Dungeon Defence - ตอนที่ 90
▯ดาบอันเป็นที่รักของราชา มนุษย์ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7
ที่ราบบรูโน ศูนย์กลางกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น การต่อสู้ได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
ฝ่ายเราสามารถโอบล้อมทัพข้าศึกได้ทั้งสามแนว แม้ว่าทหารของศัตรูจะเจาะศูนย์กลางของเราอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงจะมีครั้งหนึ่งที่พวกเราเกือบถูกรุกเข้ามาได้ แต่กองทหารของเราเป็นล้วนเเล้วเเต่เป็นพวกหัวกะทิ เราคืนรูปแบบของกระบวนทัพได้ทันในช่วงเวลาสั้น ๆ และตอบโต้กลับไป พูดได้อย่างเต็มปากว่าสงครามครั้งนี้มันเรียบร้อยไปเเล้วครึ่งหนึ่ง
“อืม”
จอมมารบาร์บาทอสและจอมมารไพมอน ผู้บังคับบัญชาของปีกทั้งสองเพิ่งเสร็จสิ้นการสร้างปีกนกกระเรียน ด้วยกระบวนทัพนี้กองทัพของเราจะตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคง
หากข้าศึกยังมีกองทหารม้าอยู่ พวกเขาก็จะสามารถเล็งไปที่จุดอ่อนเพื่อถอยกลับได้ เเต่อย่างไรก็ตาม ทหารม้าข้าศึกส่วนใหญ่ถูกใช้จนหมดในช่วงแรกของการรบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกำแพงโคลนขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นข้างหลังพวกนั้นอีก แม้แต่เส้นทางหลบหนีของทหารราบข้าศึกก็ยังถูกปิดตาย บัดนี้กองทัพข้าศึกไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ซ้าย ขวา หรือถอยหลังได้ สถานการณ์นี้คือสิ่งที่หมายถึงการถูกล้อมจากทุกด้าน
ซ่าาาา ซ่าาา······.
ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดในเร็วๆนี้ ทัศนวิสัยของสนามรบถูกปิดบัง สายตาของหญิงสาวคนนี้ไม่สามารถมองออกไปได้ไกลและถูกบังคับให้หยุดมองโดยสิ่งกีดขวางของฝน ในทุกๆที่ ที่สายตาของหญิงสาวคนนี้หยุดดู ศพของศัตรูได้แผ่หราอยู่ทุกที่ มันเป็นความตายที่เหมือนกับอาการชักกระตุก และมันเป็นชีวิตที่รู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนสลัดทิ้งมนุษย์ที่น่ารังเกียจออกไป
แม่มดหัวเราะคิกคักขณะรับสายฝน
“ผลงานชิ้นเอก. นี่เป็นผลงานชิ้นเอกเเน่ๆ ดูสิๆ ทิวทัศน์สุดเเสนจะหาไม่ได้จากที่ไหนอีกเเล้ว. ทิวทัศน์อันเหล่ามานพดับสิ้นลงในขณะที่เกลือกกลิ้งในบ่อเเห่งอาจม!”
“เเน่ล่ะน้า ตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มติดตามฝ่าบาทดันทาเลียนมา ในทุกๆวันก็สนุกเสียจนน่าลำบากใจในการใช้ชีวิตจริงเชียว มีหลายครั้งที่แม่มดโหยหวนต่อความจริงที่ว่ามันยากสำหรับพวกเธอที่จะตาย แต่โอกาสที่พวกเธอจะเศร้าโศกเพราะมันยากสำหรับพวกเธอที่จะมีชีวิตอยู่นั้นหายากมากกว่าอีก เพราะงี้ฝ่าบาทดันทาเลียนเลยเป็นคนค่อนข้างสำคัญกับพวกเรา”
“ท่อนล่างของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน”
“เดี๋ยวๆๆๆก่อน ทุกๆคนหยุดเจ้ารู้จัก เจ้าท่อน นั้นได้ไงอะ? ถ้าเราไม่ได้เข้าใจผิด น้ำเสียงนั้นที่พูดเกือบจะฟังดูเหมือนเจ้าเคยเห็นร่างที่เปลือยเปล่าของมาสเตอร์มาก่อนเลยน้า”
“ไม่ ไม่ พี่ใหญ่ ฮัมบาบา นั่นเป็นความเข้าใจผิด ไม่ว่าเราจะยึดติดกับความใหญ่ของฝ่าบาทสักเพียงใดและอ้อนวอนขอให้เราได้ลิ้มลองเเค่ไหน เเต่ฝ่าบาทยังไม่เคยประทานพระหรรษทานแก่เราเลย อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการสังเกตและไม่ได้ดูโดยตรง เเต่เราเคยประมาณขนาดไปสักสองสามครั้งก่อนหน้านี้ โชคดีที่เราสามารถสังเกตท่อนนั้นของฝ่าบาทได้ไม่มากก็น้อยเเล้ว”
“นั่นหมายความว่าเจ้าเเอบมองอะดิ!”
“ไม่เห็นเป็นปัญหาเสียหน่อยนี่?”
“เเอบมองในสิ่งที่เจ้ามองไม่เห็นเเละไม่มองในสิ่งที่มองเห็น นั่นคือความภาคภูมิใจอันมีเกียรติของพวกเราแม่มด”
“ถ้าเราจำไม่ผิด ทั้งเราเเละพวกเจ้าต่างเป็นราชองครักษ์ของมาสเตอร์ และถ้าเราไม่ได้บ้าไปแล้ว หน้าที่ของราชองครักษ์ก็คือปกป้องเจ้านายให้ปลอดภัยใช่ไหม? แต่เมื่อพวกเจ้าเข้าใกล้มาสเตอร์ พวกเจ้ากลับกระทำตนห่างไกลจากการคุ้มครองร่างกายของฝ่าบาทไปเสียงั้น ความรู้สึกที่ว่าราชองครักษ์ของพระองค์อันตรายยิ่งกว่าเป็นเพียงจินตนาการของข้าใช่ไหมเนี่ย?”
“นั่นเป็นจินตนาการของเจ้า”
“ความเข้าใจตีความไปผิดเพี้ยน”
“นั่นเป็นข่าวลือที่ไม่มีเป็นความจริงหรอก”
“เจ้ามันนังบ้าชะมัด! ข้ารักคุณพี่สาวของข้าจะตาย!”
อะฮ่าฮ่าๆๆๆ หัวหน้าราชองครักษ์หันมาทางนี้พร้อมกับหัวเราะ
“ ท่านเจ้าคุณเเม่ทัพรักษาการ โปรดให้คำสั่งขั้นสุดท้ายแก่เราด้วย เราพร้อมรีบรุดหน้าออกไปฆ่าคนเหล่านั้นตลอดเวลา นี่จะง่ายกว่าการล่าไก่งวงสักฝูงซะอีก”
สั่งให้พุ่งเขาใส่ศัตรูงั้นสินะ?
คำพูดที่ฮัมบาบาพูดหมายความว่าต้องการเข้าไปทำลายล้างกองกำลังศัตรู นั่นก็ไม่แปลก ตราบใดที่เธอก้าวเข้าสู่สนามรบเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการชัยชนะ และตราบใดที่เธอบรรลุชัยชนะ เธอก็ปรารถนาชัยชนะที่สมบูรณ์แบบหรือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เเต่อย่างไรการต่อสู้ก็มีความหมายอย่างอื่นสำหรับหญิงสาวคนนี้ เพราะมันเป็นศิลปะและดนตรี
ดอกไม้แห่งการต่อสู้ไม่ได้มาจากการได้รับชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ เสียงร้องของทหารเมื่อชัยชนะใกล้เข้ามา และความปวดร้าวของทหารเมื่อพ่ายแพ้อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม มันเป็นเสียงเหล่านั้นที่ทำให้สงครามกลายเป็นท่วงทำนองเพลง
เพื่อให้ชีวิตกลายเป็นท่วงทำนองเพลงเดี่ยว มันจะต้องข้ามช่องว่างเเห่งอสงไขย อย่างไรก็ตาม ในสมรภูมิ แต่ละชีวิตล้วนกลายเป็นท่วงทำนองและบทเพลง ไม่ว่าเธอจะเข้าใจเสียงบรรเลงนั้นไหมก็ตามเเต่ เพราะนั่นคือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแม่มดกับหญิงสาวคนนี้
“ท่านเเม่ทัพ?”
หญิงสาวคนนี้ไม่ตอบสนองต่อคำยั่วยวนของหัวหน้าราชองครักษ์ หญิงสาวคนนี้กลับหลับตาลงและฟังสิ่งรอบข้างอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ทีนี้ลองมาฟังกันให้ดี
ท่วงทำนองท่ามกลางเสียงซ่าๆ ของเม็ดฝนที่ตกลงมาบนผืนน้ำที่เป็นโคลน ท่วงทำนองที่เปล่งออกมาอย่างชัดเจนระหว่างเสียงของน้ำนั้น⎯⎯⎯⎯
“ให้ตายเถอะ ถอยไปสิ! ข้าบอกให้ถอยไปเว้ย!”
“ไอ้สารเลว ถอยไม่ได้เเล้ว จะใหข้าทำอะไรอีก—”
“ช่วยข้าด้วย!”
“อย่าไปยอมสิ! เจ้าโง่ ทางออกไม่ได้อยู่ด้านหลัง เเต่ต้องไปข้างหน้า! เราจะรอดหากเราฝ่าเเนวศัตรูออกไปได้ และตายเเน่ถ้ายังอยู่กลางวงแบบนี้!”
“พุ่งเข้าไป! พุ่งไปข้างหน้าเลย! ตามข้าม—”
“ท่านแม่.”
“หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง”
“ พระเจ้ายังไม่ทอดทิ้งพวกเรา สหายเอ๋ยจงอย่ากลัว นี่ไม่ใช่จุดจบสุดท้าย? นี่ไม่ใช่จุดหมายของบั้นปลาย?”
“เชี่ย”
“ท่านนายพล!ท่านนายพลอยู่ไหน!?”
“ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย
” “สรรเสริญให้กับประเทศที่ยิ่งใหญ่ฟรานเซีย! ไชโยให้กับองค์จักรพรรดิ!”
‘นั่นคือฟรานเซียผู้ยิ่งใหญ่และจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่”
“ดาบข้า”
“โอ้ย”
“หนึ่งสอง. หนึ่งสอง. หนึ่งสอง.”
‘เจ้านี่มันตายเเล้วหรือยังวะ’
“ที่กลายเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะคนบ้านนอกจากบริททานีหรอกเหรอ?”
“ดีมาก. ผลักดันเข้าไปด้วยพลังทั้งหมดที่มีรักษาจังหวะตัวเองไว้ ทะลวงไปให้ได้ พุ่งต่อไป!”
“ดูข้าซะ. ข้าจะเป็นคนนำไปเอง”
“ข้ากำลังจะตาย เชี่ยเอ้ยย—”
“ข้ายอมแพ้เเล้ว! ไวชีวิตข้าด้วย ขอยอมจำนน! ข้ารู้ภาษาพวกท่านนะ! ข้ายอมแพ้เเล้ว!”
‘มันกำลังพูดอะไร’
“ก็คำที่เราๆรู้กันอยู่”
“มันพูดว่าขอยอมเเพ้”
“ตรงนี้ยอมเเพ้ 1 คน”ไว้ชีวิตข้าที!”
“ตาข้ามองไม่เห็นอะไรเลย”
‘ไอ้ลูกกะหรี่บารอนเอ้ยข้าไม่น่าเชื่อคำพูดมันเเล้วตามมาที่นี่เลย —”
“ไฮ้ย่า์” ถอยไป!”
“อยากจะขยับเท่าไหร่ก็ได้หลังจากทข้าตายไปเเล้วซะนะ ไอ้พวกขยะ”
“ข้าเป็นทาส ข้าไม่ใช่ศัตรูของท่าน! เราสถานะเดียวกันไง! สรรเสริญ ท่านเเม่ทัพฟาร์นาเซร์ ‘ขอปล่อยเราไป’ ข้าได้ยินว่าท่านจะปล่อยเราไป!”
“ห้ามเว้ย! อย่าดันสิวะ! บอกว่าอย่าดันไงเว้—”
“เพื่อองค์ราชินี!”
“กษัตริย์ของพวกเราช่างไร้ค้าเเม่กำลังใจก่อนตายก็ยังหาไม่—”
“หนึ่งสอง. หนึ่งสอง•.”
‘ด้วยพลังที่มากขึ้น’เหล่าพี่น้องมารวมพลังกันเถิด”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่สามารถผ่านไปสู่ชีวิตหลังความตายได้อย่างสมเกียรติหากเจ้าตายด้วยน้ำมือของปีศาจ ”
“ข้ามองไม่เห็น”
“ข้าเป็นทาส! เพื่อนทาสเช่นท่านไง ‘อ๊าา ไอ้เชี่ยเอ้ย ให้ตายเถอะ ข้ายิ่งหิวๆเหมือนมีรูอยู่ที่ท้องเลย? ข้าควรทำอย่างไรถ้าข้าตายตอนยังหิวๆอยู่วะ? เชี่ยเอ้ย เอาจริงดิ ข้าควรจะ—”
“หนึ่ง.”
‘สอง.”
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับราชาบ้าง”
“ิอ่าหะ. เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ”
“ปูฮ่า ข้าเขียนพินัยกรรมตอนที่มีคนมาบอกว่าให้เขียน แต่ข้าไม่มีคนที่จะใหน่ะสิ”
‘ไอ้เวรนั่น’
‘ไอ้หมาบ้านั่น•!”
“บัดซบ ข้าจะเอาหัวไอ้เลวนั่นได้!”
“ฆ่ามันน!”
“ฆ่านางซะ!” ‘เกมพลิกเเน่ถ้าฆ่านางได้’
“ไม่ว่ายังไง ก็ต้องเอาหัวมันมา”
“แต่ยังไงเราก็ต้องตายอยู่ดีนี่”
“หนึ่ง สอง “ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะไว้ชีวิตถ้าเจ้ายอมจำนน แต่”
“กูบอกให้มึงฆ่ามัน ไอ้สารเลว!”
‘ว้าว ดูฝนที่ตกลงมาสิ เย็นดีจัง.”
“อา.”
“แม่.”
“ข้าเป็นเพียงทาส”
อา
อ๊าาาาาาาาา.
ช่างงดงาม.
งดงามเหลือเกิน
“·········”
กึกๆๆๆๆๆๆ
หญิงสาวคนนี้กอดไหล่ของเธอและตัวสั่นเล็กน้อย ด้วยหัวใจที่สืบทอดมาจากฝ่าบาทผู้เป็นเจ้าของเราและด้วยศีรษะความรู้ที่มอบให้กับหญิงสาวคนนี้โดยฝ่าบาทเอง หญิงสาวคนนี้สามารถรับรู้ถึงคำจำกัดถึงความงามนั้นได้
แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะหนาวสั่นเย็นไปถึงกระดูกภายในของเธอเนื่องจากฝนที่ตกลงมาจัด แต่เนื่องจากเนื้อภายในของร่างของหญิงสาวคนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ ความหนาวสั่นจึงไม่มีทางแทนที่หญิงสาวคนนี้ได้ อาการตัวสั่นนี้ก็ไม่มีช่องว่างอื่นให้มาเติมเต็มได้อีกเเล้วเช่นกัน หญิงสาวคนนี้ก็เสร็จด้วยความสั่นเทานั้น
อา.
หญิงสาวคนนี้ไม่ลืมตา เธอทนไม่ได้เพราะเธอไม่ต้องการหนีจากความสุขอันมืดมิดนี้ หญิงสาวคนนี้ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกสักหน่อยก่อนจะจากไป
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับหญิงสาวคนนี้ มีเพียงเสียงกรีดร้องแห่งความตาย เสียงกรีดร้องเพื่อมีชีวิตอยู่ และเสียงคร่ำครวญของผู้คนที่ไม่สามารถอยู่หรือตายได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สร้างความหมายให้กับหญิงสาวคนนี้ ภายในโลกแห่งสีที่ไม่มีสีนี้ การสั่นไหวเหล่านั้นมีเพียงเเค่ชีวิต ความตาย และดนตรี ในเวลาเดียวกัน ในช่วงวันที่หญิงสาวคนนี้ใช้เวลาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ภายในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยฝุ่นในห้องเล็ก ๆ หญิงสาวคนนี้ไม่สามารถรับรู้ถึงความสุขนี้ได้ ความสุขที่ได้เฺฉิดฉายชีวิตและความตายนับหมื่นด้วยตัวเธอเอง หากฝ่าบาทไม่ได้เอาเธอออกมา เธอก็คงจะถูกลืมเลือนไปตลอดกาล
“อืม ท่านเจ้าคุณ ต้องการออกคำสั่งเข้าใส่ไหม······”
“กองทหารของเราจะไม่เคลื่อนพล”
“ขออภัย” Paaardon <<ประมาณคำอุทาน
ถึงจะทำเสียงดังโหวกเหวกแค่ไหน ก็อย่าตอบโต้โดยไม่จำเป็น แม่มดทำเสียงรบกวนที่ไม่จำเป็นจะไม่เข้ามาในโสตปะปนในขณะที่หญิงสาวคนนี้กำลังพยายามชื่นชมท่วงทำนองนับหมื่นที่รอคอยมานานนี้ได้อย่างไร?
มีเพียงเหตุผลเดียวที่ศีรษะของเธอยังคงติดอยู่กับคอของเธออยู่ เป็นเพราะฝ่าบาทต้อนรับเธอเป็นครอบครัว หญิงสาวคนนี้ไม่รู้ถึงภาพลักษณ์ของฝ่าบาทที่มองมิสลาพิสในฐานะแม่ ตัวเองเป็นพ่อ และความปรารถนาของเขาที่จะให้หญิงสาวคนนี้เป็นผู้นำน้องสาวของเธอ ซึ่งก็คือเหล่าแม่มด ในฐานะพี่สาวคนโตของครอบครัว นั่นเป็นเหตุผลที่หญิงสาวคนนี้ต้องดูแลคุณเจ้าพวกตัวแสบผู้ไม่มีระเบียบวินัยทางทหารด้วยความรักฉันพี่น้อง
หญิงสาวคนนี้ลืมตาขึ้น
“ข้าบอกว่าพวกเราจะไม่เคลือนพลกองกำลังของเรา ไม่อนุญาตให้ก้าวไปข้างหน้า ในตอนนี้ เจ้าไม่ได้ยินที่พูดเหรอ?”
หญิงสาวคนนี้ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปที่ทหารศัตรูที่ถูกล้อมและถูกสังหารข้างหน้า หัวหน้าเเม่มดทำตามท่าทางของหญิงสาวคนนี้และหันศีรษะของเธอออกไป แม้ว่าเราสองคนจะดูทิวทัศย์เดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้เห็นสิ่งเดียวกัน
“หญิงสาวคนนี้สามารถได้ยินเสียงฟรังโคเนียน หญิงสาวคนนี้สามารถได้ยินภาษาของบาตาเวีย เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถได้ยินภาษาถิ่นของซาร์ดิเนียได้ จึงได้ยินเสียงของทูโทนิกด้วย สิ่งที่ปะปนกันในบางครั้งน่าจะเป็นภาษาโปแลนด์-ลิทัวเนีย ⎯⎯⎯⎯อย่างไรก็ตาม ไม่มีภาษาของฮับส์บวร์ก ถ้อยคำที่ชาวฮับส์บวร์กพูด ซึ่งเป็นประเทศที่นำโดยเจ้าหญิงจักพรรดินั้นที่รู้จักกันในนามเอลิซาเบธข้าไม่ได้ยินภาษาของประเทศนั้นเลย”
“······”
ฮัมบาบา หัวหน้าราชองครักษ์เอียงศีรษะ
“······สิ่งที่เราได้ยินกับหูของตัวเองคือเสียงกรีดร้องระงม พระเจ้า. ท่านเจ้าคุณสามารถได้ยินภาษาทั้งหมดนั่นได้ไงเนี่ย? ท่านเข้าใจทุกภาษาที่มีอยู่ในทวีปได้จริงดิ? น่าตื่นตาตื่นใจดีจัง.”
หญิงสาวคนนี้เดาะของตัวเอง
การเรียนรู้ภาษาหลักทุกภาษาเป็นการศึกษาที่ผู้คนต้องทำเป็นขั้นพื้นฐานในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ มันเเน่อยู่เเล้ว ถ้าไม่ทำ ก็จะอ่านหนังสือไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทผู้เป็นเจ้าของเราเห็นด้วยเหมือนกัน
“ฮัมบาบา แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะขอบคุณสำหรับคำเเนะนำของเจ้า แต่ไม่จำเป็นต้องย้ำเตือนหญิงสาวคนนี้อีกครั้งถึงความสามารถของตัวเอง หญิงสาวคนนี้ฉลาดและเธอช่างโง่เขลามันไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้นั้นต้องให้ความสนใจกับข้อเท็จจริงอื่นก่อนเป็นอันดับเเรก”
“······มาสเตอร์กับท่านช่างคล้ายกันจริงๆ มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่มาสเตอร์ทำ เขาไม่ได้ละทิ้งเผ่าพันธุ์ของตัวเองและแต่งตั้งมนุษย์เป็นเเม่ทัพรักษาการทั่วไปโดยไม่มีเหตุผลสินะ”
หัวหน้าเเม่มดพึมพำ เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศแล้ว ดูเหมือนว่านางเพิ่งทำให้หญิงสาวคนนี้และฝ่าบาทรวมเป็นหนึ่งและดูถูกพวกเราด้วยไปพร้อมกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวคนนี้ไม่สามารถเข้าใจได้ โดยพื้นฐานแล้วอัจฉริยะจะต้องได้รับความอิจฉาริษยาจากคนธรรมดาอยู่เเล้ว หญิงสาวคนนี้ยอมรับบุคลิกนั้นของเธออย่างใจกว้าง
“แล้ววววววไงต่อ? โอ้ ท่านเเม่ทัพคนสำคัญ ทำไมพวกเราถึงไม่โจมตีเพราะว่าภาษาของฮับส์บวร์กไม่ปะปนกับพวกคนต่ำต้อยพวกนั้นด้วยอะ”
“ข้าจะพูดอีกครั้ง หญิงสาวคนนี้เป็นอัจฉริยะ ในด้านภาษา ดนตรี และการทหาร หญิงสาวคนนี้อวดความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ให้ฟังอยู่ ข้อเท็จจริงนี้เห็นได้ชัดถ้าเจ้าดูว่าหญิงสาวคนนี้จะไปควบคุมสนามรบที่บวกกองกำลังศัตรูและพันธมิตรเข้าด้วยกันทหาร 200,000 นายตีกันอยู่ได้ยังไง เรามีพลทหารและทหารเพียง 7,000 นายเเค่นะ”
“จริง จริง. แม้แต่เราคนนี้ ก่อนที่จะกลายเป็นคนไร้เกียรติ ครั้งหนึ่งเคยถูกคาดหวังไว้สูงในฐานะนักเวทย์ที่จะแบกรับคนรุ่นต่อไป แล้วไงต่อล่ะ”
“ขอแสดงความนับถือ ดูเหมือนว่าเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่หญิงสาวคนนี้พูดได้ ลองคิดดูสิ ฝ่าบาทของมิได้เตือนหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นเช่นนั้นว่าอย่าต่อสู้กับเจ้าหญิงเอลิซาเบธหรือไงล่ะ?”
“······”
หัวหน้าฮัมบาบาขมวดคิ้ว แน่นอน ดูเหมือนว่าเธอยังไม่เข้าใจ เมื่อมาถึงจุดนี้ เนื่องจากมันก้าวข้ามระดับของการรบกวนการชื่นชมดนตรีของใครคนหนึ่ง และเข้าสู่ระดับที่ทำลายคอนเสิร์ตโดยสิ้นเชิง หญิงสาวคนนี้จึงรู้สึกไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม หญิงสาวคนนี้ก็ยังกรุณาสาธยายให้น้องสาวที่โง่เขลาของเธอด้วยความจริงที่ชัดเจนในเหตุผลนั้น
“เจ้าอยู่กับฝ่าบาทตั้งแต่หญิงสาวคนนี้ถูกจับเป็นทาสไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่. ถูกตัอง.”
“ก่อนที่ฝ่าบาทจะค้นพบและแต่งตั้งหญิงสาวคนนี้ ไม่มีใครในโลกรู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีพรสวรรค์ทางการทหาร รวมทั้งตัวเราเอง ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่. นั่นก็จริงเช่นกัน”
“หากเป็นกรณีนี้ ให้คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าความชอบของฝ่าบาทที่มีต่อสตรีจะเน่าเสียหรือไงก็ตาม เเต่เขาก็ยังความสามารถในการแยกแยะบุคลากรที่มีความสามารถได้อยู่ จะไม่ถูกต้องหรือไม่หากจะถือว่าความสามารถในการจำแนกคนที่มีความสามารถนั้นไม่มีใครเทียบได้น่ะ?”
“······ถูกต้องแล้วใช่ไหม”
“ดังนั้น ภายใต้การสมมติฐานว่าคำตัดสินของฝ่าบาทนั้นถูกต้อง นั่นหมายความว่าองค์หญิงจักรพรรดิเป็นคนประเภทที่ฉลาดพอๆ กับหญิงสาวคนนี้หรือไม่ก็ใกล้เเคียง กองทัพของจักรวรรดิฮับส์บวร์กซึ่งนำโดยบุคคลที่โดดเด่นแบบนั้น บังเอิญไม่ได้อยู่ในวงล้อมนั้น นั่นหมายถึงอะไร เจ้าคิดว่าจู่ๆ เจ้าหญิงจักรพรรดิจะรู้สึกเบื่อและตัดสินใจพากองทัพทั้งหมดไปเดินเล่นเเทนหรือไงล่ะ?”
“······”
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น ฮัมบาบา ในสนามรบเป็นสถานที่ที่เจ้าต่อสู้โดยใช้สิ่งที่มองไม่เห็นมากเท่ากับสิ่งที่ทำได้ ในช่วงเวลานี้ที่ลานสายตาของทุกคนแคบลงด้วยม่านหมอกชื้นเเล้วนั้⎯⎯⎯⎯”
หญิงสาวคนนี้หันมองเธอ
หญิงสาวคนนี้ทำนายว่าบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา มันไม่เหมือนกับความรู้สึกเชิงพยากรณ์เพียงอย่างเดียว หญิงสาวคนนี้มีสัญชาตญาณที่สามารถข้ามไปสู่ข้อสรุปได้ทันทีหากมีเหตุผลที่เหมาะสม
“⎯⎯⎯⎯เป็นไปไม่ได้ที่เราที่มีพรสวรรค์น่าประทับใจอย่างหญิงสาวคนนี้จะพลาดโอกาสนี้ไปได้”
เจ้าหญิงเอลิซาเบธกำลังรอจังหวะอยู่
พร้อมสายฝนโปรยลงมาเป็นม่านธรรมชาติ
ในช่วงเวลานี้ที่เธอสามารถก้าวขึ้นเป็นวีรบุรุษได้ด้วยตัวเองในสมรภูมินี้ซึ่งความพ่ายแพ้ดูเหมือนจะแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน สัญชาตญาณของหญิงสาวคนนี้ก็มาถึงเป้าหมาย พวกมันดูเหมือนภูตผีที่ขี่ม้าศึก ฝ่าสายฝน และโจมตีที่ปีกซ้ายและขวาของกองกำลังที่เป็นพันธมิตรมิตรของเรา ทหารม้าที่พุ่งด้วยเสื้อคลุมสีม่วงพลิ้วไหวคือกองทัพของจักรวรรดิฮับส์บูวร์กอย่างไม่ต้องสงสัย กองกำลังของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยส ทั้งสองปีกไม่คาดคิดว่ากองทัพศัตรูจะยังคงมีกองทหารม้าเหลืออยู่ ส่งผลให้พวกเขาถูกโจมตีจากด้านหลังโดยไม่สามารถแสดงการต่อต้านได้มากเท่าที่ควร
“อ๊าาา.”
ลมหายใจที่ไหลออกมาจากริมฝีปากของหัวหน้าเเม่มด ทิวทัศน์ที่สามารถอธิบายได้ด้วยการเปล่งเสียง ‘อ๊า’ ิออกมาเป็นระยะ ๆ แต่แทบจะไม่เกิดขึ้นต่อหน้าเรา พื้นที่รอบนอกของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ที่บรรลุรูปแบบการทำลายล้างที่สมบูรณ์แบบได้พังทลายลง ทหารข้าศึกซึ่งรอเพียงการถูกสังหารภายในวงล้อม ส่งเสียงโห่ร้องให้กับกำลังเสริมที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน และบีบเอากำลังที่เหลืออยู่ออกไป
กองทหารทั้งฝ่ายข้าศึกและกองฝ่ายพันธมิตรต่างปะปนกันอย่างโกลาหล โดยธรรมชาติแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะสร้างสายการบังคับบัญชาที่เคยล่มสลายไปแล้วขึ้นมาใหม่ได้ คงจะเป็นไปได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ที่ฝนตกพรำๆไปทั่วสารทิศนี้? แม้ว่าบาร์บาทอส และ ไพม่อน จะพยายามสร้างการปิดล้อมขึ้นมาใหม่ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว ทหารข้าศึกส่วนใหญ่หนีเอาชีวิตรอด ผ่านสายฝนผ่านม่านหมอกอันเปียกชื้น
“อืม”
หญิงสาวคนนี้มองสิ่งที่กำลังวิ่งหนีด้วยสายตาที่คลุมเครือ จังหวะการหลบหนีของกองกำลังศัตรูที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ น่าสมเพชและงดงาม หัวหน้าเเม่มดฮัมบาบาจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ที่อยู่ในสภาพนั้นอย่างเหม่อลอย
“······ท่านเเม่ทัพ”
“หญิงสาวคนนี้ขอโทษที ฮัมบาบา ช่วงเวลานี้เป็นเพียงช่วงเวลาอันมั่นเหมาะ กรุณาปิดปากของเจ้าเป็นเวลา 2 นาทีเถุอะนะ หากเจ้ายังเพิกเฉยอีก ข้าอาจลงมือฆ่าเจ้าได้”
“······”
ผ่านไป 2 นาที
หญิงสาวคนนี้พอใจ
“เอาล่ะ. คราวนี้เจ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร”
“อ่าใช่ ท่านเเม่ทัพกล่าวก่อนการต่อสู้ในวันนี้ ว่าหน่วยของเราจะไม่ชนะ แต่เราก็จะไม่แพ้เช่นกัน ที่เรามีแต่จะกระจายความสับสนไปทั่วสมรภูมิ จากคำเหล่านั้น ท่านอาจหมายถึง······”
“อืม ถูกต้อง.”
หญิงสาวคนนี้พยักหน้าของเธอ
“แม้ว่าการนำมาซึ่งการต่อสู้วงล้อมแห่งการทำลายล้างจะเป็นความสำเร็จและความดีความชอบของหญิงสาวคนนี้ แต่เป็นความผิดพลาดและความผิดของ บาร์บาทอส และ ไพม่อน ที่ทำให้วงล้อมถูกทำลาย หญิงสาวคนนี้ไม่ได้รับชัยชนะ แต่เธอก็ไม่เคยพ่ายแพ้เช่นกัน”
“······”
“บาร์บาทอส และ ไพม่อน ทั้งคู่ต่างต้องอับอาย บาร์บาทอสที่เรียกหญิงสาวคนนี้ว่าอาชญากรทรยศและพยายามลงโทษเรา จะต้องรู้สึกละอายใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนั้น หากเธอพยายามลงโทษฝ่าบาทผู้เป็นเจ้าของเราในการพิจารณาคดีทางทหารในตอนนั้นเเหละที่เกียรติยศของบาร์บาทอสจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตกลงสู่หลุมลึกไร้ก้นบึ้ง เธอจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ที่ว่าเธอได้โยนความผิดให้กับ จอมมาร คนอื่นอย่างน่าอัปยศนั้นแล้วไปได้”
“······เอ่อ เดี๊ยวนะ ท่านเจ้าคุณ ตั้งเเต่เริ่มเเล้วแม้ว่าท่านจะตระหนักดีว่าการปิดล้อมของพันธมิตรจันทร์เสี้ยวจะล้มเหลวเเน่ๆ เเต่ท่านก็ยังปล่อยให้เราอยู่ที่นี่ในกองทัพกลางอยู่อีกหรือ”
“ก็อย่างนั้นแหละ”
“นั่นเป็นเรื่องที่หนักใจเล็กน้อยนะ เราไม่ได้พูดแบบนี้เพราะว่าหวงเเหนพันธมิตรของเราเป็นพิเศษ แต่จะดีกว่าไหมถ้าแค่ให้เราเข้าไปช่วยข้างในแล้วเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะเเทนน่ะ”
หญิงสาวคนนี้เอียงศีรษะของเธอ
“ทำไมล่ะ?”
“นั่นชัดเจนเเล้ว นี่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ มันคงจะดีมากขึ้นหากกองกำลังของเราได้รับชัยชนะอะนะ”
หญิงสาวคนนี้ทำได้เพียงเอียงศีรษะอีกครั้ง เป็นการยากที่จะเข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไรกันแน่ หญิงสาวคนนี้กำลังแสดงความจริงที่ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อและมีสามัญสำนึกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ชี้ให้เห็น
“หัวหน้าเเม่มดฮัมบาบา ไพม่อน เเละบาบาร์ทอส มันจะเป็นพันธมิตรของหญิงสาวคนนี้ได้อย่างไรกัน”
“ขออภัย?” “Pardon?”
“บาร์บาทอสพยายามวางกรอบและกำจัดอำนาจการปกครองของฝ่าบาท ไพม่อนก็พยายามใช้ฝ่าบาทเป็นเครื่องมือทางการเมืองเช่นกัน ดังนั้น จอมมารทั้งสองจึงเป็นศัตรูของหญิงสาวคนนี้อย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเราจะไม่ลงมือ แต่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิก็เต็มใจเสนอที่จะเอาชนะสองคนนั้นให้ แล้วทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงต้องเข้าไปแทรกแซงโดยไม่จำเป็นล่ะ? การควบคุมกลุ่มโดยใช้กลุ่มอื่น ไม่ว่าจะยังไง หากเจ้าหญิงจักพรรดิต้องการตีฝ่าวงล้อม เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโจมตีปีกใดปีกหนึ่งหรือทั้งสองปีกของกระบวนทัพของเรา แทนที่จะโจมตีกองทัพศูนย์กลางของหญิงสาวผู้นี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงสาวคนนี้ที่จะชมเชยเฉยๆอย่างสบายในขณะที่พวกมันเข้าห้ำห่ันกันเองน่ะสิ”
ไม่มีใครที่จะวิพากษ์วิจารณ์หญิงสาวคนนี้ว่าเฉยเมยเพียงเพราะเธอยืนเฉยในขณะที่วงล้อมแตกสลายได้หรอก ผู้ที่ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเป็นทัพหน้าและยืนอยู่แถวหน้าตั้งแต่ช่วงแรกของการต่อสู้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหญิงสาวคนนี้
ก้าวไปข้างหน้าในฐานะหัวหอก นำกองทหารม้าส่วนใหญ่ของศัตรูเข้าสู่ภาวะชะงักงัน และยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวคนนี้ได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการชี้ขาดซึ่งทำให้การปิดล้อมสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ว่าใครจะพูดอะไรในตอนนี้ บุคคลที่ทำหน้าที่ที่โดดเด่นที่สุดสำหรับกองกำลังของเราคือหญิงสาวคนนี้ หากใครต้องการวิจารณ์หญิงสาวคนนี้ลองดูสิ
“นอกจากนี้.”
และหญิงสาวคนนี้ก็พูดต่อ
“มันคงน่าเบื่อที่จะชนะอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าแบบไหนมันก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าระหว่างศัตรูกับหญิงสาวผู้นี้ ฝ่ายที่จะได้รับชัยชนะจะเป็นหญิงสาวผู้นี้เเน่ เเต่อย่างไรเสียมันจะเป็นการเสียเปล่าไปไม่น้อยหากเราจะกินพวกมันให้พอประมาณเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะ?”
“······”
หัวหน้าองครักษ์ ใบหน้าของฮัมบาบาว่างเปล่าอีกครั้ง ขณะที่เธอปรับหมวกทรงกรวยของเธอซึ่งเปียกโชกไปด้วยฝน เธอพึมพำกับตัวเอง
“······ตอนนี้เรารู้แน่ชัดแล้ว รอบตัวฝ่าบาทของเรามีแต่คนบ้า ทั้งลาพิสและแม้แต่ท่านเเม่ทัพเอง พวกเขาล้วนอยู่ในประเภทที่ห่างไกลจากคำว่าปกติไปเป็นพันก้าว ดูเหมือนว่าเราจะเป็นคนสติดีคนเดียวที่อยู่ใกล้ฝ่าบาทเเน่ๆละ เเละแน่นอนว่าเราต้องเป็นคนดูแลเขาให้ดีกว่านี้เเล้วสิ”
“ฮ่าาา?”
“ใช่?”
เวลาในสนามรบยังคงไหลไปแม้ในขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่
ทั้งกองทัพของ ไพม่อนและ บาบาร์ทอส ได้ฟื้นฟูแนวรบที่เคยพังทลาย อย่างไรก็ตาม มันก็สายเกินไปแล้วที่พวกเธอจะไปไล่ตามศัตรูทัน เวลาที่ผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนคืนได้ คล้ายกับเวลาของสนามรบที่ผ่านไปแล้ว ไม่อาจไขว่คว้าโอกาสได้อีก
สงครามทุกครั้งเป็นการต่อสู้ที่ดำเนินไปทุกชั่วโมงและเป็นสงครามแห่งเวลาด้วย ไม่แปลกที่บางทีเวลาจะถูกลบออกไปในเวลาปกติทุกวัน ในทางกลับกันนั่นเป็นเรื่องธรรมดา เฉกเช่นเดียวกับหินกระโดดน้ำที่ระลอกคลื่นได้มาเกี่ยวทับกัน เวลาแต่ละวันเองก็ถูกแยกห่างกันเหมือนคลื่นกระจายไปอย่างห่างเหิน ดังนั้นเวลากับคนที่ถูกฝังอยู่ภายใต้ชีวิตประจำวันจึงคล้ายกับคนที่พยายามโยนหินให้เกิดระลอกซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้นเองและถูกลบออกไประหว่างหินแต่ละก้อน เพื่อให้ในที่สุดก็ข้ามผ่านเวลานั้นไปได้ สำหรับคนเหล่านั้น พวกเขาจะค่อยๆลืมเลือนมันไปเองเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จบลงด้วยการลืมมันไปตลอดกาล
Every war was a conflict that flowed hour by hour and was also a war of time. It was not strange for certain points within everyday time to be erased. On the contrary, that was a common occurrence. Similar to stepping stones that were sparsely connected, everyday time was sparsely separated. Therefore, time to a person who was living while buried under everyday life was similar to that of a person who was trying to cross stepping stones, which was an act where they must let something flow and be erased between each stone in order for them to finally cross. For those people, they slowly forget themselves as time continues to proceed, until finally, they merely end up falling completely into oblivion.
ในทางกลับกัน เวลาของสนามรบไหลไปในทางที่คลื่นกระทบเดียวก็ไม่อาจลบล้างได้ คนที่ลืมตัวเองเมื่อก้าวเข้าสู่สงครามไปแล้วนั้นไม่น่าให้อภัย การเคลื่อนไหวของทหารศัตรู ทิศทางของลมที่ธงโบกสะบัดตาม และแม้แต่กลิ่น กลิ่นหอม และการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงขึ้นจากส่วนหนึ่งในกาย เราจะต้องปะติดปะต่อข้อมูลทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้และฉกฉวยมันอย่างแม่นยำ การไหลของเวลา บุคคลที่ปกครองเหนือกาลเวลาย่อมปกครองสนามรบด้วย ในวันนี้ บาบาร์ทอส และ ไพม่อน พลาดช่วงเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย โอกาสแห่งชัยชนะจะไม่กลับมาหาพวกเธอในตอนนี้อีกเเล้ว
หัวหน้าเเม่มดฮัมบาบาเดาะลิ้นของเธอ
“มันไม่น่าสมเพชไปสักหน่อยหรือ ยังไงศัตรูมันก็ได้ประโยชน์จากเราในตอนท้ายอยู่ดีนี่?”
“เจ้าของสงครามนี้คือฝ่าบาท เจ้าของศึกครั้งนี้คือหญิงสาวคนนี้ บทสรุปของวันนี้เป็นผลตามธรรมชาติเพราะพวกมันได้กักขังฝ่าบาทไว้ แม้จะไม่รู้ว่าควรวางตนไว้แบบใด และพยายามข่มเหงหญิงสาวคนนี้ คงจะดีถ้าพวกมันรู้จักที่ที่พวกมันควรวางตนได้เเล้วในตอนนี้”
มันเป็นช่วงเวลานั้น กำลังทางทหารของข้าศึกส่วนหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเราคิดว่าถอยกลับไปหมดแล้ว ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักและหมอกที่เปียกชื้น มีศัตรูจำนวนน้อยเท่านั้นก้าวเข้ามา แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะหรี่ตาของเธอ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาอาจตั้งใจที่จะโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ศัตรูเพียงแค่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น
“······”
ไม่สิ แทนที่จะเป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว
หญิงสาวคนนี้เคาะเอวของม้าสีดำเบา ๆ และเดินไปข้างหน้า แม้ว่าเสียงของหัวหน้าราชองครักษ์จะส่งเสียงตื่นตระหนกของฮัมบาบาจะได้ยินจากด้านหลัง แต่หญิงสาวคนนี้ก็เพิกเฉยมันไป หญิงสาวคนนี้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ศัตรูรออยู่ในขณะที่ถูกฝนกระหน่ำ
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มีใครบางคนจากฝ่ายศัตรูออกมาเช่นกันขณะขี่ม้าขาว เข้าคู่กับฝีเท้าของหญิงสาวคนนี้ อีกฝ่ายเป็นสีดำ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เป็นสีขาวด้วยเช่นกัน แม้ในสภาพอากาศปัจจุบันนี้ ที่ซึ่งเมฆดำกระจายไปทั่วท้องฟ้า ผมสีเงินของอีกฝ่ายก็เปล่งประกายสีของตัวเองอย่างเต็มตา รู้สึกราวกับว่าเม็ดฝนกำลังหลีกทางให้เธอ
ก่อนที่หญิงสาวคนนี้จะได้เห็นรูปร่างของเธอ หญิงสาวคนนี้รู้แล้วว่าบุคคลนั้นคือใคร
เอลิซาเบธ อาตานาเซีย เอวาเทรีย ฟอน ฮับส์บวร์ก
บุคคลเดียวที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรายอมรับว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวของกับเขา หญิงสาวคนนี้ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากฝ่าบาทโดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการปลิดชีวิตบุคคลนั้น
หญิงคนนั้นและหญิงสาวคนนี้เข้ามาใกล้กัน ขณะที่เธอจ้องมองหญิงสาวคนนี้อย่างเหม่อลอยขณะอยู่บนหลังม้าขาว หญิงสาวคนนี้ก็จ้องมองมาที่เธอขณะอยู่บนหลังม้าสีดำ
ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดมากมายในหัวของเธอ ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์ใดๆ แต่ดวงตาคู่นั้นของเธอมีแผนการที่วางไว้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม หญิงสาวคนนี้ไม่ได้คิดอะไรเลย หญิงสาวคนนี้พบปะผู้คนตลอดเวลา เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยหญิงสาวคนนี้ก็สามารถเห็นคนๆ นี้ด้วยตาของเธอเอง เพียงแค่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเธอ
“······”
“······”
สายฝนตกลงมา
หญิงสาวคนนี้ชอบฝน
เมื่อใดที่ฝนตก เสียงของเม็ดฝนที่ตกลงมาก็ชะล้างสิ่งรบกวนของโลกนี้ออกไป เมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาอาบแก้มของหญิงสาวผู้นี้ หญิงสาวผู้นี้รู้สึกโล่งใจเพราะรู้สึกราวกับว่ายังมีโลกอีกใบรออยู่
มีครั้งหนึ่งที่หญิงสาวคนนี้คิดว่าเรื่องจิปาถะต่าง ๆ ในโลกกำลังทรมานเธอ และยังมีช่วงเวลาที่เธอคิดถึงแต่เรื่องทรมานเหล่านั้น แต่เสียงฝนก็พัดพาวันเวลาเหล่านั้นหายไป . เนื่องจากสายฝนกำลังยุ่งอยู่กับการพัดพาทุกสิ่งในโลกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีกำลังมากพอที่จะขัดขวางหญิงสาวคนนี้ เมื่อใดก็ตามที่ฝนตก หญิงสาวคนนี้รู้สึกราวกับว่าเธอเป็นบางสิ่งในโลกที่มีค่าน้อยที่สุดในการพัดพาเราออกไป หญิงสาวคนนี้หายใจอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางสายฝนที่ไม่แยแส
ถ้ามันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หากร่องรอยการดำรงอยู่ของร่างกายนี้หายไป และแม้แต่ร่องรอยที่หายไปก็หายไปตามไปด้วยเเล้ว
“เจ้า.”
เธอเปิดริมฝีปากออกมา ฝนหยดหนึ่งไหลลงมาที่ข้างริมฝีปากของเธอ ไหลไปตามแนวคาง ริมฝีปากนั้นคงจะเป็นริมฝีปากที่ฝ่าบาทต้องการจุมพิต
“ข้านึกว่าเจ้าตายแล้ว”
“······”
“นั่นไม่ใช่ใบหน้าของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และนั่นไม่ใช่ดวงตาของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ดันทาเลี่ยน ทำตุ๊กตาให้เป็นเเม่ทัพของตัวเองหรือไงกัน? หรือเขาตั้งใจให้เจ้าอุ้มท้องเเทนที่จะเป็นตุ๊กตาหรือเป็นเเค่ศพและดูแลมันกัน? ช่างเป็นคนที่น่าหนักใจจริงๆ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่ชายคนนั้นตัดสินใจรับเข้ามาเลี้ยงดูปูเสื่อนั้นจะไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากตัวถ่วง”
“······”
“พูดน้อยจริงๆ เจ้าจะเอาเเต่จ้องอยู่อย่างเงียบๆต่อไปหรือไง ข้ามองไม่เห็นหนทางที่จะสนทนากับเจ้าเลยหรือ ความจริงแล้ว เจ้าคำกำลังหาคำตอบว่าเจ้ากำลังมองข้าทำไมอยู่หรือเปล่าหล่ะ หรือกำลังคิดอะไรเงียบๆในหัวอยู่?
หญิงสาวคนนี้จ้องมองสายฝน
และพูด
“ความคิดอยากจะฆ่าเจ้าแล่นเข้ามาในหัวของหญิงสาวคนนี้”
เธอปิดปากของเธอและแสดงใบหน้าที่มีปัญหาเล็กน้อย จากนั้นเธอก็หรี่ตาและส่ายหัว
“ข้าขอโทษด้วย. เเต่เจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้หรอก ไม่เพียงแต่เจ้าขาดความสามารถในการทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงไหน การต่อสู้กับข้าในตอนนี้จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งของดันทาเลียน เนื่องจากเจ้าเป็นหุ่นเชิด เจ้าจะไม่ต่อต้านดันทาเลียนเเน่ๆ ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?”
“······”
“ข้าอยากเห็นหญิงสาวที่ชายคนนั้นเเละกองทัพที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างใกล้ชิด ข้าเห็นว่า ดันทาเลี่ยน ภูมิใจกับมันนักหนา ข้าเห็นชายคนหนึ่งที่พยายามแบกรับสิ่งที่เขาแบกไม่ไหวและแบกรับในสิ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องแบกรับ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม คนๆ หนึ่งจะตั้งใจช่วยชีวิตเด็กที่ตายไปแล้วในอดีตได้อย่างไร และเป็นเหมือนกัน เขาตั้งใจฆ่าเด็กนั้นได้อย่างไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ดันทาเลี่ยน วางแผนที่จะย้อนเวลากลับเเก้ไขมันหรือไม่หล่ะ? เวลาของคนๆหนึ่งจะถูกย้อนกลับเพียงเพราะมีคนอยากให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่านะ?”
เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ฝนตก
“ถ้าเจ้าส่งให้ได้ ฝากข้อความถึงเจ้านายของเจ้าด้วย หลังจากที่ได้พบกับตุ๊กตาของนายแล้ว เรา เอลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก ก็คิดว่าเธอค่อนข้างสวย”
เธอคงพูดทุกอย่างที่อยากพูดเสร็จเเละเธอก็หันหัวม้ากลับ หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็หายเข้าไปในหมอกฝน ทหารที่เธอพามาด้วยก็หายไปพร้อมกับเธอเหมือนเงา หญิงสาวคนนี้เฝ้าดูเงาที่เลือนหายไปในม่านหมอกนั่นให้นานที่สุดเท่าที่จำเป็น
มีเพียงความหวาดหวั่นเดียวเท่านั้นที่เข้ามาในจิตใจของหญิงสาวคนนี้
ครั้งต่อไปที่เราพบกัน หญิงสาวคนนี้จะฆ่าเธอ
การต่อสู้ในวันนี้นั้นจบลงด้วยประการฉะนี้
ไม่มีใครได้รับชัยชนะและไม่มีใครพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม มีผู้กล้าปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มพันธมิตรจันทร์เสี้ยวและกลุ่มครูเซดทั้งสองฝ่าย
หญิงสาวคนนี้ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่
และเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ฟอน ฮับส์บวร์ก
…………………………………………………………………………………………………………………..
น้อนเเม่มเอาเรื่องเกิํนนน ตอนหน้าจบ chapter 2