไปว่าเขาอีก!)
ใน <Dungeon Attack> ไพมอนตกหลุมรักตัวเอก นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงดื้อด้านยึดติดกับฮีโร่ แม้จะแสดงความรักใคร่อันผิดปกติด้วยการส่งเวฟมอนสเตอร์มากมายไล่ตามฮีโร่และปาร์ตี้ของเขาก็ตาม
มีฉากเหตุการณ์หนึ่งในเกม ไพมอนเป็นคนเดียวที่ไม่ฆ่ามนุษย์ ในขณะที่ทั้งฝ่ายมนุษย์และปีศาจพยายามจะเข่นฆ่าล้างกันและกัน
หากมนุษย์ต่างไป เธอก็ไม่มีของเล่นสนุกๆ นั่นเป็นเหตุผลของเธอ ผมเลยคิดว่า แม่นี่มันนังโรคจิตชัดๆ แต่……ผู้นิยมสาธารณรัฐเนี่ยนะ?
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ? นี่กำลังจะบอกผมว่า เธอไม่ใช่พวกนิยมมนุษย์ทั่วไปอย่างนั้นเหรอ?
“……ข้าไม่เข้าใจ”
“ผู้จ้างวานของพวกเราพูดว่า เธอปรารถนาที่จะรู้ให้ได้ว่า ทำไมผู้หนึ่งเป็นผู้ปกครองและอีกผู้หนึ่งกลับถูกปกครอง ทุกอย่างมันไปผิดพลาดที่ตรงไหนกัน?
…… ท่านไพมอนปรารถนาที่จะล่วงรู้สิ่งนั้น”
ความไม่เท่าเทียมกัน,ความไม่สอดคล้องกัน และ ความไร้เหตุผล
ในยุคสมัยที่ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองถูกระบุมาตั้งแต่เกิด เธอตระหนักได้ว่า มันทั้งประหลาดและผิด เธอเชื่อว่า นั่นไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและต้องการที่จะค้นหาสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้
ไม่ต้องสงสัยเลย―ผลผลิตของความเงียบงันและมืดบอดแห่งการปฏิวัติ
ผมถามผู้หญิงคนนั้น
“คำว่า ลัทธิสาธารณรัฐนิยม เป็นคำที่คุ้นชินของพวกปีศาจไหม?”
“ไม่เลย พวกเราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย”
เธอหัวเราะหึ
“ก่อนจะได้รับงานจากท่านไพมอน ฉันไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ฉันพึ่งมารู้ก็ตอนมีชาติที่ชื่อว่า สาธารณรัฐบัตตาเวียในโลกมนุษย์ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไปลองตรวจสอบดูเพราะมันเป็นคำขอของท่านไพมอน”
“……เธอมีความเห็นยังไงกับพวกนิยมสาธารณรัฐล่ะ?”
“พวกนั้นดูเป็นเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมในการฆ่าและจับตัวเลยล่ะ”
ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“แต่ฉันก็คิดว่ามันฟังน่าดึงดูดดี”
“…….”
“น่าดึงดูดพอจะให้ใครสักคนยินดีเสี่ยงชีวิตเพื่อมัน”
ดวงตาของเธอมองมาที่ผม แม้ริมฝีปากของเธอยังคงยิ้มแต่ดวงตามันกลับไม่ใช่
“ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่า คำพูดของฝ่าบาทที่พูดในที่ราบบรูโน่นั้นจะแพร่กระจายมาถึงที่นี่และไปทั่วทั้งทวีป?”
“ไม่รู้”
ผมไม่รู้เรื่องนั้นเลยจริงๆ
“ตอนนี้ มันอยู่แค่ในบางพื้นที่ของโลกมนุษย์และโลกปีศาจเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างแรงกล้า สุนทรพจน์นั้นได้กระจายไปนับร้อยเมืองนับพันหมู่บ้าน ฝ่าบาท, ฉันอยากจะบอกเหมือนกันว่า แม้กับผู้ต้อยต่ำผู้นี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
เธอลดไปป์ลงและมองตรงมาที่ผม
“ฝ่าบาทได้พูดถึงความไม่เท่าเทียมกันในโลกมนุษย์ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้นมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นสิ่งที่ฉันสงสัยตั้งแต่ยังเล็ก สมัยที่ยังดิ้นรนเพื่อให้ได้ขนมปังสักแถว หรือมานาแม้สักเกลียวหนึ่ง ย้อนกลับไปที่ข้าต้องยอมผ่าหัวใจเพื่อให้อยู่รอดได้……ฉันสงสัยมาเสมอว่า ทำไมถึงเกิดมายากจน”
“…….”
“มันก็พอจะเข้าใจได้หากฉันเป็นคนขี้เกียจ คนที่ทำอะไรผิดพลาดหรือก่อบาป
มันก็สมควรอยู่แล้วที่จะต้องมีชีวิตที่ยากลำบากหากทำอะไรผิดไป นั่นถือว่าเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็จนมาตั้งแต่เกิด ฉันทำอะไรผิด? การเกิดของฉันนับเป็นความผิดด้วยหรือ?”
เธอยังคงพูดต่อ
“แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมบางคนถึงมีชีวิตที่ช่างสวยงามเหลือเกิน?”
“…….”
“บางคนกลับมีชีวิตเหมือนดั่งได้รับการประทานพรมาตั้งแต่เกิด ในขณะที่บางคนเหมือนถูกสาป ฉันพยายามดิ้นรนที่จะเข้าใจมัน ทำไมฉันถึงเป็นพวกหลังที่ถูกสาปกัน? หรือการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีอยู่จริง? หรือฉันเคยทำความผิดร้ายแรงไว้ก่อนตาย ดังนั้นฉันต้องใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยเหตุนั้น?”
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกถึงอารมณ์อันน้อยนิดมาจากผู้หญิงคนนั้น มันเป็นความรู้สึกเกลียดชังที่หนืดเหมือนเมือก
“ฉันไม่เชื่อว่า นั่นจะเป็นความจริง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงไม่ใช่ความจริง แต่ถึงมันจะเป็นเรื่องโกหก มันก็ไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้ ไม่มีทาง
……ถึงโลกนี้จะอนุญาตให้มีเรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ยอมรับมัน ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผิดน่ะมันโลกใบนี้ต่างหาก”
“…….”
“ท่านไพมอน เธอต้องการยืนยันว่า ฝ่าบาทนั้นมีความสนใจเดียวกันหรือไม่ ดังนั้นฉันจึงมีความหวังอย่างเดียวกันกับที่มีในตัวผู้ว่าจ้าง ที่ฝ่าบาทได้ตะโกนกู่ก้องนั่นเพื่อเสรีภาพ ณ ที่ราบบรูโน่จริงใช่ไหม?
มันจะไม่เป็นอะไรหรือหาก……
หากผู้คนเช่นพวกเราที่เกิดมาเป็นปีศาจระดับต่ำ จะไม่มีทางเลือกใดนอกจากใช้ชีวิตต่อไปเป็นขยะของสังคม……
แล้วก็ต้องยอมรับตัวตนอย่างฝ่าบาทเป็นราชาอย่างแท้จริง?”
เธอถามอย่างนั้น
หากผมเห็นด้วยกับเธอ ผมอาจจะได้เจอกับไพมอนผ่านทางตัวเธอ
แต่หากผมบอกว่า เธอเข้าใจผิดไป เธอก็คงจะจากไปทันที
ผมยังคงเงียบและครุ่นคิด ชีวิตของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร? ไม่ต้องสงสัยเลย ชีวิตเธอทำผมเศร้า
จอมมารนั้นสามารถอ่านอารมณ์ของปีศาจทั้งหลาย ผมจึงเข้าใจว่า ตัวเธอเองนั้นทั้งทนทุกข์และดูถูกชีวิตตัวเอง
ถึงอย่างนั้น ผมจะมาตอบรับอารมณ์นั้นแบบมักง่ายไม่ได้
ทั้งข้อดีข้อเสียของการเอาปีศาจลำดับต่ำมาอยู่ใต้การบัญชา ไปจนถึงข้อดีข้อเสียเบื้องหลังประตูบานนั้นที่มีไพมอนอยู่ข้างหลัง ทั้งที่ผมอยู่ฝ่ายที่ราบ ผมต้องคิดพิจารณาทุกอย่างให้ถี่ถ้วน
ผมเปิดปากพูด
“ข้าก็ไม่แน่ใจ”
ผู้หญิงคนนั้นกะพริบตา
“อะไรนะ?”
“ทำไมข้าต้องตอบเจ้าล่ะ? ข้าต้องบอกทุกอย่างที่ข้ามีในหัวให้เจ้ารู้หรือไง?
โอเค ถ้าอย่างนั้นหากพูดว่า เราต่างสนใจในสิ่งเดียวกัน
ผลลัพธ์คือ เจ้าจะจงรักภักดีต่อข้า ต่อให้มันเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าก็มิใช่ตัวแทนของปีศาจระดับต่ำทุกตนในโลกปีศาจ ถูกไหม?”
นางถึงกับงุนงง
“แต่…….”
“ชีวิตของเจ้ามันช่างโชคร้ายรึ? ชีวิตของเจ้ามันยากลำบากรึ? นี่เจ้าคิดว่า นั่นเพียงพอที่เจ้าจะเป็นตัวแทนของผู้เคราะห์ร้ายทุกคนอย่างนั้นหรือ?”
ผมยิ้ม
“อย่าหลงตัวเองไปนักเลย เจ้าแทนที่ผู้อื่นไม่ได้หรอก
ต่อให้เจ้าเป็นผู้โชคร้ายที่สุดในโลกใบนี้ ความโชคร้ายของเจ้าก็ไม่อาจให้สิทธิ์มันไปแทนที่ผู้อื่นได้ เจ้ามือสังหารเอ๋ย จัดการกับโชคร้ายด้วยตัวเจ้าเองเถอะ”
ผมยืนขึ้น
“หากอาร์คดยุคแห่งนรกขวางทางเจ้า จงฆ่าอาร์คดยุคนั่น หากจอมมารกีดขวางเจ้าก็จงฆ่าจอมมารนั่น หากชาติหรือทวีปนั้นรบกวนชีวิตเจ้า ก็จงทำลายชาติหรือทวีปนั้นทิ้งเสีย”
หากเธอสามารถเป็นพันธมิตรกับผมได้ในช่วงขั้นตอนนี้ก็เอาเลย แต่หากอยากหลีกหนีผมให้ไกล ก็ตามสบาย มันไม่มีพันธมิตรถาวรอยู่แล้ว
ความจงรักภักดีตลอดกาลก็ไม่มีจริงเช่นกัน แถมมันยังเป็นการรบกวนผมด้วยที่จะให้ผมไปเป็นราชาผู้ไม่ลำเอียงเที่ยงธรรมไปตลอดกาลนาน
ดังนั้นผมจึงเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้
“บอกไพมอนว่า หากปรารถนาจะคุยกับข้า ก็จงทำอย่างอื่นมาแลกที่ไม่ใช่อารมณ์”
“ฝ่าบาท”
“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าอยากพัก”
ผมขึ้นรถม้าของตัวเองไป ผมได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นเรียกผม แต่ผมไม่สนใจ ผมเหนื่อยจริงๆ
ผมทั้งลับสมองประลองปัญญากับอาร์คดยุคคาโคลา โดนมือสังหารลอบจู่โจม แถมยังโดนโยนระเบิดลูกใหญ่เรื่องที่ไพมอนเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐในวันเดียวกันอีก
ถ้าไม่เหนื่อยสิแปลก ผมอยากพักสมองบ้าง
ลาพิสนอนหลับอย่างมีสุขอยู่ในรถม้า ผมดึงผ้าห่มมาปูอย่างลวกๆก่อนล้มตัวลงนอนฃ
‘ไพมอนเป็นพวกนิยมสาธารณรัฐ……แล้วยังไงล่ะ? แล้วมันเปลี่ยนอะไรได้……?’
พอมาคิดดูอีกที ผมนั้นซื่อตรงกับผู้หญิงคนนั้นเกินไป มันคงดีกว่าด้วยซ้ำหากผมจะใช้วาทศิลป์ชี้นำสักหน่อย? มันคงฉลาดกว่า? แต่ผมไม่อยากทำ ผมน่ะแพ้ทางคนจริงใจอย่างเธอ เป็นนิสัยที่เป็นภาระซะจริง…….
ไม่นานนักผมก็หลับไป
MANGA DISCUSSION