Dungeon Defence - ตอนที่ 102
▯จอมมารเเห่งความเมตตา อันดับ 9 ไพม่อน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 10
ที่ราบบรูโน่ เกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว
“······ฮืมมมม. มันสมควรเเก่เวลาเเล้วสินะ.”
“ใช่. มาเริ่มกันเลยเถอะ.”
โดยไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายพูดก่อน
ผู้หญิงคนนี้กับบาร์บาทอสหยิบหน้ากากของเราออกมาสวม
ไม่ใช่แค่เราสองคนเท่านั้น จอมมารส่วนใหญ่ที่ชมการแสดงก็สวมหน้ากากเช่นกัน มีเพียงผู้ทรยศทั้ง 7 คนเท่านั้นที่ชักสงสัยและเริ่มกระซิบคุยกันเอง พวกมันเป็นคนที่คอยเย้ยหยั่นอุดมการณ์ของฝ่ายต่างๆ เเละยังรวมไปถึงอุดมคติของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ถึงจะเป็นอ้อมกอดของผืนโลกก็คงไม่เพียงพอที่จะให้อภัยเเก่พวกมันได้อีกต่อไป
Ο
⎯⎯ คึกคักอะไรกันขนาดนี้นะ
⎯⎯ พวกเขาตั้งใจจะจัดงานเเสดงเซอร์ไพรส์งั้นเหรอ······?
⎯⎯ ไม่ว่ายังไง การแสดงของเด็กคนนั้นค่อนข้างจะ······
Ο
ณ ช่วงเวลานั้นเอง
เลือดกระเซ็นออกมาจากที่นั่งของจอมมารที่จัดไว้ คนที่สวมหน้ากากทั้ง แทงเเละเสียบด้วยดาบและฟันด้วยขวานจามไปที่ร่างของคนที่ไม่สวมหน้ากาก พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เงียบสงบด้วยเสียงดนตรีกลายเป็นแดนนรกทันที
⎯⎯ เดี๋ยวก่อน เเกเป็นบ้าอะไรกันวะ·····!?
คนทรยศกลิ้งไปกับพื้นเเขนของพวกมันถูกมัด ร่างกายครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยดินและครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยเลือด แม้ว่าพวกมันจะถูกพันธนาการไว้และร้องขอให้ใครสักคนช่วยพวกมัน เเต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขุนเขาหรือฝ่ายผืนราบ ก็ไม่เจอใครสักคนแสดงความเมตตาให้ หลังจากนั้นไม่นานนิ้วของพวกมันเเต่ละนิ้วก็ถูกแทงด้วยหอกและถูกฟันออกด้วยใบดาบ นิ้วของพวกมันได้ปลิวหายไปในอากาศทีละนิ้วๆ เสียงกรีดร้องและเสียงครวญครางปะปนกันทำให้โรงละครกลายเป็นดั่งโรงฆ่าสัตว์ในพริบตา
“การจะจัดการพวกมันอาจจะยากก็จริงอยู่ เเต่ว่าต้องรีบกลืนกินเดี๊ยวนั้นเลยจริงๆเหรอ?“
บาร์บาทอสอ้าปากหาว เธอยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ แต่แล้วเธอก็จำได้ว่าตัวเองสวมหน้ากากอยู่และสบถออกมา
“เชี่ยเอ้ย ไม่ว่ายังไง การกำจัดพวกมันออกไปเลยก็ดีกว่าเห็นๆ เพราะมันจะช่วยลดภาระในจิตใจได้มากขึ้นไงล่ะ อาจมีสายลับจำนวนมากซ่อนอยู่ในหมู่พวกมัน การที่ต้องมานั่งจิ้มเลือกทีละคนมันน่าเบื่อมากกว่ามาต้องล้างบางให้หมดอีก”
ในขณะนั้นเองก็มีจอมมาร คนนึงพุ่งเข้ามาหาเราและหมอบลงกับพื้น เขาไม่ได้เป็นสมาชิกฝ่ายของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้จำได้ว่าเขาเป็นจอมมารระดับต่ำที่อยู่ฝ่ายที่มี บาร์บาทอส เป็นผู้นำ
⎯⎯ท่านเจ้าคุณ บาร์บาทอส! ช-ช่วยข้าด้วย! เจ้าพวกนั้นมันเป็นบ้าไปแล้······!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค อากาศถูกแยกออกจากกันโดยท่าทางอันเบามือของ บาร์บาทอส ใบมีดไร้รูปร่างฟันเข้าไปที่ศีรษะของชายคนนั้น เมื่อหัวของมันหายไป ร่างกายก็สั่นไปมาก่อนที่จะล้มลงไปข้างหลังด้วยเสียงดัง ตุ้บ บาร์บาทอสหาววอดออกมาอีกครั้ง
“เฮ้อมม.. ข้าว่าเราควรจะทำการกวาดล้างให้เร็วกว่านี้เเท้ๆเลย พวกเราต่างลงเอยด้วยการมีเซ็กกันและโยนเจ้านั่นเข้าคุกอย่างไร้จุดหมายเเท้ๆ ข้าคิดนะว่า ดันทาเลี่ยนกับเเกได้มีเซ็กส์กันเเล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดว่าข้าควรไปเล่นเเม่งด้วยอีกคนจะดีไหมนะ”
“ไม่ใช่เลยอย่างที่เคยบอก นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“อย่างกับว่าข้าสามารถเชื่อคำพูดที่เเกพูดได้ง่ายๆงั้นเเหละ นังตัว”
“ผู้หญิงคนนี้จะพูดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นให้ฟัง ในการเดินทัพครั้งที่ 2 ของพันธมิตรจันทร์เสี้ยว เราได้แนะนำว่าควรถอยกลับโดยเร็ว เพราะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เเต่รู้ไหม คนที่ไม่เชื่อและยืนยันว่าพวกเราควรเดินหน้าต่อจนถึงที่สุดก็คือเธอ”
“······จะเป็นเช่นที่พูดเร้อ?”
“ใช่ เป็นเช่นนั้นจริงๆเเหละ เพราะเธอมันโง่ชอบทำผิดซ้ำๆซากๆไงล่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ปิดปากของตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน บาร์ทอส ก็เงียบลงเช่นกัน เป็นครั้งแรกเเละเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานที่เราสองคนได้นั่งเคียงข้างกันและเฝ้าดูหญิงสาวที่ยังคงเล่นเปียโนอยู่แม้ว่าการฆ่าฟันจะดำเนินอยู่ก็ตาม บาร์บาทอสมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพึมพำ
“ฤดูใบไม้ผลิ เฮ้ อากาศดี๊ดี เหมาะจะฆ่าคนดีนะ”
คำพูดเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใครโดยเจาะจง เเต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้ก็ได้เงยหน้าขึ้นไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ในสถานที่บนฟ้า เมฆลอยอยู่บนยภายามเย็น โดยไม่เเยเเสสิ่งใดที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน
“อืม. เป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วหล่ะ”
อย่างกับว่าท้องฟ้าไม่ได้สนใจเรื่องของเรา เเละเราก็ยังไถชีวิตที่ต้องฆ่าต่อไปโดยไม่เเยเเสท้องฟ้าข้างบนนั้น
มันก็เป็นเเค่เรื่องราวสั้นๆที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เเต่วันเวลาสั้นๆก็ได้ผ่านพ้นไปโดยไม่ติดขัดอะไร
FIN