Dungeon Defence - ตอนที่ 57
♦
ก่อนที่เราจะมุ่งไปยัง ปราการพิสุทธ์ ผมได้ออกสำรวจกองทัพของตัวเองกับ ลาพิส ไปรอบๆ
คนเร่ขายของและพ่อค้าหาบเร่ได้กระจายร้านรวงพื้นที่ตลาดใต้กำแพงปราการ เพื่อหลีกเลี่ยงลมหนาวแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เหล่าผู้คนจึงทำตัวให้อยู่ติดชิดติดกำแพงเพื่อกันลมหนาวให้มากที่สุด ดูราวกับหอยที่เกาะติดกับก้อนหินในห้วงมหาสมุทร ผมเริ่มชักจะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นคาวทะเลเล็ดลอดออกมาจากที่นี่เเล้วสิ ผมพูดออกไป
“เราไปกันเถอะ ผมอยากเห็นวิถีชีวิตของผู้คน”
“ทำไมฝ่าบาทถึงอยากไปอยู่ในมุมมองที่คนต่ำต้อยอาศัยอยู่กัน……?”
ลาพิสก้มศีรษะลง
“ก็เเค่อยากจะเห็นมัน เหตุผลก็เเค่นัน้”
“เราคนนี้เกรงว่าพระโฉมของฝ่าบาทจะถูกทำให้ขุ่นเคือง”
“หยุดจู้จี้แล้วไปเป็นไกด์นำทางได้เเล้วน่า”
ผมตระเวนดูตลาดที่สร้างออกมาแบบง่ายๆ ปีศาจต่างมองมาที่ผมจากระยะไกลๆ เมื่อผมมองพวกเขากลับไปก็ได้เห็นสภาพแต่ละคนล้วนเหมือนผ้าขี้ริ้วและมีคราบโคลนบนใบหน้า
ที่ใต้กำแพง ก็อบลินเด็กกำลังขว้างก้อนหินใส่ศพมนุษย์อยู่ ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังเลียนแบบเกมที่แม่มดเคยเล่นมาก่อน เมื่อผมเข้าไปใกล้ พ่อแม่ของพวกก็อบบลินก็ปรากฏตัวออกมาและรีบพาลูกๆจากไป โอ้ ดูเหมือนโลกของพวกเขาถูกสร้างขึ้นที่นี่ ณ ตอนนี้เเล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสร้างโลกของตัวเองขึ้นในขณะที่ตัวเองเดินทางออกไปไกลบ้าน ภายในวันเดียวได้ด้วยเเหะ เหล่าผู้คนพวกนี้มันช่า……”
“เราควรไปตามหาพวกที่หนีฝ่าบาทไปและจับมันมาสอบสวนไหม?”
“ไม่เป็นไรหรอก. ถ้าจะไปจับมาสอบสวนจริงๆมันจะไม่ทำให้มีคนวิ่งหนีเรามากขึ้นอีกหรอกหรือ? หากพวกเขาวิ่งก็ปล่อยให้วิ่งไป เพราะไม่งั้นเดี๊ยวมันจะกลายเป็นการวิ่งไล่จับทุกคนแบบไม่มีที่สิ้นสุดหรอก? ปล่อยไปอย่างนั้นเเหละ”
ความมีชีวิตชีวาของพวกเขาในการสร้างสถานที่ของตัวเองนั้นไม่น่าพอใจสำหรับผมนัก
ศพมนุษย์ที่ถูกไฟไหม้ห้อยลงมาจากเชือกบนผนัง เเละที่ใต้กำแพงนั้น มีพวกปีศาจกำลังถูร่างกายที่ผอมแห้งของพวกมันเข้าหากันเองอยู่ เนื้อที่ดำคล้ำไหม้เกรียมด้วยเปลวเพลิงของมนุษย์และผิวหนังแห้งบางๆของปีศาจเเทบจะเเยกกันไม่ออก อย่างน้อยก็แบ่งแยกได้อย่างหวุดหวิดด้วยสิ่งที่ตายไปเเล้วและมีที่ชีวิตอยู่ แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนชีวิตและความตายไม่ได้แยกออกจากกันในโลกของพวกเขาเสียทีเดียว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีในข้อเท็จจริงที่ว่าจะแยกแยะชีวิตและความตายออกจากกันยังไงดี
พ่อของผมตายในคุก เพราะอาการหัวใจวาย
เขาพยายามเขียนอะไรบางอย่างสักสองสามเส้นด้วยความต้องการของตนเอง แต่เขาล้มลงก่อนที่จะเขียนให้จบเลยเขียนออกมาได้เเค่บรรทัดเดียว
นี่คือความตั้งใจสุดท้ายของพ่อ
ผมขยำโน้ตและยัดมันลงในกระเป๋า
แม่และพี่น้องรีบมาหาผมและถามว่าพ่อทิ้งพินัยกรรมไว้ไหม ผมตอบพวกเขาอย่างราบเรียบว่า ‘เขาไม่มีเจตจำนงในการทำพินัยกรรมไว้เลย’ เเต่ว่าเขาทิ้งมรดกไว้ เงินหลายสิบล้านวอนจะจะแบ่งๆให้ทุกๆคนเเทน ก่อนที่เดธแมตช์ที่เกิดขึ้นระหว่างงานศพจะได้ผลสรุปออกมา กลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดจบลงด้วยดี
……โอ้ นายน้อย ขอบคุณมาก นายน้อย แม่ของผมพูดยกยอออกมาแล้วก้มหน้าลง พี่น้องต่างเข้ามาเรียกผมว่า ‘พี่ชายๆ’ และคำนับอย่างสุดซึ้งใจกันยกใหญ่ เเม้เเต่คนที่จัดเรื่องราวการลักพาตัวผมอยู่ก็อยู่ท่ามกลางพวกที่เข้ามาขอบคุณด้วย เพราะว่าเป็นครอบครัวแบบนี้ครอบครัวที่พยายามจะฆ่าผม การเรียกผมว่า’นายน้อย’ หรือ ‘พี่ชาย’ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ผมไม่ได้รู้สึกเเย่อะไรที่จะละทิ้งครอบแบบนี้ทิ้งไป ผมหัวเราะออกมา พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะคอยดูว่าครอบครัวที่ไม่มีผมอยู่จะทำได้ดีแค่ไหนกันเชียว……
เช่นนั้น ผมจึงได้พยายามที่จะซ่อนตัวจากโลกใบนี้ แต่โลกอีกใบก็ปรากฏขึ้นมาซะอย่างนั้น ตอนนี้ ผมไม่สามารถบอกได้เเล้วว่าโลกใบนี้มันเป็นบ้า ผมต่างหากที่กลายเป็นบ้า หรือทั้งโลกทั้งผมก็บ้าไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโลกบ้าๆที่จะถูกทำลายหากปล่อยทิ้งไว้ซะอีก และเป็นโลกที่ทุกสิ่ง รวมทั้งปีศาจที่เกาะติดกับผนังอย่างกับหอย ลาพิส และฟาร์เนเซ กำลังจะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ด้วย มีเจตนามุ่งร้ายของบางสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นจริงกำลังชี้นำโลกที่กำลังจะตายนี้ มอบมันให้กับผมผู้ซึ่งได้ตัดสินใจที่จะละทิ้งโลกไปก่อนหน้านี้แล้ว
ผมตั้งคำถาม นี่เป็นประสงค์ของพระเจ้า?. หรือเป็นลิขิตของสวรรค์กันเเน่……? สมมติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องตลกร้ายของพ่อที่สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะทำลายชีวิตผมอีกครั้งหนึ่งน่ะสิ เเต่เพราะว่าจริงๆเเล้วมันไม่มีอะไรทั้งนั้นหรอกทั้ง พระเจ้า ทั้งลิขิตแห่งสวรรค์ หรือแม้แต่พ่อของผมในโลกนี้ เรื่องราวที่เกิดจนถึงตอนนี้มันเลยขึ้นอยู่กับวิธีที่ผมจะใช้มองดูเเละตัดสินเรื่องราวว่าเป็นยังไง
ได้เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ผมจะทำลายล้าง ผมจะกอบกู้โลกของคนพวกนี้ และหลังจากที่ผมได้กอบกู้โลกนี้แล้ว ผมก็ต้องครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจดูแลประชาชน ปกครองประชาชน หรือเป็นเจ้านายผู้อ่อนโยนยังไงดีอีก เเต่สำหรับตอนนี้ การกอบกู้โลกเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่หรือ? แม้ว่าผู้คนหลายแสนคนต้องตายจากสงคราม นั่นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าต้องทำลายล้างโลกทั้งใบใช่ไหมล่ะ?
“ฝ่าบาท ข้างนอกอากาศหนาวเย็น โปรดเข้าไปพักผ่อนด้านในด้วยเถอะ”
ผมหันหัวของผมออกไป ที่ข้างๆ ผม มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจะต้องกอบกู้โลกนี้ไปเสียเเล้ว
“เธอหนาวงั้นเหรอ?”
“เราผู้นี้ไม่เป็นไร เราเคยนอนในที่โล่งในช่วงวันที่อากาศหนาวเย็นมากกว่านี้มาเเล้ว”
“ผมก็ยังปกติดีไม่หนาวหรอก. พวกเราจะไม่แยกจากกันหรอกหรือ เมื่อเราต้องไปทำสงครามในวันพรุ่งนี้? ผมอยากอยู่กับเธอให้นานขึ้นมากกว่าก็ยังดี”
“ฝ่าบาทช่างพูดคำพวกนี้ออกมาได้นะ ลิ้นของฝ่าพระบาทไม่ชักกระตุกตัวเองเพราะรู้สึกรังเกียจตัวเองมั่งหรอ?”
ลาพิส มองมาที่ผมราวกับว่าเธอกำลังดูหนอนแมลง
“บางครั้งเราผู้นี้ก็ตกใจกับพฤติกรรมของฝ่าบาท โปรดทำตัวฉลาดๆมากกว่านี้ด้วย”
“แล้วผมจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเธอออ”
“ฝ่าบาทเเน่นอนอยู่เเล้วว่าต้องกังวลอย่างเเน่นอนเมื่อปราศจากเราผู้นี้”
“เธอไม่กลัวความจริงที่ว่าผมจะตั้งใจมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ว่าเธอจะจากไปแล้วหรือ?”
“……”
ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าตายเลย จงระวังให้ดีและระวังให้มากขึ้นอีกครั้ง หวงแหนชีวิตเธอให้มากกว่าของผม เธอคือส่วนสุดท้ายของจิตใจที่เหลืออยู่ในตัวผม”
ลาพิสถอนหายใจ
“เราคนนี้จะดูแลเเค่ตัวเองเท่านั้น เท่านี้ก็หมดความกังวลของ ฝ่าบาทเเล้ว มันยากนะต่อการควบคุมและการได้ยินที่น่าอึดอัดใจนี้จากฝ่าบาท เเต่ว่าฝ่าบาทก็ต้องพึงระลึกไว้ซึ่งปัญญาในการนำร่างกายของพวกเราเข้ามาเเนบชิดใกล้กันในขณะที่ต้องรักษาจิตใจของเราให้ห่างกันไว้ด้วย”
“ใช่. ถูกต้องแล้วเเหล่ะนะ”
ผมกับลาพิสเดินไปตามกำแพงแล้วเดินไปข้างหน้า
ตอนนี้ผมคิดเรื่องราวของเราสอง จนกระทั่งในตอนนี้ ว่าไม่เคยมีโอกาสได้ไปออกเดทกันบ้างเลย
หากตอนนี้คิดว่าเป็นกรณีออกเดต นี่ก็คงเป็นการออกเดทครั้งแรกของเรา และยังไม่มีสถานที่ใดในโลกเหมือนตอนนี้ เส้นทางการเดทของเราคือกำแพงที่มีซากศพที่ถูกไฟไหม้แขวนคออยู่ นี่เป็นเดตที่สวยงามแบบไหนกันเชียว? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรแมนติกหรือเรื่องโคเมดี้ก็ไม่เกิดขึ้นเลยระหว่างการเดตของเรา
ทิวเขาอันกว้างใหญ่—กำเเพงที่เชื่อมต่อกันเป็นท่อนๆ—เชือกที่ห้อยศพลงมา—และแม้แต่ความตั้งใจที่พ่อของผมที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ เหมือนกับถนนที่ถูกลบไปกลางทาง รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังสั่นสะเทือนอย่างเศร้าสร้อยว่า ทุกคนก็จะจบลงเอยแบบนี้ เนื่องจากสิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่ทริปการออกเดทที่เหมาะกับเราสองคนมากที่สุดเเล้ว ผมจึงหัวเราะให้กับตัวเองเเล้วลาพิสทำหน้าตาประหลาดใส่ผม
ในเส้นทางที่เราผ่านทางมา เหล่ากอบลินเด็กก็กลับรวมตัวกันอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงก้อนหินปากระทบกับกำเเพงอีกรอบ
หลังจากฟังอย่างพินิจแล้ว ผมให้คะแนนรวมของพวกก็อบลิน 3 คะเเนน
มุมบ่นผู้แปล:แหม่สวีทกันจริงจริ๊ง