Dungeon Defence - ตอนที่ 40
จอมมารที่อ่อนแอที่สุด อันดับ 71 ดันทาเหลียน
ปฏิทินจักวรรดิ: ปี 1505 เดือน 12 วันที่ 6
กองทัพมนุษย์ได้เคลื่อนไหวอย่างจริงจังเเละมันดูน่าสงสัยในสายตาของปีศาจ ข่าวลือเรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปในโลกปีศาจ มันเป็นข่าวลือผสมกับความสงสัย
Ο
— ดูเหมือนว่าพวกนั้นตั้งใจจะข้ามภูเขาและเข้าโจมตีพวกเรา
— พวกมันกล่าวหาพวกปีศาจคนที่คอยแพร่ระบาดโรคภัยสีดำ จึงกังวลว่าพวกมันอาจจะใช้เหตุผลนี้เพื่อรวบรวมกองกำลังพลกลายเป็นกองทัพขนาดใหญ่ก็ได้
Ο
บนท้องถนน ผู้คนไม่สามารถเเยกเเยะเเละบอกได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นเรื่องโกหกได้กันเเน่
ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานบอกว่าพวกมนุษย์ได้สร้าง โรคภัยสีดำ ขึ้นโดยมีเจตนาที่จะฆ่ามนุษย์ได้เเพร่กระจระจายไปทั่ว มีคนทักท้วงว่า ‘นี่มันเป็นเรื่องเกินจริงไร้สาระ’ พวกเราไม่ใช่พระเจ้านะ ที่จะมาสร้างโรคระบาดได้’ และไม่สนใจว่าจะเป็นข่าวลือจริงหรือเท็จ แต่ถึงแม้มนุษย์จะไม่ได้สร้างโรคภัยสีดำขึ้นมาจริงๆ แต่พวกเขายังเชื่อว่าพวกปีศาจได้สร้างมันขึ้นมา เเต่ว่าก็มีความจริงบางอย่างอยู่นิดหน่อยที่ว่าต่อจากนี้ไปควรจะต้องระวังตัวกันไว้ให้ดี. พวกมนุษย์นั้นทำได้เเค่กล่าวโจมตีปีศาจต่อไป พวกเขาทำเเม้กระทั่งกล่าวหาได้เเม้กระทั่งประเทศที่อยู่ข้างเคียงของตน แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ พวกมนุษย์นั่นโกรธทุกสิ่งอย่างเเม้พระเจ้าแต่ความโกรธนั่นก็ไม่ช่วยให้มีความหวังขึ้นมา พวกมนุษย์ที่น่าเศร้าพวกนี้ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดนั่นคือการกล่าวหา มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะปลุกระดมความไม่พอใจต่อปีศาจ เนื่องจากราชาของพวกเขา จักรพรรดิของพวกเขา และขุนนางของพวกเขาไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของประชาชน พวกเขาจึงโยนความรับผิดชอบความผิดทั้งหมดไปยังปีศาจโดยไม่คำนึงพึงระวัง
ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเรื่องนี้จะมีทางออกเเละหาวิธีการจัดการที่ดีที่สุดได้
มันเป็นสิ่งที่จอมมารตัดสินใจไปเเล้ว ไม่ใช่หน้าที่พวกคนชั้นรากหญ้า…… นั่นเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่อันอ้างว้างที่ไม่มีคำตอบ ผู้คนมาชุมนุมกันทุกวันและพูดคุยเเต่เรื่องเดิมซ้ำๆ ผมได้ส่งสายลับออกไปกระจายเเละเข้าควบคุมกระแสของข่าวลือ
เมื่อข่าวลือที่ไม่มีมูลและข่าวลือที่เป็นจริงได้ปะปนกัน เนื้อหาของมันก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ที่สำคัญจริงๆคือการกระจายตัวของข่าวลือต่างหาก
‘เมื่อนานมาแล้ว มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อนมาโดยตลอด เราควรกำจัดพวกมันให้หมดก่อนที่พวกมันจะพยายามมายุ่มย่ามกับพวกเรา’ คำพูดเหล่านี้ดังกึกก้องกังวานไปไกลและเหนือสิ่งอื่นใด
เสียงจากใจกลางพลาซ่าไปถึงถนนในตลาดและตรอกซอกซอย จนในที่สุดเสียงเรียกร้องก็หลุดดังเข้ามาในวังของจอมมาร
Ο
—ฆ่าพวกมนุษย์ให้หมด!
Ο
เกิดเสียงดังในห้องประชุมขึ้น
จอมมารได้มารวมตัวกันในวังของผู้ว่าการนิฟล์เฮมและตะโกนตามลำดับขั้นของจอมมาร จอมมารระดับต่ำได้ส่งเสียงดังขึ้น เเต่ในขณะที่จอมมารระดับสูงยังคงนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าจอมมารระดับสูงกำลังรอคอยเสียงส่วนใหญ่ที่ออกมาจากพวกจอมมารชั้นล่าง
Ο
— ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว คิดได้ยังไงมาบอกให้เคลื่อนพล?
— ถึงเเม้การยกทัพในฤดูหนาวของเราอาจจะยากลำบาก แต่มันจะยากขึ้นไปอีกสำหรับมนุษย์ที่อ่อนแอพวกนั้น นั่นเเหละที่เป็นเหตุว่าทำไมฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะบุก เเละดีขึ้นไปอีกเพราะว่าแม่น้ำได้ถูกแช่แข็งเเล้ว ดังนั้นตอนนี้จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นกองทัพของพวกเราได้อีกต่อไป
— ทหารของเราทุกคนจะถูกแช่แข็งจนตายก่อนจะข้ามภูเขาได้
— นักรบของเรามีความกล้าหาญ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ล้มลงท่ามกลางลมหนาว!
– ถูกเเล้ว!
– เธอเห็นนั่นไหม? พวกฝ่ายทุ่งราบ พวกมันทำได้เเค่เห่าฮ่องฮ่องเหมือนหมาก่อนที่จะเรียนรู้วิธีคิดสะอีก
— ข้าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ข้ารู้วิธีทุบตีไอ้พวกลูกหมานิสัยไม่ดีให้มันร้องเสียงอย่างหมา
– ตรงนั้นน่ะอยู่เงียบๆได้เเล้ว
Ο
นี่มันไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเราต้องออกไปทำสงคราม เราจะทำที่ไหนและเมื่อไหร่? ถ้าพวกเราจะไม่ไปทำสงครามแล้วเหตุใดที่ทำไมเราถึงจะไม่ไปทำสงครามล่ะ? เเล้วพวกเราจะจัดการหาเสบียงกันยังไง? ไหนจะเรื่องงบดุลของทหารอีก……?
เสียงต่างๆยังคงคุกกรุ่นราวกับว่าถูกเเผดเผาอยู่ใต้กองควัน หลังจากจอมมารระดับต่ำโต้เถียงกันเป็นเวลานาน เสียงต่างๆก็รวมตัวกันทีละเสียงทีละเสียงร้อยเรียงกันทีละคนจนในที่สุดพวกมันก็กลายเป็นหอคอย ราวกับรูปร่างของโครงสร้างของเครื่องมือเเก้ปัญหา 5W1H และในที่สุดก็ทำให้ได้คำตอบซึ่งสอดคล้องกัน ดูเหมือนว่าจะเหลือเพียงผู้นำของแต่ละฝ่ายจะต้องการโต้เถียงกันในขณะที่อยู่บนยอดหอคอยซึ่งบนนั้นหมอกควันได้มารวมตัวกันอยู่อย่างชัดเจน
(ผู้แปล)หมายเหตุ 5w1h คือเครืองมือการเเก้ปัญหาประกอบด้วย
1# What : อะไร?
2# Who : ใคร?
3# When : เมื่อไหร่
4# Where : ที่ไหน
5# Why : ทำไม
6# How : อย่างไร
Ο
— พวกเรามารวมตัวกันที่นี่เพื่อพูดคุยกันใช่ไหม? หรือเรามารวมกันที่นี่เพื่อหุบปากของเรา? เมื่อพวกเขาหมดเรื่องพล่ามกันแล้ว พวกนั้นจะนิ่งเงียบแม้ว่าพวกเขาต้องการจะพูดวกไปวนมาเรื่อยๆไม่หยุดก็เถอะ
— แม้ว่าทหารของเราสามารถทนต่อความหนาวเย็นในฤดูหนาวได้ด้วยการพึ่งพาพลังใจ เเต่ท่านจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้เสบียงมา? แม้ว่าเราจะได้เสบียงจากการเเจกจ่ายและการปล้นสะดม แล้วท่านมีแผนจะรับมือกับโรคระบาดได้ยังไง? พวกท่านทุกคนอาจจะกล้าหาญ แต่นั่นก็เป็นเพียงเเค่คำพูดที่มั่นอกมั่นใจเต็มที่เสียเหลือเกิน
– เเกกำลังพูดถึงอะไร พูดให้มันง่ายๆชัดเจนมากกว่านี้สิ
— หากมีคนที่สามารถเข้าใจคำศัพท์ยากๆได้ ก็จะมีคนที่ไม่เข้าใจคำที่ง่ายสุดๆได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาของฉัน เเต่นี่เป็นปัญหาทางสมองของคุณที่ไม่สามารถเเยกเเยะคำพูดง่ายๆได้ ถ้าจะพูดให้พูดง่ายๆกว่านี้หน่อยมันคงเป็นปัญหาทางบุคลิกภาพของคุณละมั้ง
— ตอนนี้ข้าพอเข้าใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อยเเล้ว
— พวกเจ้าสองคนที่อยู่ตรงนั้น เงียบได้เเล้ว
—เมื่อตะกี้เเกยังบอกให้พวกเราพูดเรื่อยเปื่อยได้อยู่เลย เเต่ตอนนี้ดันบอกให้พวกเราเงียบได้เเล้วไม่เข้าใจจริงเลยผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนเอาเเต่ใจริงๆ
—เข้าใจได้ถูกเเล้วหล่ะเขาบอกให้พวกเราหุบปากก็เพื่อเขาจะได้พูดจ้อเองคนเดียวน่ะสิ คนอะไรนิสัยไม่ดีเลย เฮ้ฉันยังเป็นจอมมารอันดับที่ 12 อยู่นา เซปาร์ นั่นนายเป็นจอมมารอันดับที่เท่าไร่น่ะ?นายกับฉันใครอันดับสูงกว่ากัน?
—ข้าผิดเองเเหละ เจ้าพูดได้ถูกต้องเเล้ว ข้าก็ไม่เเน่ใจที่จะห้ามคนอื่นๆหรอก เเต่ว่าสิตรีกับเลเบธ ควรจะต้องเงียบได้เเล้ว หัวหน้าของฝ่ายขุนเขา เเละ หัวหน้าฝ่ายผืนราบ กำลังจะสนทนากันถ้าไม่หยุดเดี๊ยวมันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายปวดเศียรเวียนเกล้ากันไม่จบสิ้นเสียที.
— ผู้ชายคนนั้นเพิ่งบอกว่าข้าคนนี้โง่อย่างงั้นเหรอ?
— โล่งใจจริงๆนะที่เเกยังพอมีสมองตีความหมายได้เพราะความหมายมันไม่มีอย่างอื่นหรอก?
– พวกคุณกำลังพูดอะไรกันอยู่ ใช่เรื่องที่จะพูดไหม?
—อย่าสะเออะมาเสือก
การประชุมดำเนินไปตลอดทั้งคืน
เนื่องจากความคิดเห็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นไปในทางเดียวกันคำพูดต่างๆมักจึงมารวมๆกันราวกับควันบุหรี่ครู่หนึ่งก่อนที่จะจางหายไป ควันเเห่งข่าวลือที่บาร์บาทอสและผมได้สร้างขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงได้เดินทางผ่านภูเขา ข้ามผ่านพรมแดน และตอนนี้นั้นมันได้มารวมตัวกันในห้องประชุมของจอมมาร ทัศวิสัยของพวกเขาถูกบดบังทำให้มองไม่เห็นยอดของปัญหา ไม่มีวี่แววว่าใครจะสามารถเห็นถึงเเละพูดถึงปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่หลังหมอกนั้นได้ จอมมารระดับสูงได้เเต่นั่งเงียบ ๆ นานกว่า 6 ชั่วโมงเเล้ว
“พอแล้ว.”
หัวหน้าเผ่าแห่งขุนเขา จอมมาร ไพ่ม่อน ได้เอ่ยออกมา
“ช่วยหยุดกันก่อน. ทุกๆคนไม่ปวดหัวกันบ้างหรอ? หญิงสาวผู้นี้รู้สึกชวนหัว เพราะว่าตอนนี้ไม่มีใครสนใจจะฟังคำพูดของผู้อื่นเลย การสนทนากันนี้ไม่สามารถถ่ายทอดใจความออกไปได้เเล้ว เนื่องจากการสนทนาไม่สามารถแบ่งปันกันพูดได้ จึงไม่สามารถพิจารณาการสนทนานี้ได้ และเนื่องจากพิจารณาไม่ได้ จึงไม่สามารถทุ่มเทความคิดได้เเละจะกลายเป็นการปิดกั้นทางความคิดไปเเทน
ทั่วห้องประชุมตอนนี้ก็ได้เงียบลง
เหล่าจอมมาร ที่กำลังฟาดปากกันจนถึงตอนนี้ได้หุบปากตัวเอง หลังจากการพูดของไพม่อนจอมมารอันดับ 9 ไม่ใช่ว่าพวกเขาจำใจที่จะเงียบ เเต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเกรงกลัวไพม่อนมากกว่าที่จะกล้าหือกับนาง
ก่อนหน้านี้ ไพม่อน พยายามกล่าวหาว่าผมได้ก่อคดี ณ ที่นี่ และพบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แม้ว่าชื่อเสียงของ ไพม่อน จะลดลงเพราะเหตุการณ์นั้น แต่เธอก็ยังคงเป็น ผู้สูงส่งในหมู่จอมมารอยู่ดี ผู้คนต่างเรียกเธออว่าไพม่อน และพรรคพวกเศษเดนของเธอก็เรียกเธอว่าฝ่ายขุนเขา
จอมมารที่อยู่ฝ่ายขุนเขามีปราสาทที่สร้างในส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาเพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เข้าใกล้พวกเขาได้ ส่งผลพื้นที่ของ ฝ่ายขุ่นเขา มีชื่อเสียงด้านการบุกเข้าโจมตีได้ยาก ที่นั่นเลยกลายเป็นพื้นที่ให้กองทัพปีศาจปกครอง เป็นที่ๆสงบๆโดยธรรมชาติ ถึงเเม้ทางเข้าออกจะมีความลำบากนิดหน่อย
จอมมารของฝ่ายขุนเขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำสงครามกับกองทัพมนุษย์ สำหรับพวกขุนเขา การมุดหัวอยู่ในกระดองคือความไม่ประมาทสินะ พวกนั้นเลยคิดว้าสงครามจึงกลายเป็นเรื่องของพวกความชั่วร้ายในทันที ไพม่อน และพวกที่เหลือของเธอได้กล่าวว่าที่พวกปีศาจมีความผาสุขได้นั้นก็เพราะมีเธอเเละลูกน้องนี่เเหละ ที่ปกป้องความสงบสุขของขุนเขาเอาไว้
ถึงยังไงก็เถอะ เพื่อให้ตรงกับสมมติฐานของโสกราตีส ชื่อของ ฝ่ายขุนเขา (Mountain Faction) มีต้นกำเนิดมาจากบางสิ่งที่อุดมสมบูรณ์บางสิ่งบางอย่างนั้นเป็นที่มาของ ขุนเขา (Mountain Faction) เพราะหน้าอกของ ไพม่อน ใหญ่โตราวกับสิงขร(คือลือ) นมใหญ่ๆของเธอปกป้อง ได้ช้วยเหลือปกป้อง จอมมารตนอื่นๆเเละพวกนั้นก็ ได้่ยอมจำนนต่อสัญชาตญาณความเป็นมารดาของเธอ โสกราตีสเรียกไพมอนและพวกที่เหลือของเธอว่าเป็นผู้นำฝ่าย อกใหญ่
สวัสดี-.Bonjour—.
ไwม่อน พูดขึ้น
“ไหนล่ะหลักฐานที่ว่ากองทัพมนุษย์จะบุกดินแดนของพวกเรา”
—……
“ตัวเรานั้นยังเห็นว่าไม่มีหลักฐานใดๆเลย หากไม่มีหลักฐานว่าฝ่ายของพวกมันจะโจมตีฝ่ายเราก่อน เเลเหตุใดเราจึงต้องโจมตีพวกเขาก่อนเล่า?”
Ο
—……
Ο
“ทุกท่าน. พวกเราต่างเหน็ดเหนื่อยจากภัยพิบัติโรคระบาด แทนที่จะค้นหาหลักฐานที่มันไม่มีอยู่จริง เราควรจัดหาทรัพยากรที่ขาดเเคลนมาเกื้อหนุนทำให้ประเทศมั่นคงยิ่งขึ้นมากกว่านะ”
“ว้าว-. เฮัะ เฮะ เฮ้ ดูอีตัวนั่นทำท่าทำทางพูดเข้าสิ?”
บาบาร์ทอส หัวหน้ากลุ่ม ฝ่ายผืนราบ พูดขัดขึ้น
บาบาร์ทอส และกลุ่มผู้ติดตามของเธออาศัยอยู่ในปราสาทจอมมารที่สร้างขึ้นบนที่ราบกว้างใหญ่ มนุษย์และปีศาจต่อสู้อย่างไม่รู้จบเพื่อครอบครองผืนแผ่นดินที่ราบอันอุดมสมบูรณ์นั้น ก่อนที่ผู้คนจะเหนื่อยหน่ายการต่อสู้อันเป็นนิรันดร์ คนรุ่นใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นและสืบสานการต่อสู้ครั้งใหม่ สงครามยังคงสู้กันอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิธีการต่อสู้ต่างๆถูกส่งต่อไปยังลูกหลานเพื่อจะสู้ต่อ พวกลูกหลานที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ไม่สามารถหลีกหนีสงครามนี้ได้ ดินแดนยังคงเป็นสถานที่รองรับสงครามเป็นเวลานาน เเบกรับร่องรอยการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายร้อยปีที่พื้นดินถูกทำให้บอบช้ำทำซ้ำเเละต้องการใช้เวลาในการรักษาตัวเอง หลังจากเนิ่นนานผ่านไป 300 ปี ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลือความอุดมสมบูรณ์อยู่อีกเลยไม่มีทางที่จะเพาะปลูกข้าวสาลีได้แม้แต่เมล็ดเดียวหรือข้าวบาร์เลย์สักรวงอีกต่อไป พื้นดินได้ต้องชะตากรรมของมันแล้ว แต่ว่าสงครามยังคงมีอยู่เเละดำเนินต่อไป บาร์บาทอสและคนของเธอ ที่ยืนหยัดในการต่อสู้ที่ไร้เเก่นสารนี้ ถูกเรียกว่าฝ่ายผืนราบ
จอมมาร ของฝ่ายผืนราบ พยายามขุดคุ้ยค้นหาบางสิ่งในดินแดนที่ไม่มีอะไรเหลืออะไรเลย เป็นเหมือนกับขอทานที่ขอเงินด้วยความซื่อตรงจริงใจเเลเหมือนกับนักบวชที่อ้างว่าความอ่อนแอคือความกรุณา จอมมารได้เเปรหลักเหตุผลที่จะต้องมีความจำเป็นถึงสู้ กลายเป็น ‘ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลก็สู้กันได้’ สำหรับพวกเขา สงครามเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถึงเเม้นว่าพวกเรานั้นไม่มีอะไรเลย เราก็เลยจำเป็นต้องมีบางอย่าง นั่นเป็นวิธีคิดของฝ่านผืนราบ คงเรียกพวกนี้ได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีสกรูน็อตหลวมๆในหัวได้เลยใช่ไหมล่ะ?
ยังไงก็เถอะ ตามทฤษฎีของ คาร์ล มาร์กซ์ ชื่อ ฝ่ายผืนราบ(Plains Faction) มาจากบางสิ่งที่ไม่พอเเละขาดเเคลนโดยสิ้นเชิง มันถูกเรียกว่า ผืนราบ(Plains Faction) เพราะหน้าอกของ บาร์บาทอส นั้นกว้างพอๆ กับที่ราบใหญ่ เช่นเดียวกับทุ่งโล่ง บาร์บาทอส ได้ยอมรับเหล่าจอมมารและพวกนั้น ก็รู้สึกประทับใจกับความยิ่งใหญ่ดุจผืนราบของเธอ คาร์ล มาร์กซ์ กล่าวถึง บาบาร์ทอส และพวกของเธอว่าเป็น ผู้นำฝ่ายหน้าอกกระดาน
(ผู้แปล:ประมาณว่าใจกว้างเพราะหน้าอกกว้างอะเหล่าจอมมารเลยยอมรับ)
C’est si bon—(นี่มันดีมาก -)
“โอ้ งั้นพวกเเกก็ดูผู้คนในหมู่บ้านนี้ดีๆสิ พวกเเกมีแผนเเค่จะนั่งดูเงียบๆ ในขณะที่นังนี่พูดบ้าๆอย่างงั้นเรอะ? เห็นคนโง่เป็นคนน่ารำคาญ แปลว่าไม่มีหัวในการคิดที่พูด และเห็นว่าไม่มีหัวในการคิดที่พูดของเธอ ก็หมายความว่าไม่มีสมองอยู่ในหัว และเห็นว่าไม่มีสมองอยู่ในหัว ทำให้คำพูดโง่ๆของเเกก็เป็นได้เเค่ก้อนอาจมธรรมดาๆ ที่เเกถ่ายทิ้งไว้ขณะที่วิ่งไปทั่วทั้งป่า หากยังไม่หยุดผู้หญิงนังนี่ในตอนนี้ แสดงว่าเธอคงเป็นอีตัวชั้นสูงอวดตัวเองเกี่ยวกับสวรรค์และโลกจนกลายเป็นบ้าเเน่ๆ”
“……”
ไพม่อน ถอนหายใจยาว
เธอทำหน้าอย่างกับว่ารู้อยู่เเล้วว่าบาร์บาทอสจะพูดเเบบนี้
เธอทำหน้าบึ้งก่อนจะมองขึ้นบนเพดานเเล้ว ไพม่อนก็พูดขึ้น
“ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร หากใบหน้าของหญิงสาวคนนี้น่ารำคาญ นั่นแสดงว่าคุณขาดสติปัญญา และหากคำพูดของหญิงสาวคนนี้ไร้ความคิด แสดงว่าคุณคงหาความหมายในการใช้ชีวิตไม่พบเเนๆ? เนื่องจากการใช้ชีวิตโดยไม่มีความหมายนั้นช่างน่าสมเพช ทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปตอนนี้เลยล่ะ? ……โอ้ที่รัก หญิงสาวคนนี้ขอโทษจากใจจริง หากคุณฆ่าตัวตายไป ก็หมายความว่าคุณหาความหมายในการดำรงอยู่จริงๆไม่ได้น่ะสิ แต่ว่านะเธอน่ะยังพอมีปัญญาอยู่ในหัวใช่ไหม? หญิงสาวคนนี้ได้ลืมไปเเล้วว่าเธอมี”
ผมอยากจะยืนขึ้นและปรบมือจริงๆ
อันที่จริงพวกเขาคือบาร์บาทอสและไพม่อน
นี่มันคุ้มค่ากับการอดทนกับความเบื่อหน่ายของการประชุมเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเต็มจริงๆ ความเบื่อของผมมากพอที่จะเปิดหนังโป๊ไว้ในหัวตลอดระยะเวลานั้นได้เลย
ผมน่ะมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เพียงเพื่อดูการโต้เถียงกันของทั้งสองคน พวกเขารู้วิธีเเอบด่าจิกกัดกันแบบสวยงาม สอดคล้องกับหน้าอกอันแบนราบของบาร์บาทอส คำก่นด่าของเธอได้ถูกสบถออกมาเรื่อยๆ และสอดคล้องกับทรวงอกที่กว้างขวางของ ไพม่อน คำด่าของเธอช่างอ้อมค้อม ถึงเเม้จะดูเหมือนจะเป็นหน้าอกที่ดูธรรมดา
เเต่ที่เป็นแบบนี้เพราะ พวกมันไม่ใช่หน้าอกที่ธรรมดายังไงเล่า……
……
นี่มันไม่ถูกต้อง?
ที่ความสามารถพวกนั้นมันผิดปกติเพราะหน้าอกพวกนั้นใช่ไหมเนี่ย?
หรือมันจะไม่เกี่ยวกันนะ?
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมรู้สึกราวกับว่าภาพมันหมุนไปนิดหน่อย แปลกจังเเหะ ถ้าวันนี้ก่อนหน้าการประชุมผมไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดทั้งวัน ผมกับฟาร์นาเซ่พากันสูบบุหรี่ด้วยกันอยู่ในห้อง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมชอบในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะมาเข้าที่ห้องประชุม
นั่นสินะ นานๆทีจะเป็นเเบบนี้
บอกลา—.(Adieu)
มาดมัวแซล—.
“สงครามจะไม่มีการเจรจาตกลงใดๆทั้งนั้น”
ไพม่อน พูดขึ้น
“มันไม่ใช่สงครามกลางเมืองที่เราสองคนทะเลาะกัดกิน แต่เป็นสงครามครั้งใหญ่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ผู้คนหลายพันคนจะเสียชีวิต และผู้คนจะได้รับบาดเจ็บหลายแสนคน กรุณาไตร่ตรองตัวเลขชีวิตให้ดี นี้ไม่ใช่ชีวิตที่สามารถจัดการได้โดยไม่มีมูลเหตุผลที่เหมาะสม”
“ฮิฮิ เเกกำลังพูดว่าถ้าเรามีข้ออ้าง สงครามก็เป็นไปได้งั้นสินะ?”
“นั่นเป็นอีดเรื่องที่ต้องตัดสินใจเมื่อถึงเวลานั้น หญิงสาวผู้นี้กำลังบอกว่าจะขอหลักฐานก่อน หากไม่ได้รับเรื่องล่วงหน้า การหารือเกี่ยวกับการระบาดของสงครามในตอนนี้ก็ถือว่าตัดสินใจเร็วเกินไป”
บาร์บาทอสได้ยิ้มออกมา
“มนุษย์เตรียมทำสงครามตั้งแต่เริ่มฤดูใบไม้ร่วง”
“เเล้วไหนหลักฐาน?”
“ไม่ว่าจะอยู่ชายแดนไหน มนุษย์ตอนนี้ก็อยู่ไปทั่วเทือกเขาทมิฬ ถ้าพวกมันผ่านทิวเขามาได้ พวกมันก็จะเข้ามาในอาณาเขตของปีศาจ มนุษย์งวางแผนที่จะเคลียร์เส้นทางกองทัพก่อนที่จะทำการบุกรุกเแบบเต็มอัตตราศึก”
“หมายความว่ายังไง ‘เคลียร์เส้นทางงั้นเรอะ’……?”
“มีหมู่บ้านออร์คและก็อบลินอยู่บนเทือกเขา อัศวินของพวกมนุษย์กำลังเผาหมู่บ้านเหล่านั้นทุกแห่ง เเกคิดว่าเหตุผลคืออะไร? พวกมันน่าจะกำจัดอุปสรรคที่ยุ่งยากทั้งหมดบนภูเขาทิ้งเพื่อที่ทำไปตามเเผนมี่วางเอาไว้ เเละจะออกมาจากหุบเขาได้ในที่สุด”
บาร์บาทอสพูดอย่างมั่นใจ
นี่เป็นเรื่องโกหก
ผู้กระทำผิดที่เเท้จริงที่ทำให้เทือกเขาลุกเป็นไฟ คือ บาร์บาทอส และผม
กองกำลังมนุษย์เเค่เเกะรอยติดตามเราไปที่หมู่บ้าน ขณะที่เดินผ่านกลุ่มควันไฟที่พวกเราเป็นคนจุดขึ้นมาเอง พวกมันทำเเค่เคลียร์รังของมอนสเตอร์ไปตามทางที่ไล่ตามเรา ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว หมู่บ้านในชนบทถูกกวาดล้างและรังของมอนสเตอร์ถูกบดขยี้ ขณะเดินทางเพื่อฝ่าควันไฟ เราเล่นเกมซ่อนหากับกองทัพมนุษย์ จอมมารคนอื่นๆ ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะควันที่ลอยขึ้นมาจากแนวเทือกเขา ด้วยการโกหกอย่างชำนาญ บาบาร์ทอส ดึงกลุ่มควันเเห่งคำลวงซึ่ง บรรดาจอมมาร ไม่สามารถมองเห็นได้เข้าไปในที่ประชุม
Ο
— โอ้โห้ เทือกเขาแบล็คเป็นจุดยุทธศาสตร์ท่ามกลางจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากๆเลยนะ
— มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงที่มนุษย์กำลังเข้ายึดทางข้างของภูเขา
มันเป็นทางเข้าพรมเเดนสู่ดินแดนของเรา
– นี่มันดูแปลกๆอะไรเช่นนี้ พวกมันจะได้อะไรจากการก่อสงครามกับเรา?
— มนุษย์มันก็เป็นได้เเค่ตัวตลกไม่มีอะไรใหม่หรอก คนที่โง่เมื่อวาน พรุ้งนี้ก็ยังโง่อยู่เหมือนเดิม
— แต่ส่วนใหญ่ฉันเห็นพวกมันโง่บางครั้งฉลาดในบางคราว? มันขัดแย้งว่าโง่จริงๆไหม และด้วยความสัตย์จริง การเรามองว่ามันเป็นพวกงี่เง่ามากกว่าอีก
— นี่กำลังพูดอะไรกันอยู่อีกเนี่ย?
— ไม่ใช่เรื่องของเเกอย่ามาเสือก
จอมมารพูดตะกุกตะกักเหมือนกลุ่มคนตาบอด
“……”
ไพม่อน เหลือบตามองไปที่ บาร์บาทอส ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ดวงตาของเธอคมกริบ เธอมีพลังพอที่จะไม่สับสนกับเสียงที่คล้ายควันนั้นและจับจ้องไปที่อีกฝ่ายโดยตรง แทนที่จะจ้องไปที่ บาร์บาทอส โดยตรงเเทน เเต่สายตานั้นกลับไหลผ่านไปให้มันไหลไปทางด้านข้างเเทน
“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านบนภูเขาที่ถูกโจมตีเท่านั้น ดันทาเลี่ยนที่อยู่ตรงนี้ก็ถูกโจมตีโดยทหารของจักรพรรดิแห่ง ฮับส์บวร์ก(Habsburg) และสูญเสียปราสาท จอมมารไป”
“ดันทาเลี่ยนโดนโจมตี…….”
ไพม่อนได้เลิกคิ้วขึ่น
ดูเหมือนว่าเธอได้ยินชื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
ไพม่อน หันมองมาที่ผม แม้แต่จอมมารที่เคยส่งเสียงร้องเหมือนคนตาบอดเมื่อวินาทีก่อน ต่างก็หันมามองมาที่ผมทันที ผมรู้สึกได้ว่าโดนหลายคนจ้องมองผ่านห้องประชุมที่มืดมิด ดวงตาของพวกนั้นเป็นของสัตว์ร้าย ถ้าผมพูดตอบคำถามแบบตะกุกตะกัก ดวงตาพวกนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นปากและฉีกผมออกเป็นชิ้นๆทันที
“ดันทาเลียน คำพูดของบาร์บาทอสเป็นความจริงใช่หรือไม่”
“ใช่เเล้ว. นั่นเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ กองทัพของ มาเกรฟ วอน โรเซ็นเบิร์ก ทำการเหยียบย่ำปราสาทจอมมารของข้า”
“ตั้งเเต่เมื่อไหร่มันบุกมาที่ปราสาทของเจ้า?”
“ตั้งแต่เดือนที่ 9 และวันที่ 16 ถึงเดือนที่ 9 และวันที่ 17 ของปีนี้ ตลอดการต่อสู้ทั้งสามครั้ง ผมแพ้สองครั้งและแทบจะไม่ชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว กองทัพของมาร์เกรฟใช้ดินปืนระเบิดฝังปราสาทของผม . ตามจริงแล้ว ศึกครั้งนั้นผมได้รับชัยชนะเเต่ว้าเพราะปราสาทถูกทำลาย เลยพูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นชัยชนะ ……..”
ผมยิ้มอย่างขมขื่น
“จำนวนทหารที่มาบุกเเจ้าล่ะ?
“อย่างน้อยที่สุด 2,000 อย่างมากที่สุด 3,000 พวกเขาไม่ใช่ทหารเกณฑ์ พวกเขาเป็นชนชั้นสูง หลังจากสอบปากคำนักโทษคนหนึ่งที่จับตัวได้มา มันได้สารภาพว่าได้รับการว่าจ้าง”
“……ข้อมูลเเน่ชัดจริงๆใช่ไหม?”
“ผมเคยใช้ทหารรับจ้างที่นี่ในนิฟล์เฮมเพื่อต่อสู้กับมาร์เกรฟ ในวันนั้นควรมีทหารบางคนที่ต่อสู้กับผมรอดไปได้ ดังนั้นคุณสามารถถามพวกทหารที่นี่เป็นการส่วนตัวได้ คำพูดที่พวกเขาพูดและคำพูดที่ผมพูดไปนั้นจะไม่ต่างกัน”
ทันใดนั้นห้องประชุมต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย กองทัพมนุษย์ได้บุกโจมตีแล้วครั้งหนึ่ง จอมมารตกใจกับข้อเท็จจริงนี้
“ผมถามนักโทษว่าทำไมพวกเขาถึงบุกมาที่่ปราสาท และมันก็เปิดเผยทุกอย่าง ตามคำบอกเล่าของมาร์เกรฟ ปีศาจได้แพร่ระบาด โรคภัยสีดำ และยารักษาโรคนั้นถูกจัดเก็บไว้เป็นจำนวนมากในแต่ละปราสาทของ จอมมารเเต่ละคน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ถ้ามนุษย์ต้องการเอาชีวิตรอดมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกนอกจากต้องโจมตีจอมมาร……”
“……”
“นี่คือความจริงทั้งหมด ตอนแรกผมคิดว่าผมเป็นคนเดียวที่ถูกบุกรุก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลก็คือกองทัพมนุษย์ไม่ได้เดินเตร่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาเพียงอย่างเดียวอย่างที่คิดไว้หรอกนะ? ด้วยความกระวนกระวายใจและเกินกำลัง ผมเฝ้าจับตาดูกองทัพมนุษย์ตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ร่วง กองกำลังอิมพีเรียลฮับส์บูร์ก กองทหารจากอาณาจักรทูทัน ทหารจากอาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนีย…… กองกำลังมนุษย์ไม่สนใจชายแดนและก่อการทำให้ภูเขาลุกเป็นไฟ พวกเขาอาจจะมีข้อตกลงบางอย่างแบบลับๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจจะกลายพันธมิตรเดียวเเล้วก็ได้……”
ห้องประชุมหยุดชะงัก ลมหนาวจากภายนอกพระราชวังได้เล็ดลอดเข้ามาสู่ที่นี่ ใครบางคนไม่สามารถทนต่อความเงียบได้ ถ่มน้ำลายลงบนพื้น เมื่อมีคนเห็นจึงคันคออยากทำตามเหมือนติดเชื้อจากสิ่งนี้ จอมมารสองคนจึงกระแอมในลำคอ ลำคอของพวกเขาเต็มไปด้วยเสมหะ
Ο
— มนุษย์กำลังพยายามทำสงครามอีกครั้งใช่ไหม?
— สงครามครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดเมื่อ 150 ปีที่แล้ว ถึงเวลาแล้วสินะที่จะทำสงครามกันอีกครั้ง
— หากเป็นควันที่ลอยขึ้นมาจากเทือกเขาทมิฬ ก็ลอยมาให้เห็นบ่อยๆอยู่นะ
– ว่าไงนะ? ทำไมถึงเพิ่งบอกตอนนี้?
– ไฟป่ามักเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็เลยไม่คิดอะไรกับมันมากน่ะ
— ชีวิตมันไม่ได้เป็นไปตามที่คิดจริงๆทั้งหมดหรอกนะ
— อาจจะอยู่ได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พวกเราก็อยู่ได้โดยไม่มีแม่ ถึงเเม้พวกเราจะไม่เหมือนกันเเต่พวกเราก็ไม่มีสิ่งที่ไม่มีเหมือนกัน เเค่มองข้ามมันไปก็ได้น่า
— ไอ้ห่านี่เเม่ง!?
Ο
คนพวกนี้ตายเพื่อมวลมนุษย์ชาติหรือเพราะพวกเขาสมควรตาย.หือ
ในเวลาเดิมของเกม จอมมาร ทั้งหมดจะถูกปราบปรามภายใน 30 ปีข้างหน้า ผมไม่สามารถบอกพวกนั้นได้ใน ฐานะของ มนุษย์ที่เล่นเกมอยู่ แต่หลังจากที่ได้เห็น จอมารต่างๆ ด้วยตัวเองฉันก็เข้าใจ
ในอีกด้านหนึ่งของภูเขา มนุษย์กำลังพัฒนาระบบในสังคมผ่านศักดินาและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พวกที่เรียกกันว่าจอมมารยังคงเป็นพวกตลกจับตัวกันปกครองแบบชนเผ่า แม้ว่าอันดับ 14 และอันดับ 9 จะเป็นพวกเรื่อยเปื่อยชอบท่องเที่ยวไปทั่วราวกับว่าอยู่บนหลังม้าสูง หากดูกันตามความจริง พวกปีศาจที่ประกอบด้วย 72 เผ่า ซึ่งแต่ละเผ่านำโดยอันดับ 1 ไปจนถึงอันดับ 72 จอมมารตามลำดับ จอมมารเป็นเพียงราชาและราชินีตามชื่อ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเหมือนกับผู้นำเผ่ากว่า
30ปี.
มีเวลาจำกัด 30 ปี
การนับถอยหลังได้เริ่มขึ้นแล้ว ก่อนที่การนับถอยหลังจะดำเนินต่อไป จำเป็นต้องบดขยี้อิทธิพลของมนุษย์ ในตอนนี้ฟ้าได้ผ่าลงมาเเล้ว เพียงแต่คนยังไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง
“ทุกคน. แน่นอน ผมเป็นเพียงหน้าใหม่อันดับที่ 71 ถึงแม้ว่าผมจะสามารถรเหล่านี้ได้ับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของเราตอนนี้เลวร้ายเเค่ไหน…… เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม ถ้าเราไม่เตรียมตัว อย่างน้อยก็ต้องตื่นตัว นั่นไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”
บัดนี้ จงยอมรับคำโอ้นวอนของผมผู้นี้เเต่โดยดีเถอะ
หากถูกทิ้งไว้ตามลำพัง พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องพินาศ หากพวกเจ้าต้องยอมจำนน อิทธิพลของปีศาจก็จะอ่อนกำลังลงและข้าก็จะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เราเป็นกลุ่มที่มีชะตากรรมร่วมกัน แม้แต่พวกจอมมารก็มักจะไม่ชอบการพบกับความตายก่อนเวลาอันควรด้วยดาบของฮีโร่ ผมจะจัดสนามรบที่เหมาะกับผู้ที่มีสถานะเป็นจอมมาร อย่ากังวลไปเลยเถิดจงน้อมรับเเละจงอย่าปฏิเสธ……
“คนที่พร้อมจะชนะ และคนที่ตื่นตัวจะไม่แพ้ ผมสูญเสียปราสาทของผมเพราะไม่ได้เตรียมตัวและไม่ตั้งใจ ได้โปรด ผมขอให้พวกคุณทุกคนอย่าทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่ผมทำ……”