Dungeon Defense: เล่ม 3 – บทที่ 4 (Part 1)
บทที่ 4 – ม่านหมอกแห่งสงคราม (Part 1)
พวกเรายังมีหน้าที่ต้องทำต่อ
เดินทัพไปทางเหนือ
ไปทางเหนือและเข้าช่วยเหลือ บาร์บาทอส
ด้วยเวลาที่เหลืออยู่เราได้ให้พวกทหารสามารถพักได้ครึ่งวัน พวกเราทำการปล้นเสบียงที่กองรวมกันเป็นภูเขาภายในป้อมปราการพิสุทธ์ และเพราะมันมีมากเกินไปที่เราจะเอาเสบียงไปได้หมดทุกอย่าง เราจึงเผาส่วนที่เหลือไปซะ ขณะที่กำลังเผาเสบียง ซึ่งเดิมทีวางแผนไว้ว่าจะใช้เป็นทั้งอาหารและเสื้อผ้าของนักโทษไว้ เราก็ตัดสินใจเผานักโทษทิ้งตามไปด้วยเช่นกัน
มันจะทำให้การเดินทัพมีประสิทธิภาพมากกว่า
ผมได้ออกคำสั่งอย่างโหดร้ายออกไป
“จงจุดไฟเผาหมู่บ้านมนุษย์ทุกแห่งที่เราเห็นบนเส้นที่ทัพของเราพาดผ่าน”
เปลวไฟและควันถูกจุดออกมาทุกหนเเห่งเพียงเเค่กองทัพของเราย่างกราย ทหารของผมเดินขบวนขณะที่จุดไฟเผาทุกสิ่งที่ขวางทางเราไว้ และเดินขบวนทัพต่อโดยทิ้งควันไว้ข้างหลัง เราย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างจริงจังเพื่อรุดหน้าเพื่อเข้าช่วยเหลือบาร์บาทอส
พวกมนุษย์ต้องการที่จะผลักดันสงครามให้เป็นการโจมตีกลับไปยังดินแดนปีศาจ เนื่องสงครามถูกสร้างขึ้นเเละดินเเดนมนุษย์ถูกเหยียบย่ำ มนุษย์จึงปรารถนาให้ดินแดนของปีศาจถูกเหยียบย่ำแทนที่จะถูกเหยียบย่ำเสียเอง
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่กองทัพที่สองพ่ายเเพ้อย่างสมบูรณ์ คนเดียวที่ขวางทางกองทัพมนุษย์ขนาดใหญ่คือจอมมารบาร์บาทอส บาร์บาทอสได้เข้าขวางทางกองทัพมนุษย์จำนวน 40,000 นาย ด้วยทหารของเธอ20,000 นาย แบบฝืนกำลังรบเต็มทน การให้ความช่วยเหลือ บาร์บาทอส ตอนนี้จึงเป็นงานหลัก ด้วยวิธีนี้ ดินแดนปีศาจสามารถหลีกเลี่ยงหายนะอันเลวร้ายของสงครามได้ บาบาร์ทอส และผมจะไม่กลายเป็นคนทรยศต่อสงครามครั้งนี้
“อย่าหมกมุ่นกับการปล้นสะดมให้มาก! ฆ่าพวกเเม่งซะหากต้องการจะฆ่าจริงๆ แต่อย่าไปเสียเเรงกายในการฆ่าแบบเล่นๆไป เราไม่มีเวลามาข่มขืนชาวบ้าน จงจัดการส่วนล่างจงจัดการความตัณหาให้ดี เผาหมู่บ้านมนุษย์ทั้งหมดและเปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นคนไร้บ้านซะ”
ผมไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย จงเผาทุกอย่าง จงเผาทุกสิ่งในสายตา หมู่บ้านและเสบียงที่เราไม่เผาจะกลายเป็นสายชูชีพที่จะหล่อเลี้ยงศัตรู ผมกำลังใช้กลยุทธ์ชองยาแบบย้อนกลับ
(หมายเหตุ TL: กลยุทธ์ ชองยา (청야 전술) – ยุทธวิธีที่กองทัพป้องกันจะล่าถอยในขณะที่เผาเสบียงทุกอย่างที่กองกำลังของศัตรูอาจนำไปใช้ได้)
บางครั้งหัวหน้าหมู่บ้านบางที่ ได้เเสดงความคับข้องใจและมาขอร้องผม หัวหน้าหมู่บ้านอ้อนวอนว่าอย่างน้อยก็เหลือเมล็ดพันธ์พืชให้ที พวกชาวบ้านต้องการทำการเพาะปลูกในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง ดังนั้นพวกมันจึงขอร้องให้เราอย่าฉีกความหวังอย่าขุดรากถอนโคนพวกมันทิ้ง ผมไม่มีเวลามานั่งอธิบายให้หัวหน้าหมู่บ้านทราบถึงสถานการณ์เร่งรีบของกองทัพเราที่กำลังดำเนินอยู๋ สถานการณ์ของพวกชาวบ้านที่เผชิญอยู่มันไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อยนี่ และพวกชาวบ้านก็ไม่ได้รีบร้อนเดินทัพเหมือนผมสักหน่อย ผมจึงไม่มีเวลาที่จะบอกเล่าสถานการณ์ที่ให้พวกชาวบ้านเข้าใจตรงกัน แม้ว่าผมจะมีเวลาเพียงพอ เเต่มันอาจทำให้เวลาเดินทัพคลาดเคลื่อนจนแก้ไขได้ยากได้ ผมขมวดคิ้วมองไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน
“งั้นเเกก็ตายไปเลย? ตายไปให้พ้นๆซะ? ฟังข้าให้ดี ไอ้มนุษย์ จนกว่าฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง จงหนีไปที่ภูเขาและอย่าได้ลงมาอีก การทำฟาร์มในปีนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว อย่ามายึดติดยืดเยื้ออะไรไม่เข้าท่าเเละอย่ากลับออกมาจากหุบเขาด้วย!”
ด้วยน้ำตาคลอเบ้า ชายชราและผู้หญิงต่างออกไปหาที่หลบภัย
ควันที่ลอยขึ้นจากเทือกเขาเเบล็คเคลื่อนออกไปเล็กน้อย แต่ทิศทางกลับลอยขึ้นเหนือด้วยเเรงอันเเผ่วเบา ในแต่ละวันผ่านไป หมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนทางเหนือก็กลายเป็นเปลวเพลิง
จากที่ๆมีผู้คนล้นหลามเหลือเพียงเถ้าถ่านเหลืออยู่ มนุษย์ที่สูญเสียบ้านหนีไปทางทิศใต้หรือไม่ก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ควันก่อตัวหนาแน่นทุกด้าน เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วบริเวณที่มีควันหนาทึบ พวกมันควรคิดว่าตัวเองโชคดีไปนะ ที่หิมะและฝนที่ตกลงมาระหว่างการวางเพลิงของเรานั้นตกไม่เเรงมาก มันจะกลายเป็นเรื่องยากไปเลย ที่จะจุดไฟให้ลุกโชนเพราะสภาพอากาศย่ำเเย่ ผมก็คงจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฆ่ามนุษย์ทุกคนทิ้งไป
เหล่าผู้ลี้ภัยร้องเพลงขณะจากไป
ถ้าเราไปตอนนี้ เมื่อไหร่เราจะได้กลับ
ถ้าเราไปตอนนี้ เมื่อไหร่เราจะได้กลับ
หมู่บ้านของเรากำลังถูกไฟเผา ลูกชายของเรากำลังถูกไฟครอก
อ่าาาา ถ้าไปตอนนี้แล้วเราจะได้กลับเมื่อไหร่……
เมื่อพวกมันไม่มีปฏิทาให้ย่างก้าวและไม่มีปลายทางเป็นจุดหมาย ดูเหมือนว่ามนุษย์จะอาศัยเสียงเพลงบนถนนเพื่อออกเดินทางไป แม้ว่าเพลงจะเศร้าโศกและโง่เขลาเพียงใด เเต่ผมก็ไม่ได้ไปห้ามไว้ ผมกลับผลักดันให้มนุษย์ หนีไปไกลๆ ขจรบทเพลง ขจายขับร้อง บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวลำนำกล่าวถึงบทเพลงที่กองทัพของเรากรีฑาไปดั่งโรคระบาด
ระหว่างทาง กองทหารของดุ๊กได้เข้าขวางทางเรา พวกมันเป็นทหารที่ออกจากที่มั่นมาเพราะพวกมันไม่สามารถทนต่อบทเพลงอันขมขื่นของผู้คนได้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลังจากที่ดยุคได้เสนอกำลังทหารส่วนใหญ่ของตนให้ราชวงศ์เพื่อให้ความช่วยเหลือทางทหาร แม้ว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะน่ายกย่อง แต่มีเเค่วิญญาณของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถชมเชยได้ ขณะที่เหลือบมองดูกองกำลังของศัตรูที่เกือบจะมีทหารถึง 50 นาย ฟาร์นาเซ่ถามออกมา
“เราควรทำอะไรกับพวกมันดีฝ่าบาท”
“เหยียบย่ำมันซะ”
“เข้าใจแล้ว ……ช่างน่าหน่ายใจจริงๆเลย”
ขณะบ่นพึมพำว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน ฟาร์นาเซ่ ก็สั่งกองทหาร
การที่ทหารเเค่ 50 นายมาขวางการเดินทัพใครจะชนะใครจะเเพ้เป็นที่เเน่นอนอยู่เเล้ว ฟาร์นาเซ่ เลยคิดค้นเกมขึ้นมา เป็นการดูว่าเธอสามารถฆ่าทหารศัตรูทั้ง 50 นายได้ไหม โดยไม่พลาดไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยใช้วิธีที่ฟาร์นาเซ่คิดขึ้นมาเอง เกมดังกล่าวประสบความสำเร็จ ทหารถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
เราตัดศีรษะของทหารแล้วเอาห้อยไว้กับไม้ยาวๆ ทุกครั้งที่เราเผาหมู่บ้านได้ เราก็จะโยนหัวพวกทหารเข้าไปในหมู่บ้าน ประมาณ 15 หัวต่อที่ หลังจากหัวหน้าหมู่บ้านเห็นหัวที่อยู่บนพื้น ดูเหมือนพวกมันก็เชื่อฟังคำพูดของเราเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยไม่จำเป็นต้องให้ข่มขู่ด้วยวาจา พวกเขาเก็บสิ่งของตามดุลยพินิจของตนเองเพื่อเดินทางไปหาที่หลบภัย ตรงไปตรงมดาดี ทำไมผมไม่ทำแบบนี้ตั้งเเต่เเรกกันนะ
พวกเราค่อยดูเหมือนกองทัพจอมมารขึ้นมาหน่อย
ถ้าจะให้พูดให้ชัดกว่านี้หน่อย กองทัพของเราเป็นกองทัพเเห่งพวกนอกรีต
พวกทหารของได้ถือตัวไปเเล้วว่าพวกเขาเป็นพวกนอกรีตเเละภูมิใจกับคำเรียกนั้น เมื่อเราปล้นสะดมมากขึ้น ทหารของเราก็ได้เสริมทัพกองทัพให้แข็งแกร่งขึ้น การเดินขบวนจึงไม่ทรมานอีกต่อไป
ทหารของเราเองเริ่มจะตั้งให้ฉายากองทัพ เช่น ‘ ผู้เบิกทางเเห่งฤดูหนาว (The Harbingers of Winter)’ , ‘ โรคร้ายของนรชาติ The Human’s Plague’ และ จอมโจรเเห่งขุนเขา ‘The Pillagers of Mountains’ เเละเพราะฤดูหนาวเป็นดั่งเคราะห์ร้าย โรคระบาดจึงเป็นดั่งคำสบถ และการปล้นสะดมเป็นดั่งสิ่งที่น่ารังเกียจ ใครจะรู้ว่ากองทัพของผมขี้ขลาดได้แค่ไหน คู่ควรกับที่ผมกำลังคอยเชียร์อยู่ .ฮ่า เป็นฤดูกาลเเห่งความอลม่านนจริงเเท้
ชีวิตผมมันน่าสมเพชเหลือขนา ดังนั้นผมเลยจะร้องเพลงเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวของผมให้ฟัง ผู้ลี้ภัยร้องเพลงเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เเต่ผมน่ะร้องเพลงเพราะไม่รู้ว่าผมมาจากไหน เพลงของคนไม่มีที่ไปและเพลงของคนที่ไม่มีที่จะกลับน่ะ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“จะเป็นอะไรไหมน้า: นี้ดีหรือนั่นดี–? กำแพงด้านหลังวิหารเทพของเมืองพังทลายลง – ก็น่าจะเป็นแบบนี้ – เมื่อพวกเขาตายลงไปและตายลงไปอีกร้อยครั้ง—. หรือถ้าเราตายและตายไปพร้อมกัน – มันจะเป็นแบบนั่น?”
(หมายเหตุ TL: นี่คือการหลอมรวมของสองบทกวี Hayeoga(하여가) และ Dansimga(단심가) ฮาเยโอกาถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศความตายของยุคสมัย [url=https://en.wikipedia.org/wiki/Jeong_Mong-ju]https://en.wikipedia.org/wiki/Jeong_Mong-ju[/url]
“……เพลงอะไรน่ะ? พึกลึกกึกกือชะมัด”
ฟาร์นาเซ่ ขมวดคิ้ว ลาพิสที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ ผม ก็ทำหนาตาแปลกๆให้ผมด้วย ผมเลยโกหกออกไป
“นี่เป็นเนื้อเพลงจากทำนองที่ได้ยินในความฝันเมื่อคืนนี้ ท่วงทำนองมันยังคงวนรอบลิ้นผมอย่างดีจนร้องเพลงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้ นี่คงจะเป็นบทเพลงที่เทพธิดาประทานพรล่ะมั้ง?”
“อืม”
“ลองร้องตามสิ มันเป็นเพลงที่จะปลดภาระชีวิตออกไปเลยนา เพลงที่ร้องเพื่อลิ้มรสชาติของการทำอะไรที่หนักหน่วงแต่มีความเบิกบานใจ ทุกสิ่งในโลกนี้จะอะไรไหมน้า: นี้ดีหรือนั่นดี”
เพลงนี้แพร่กระจายในหมู่ทหารทันที ‘พวกเขาบอกว่านี่เป็นเพลงที่ ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ได้รับประทานมาหลังจากที่ได้ยินจากเทพธิดาขับร้องออกมาเอง’ ซึ่งเป็นของกำนัลที่แนบมากับข่าวลือที่ไม่มีมูลนี้ เมื่อผมใส่จังหวะที่เหมือนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในเพลงและท่องมัน ทหารของเราก็โยนเพลงทหารทิ้งไปและหัวเราะคิกคักกับเพลงทร็อตอันใหม่ กองทหารของเราดัดแปลงเนื้อเพลงเพื่อให้เข้ากับรสนิยมของพวกเขา
(หมายเหตุ TL: Trot เป็นแนวเพลงเกาหลี)
บาดัม เเทท บาดัม เเทท จะเป็นอะไรไหมน้า: นี้ดีหรือนั่นดี?
บาดัม ทาเเทท เเทท เผาวิหารสังหารผู้คน – นี้ดีหรือนั่นดี?
เมื่อตายแล้วก็ลงไปอีกตายอีกร้อยครั้ง
หรือถ้าเราตายและตายไปด้วยกัน – มันจะเป็นแบบนั่น?
(หมายเหตุ TL: เป็นเพลงสไตล์เกาหลีแบบเก่าที่เปล่งเสียงกลองแทนการตีกลองจริงๆ มันค่อนข้างอธิบายยาก ผมเลยให้ลิงก์นี้แก่พวกคุณ https://en.wikipedia.org/wiki/Samul_nori]https://en.wikipedia.org/wiki/Samul_nori
นายทหารและคนของเราร้อง ฆ่า ปล้นสะดม และลอบวางเพลิง ด้วย ‘koong chuck’ อากาศที่ตื่นเต้นจะพัดผ่านขณะที่พวกเขาเหวี่ยงดาบ และด้วย ‘koong chuck’ อีกอันหนึ่ง พวกเขาส่งเสียงฮัมขณะดับไฟ ทุกครั้งที่ร้องเพลง เลือดจะกระเซ็น
เมื่อเราก้าวขึ้นไปทางเหนือ จังหวะกลองสี่จังหวะก็กลายเป็นที่สนุกสนาน แม่มดเป็นพวกที่สนทรีย์กับเพลงเดินขบวนมากที่สุด และปล่อยกลิ่นอายที่แปลกประหลาดออกมา ขณะขี่ไม้กวาด แม่มดบินต่ำและขับขานประสานเสียงไปด้วย เเละใต้ไม้กวาดของเหล่าแม่มด เหล่าทหารร้องเพลงไปพร้อมกับเหยียบพื้นดิน ขณะที่นักร้องประสานเสียงร้องเพลงวนซ้ำไปมา การเดินทัพของเราดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
เพลงของผู้ลี้ภัยแพร่กระจายไปทางทิศใต้ บทเพลงของผู้รุกรานได้รุดหน้าขึ้นไปทางเหนือ เพลงของผู้ลี้ภัยคือการร่ำไห้ของประชาชน และเพลงของผู้ปล้นสะดมคือความสนุกสนานที่ได้ปล้นประชาชน ผมจึงไม่แยกแยะทั้งสองอย่าง ผมถือว่าพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันที่ลุกโชนจากเปลวเพลิง เราก็กระจายทำนองออกไป
ในขณะที่กองทหารของเราทั้งหมดกำลังดำเนินไปตามจังหวะ ลาพิสเท่านั้นที่ยังคงสีหน้าเย็นชา ลาพิสปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะร้องเพลง
“นั่นมันนิสัยไม่ดีเอาเสียเลย”
เธอพูดได้ถูกต้องเเล้วล่ะนะ
เดือนที่ 3 วันที่ 11
ก่อนวันที่ 13 ก่อนวันสัญญากับบาร์บาทอส
เรามาจ่อที่ต้นคอของศัตรูืที่ปิดล้อมเธอแล้ว
ตย. เพลง ซามุล นอริ
………………………………………………………………………………
ไม่ไหวจริงตอนนี้ไม่รู้จะแปลทำนองเพลงยังไงดียิ่งแปลยิ่งไม่เข้า ปวกกบาล
MANGA DISCUSSION