Dungeon Defence - ตอนที่ 24
แม่ค้าแห่งกึนคัสก้า, พวกเลือดผสม, ลาพิส ลาซูรี่
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 4, วันที่ 5
ณ สำนักงานบริษัทกึนคัสก้า
อันดับที่ 71st, จอมปีศาจดันทาเลี่ยน
สายสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับจอมปีศาจอันซื่อบื้อผู้นี้ค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว
เมื่อ 1 ปีก่อน โดยการติดสินบนบรรดาคนในบริษัท เราจึงได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของดันทาเลี่ยนมาครอง
เดิมที บริษัทกึนคัสก้าไม่ได้ปฏิบัติต่อจอมปีศาจที่อันดับต่ำกว่า 60 ในฐานะลูกค้าหรอกนะ เพราะมันจะเป็นการลดระดับภาพลักษณ์ของบริษัทลง นั่นคือเหตุผลของพวกเขา
แต่ทว่า สำหรับเราแล้วจอมปีศาจเช่นดันทาเลี่ยนนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้พวกจัณฑาลเช่นตัวเราประสบความสำเร็จเราจึงต้องหลอกใช้จอมปีศาจ แต่เหล่าจอมปีศาจที่มีอันดับสูงคงจะไม่แม้แต่ติดต่อธุรกิจกับเราแน่ๆ เพื่อการนั้น ดันทาเลี่ยนจึงเป็นตัวเลือกซึ่งเหมาะสมที่สุด
มันไม่เป็นไรหรอกที่จะด่าทอเราและเรียกเราว่าเด็กสาวผู้ถูกความทะเยอทะยานบดบังตาน่ะ
เพราะยังไงซะ มันก็คือเรื่องจริงนี่นา
“ฮ่าๆๆ การที่คนของกึนคัสก้าเข้ามาหาผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นตัวข้า นับว่าพวกเจ้ามีสายตาที่ดีสมกับที่เป็นบริษัทซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของปีศาจเลยว่ะ "
ในตอนแรก ดันทาเลี่ยนได้ต้อนรับเราด้วยความดีใจ การที่ได้รับเชิญเป็นลูกค้าของกึนคัสก้ามีความหมายเฉกเช่นเดียวกันกับถูกยอมรับว่าเป็นจอมปีศาจที่มีอิทธิพลสูง ด้วยเหตุนี้เขาจะต้องกำลังมีความสุขมากๆแน่
"แกชื่ออะไร?"
"เราผู้นี้เรียกว่าลาพิส ลาซูรี่ค่ะ"
“โอ้โห รูปร่างของแกจัดว่าเด็ดเลยว่ะ "
สายตาของฝ่าบาทได้กวาดมองไปทั่วเรือนร่างของเรา
“……”
นี่เราควรจะบอกว่าเขาไม่ได้มีอันดับที่ 71 โดยไร้เหตุผลหรือเปล่า? แถมเขาส่งกลิ่นเหม็นสาบหยั่งกับพวกลูกกะจ๊อกเลย ถึงเขาจะเกิดเป็นจอมปีศาจ แต่เขาไม่มีทั้งคุณประโยชน์หรือพรสวรรค์ใดๆเลย
แต่ไม่เป็นไร เรามาที่นี่โดยทำใจไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้
…… แต่ว่า หากคุณถามว่าเรารู้สึกผิดหวังมั้ย งั้นตัวเราก็จะพูดแน่นอนว่าเราคิดอย่างงั้นแหละ
"ดีมาก แล้วเผ่าพันธุ์ของเจ้าคืออะไรล่ะ? "
"เราคือซัสคิวบัสค่ะฝ่าบาท"
“ซัสคิวบัส! นั่นทำให้มันมีเสน่ห์มากกว่าเดิมอีกแฮะ”
แม้มันอาจจะแค่ครึ่งเดียว แต่เราก็ยังคงเป็นซัสคิวบัสอยู่ดี ถึงแม้ว่าดวงตาของเราจะปิดสนิท แต่เราก็สามารถรู้สึกได้ถึงแรงปรารถนาทางเพศของคนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเรา และในขณะนี้ จอมปีศาจดันทาเลี่ยนก็กำลังหื่นกระหายต่อตัวเราอยู่
ในชั่วชีวิตของเรา เราได้เจอสายตานับร้อยนับพันจากผู้คนที่ปรารถนาร่างกายของเรา แน่นอนว่าเราไม่มีเจตนาที่จะแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องหรอกนะ เรายินดีอย่างยิ่งที่จะยอมกลายเป็นภริยาของจอมปีศาจซะด้วยซ้ำไป
เด็กสาวผู้ยอมขายเรือนร่างของเธอเพื่ออำนาจ
มันไม่มีอะไรน่าแปลกประหลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกเนอะ ใช่มั้ยล่ะ?
ในฐานะที่เป็นแม่ค้า เราคิดว่าทัศนคตินี้เหมาะสมเป็นอย่างมากเลยแหละ
…… เว้นแต่ ปัญหาที่ว่าไม่มีจอมปีศาจคนใดบ้าพอที่จะซื้อร่างกายของเราน่ะ
"จงเงยหน้าขึ้นซะ ในเมื่อวันนี้เป็นวันที่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้รับการยอมรับจากบริษัทกึนคัสก้าแล้ว ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในช่วงเวลาค่ำคืนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะขอจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับแกเอง "
"ฝ่าบาท เราผู้นี่เป็นพวกเลือดผสมระหว่างซัสคิวบัสกับมนุษย์นะคะ "
“……”
เงียบกริบ
สีหน้าของจอมปีศาจได้ค้างชะงักในทันที
ใช่แล้ว แม้ว่าจะได้รับสายตาที่เต็มไปด้วยกามตัณหาของผู้คนนับร้อยนับพันก็ตาม นี่คือเหตุผลที่ทำไมเรายังคงบริสุทธิ์อยู่จนถึงบัดนี้ และปฏิกิริยาของทุกๆคนที่ได้ยินเรื่องชาติกำเนิดของเราก็คือแบบนี้แหละ ช่างน่าทึ่งมากเนอะ
"งานเลี้ยงฉลองได้ถูกยกเลิก"
จอมปีศาจได้ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
"และกลับไปบอกพวกพ่อค้าจากกึนคัสก้าด้วยว่า พวกมันจะต้องชดใช้อย่างแสนสาหัสสำหรับการที่ได้กำแหงดูหมิ่นผู้ยิ่งใหญ่คนนี้!"
"แต่เราผู้นี้ถูกสั่งมาว่า….."
"ไอ้สวะพันทางที่สามหาวนี่!"
ถุย
จอมปีศาจได้ถ่มน้ำลายใส่
น้ำลายหยดนั้นได้ตกลงสู่ใบหน้าของเราจังๆ เราได้ยินมาว่าฝ่าบาทไม่มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะการต่อสู้ใดๆเลย แต่ดูเหมือนว่าเราไม่ควรเชื่อในข่าวลือเหล่านั้นนะ ดูซิอย่างน้อยเขาก็มีทักษะการยิงธนูที่ใช้ได้นี่?
“……”
ทันทีที่จอมปีศาจได้ออกไปจากห้องรับแขก
เราได้นำเอากระจกเล็กๆกับผ้าเช็ดหน้าออกมา ด้วยมือที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เราก็เช็ดน้ำลายออกจากใบหน้าของเราอย่างคล่องแคล่ว ถ้าคุณคิดว่าเรื่องพรรณนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเพียงแค่ครั้งสองครั้งแล้ว นั่นคือการคาดคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
มันเกิดขึ้นเป็นหลายแสนครั้งแล้วแหละ
อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้, ใช่มะ?
กล่าวสั้นๆก็คือ ดันทาเลี่ยนเป็นไอ้ซื่อบื้อที่ไร้ทางเยียวยาแล้ว โดยส่วนมากมันคงจะไม่มีใครชอบเขาหรอกเว้นแต่แม่ของเขาเองน่ะ ถึงแม้ว่าจอมปีศาจไม่ได้เกิดมาจากระหว่างคนสองคนก็เหอะ แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยความผิดเพี้ยนทางเวทมนตร์น่ะ
ไม่เป็นไร
เราได้ตัดสินใจแล้วว่า
ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเศษสวะที่เกินกว่าจะใช้การได้แล้ว งั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือปรับปรุงบุคลิกลักษณะของพวกเขาใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง
เราได้อำพรางตัวเองให้คล้ายมนุษย์และขายแผนผังปราสาทของจอมปีศาจให้กับบรรดานักผจญภัย
ทั้งจำนวนกำลังพล, ตำแหน่งของกับดักและแม้กระทั่งเส้นทางของทหารลาดตระเวน เรามอบให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
พวกนักผจญภัยค่อนข้างละโมบโลภมาก
ทันทีที่พวกเขาได้รับแผนผัง พวกเขาก็ตรงไปยังปราสาทของจอมปีศาจโดยพลัน ประมาณสามหรือสี่รอบเลยล่ะมั้ง? เนื่องจากการรุกรานของบรรดานักผจญภัยตัวปราสาทจึงได้กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันเป็นการบำบัดด้วยวิธีการทำให้ตกใจอย่างสุดขีดน่ะ
แม้ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจะเป็นหนอนตัวอ่อนที่เกินเยียวยาอย่างแท้จริง แต่ถ้าปราสาทของเขาถูกทำลายอย่างราบคาบล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกน้องทั้งหมดของเขาตาย? มันมีโอกาสที่เขาอาจจะฟื้นคืนสติปัญญาของเขาก็เป็นได้เนอะ
แนวคิดแบบสุดขั้วอย่างนี้เป็นลักษณะพิเศษของเราเลยแหละ
เรายินดีที่จะรับคำชมเชยน้า
เนื่องจากคำชมเชยไม่ต้องจ่ายเงินใดๆเพื่อให้ได้มันมาน่ะ
และแน่นอนว่าเรายังมีจุดมุ่งหมายอื่นอีก
ลองนึกดูสิว่าสถานการณ์แบบไหนกันที่จอมปีศาจดันทาเลี่ยนจะประสบพบเจอ การป้องกันปราสาทของเขาได้พังทลายลง กองทัพของเขาก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้างล่ะ? หรือว่าจะเป็นที่เตียงนอนของเขาซึ่งอยู่ในซากปรักหักพัง? หรือว่าผ้าคลุมสีดำที่คุณจอมปีศาจใส่เดินไปรอบๆด้วยความสง่าผ่าเผยจะกลายเป็นผ้าคลุมเวทย์มนต์และสร้างปาฏิหาริย์ออกมาอย่างฉับพลันน้า?
อา
โชคดีจังที่ยังมีคนนึงเหลืออยู่
ไม่ใช่ว่ายังมีนังแม่ค้าซัสคิวบัสที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพิเศษของเขาอยู่เหรอ?
มันเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างง่ายๆ
ถ้าอีกฝ่ายดูเหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อใจคุณ— งั้นก็กำจัดทุกๆคนที่เขามีทีท่าจะไว้ใจซะ เหลือไว้แต่ตัวคุณเอง
แม้มันอาจจะมีอีกแนวทางที่จะได้รับความไว้วางใจจากเขาโดยการใช้ระยะเวลาสักพักนึง แต่ถ้ามันมีคุณลักษณะที่พ่อค้าต้องพึงมีกันทุกคนล่ะก็ งั้นมันคงจะเป็นองค์ความรู้ที่ว่า 'ช้า' ที่จริงแล้วมีความหมายเช่นเดียวกันกับคำว่า 'เสียเวลาเปล่า' อ่ะนะ
เราคือแม่ค้าแห่งกึนคัสก้า
การสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ใดๆก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้
นักผจญภัยได้ทำลายตัวปราสาท
แต่ทว่าพวกเขาดันล้มเหลวในการจับตัวฝ่าบาทดันทาเลี่ยนมา พวกเขาได้เดินออกมาจากถ้ำด้วยอารมณ์โมโหโกรธา เนื่องจากพวกเขาได้กลับบ้านมือเปล่า
เราได้ว่าจ้างนักฆ่าระดับมือพระกาฬเพื่อฆ่าพวกเขา
"ช่วยฆ่าพวกเขาทั้งหมดด้วยนะ"
"ทั้งหมดเลย?"
"ใช่ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียวล่ะ"
พวกนักผจญภัยรู้ว่าเราเป็นคนที่ขายแผนผังให้พวกเขา แม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในพันว่า ถ้าข่าวเกี่ยวกับตัวเราเผยแพร่ไปยังที่อื่นมันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เราเลยต้องกำจัดพยานให้เรียบร้อยซะ
ทั้งกลุ่มแรก, กลุ่มที่สอง และกลุ่มที่สาม พวกเขาถูกฆ่าทิ้งทั้งหมดโดยนักฆ่า ถ้าเราต้องการจะสารภาพอะไรบางอย่างณ ที่นี้ งั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่เรามุ่งหวังความสมบูรณ์แบบโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เราได้ทำลงไปน่ะ
"…… กลุ่มที่สี่ไม่ได้ออกมาจากถ้ำงั้นเหรอ?"
ในช่วงเวลานั้นเอง เราก็ได้รับรายงานที่คาดไม่ถึงมาก่อน
นักฆ่าได้พยักหน้าตอบรับ
"ใช่ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะตายไปแล้ว "
"ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนไม่เหลือกองกำลังอยู่ในปราสาทของเขาแล้วนี่นา มันไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกนักผจญภัยจะเสียชีวิตลงนะ ลองตรวจสอบดูอีกครั้งเถอะ"
"ข้าได้ตรวจดูเรียบร้อยแล้ว"
นักฆ่าได้เปล่งเสียงอันรำคาญออกมา
"ไม่ใช่ว่ากลุ่มของนักผจญภัยนี้มีแค่ 10 คนเองหรอกหรือ? ข้าได้หารอบๆถ้ำทั้งหมดแล้วและพบศพแค่ 10 ศพเอง ถึงแม้ว่ามันยากที่จะยืนยันแน่นอนได้เนื่องจากหัวของพวกเขาถูกตัดออกและแขนขาของพวกเขาถูกฉีกกระชากเกลื่อนกลาดก็เถอะ "
"…… นั่นมันน่าแปลกนะ"
หรือว่าฝ่าบาทดันทาเลี่ยนมีไพ่ลับซ่อนไว้ในแขนเสื้อของเขา?
ไม่ว่าเราจะมองย้อนกลับไปยังไง เราก็ได้จับตามองจอมปีศาจตลอดเวลามาเป็นปีแล้วนะ มันไม่น่าจะมีความลับที่เราไม่สามารถหาเจอได้นี่ ……
หรือมันจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น? นี่เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า? ……เราเนี่ยนะ?
เราไม่เคยประเมินผู้คนสูงเกินไปหรือต่ำเกินไปมาโดยตลอด ตัวเราเองก็ถูกรวมอยู่ในนี้ด้วย การมีสายตาหยั่งรู้อันปราดเปรื่องเป็นความสามารถพิเศษของเรา เราสามารถดูออกว่าคนไหนคือเศษอาหารโสโครกอันน่าสะอิดสะเอียนที่อยู่ในหลุมสิ่งปฏิกูลตื้นๆ
มันไม่ใช่พรสวรรค์ที่จะมอบให้ใครก็ได้หรอกนะ
"พวกนักผจญภัยถูกฆ่าได้ยังไง?"
"ข้าไม่รู้"
"มันมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งภายใน…."
"ก็ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ไง!"
นักฆ่าได้เขม็นมองมาที่ตัวเรา
ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาคือความดูถูกเหยียดหยาม
"อย่าทำมาเป็นพูดลอยหน้าลอยตาต่อข้าสิฟะ! แค่ความจริงที่ว่าข้าได้พูดคุยกับพวกพันทางก็น่าขยะแขยงมากพออยู่แล้ว! ห่าเอ้ย ข้านี่ตกต่ำถึงขนาดนี้เลยหรือไงกัน………ที่ต้องมารับเงินจากพวกจัณฑาล! "
นักฆ่าได้ถ่มน้ำลายมาทางเท้าของเรา
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกละอายใจที่ได้สูดอากาศเดียวกันกับเราล่ะมั้ง โอ้, งั้นเราขอประทานอภัยด้วยละกันนะ
เมื่อใดก็ตามที่มีคนถ่มน้ำลายต่อหน้าตัวเรา เรามักจะสงสัยว่าของเหลวในร่างกายเหล่านั้นมาจากไหนกัน เราทำได้เพียงแค่หวังว่าพวกเขาจะไม่ดึงมันออกจากสมองของพวกเขาน่ะ เพราะปัญญาที่ต่ำต้อยอยู่แล้วของพวกเขาจะมีแต่แย่ลงเท่านั้นแหละ
"รีบๆเข้าและจ่ายเงินค่าว่าจ้างมา อัตราก็ 4 เหรียญทองต่อหัว แน่นอนว่านั่นเป็นเงินจำนวน 32 เหรียญทองน่ะ ข้าจะขอบอกแกตอนนี้เลยละกันนะว่าอย่าพยายามต่อรองราคา มันเป็นสิ่งที่ 'ตามที่สัญญากันไว้' ตราบเท่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญญา งั้นทุกอย่างจะจบลงโดยไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น "
"นักฆ่าก็เน้นคำมั่นสัญญาด้วยงั้นเหรอ, เข้าใจแล้ว"
"เฮ้ย นังจัณฑาล ข้าไม่มีอารมณ์จะมาเล่นมุขตลกหรือว่าขอหลับนอนกับคนอย่างแกหรอกนะ นี่ข้าต้องถ่มน้ำลายใส่หน้าแกแทนที่จะลงบนพื้นเพื่อให้แกเข้าใจหรือไงกัน? "
"มองที่ตาของเรา"
“นี่ สักวันนึงแกอาจจะต้องชดใช้ที่ทำตัวแบบนั้น …… "
"มองตรงเข้าไปในดวงตาของเรา"
นักฆ่าได้ขมวดคิ้วของเขา
ยังไงซะเขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวเราได้เพราะสัญญาจ้างของพวกเราอยู่ดี เขาจึงได้แต่จ้องมองมาที่เราอย่างหงุดหงิด
เราก็ได้มองรับสายตาของเขาและพูดอย่างชัดเจนว่า
“เงียบซะ มองเข้าไปในดวงตาของเรา"
“……”
"นับขนตาทั้งหมดของเราทีละเส้น จำสีดวงตาของเราไว้ ทั้งพื้นผิวของลูกตา พินิจดูตามรูปแบบนี้อย่างช้าๆ "
"…… มีเหตุผลอิงประวัติศาสตร์อะไรหรือเปล่าต่อคำพูดไร้สาระนี้?"
"ไม่ มันมีไม่มีเลย"
เรานำเอาขวดแก้วเล็กๆออกมาจากเสื้อโค้ทของเรา
มันเป็นขวดแก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวอันโปร่งแสง
"เว้นแต่ มันมีความนัยบางอย่างต่อคุณน่ะ"
"นั่นมีไว้เพื่ออะไรฮะ?"
"มันเป็นยาพิษ, สำหรับคุณน่ะ คุณนักฆ่าผู้ทรงเกียรติ "
“……”
นักฆ่าได้หยุดชะงักแข็งทื่อกับที่
มันเป็นสิ่งน่าเพลิดเพลินใจเสมอที่ได้เฝ้ามองดูการเปลี่ยนทางสีหน้าของผู้คนเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกะทันหัน มันคงจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆของชีวิตเลยก็ว่าได้
"ช่างเป็น …… มุขตลกที่ห่วยแตกจัง …… "
"ค่าว่าจ้างได้ถูกส่งไปยังกลุ่มมือลอบสังหารในนิฟเฮมแล้วล่ะ หัวหน้าของคุณได้บอกให้เราส่งต่อข้อความนี้ว่า ‘คลื่นน้ำต้องรู้ด้วยตนเองว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหยุด และตอนนี้มหาสมุทรเป็นสีฟ้าดังนั้นมันจึงเป็นเวลาที่จะต้องยุติและกลืนเรือลงแล้ว’ "
เค้าหน้าของนักฆ่าเริ่มซีดเซียว
"เสียงเรียกหาของโพไซดอน…… "
"มันดูเหมือนจะเป็นโคลงกลอนที่ใช้กันทั่วไปในกลุ่มมือลอบสังหารนะ"
"ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แก…..?"
"ตั้งแต่เริ่มแรกเลย"
ใช่ตั้งแต่แรกเลย
เราอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบคนมีฝีมือเหนือล้ำเป็นพิเศษ แต่เราได้ร้องขอกำลังคนที่สามารถ 'ใช้แล้วทิ้ง' ได้ กลุ่มมือลอบสังหารจึงได้จัดหาบุคคลที่เหมาะกับความต้องการของเราอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าพวกเขาจะใช้กำลังคนของพวกเขาอย่างเหมาะสมหรือยังไม่ได้กำหนดแนวทางความซื่อตรงของกลุ่ม แต่ในเรื่องนี้กลุ่มมือลอบสังหารในนิฟเฮมได้รักษามาตรฐานไว้ได้ดีมาก องค์กรอื่นๆควรเรียนรู้จากพวกเขาเอาไว้นะ
นักฆ่าได้รับขวดแก้วเล็กๆจากเรา
"มีคำพูดสุดท้ายอะไรบ้างมั้ยที่คุณต้องการจะพูดน่ะ?"
“……”
นักฆ่าได้จ้องมองที่ขวดแก้วสักพักก่อนที่จะดึงจุกออกและดื่มยาพิษในอึกเดียว จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นและเริ่มพูดพึมพำออกมาว่า
"เวรเอ้ย"
เป็นระยะเวลานานทีเดียว
"เวร……"
นักฆ่าได้หมดลมหายใจลงอย่างสมบูรณ์
เรานำเอากริชออกมาและปาดคอของนักฆ่า เพราะเราได้ยินมาว่านักฆ่ามือฉมังสามารถแกล้งตายได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ ครั้งที่หนึ่ง สอง สาม และสุดท้ายครั้งที่สี่ เราจึงแน่ใจว่าชีวิตของอีกฝ่ายได้จบสิ้นลงแล้ว
เราน่าจะสารภาพให้มั่นเหมาะอีกทีนึงณ ตรงนี้ว่า
ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะเน้นความสมบูรณ์แบบเสมอ
เอาเถอะ ยังไงซะมันก็มีความจำเป็นที่จะต้องพบปะกับฝ่าบาทดันทาเลี่ยนด้วยตัวเองอยู่แล้ว
การหลอกใช้นักผจญภัยและการว่าจ้างนักฆ่าไม่ได้ใช้เงินเพียงเล็กน้อยหรอกนะ มันถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มนำเงินลงทุนของเรากลับคืนมา
ถ้า, เนื่องด้วยวิกฤติในครั้งนี้, บุคลิกของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงล่ะก็ …… นั่นน่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด แต่ถ้าบุคลิกของเขายังคงเหมือนเดิม งั้นคนเดียวที่จอมปีศาจจะสามารถพึ่งพาได้ก็คือตัวเรานั่นแหละ มันเป็นเดิมพันที่เราไม่สูญเสียอะไรอยู่แล้ว
มันเป็นไปตามที่เราชื่นชอบเลย
งั้นตอนนี้
เราจะขอออกล่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่ติดกับแล้วล่ะนะ