Dungeon Defence - ตอนที่ 55
▯ผู้พิทักษ์แดนเหนือ มาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก จอร์ส วอน โรเซนเบิร์ก
ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 2 วันที่ 25
เทือกเขาแบล็ค ป้อมปราการพิสุทธ์
“รายงานด่วนจากป้อมปราการทมิฬ! ฐานที่มั่นถูกยึดไปเเล้วครับ!”
ห้องประชุมหยุดชะงักเพราะรายงานของผู้ส่งสาร
นายทหารมองหน้ากันด้วยความร้อนรนใจ มีเพียงข้าเท่านั้นที่มองลงไปที่กระดานหมากล้อมอย่างเงียบ ๆ เนื่องจาก ปราการทมิฬ เเตกพ่ายไปเป็นที่ชัดเจนเเล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าต้องตื่นตระหนก ข้าตำหนิพวกเขาโดยใช้น้ำเสียงเย้ยหยั่นแบบจริงจัง
“โอ้ คู่ต่อสู้หมากล้อมของข้าหายไปไหนเสียเเล้ว”
“อา. ครับท่านเเม่ทัพ”
นายทหารรีบหยิบหมากหินของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยท่วงท่าที่เเลดูร้อนรนที่เเสดงออกมาให้เห็นนี้ เลยเป็นเหตุผลที่เด็กสมัยนี้…… พวกเขาไม่รู้วิธีรักษาท่วงท่าของตัวเองเอาไว้ยังไงดี??
ตั้งแต่ต้นจนจบ นายทหารถูกข้าฉุดกระชากลากถูไปมาหลายรอบ หินสีดำและขาวถูกผสมเข้าด้วยกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ผลที่ได้คือความพ่ายแพ้ของนายทหารโดยจำนวนหมากของข้ามีมากกว่า หลังจากได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ข้าก็พูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะแพ้เพราะตกใจกลัว และอารมณ์เสียเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะแพ้”
“ครับ……”
“อย่าสับสนสุภาพบุรุษ จำนวนทหารรักษาการณ์ที่ถูกประจำการ ณ ปราการทมิฬมีอย่างมากที่สุดเเค่ 200 นาย นั่นไม่ใช่การเเตกพ่ายทั้งหมดเสียที่ไหนมันถูกกำหนดไว้เเต่เเรกแล้วว่าต้องพ่ายศึกใช่หรือไหมล่ะ? เจ้าจะไม่ได้รับในชัยชนะหากไม่จำกัดชิ้นส่วนหมากหินที่จำเป็นต้องเสียสละออกไป? หากเจ้าพยายามปกป้องทุกอย่าง เจ้าจะสูญเสียทุกสิ่งแทน นั่นมันก็เหมือนกันสำหรับสงครามหรือหมากล้อมนี่เอง จงจำสิ่งนี้ให้ขึ้นใจซะ”
“ครับท่านแม่ทัพ”
เหล่านายทหารต่างก้มหัว สายตาของพวกเขาก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ต้องลำบากอีกแค่ไหนกันไอ้เด็กพวกนี้ถึงจะมีความกระฉับกระเฉง เมื่อก่อนข้าต้องเคี่ยวเข็ญทุบตีนายทหารไม่หยุดหย่อนเพื่อ…. และไม่……ให้ เดี๋ยวก่อนนะ หรือเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าอาจจะแก่ตัวลงแล้ว? ข้ากลายเป็นคนแก่ที่ดื้อรั้นและหงุดหงิดง่ายไม่พอใจต่อทุกสิ่งรอบตัวงั้นหรือ? นั่นอาจเป็นไปได้ ข้าเริ่มมีอารมณ์ที่หลากหลายมากขึ้น คนๆหนึ่งอาจจะกลายเป็นคนโง่ตามอายุได้ใช่มั้ย ข้าควรจะก้าวข้ามผ่านเรื่องนี้ไปโดยเร็ว……ยกเว้นหลังจากที่ข้าฆ่า จอมมารดันทาเลี่ยน ลงไปแล้ว
“ผู้ส่่งสาร. จำนวนศัตรูมีเท่าไหร่? จอมมารดันทาเลี่ยน ยึด ปราการทมิฬ ด้วยวิธีการใด? บอกทุกอย่างที่รู้มาให้หมด”
“ท่านเเม่ทัพ หมอกหนาทึบจนทัศนวิสัยย่ำเเย่ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอกหนาทึบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะทำให้ยังไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์นี้ได้ รู้สึกเหมือนกับว่าศัตรูมีทหารประมาณ 2,000 นาย แต่ก็รู้สึกเหมือนมีทหารถึง 4,000 นาย เเต่ที่แน่นอนที่สุดไม่ใช่น้อยกว่า 1,000นาย เเละมากกว่า 5,000 นายการมองโลกในแง่ดีเป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะหมอกลงจัดมากๆผมได้ยินเสียงดินปืนระเบิดในระยะไกลแล้วกองกำลังศัตรูกก็บุกเข้ามา เเต่ทั้งนี้ก็ไม่เเน่ใจว่ากองกำลังของศัตรูบุกเข้ามา จะเรียกกองกำลังได้ไหมผมไม่อาจใช้ความเห็นส่วนตัวมาตัดสินเเละบอกท่านได้เลย ”
ระหว่างที่ตกตะลึง ข้าก็พึมพำ
“ข้าไม่รู้ว่าใครเลือกเจ้าเป็นผู้ส่งสาร แต่เจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ผู้ส่งสารก้มหัวลงราวกับว่ารู้สึกเป็นภาระผูกพันทางหน้าที่
“ขอบคุณท่านมาก. นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับคำชมเช่นนี้”
“เจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา เเต่หลังจากที่ข้าได้ยินว่าเจ้ามองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกข้าก็ชักเริ่มสงสัยว่าเจ้าหนีไปก่อนคนเเรกเลย เจ้าหนีออกมาทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นใช่ไหม?”
“อันตัวผมที่เเสนต่ำต้อยคนนี้มีแม่แก่ชราที่บ้านซึ่งต้องคอยดูแล ผมจึงรู้สึกราวกับว่าไม่ควรตายอย่างไร้ค่า……”
“นำตัวมันไปเฆี่ยน”
ทหารจับผู้ส่งสารและจากไป ผู้ส่งสารร้องครวญครางว่า ‘ท่านเเม่ทัพ ท่านเเม่ทัพพพพพพพ…!’ แต่แน่นอน ข้าไม่ได้สนใจเขาเลย ในระหว่างรอบที่สองของหมากล้อมกับนายทหาร ผู้ส่งสารอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหมอบกราบลงไป
“รายงานด่วนจากป้อมปราการทมิฬ! ฐานที่มั่นถูกยึดแล้วครับ!”
“ข้ารู้อยู่แล้ว คนส่งสารบอกจำนวนพวกมันมาและมันใช้วิธีการใดเข้ายึดป้อมปราการ บอกทุกสิ่งที่รู้มา
คนส่งสารพูดขยายความเกินจริงแบบน้ำไหลไฟดับ
“ใช่. “ใช่. กองกำลังของศัตรูเป็นเหมือนการฟื้นคืนชีพของปีศาจโบราณที่น่าพรั่นพรึง กองทัพที่ปรากฎตัวผ่านหมอกที่ปกคลุมไปด้วยหิมะทั้งหมดประกอบด้วยโทรลล์และโอเกอร์ ทำให้รู้สึกเหมือนมียักษาเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ ขณะที่ทหารที่อยู่เคียงข้างเรากลัวจนไม่ได้สติ มังกรตัวหนึ่งบินมาที่เราและพ่นไฟใส่ แม้ว่ากองกำลังของเราจะต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง กองกำลังทหารของเราเสียเปรียบมากเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถยืนหยัดได้แม้แต่ครู่เดียวและพ่ายแพ้ในที่สุด”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้ส่งสาร นายทหารก็กระซิบกัน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมคิดว่าเราควรถอยทัพออกก่อน”
“ถึงเราจะล่าถอยออกไป มังกรก็จะตามพวกเรามาทันทีเเน่และเราจะกลายเป็นเนื้อย่างให้มันกินเท่านั้นเเหละ ดังนั้นเราควรนั่งที่นี่และตายอยู๋ตรงนี้ไม่ต้องไปไหน”
“มันเป็นเเค่เรื่องเล่าในตำนานมากกว่าจะเป็นจริงเเละตวามน่ากลัวที่พูดออกมาเมื่อกี้เเท้จริงมันก็เป็นเเค่เรื่องเเต่ง
“……”
ข้าหัวจะปวด
“……ไอ้ปัญญาอ่อน พูดตามความเป็นจริงสิวะ ที่ต้องออกพูดมาทั้งหมดหลังจากที่ได้เห็นมันจริงๆเเล้วไอ้โง่ สิ่งที่เเกทำคือพล่ามบลาๆหลังจากเห็นภาพลวงตาหรือเเก มโนออกมาเองกัน? มังกรได้สูญพันธุ์ไปหลายศตวรรษเเล้ว แต่เเกคิดหรอว่า จอมมารดันทาเลี่ยน จะมีมังกรเเละสามารถนำมาใช้งานที่นี่ได้จริง?
คนส่งสารขมวดคิ้ว
“บอกตามจริง ตอนที่ป้อมปราการถูกโจมตี ผมกำลังงีบหลับอยู่ในค่ายทหาร ก็เลยไม่แน่ใจจริงๆว่าสิ่งที่ได้เห็นเป็นความจริงหรือเป็นภาพลวงตากันเเน่”
“เเกกำลังตีความความฝันในตอนนี้ เเล้วคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ทหารได้ยังไงวะ? และเเกยังอ้างเอาความฝันนั้นมาเป็นรายงานอีกงั้นเหรอ”
“ผมคนนี้เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเเน่ๆครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นภาพมายาเเน่ๆเพราะมันเหมือนจริงเกินไป ความเชื่อของผมมันไม่สามารถสร้างโลกมายาขึ้นมาได้จริงๆหรอกนะครับ? เพราะผมเชื่อว่าได้เห็นมังกรแล้วจริงๆ มังกรนั้นต้องมีอยู่จริงเเน่ๆ”
“งั้นข้าก็เชื่อเหมือนกัน ข้าเชื่อว่าเเกจะถูกลิขิตให้ตายในไม่ช้านี้ ข้าเดาว่าเจ้าจะต้องตายเเน่ๆ ”
“เอ่อ……”
คนส่งสารเอียงศีรษะของเขา
“ถึงท่านจะฟังดูสมเหตุสมผลเเต่มันก็แปลกๆไปหน่อยนะครับ”
“สิ่งแปลกๆคือหัวของเเกโว้ยย”
ข้าคำราม
“ใครก็ได้ลากไอ้โง่นี้ออกไปและลงโทษเเม่งซะ”
ทหารยกผู้ส่งสารขึ้นมาและลากเขาออกไป ได้ยินเสียงคนถูกตีจนเนิ้อหนังเเตกมาแต่ไกล ขณะที่ข้ากำลังจดจ่ออยู่กับกระดาน หมากล้อม และวางหมากหินลงไป ผู้ส่งสารคนที่สามก็รีบเข้ามา ผู้ส่งสารรีบมาคุกเข่าลงทันทีที่เขาเข้ามาถึงห้องประชุม
“ท่านเเม่ทัพ!”
“……ข้าจะไม่คาดหวังอะไรอีกเเล้ว แค่พูดในสิ่งที่ต้องการออกมา เเน่ล่ะ มันอาจจะดีกว่าที่จะไม่พูดอะไรเลย จงพูดในสิ่งที่ได้เห็นได้ยินออกมาซะ”
“ท่านเเม่ทัพ!”
ผู้ส่งสารตะโกนตั้งแต่คำเเรกที่เริ่มพูดจนไปถึงตอนรายงานจนจบ
“ ครับ ปราการทมิฬ ได้พังทลายลงโดยปีศาจร้ายโดยกำลังศัตรู! กองทหารของเราลดการป้องกันลงจนหละหลวมมากเกินไปเพราะคิดว่าศัตรูจะไม่บุกเข้ามาในตอนที่หมอกหนาขนาดนี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความประมาท! กองกำลังของศัตรูใช้แม่มดมากกว่า 20 คน ไว้ข้างหน้าและถล่มกำแพงของเรา และในขณะที่ทหารของเราวิ่งกันไปมาอย่างสับสน กองทหารของศัตรูก็ปีนขึ้นไปบนกำแพง ทหารเราพยายามดิ้นรนสู้กลับไปเเละเเต่ก็มีส่วนใหญ่หนีออกไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในบรรดาผู้ที่หลบหนี จะหนีไม่พ้นและถูกจับตัวไว้ได้ ท่านเเม่ทัพ! ทหารราบของศัตรูประกอบด้วยคนแคระล้วนๆ จำนวนของพวกเขามีประมาณ 3,000 ถึง 4,000 นาย ดูเหมือนขวัญกำลังใจของพวกมันจะเปี่ยมล้นออกมาจนเห๋นได้ชัด พร้อมเพรียงไปกับอาวุธครบมือครับ!”
เมื่อรายงานเสร็จแล้ว ผู้ส่งสารก็ก้มหน้าลงไป มันเป็นการเคลื่อนไหวดูลื่นไหลอย่างแท้จริง นายทหารลดเสียงและพึมพำคุยกัน
“……มีบางอย่างแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าทหารคนนี้รายงานได้อย่างถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องโกหกเสียมากกว่า”
“นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่ากฎของเด็กเลี้ยงแกะ หากสองคนแรกโกหก ไม่ว่าคนที่สามจะพูดความจริงด้วยวาจาสิทธ์เพียงใด มันก็จะดูเหมือนเป็นเรื่องโกหกไปทั้งหมดอยู่ดี นี่ก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่สำคัญจริงๆจะต้องมาก่อนเป็นคนเเรกหรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่สองเสมอ”
“ผมไม่เคยได้ยินกฎที่มีชื่อเเบบนั้นมาตลอดชั่วชีวิตของผม ท่านแน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่กฎที่ท่างสร้างขึ้นมาแบบมั่วๆเสียเอง?
ข้าบอกพวกเขาเเล้วว่าอย่าตื่นตระหนกและผ่อนคลายความตึงเครียดเข้าไว้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปล่อยหัวไปตามอาร์มหมดแล้ว
ข้าถอนหายใจแล้วพูด
“ท่านสุภาพบุรุษ ฟังให้ดี ตามรายงานจากหน่วยสอดแนมของเรา กองทัพศัตรูมีทหารประมาณ 3,000 ถึง 4,000 นาย จำนวนเท่านี้ไม่ใช่กองกำลังหลักของกองกำลังพันธมิตรจอมมารอย่างแน่นอน เป้าหมายของพวกมันคือการดึงความสนใจของเราด้วยการใช้หน่วยโจมตีแยกออกมาต่างหาก จงอย่ากระวนกระวายใจและอย่าหูตามืดบอด”
“ครับผม ท่านแม่ทัพ”
พวกนายทหารก้มศีรษะลงอย่างสุภาพเเละข้าก็พูดต่อ
“ท่านสุภาพบุรุษ จงลาดตระเวนกำแพงให้ดีและจงสร้างความมั่นใจให้แก่เหล่าทหารของเรา หากทหารของเราหนาวสั่นเพราะเหมันต์ มือของพวกเขาจะด้านชาจนจับอาวุธไม่ได้ เปลี่ยนเวรผลัดหมุนเวียนหน้าที่กันบ่อยๆ และเตรียมน้ำร้อนภายในห้องพักอย่างสม่ำเสมอ”
ปราการทมิฬ ถูกยึดไป แต่แล้วยังไงล่ะ? มันไม่ทำให้เกิดปัญหาในกลยุทธ์ที่ข้าวางแผนไว้เเล้วหรอก เป็นการดีที่จะตัดสินว่าทุกอย่างดำเนินไปตามเเผนที่วางไว้เเล้ว ข้าครุ่นคิดขณะเตรียมเขียนรายงาน
ตอนนี้ จอมมารดันทาเลี่ยน คงจะผ่าน ปราการทมิฬ และเดินทัพเข้าสู่ทางผ่านภูเขาลูกต่อไปเเล้ว เส้นทางการส่งเสบียงต่อจากนี้ต้องลำบากเป็นเเน่ นอกจากนี้ ป่าที่อยู่ตรงนั้นยังเป็นผืนป่าใหญ๋ที่เเผ่ขยายออกไปโดยมีเส้นทางเดินทัพเป็นตัวเเยกป่าออกจากกัน เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในการซุ่มซ่อนโจมตี ถ้าพวกมันพยายามจะเดินเข้าไปอย่างไร้ความคิด แน่นอนที่สุด คนที่ต้องตายจะต้องเป็นฝ่ายจอมมารเเน่ๆ
ทางเดินบนภูเขานี้เหมือนเฉกเช่นเดียวกับกระดานหมากล้อม ป้อมปราการทมิฬอยู่ด้านบน ขณะที่ป้อมปราการพิสุทธ์อยู่ด้านล่าง และทางผ่านภูเขาทั้งหมดที่แผ่ออกไปเป็นหน้าสนามรบ แนวป้องกันฐานที่มั่นเพียงแนวเดียวเพิ่มขึ้นเป็นสองเเนว แต่สนามรบก็ขยายออกไปจากที่สูงและที่ต่ำ แน่นอน บรรพบุรุษที่สร้างกำแพงเหล่านี้ไว้ ณ ที่แห่งนี้จะต้องมีหูตาการมองที่กว้างไกลมากๆเป็นเเน่เเท้
…แต่สิ่งที่ข้ากังวลจริงๆตอนนี้ไม่ใช่ด้านหน้าของเรา ไม่มีปัญหาอันใดที่อยู่ตรงหน้าเราเเล้วในตอนนีั
ถ้ามีอะไรที่ทำให้มันยุ่งยากที่อยู่ข้างหลังเรา ก็คือเจ้าหญิงเอลิซาเบธจะจัดหาเสบียงให้เราอย่างถูกต้องหรือไม่ที่ข้ากังวลอยู่ต่างหาก……
ราชาแต่งตั้งข้าเป็นแม่ทัพสูงสุดแห่งกองทัพภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม เหล่าขุนนางของจักรวรรดิได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าหญิงจักรพรรดิไปเเล้ว ไม่มียศฐาหรือศักดิ์ศรีใดจากหนังสือรับรองการแต่งตั้งของราชาที่รับรองข้าได้ นี่มันจึงเรื่องน่าเศร้าของการเเต่งตั้ง้ข้าขึ้นมานี้
เจ้าหญิงจักรพรรดิ์ถือว่าข้าเป็นคนน่ารำคาญ มีความเป็นไปได้มากเกินพอที่นางจะส่งเสบียงมาให้ล่าช้า ข้าต้องขัดขวางจอมมารที่อยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกัน ข้าก็ต้องคอยระเเวงเจ้าหญิงจักรพรรดิที่อยู่ข้างหลังอีก มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร สำหรับตัวข้าเองที่ต้องอยู่ในสงครามซึ่งถูกห้อมล้อมทั้งสองด้านแบบนี้
ข้าจำคำที่เจ้าหญิงจักรพรรดิพูดกับข้าได้
— เซอร์โรเซนเบิร์ก นายไม่คิดหรือว่าการพูดคุยที่พูดใส่กันเเละกันควรจะย่อเป็นคำง่ายๆ ได้ใช่ไหม?
— ฮับส์บวร์กจงมอบศรัทธาเพียงครั้งเดียว”
“……”
ภาพของเจ้าหญิงจักพรรดิ์ลอกผิวของจระเข้ออกมาทำให้ข้านึกขึ้นได้ เหงื่อเย็นไหลลงมาที่หลังคอ การประมาทเจ้าหญิงจักรพรรดิไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักแน่ๆ
ต่อจากนี้ไป เจ้าหญิงจักพรรดิ์จะควบคุมอำนาจของจักรวรรดิโดยสมบูรณ์ ความคิดที่จะยอมจำนนต่อเจ้าหญิงจักรพรรดิเพื่อชีวิตที่ดีกว่า และ ความคิดที่จะไม่ยอมก้มหัวให้กับเจ้าหญิงจักรพรรดิเพราะจากร่างกายของข้านี้ได้ให้คำสัตย์ว่าจะจงรักภักดีต่อองค์ราชาไปแล้ว ได้ตีกันอยู่ในหัวข้า อดีตที่ผลักดันข้าให้เป็นดั่งทุกวันนี้ และปัจจุบันที่ทำให้ข้าต้องเป็นคนที่น้อบน้อม ข้าจึงกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวรบที่จ้องมาที่เราจากด้านหลังมากกว่ากองกำลังของศัตรูที่เข้ามาใกล้เราจากข้างหน้า
บรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของเราได้ยกกำแพงปราการสองป้อมนี้ขึ้นมาและปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกเหมือนว่าเสรีภาพทั้งหมดในโลกใบนี้เป็นเสรีภาพของศัตรูและเสรีภาพของเจ้าหญิงจักพรรดิ์เป็นคนหยิบยื่นมาให้เสียมากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ข้าจะต้องนอนพักผ่อน ข้าผ่อนคลายตัวเองลง ณ แห่งนี้ด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ในที่สุดข้าจะต้องสามารถเอาชีวิตรอดไปได้
อืม”
ข้ากลืนน้ำลายลงไป ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจรู้สึกเหมือนมีอะไรติดขัดที่คอ ข้าจึงเริ่มเขียนรายงาน
– เดือนที่ 2 วันที่ 25 กองกำลังของศัตรูได้เข้ายึด ปราการทมิฬไปแล้ว กำลังทหารศัตรูประมาณ 3,000. นาย ผู้บัญชาการคือ จอมมารดันทาเลี่ยน กองกำลังหลักส่วนใหญ่ของเราประจำการอยู่ใน ปราการพิสุทธ์ มันเป็นปราการที่ได้รับการป้องกันความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ เรามีเสบียงเพียงพอและมีอาวุธเพรียบพร้อม อีกทั้ง ม่านหมอกจะลงมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม
และด้วยความตั้งใจที่จะเเจ้งเตือนเจ้าหญิงจักพรรดิ์ ข้าก็เพิ่มอีกบรรทัดข้อความลงไปอีกหนึ่งบรรทัด
– ภูเขานั้นปลอดภัยดี
……ดีเเล้ว. แม้แต่องค์หญิงจักรพรรดิก็ควรสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้
หลังจากส่งรายงานให้คนสงสาร ข้าก็มองออกไปนอกหน้าต่าง จอมมารจะบุกผ่านหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์
มาเถอะ แดนทาเลียน มาเร็วๆเข้า. ข้าอดใจรอตัดคอเจ้าเพื่อสนองความแค้นนี้ไม่ไหวเเล้ว……
มุมบ่นผู้แปล: ทหารหนีทัพมันก็มีทุกที่ล่ะน้า แต่ไม่คิดว่าจะหน้าด้านขนาดนี้ เเล้วก็ตอนหน้าเป็นตอนสั้นๆ น่าจะได้ลงไวหน่อยนะครับ