Dungeon Defence - ตอนที่ 23
หนึ่งในผู้บริหารกึนคัสก้า, ก๊อบลินผู้ตระหนี่, โทรูเคล
ปฏิทินจักรวรรดิ : ปี 1505, เดือน 8, วันที่ 20
นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง
พวกเราล้มเหลว
ข้ารู้เรื่องนี้ทันทีตั้งแต่ตอนที่ข้าได้เข้าสู่ห้องบอลรูม
ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ต้องการให้ฝ่าบาทไพม่อน ผู้ซึ่งควรจะแสดงความเมตตาต่อข้า มาจ้องมองข้าด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน
…… ข้าเตรียมใจไว้แล้ว
พ่อค้าต้องคำนึงถึงการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกันเสมอ
ถึงแม้ว่าจอมปีศาจดันทาเลี่ยนจะมีอันดับเพียงแค่ 71 และแม้ว่าลาพิส ลาซูรี่จะเป็นเพียงนังจัณฑาลเลือดผสม พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกันที่ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด
ชีวิตต่อชีวิต
คุณต้องวางเดิมพันชีวิตของตัวคุณเองไว้หากคุณตามล่าผู้อื่น
เครุ
มันเป็นเรื่องของความสมดุลธรรมดาทั่วไป
…… ข้าฝันถึงโลกที่ไม่ได้ถูกปกครองโดยชนชั้นสูง
เพียงแค่เกิดมาเป็นจอมปีศาจคุณก็ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของหมู่ชนแล้ว แค่การเกิดเป็นครึ่งปีศาจครึ่งมนุษย์คุณกลับได้รับการปฏิบัติเยี่ยงเศษสวะ นั่นคือสภาพการณ์ปัจจุบันของโลกปีศาจ ข้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ ……
แม้รายละเอียดเล็กๆบางอย่างจะแตกต่างกัน แต่อีวาน ล๊อทบรอคก็มีความปรารถนาเช่นเดียวกันกับตัวข้าเอง ในโลกอันเสื่อมทรามนี้ อีวานและข้าได้ถูกเชื่อมโยงเข้าหากันโดยความสัมพันธ์นี้แหละ
ถ้ามีคนนึงประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก งั้นคนๆนั้นต้องการเงินอย่างแน่นอน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมพวกเราถึงได้ดูแลบริษัทกึนคัสก้ามาได้ไกลขนาดนี้ ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเราได้เอาชนะความยากลำบากและคราวเคราะห์นานับประการ และได้ตำแหน่งบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของปีศาจอย่างฉิวเฉียดมาครอง ……
อา….
ข้าอยากจะเห็นมันจริงๆ
สังคมที่เน้นความเสมอภาคกัน
ข้าแค่ต้องการที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่ซึ่งมีอคติต่อกันน้อยลง
…… ข้าอยากจะเห็นโลกที่สวยงามมากขึ้นกว่านี้
"อึ้ก!"
ข้าสัมผัสได้ถึงโลหะอันเย็นเฉียบเจาะเข้าไปยังคอหอยของข้า
อย่างที่คนทั่วๆไปคงจะคาดเดาได้ ข้ารู้สึกอย่างชัดเจนถึงเลือดอุ่นๆที่หยดลงบนใบดาบ
เรี่ยวแรงได้มลายหายไปจากหัวเข่าของข้าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของข้าค่อยๆล้มลงอย่างช้าๆ และมันเริ่มเข้าใกล้ความตายทีละเล็กทีละน้อย ข้ารู้สึกถึงทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนเลย
อีวาน ฝากดูแลที่เหลือด้วยนะ
ข้าไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ได้อีกแล้ว แต่ถ้าเป็นคุณ ก็น่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงที่สุด เพราะยังไงซะคุณก็เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจนน่ากลัวและชาญฉลาดมากอีกด้วย
เพียงแต่ ข้ากังวลว่าอาจจะไม่มีใครสามารถเข้าใจถึงความวิกลจริตของคุณได้ อย่าจมอยู่กับความอ้างว้างเดียวดายเลย วันหนึ่งคุณอาจจะพบใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างคุณอีกครั้งนึงก็เป็นได้นะ ……
และในที่สุด ข้าก็หันไปมองยังดันทาเลี่ยน
ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษสำหรับเรื่องนี้หรอกนะ สายตาของข้าแค่ขยับไปที่ดันทาเลี่ยนโดยบังเอิญเมื่อตอนที่ข้าล้มลงเท่านั้นเอง แต่ทว่า หลังจากมองไปที่ใบหน้าของจอมปีศาจอันดับที่ 71 ข้าก็เบิ่งตากว้างขึ้น
"…… !"
เขามีสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
มันสุดที่จะหยั่งได้ว่าเขาปราศจากความรู้สึกถึงขนาดไหนกันแน่
ทั้งๆที่ได้รับชัยชนะอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนในค่ำคืนนี้ แต่มันไม่มีสัญญาณใดๆที่บ่งชี้ว่าดันทาเลี่ยนรู้สึกยินดีหรือว่ามีความสุขเลย เขาไม่แม้แต่กระทั่งรู้สึกประหลาดใจกับการฆ่าตัวตายของข้า ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วแหละ – เขาจ้องมองข้าด้วยสายตาที่แสดงเหมือนกับเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมข้าถึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย
หรือว่านั่นมัน …… หรือว่ามันจะเป็นอย่างงั้น …… !
เมื่อได้เห็นสีหน้านั่นแล้ว ข้าก็เข้าใจโดยทันทีว่า จอมปีศาจดันทาเลี่ยนไม่ใช่เหยื่อธรรมดาทั่วไป ลาพิส ลาซูรี่ทรยศต่อบริษัทของพวกเรา และการฆาตกรรมแอนโดรมาเรียส พวกมันเป็นแผนการทั้งหมดที่ถูกวางไว้โดยผู้ชายคนนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้อย่างแน่ชัดว่ามีการวางกลอุบายอะไรไว้บ้างอีก ดวงตาแห่งเพชฌฆาตคุ่นั้นอันข้ามพ้นเหนือตรรกะใดๆ มันมากพอที่จะโน้มน้าวให้ข้าเชื่อว่า ดันทาเลี่ยนเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังนี่เอง!
อ่า, อีวาน ล๊อทบรอค
ตั้งแต่ต้นจนจบเลยนะที่พวกเราได้เข้าใจผิดไป
พวกเราได้กระโจนเข้าไปบนกระดานหมากรุกโดยไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเรานั้นเป็นใคร ด้วยเหตุนี้เอง มันไม่น่าแปลกใจเลยว่าพวกเราจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินขนาดนี้ คุณคิดได้หรือยังอีวาน? คุณตระหนักถึงความจริงที่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นตัวอันตรายที่แท้จริงหรือเปล่า ……
ข้าอยากจะเปิดปากของข้าและเตือนอีวานให้เฝ้าระวังดันทาเลี่ยนไว้
แต่ข้าก็ท้อแท้ใจ ข้าไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงพอที่จะขยับริมฝีปากของข้าได้แล้ว พลังชีวิตจากร่างกายของข้าได้กระจายออกเงียบๆอย่างรวดเร็ว ทรรศนะวิสัยตรงหน้าของข้าได้จางหายไปเป็นสีดำแทน
ข้าอาจจะวาดฝันถึงความฝันอันแสนสวยงาม แต่ข้าไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตที่สวยงามได้ ข้าได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายมามากพอสมควร จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเจ้าน่าจะโยนข้าลงสู่นรกเป็นแน่แท้ ……
โอ้, ท่านเทพธิดาโพรเซอร์พีน่าผู้ทรงเมตตา
(โพรเซอร์พีน่า (Proserpina) ธิดาของเทพี Ceres)
โปรดแสดงความการุญต่อดวงวิญญาณที่น่าสงสารนี้ด้วยเถิด
จากนั้น ข้าก็ถูกครอบงำโดยความเงียบชั่วนิจนิรันดร ……
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ : ปี 1505, เดือน 8, วันที่ 20
นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง
กริชได้เจาะเข้าไปที่ลำคอของเจ้าก๊อบลินชราอย่างง่ายดาย
ใบดาบได้แทงทะลุผ่านคออันบอบบางของเขาและโผล่พ้นออกมาอีกด้านหนึ่ง
ร่างเล็กๆของก๊อบลินได้ทรุดลงกับพื้นด้วยเสียงดังโครม
ความนิ่งเงียบงันได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณห้อง
เลือดสีแดงกำลังหลั่งไหลเจิ่งนองอยู่ภายในห้องบอลรูมแห่งนี้
"ฮะ…… ?"
ไพม่อนนั้น….
"ฮะ…… ฮ้าา…… ?"
ไพม่อนนั้น ทำได้เพียงแค่ยืนจ้องมองไปที่ศพของก๊อบลิน
ก๊อบลินผู้นั้นเป็นพ่อค้าที่ไพม่อนได้ไว้วางใจอย่างไร้ข้อกังขาใดๆแน่นอน มันเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นเวลานาน นานมากๆแล้ว ที่ทั้งสองคนนี้ได้รู้จักกัน
ผมสงสัยว่าคงเป็นเพราะหัวเข่าของเธอได้อ่อนล้าล่ะมั้งไพม่อนถึงได้ทรุดตัวลงกับพื้น เลือดที่หลั่งไหลออกมาจากลำคอของก๊อบลินได้ก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นแอ่งเล็กๆ และชายกระโปรงของไพม่อนก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดอันนั้น
"ฮ้า…… ฮ้า, ฮ้าาา…… "
เธอได้เปล่งเสียงครางสั้นๆซ้ำอยู่หลายครั้งเหมือนกับแผ่นเสียงที่พังไปเรียบร้อยแล้ว
มันสรุปได้ว่าเธอคงจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนอย่างแน่นอนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 นาทีที่ผ่านมา ไพม่อนอาจจะเพียงแค่กำลังส่งเสียงร้องครางออกมา แต่ผมเข้าใจอย่างชัดเจนถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เกาะกินอยู่ในหัวใจของเธอตอนนี้
นั่นคือเหตุผลที่ผมได้เตือนเธอไว้
เพื่อไม่ต้องข้ามแม่น้ำรูบิคอนและคืนดีกันด้วยแก้วไวน์ แต่ไพม่อนกลับไม่ได้รู้อะไรเลยและเลือกที่จะยกแก้วยาพิษขึ้นมาแทน นี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าโศกนาฏกรรมกระมั้ง
(สำนวน 'ข้ามแม่น้ำรูบิคอน – cross the Rubicon River' หมายความว่า ถึงจุดที่ย้อนกลับไปไม่ได้)
ผมบ่นพึมพำด้วยระดับเสียงที่ผมได้ยินเพียงคนเดียวว่า
"เสียอารมณ์หมดเลย …… "
แกดันก่อให้เกิดความวุ่นวายซะงั้นไอ้ก๊อบลินเวรเอ้ย
เดิมที ผมได้วางแผนที่จะกำกับละครตลก โดยให้อีวาน ล๊อทบรอคและไพม่อนออกมากล่าวโทษว่ากันเอง พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมอันน่าเสื่อมเสียชื่อเสียงออกมาและโยนความรับผิดชอบแก่อีกฝ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง
สุดท้าย ฝ่ายหนึ่งจะลงเอยด้วยการที่ชื่อเสียงของพวกเขาเสียหายและย่อยยับไป นั่นคือฉากที่ผมได้เขียนไว้ บรรดาคนทั้งหลายจะส่งเสียงปรบมือโดยไม่ยั้งให้กับการแสดงละครสัตว์ที่สิงโตและเสือกำลังต่อสู้กันอยู่ แต่ทว่าไอ้ก๊อบลินนี้เป็นตัวแปรที่ผมไม่อาจคาดเดาได้หรอกนะ ……
โทรูเคลได้รวบรวมความผิดพลาดทั้งหมดของอีวาน ล๊อทบรอคและไพม่อนไว้ที่ตัวของเขาเอง และได้นำพวกมันจมหายไปกับตัวเขาด้วย ความเข้าใจผิดของไพม่อนเกิดจากกลอุบายของโทรูเคล และข้อแก้ตัวของอีวาน ล๊อทบรอคก็เกิดจากการหลอกลวงของโทรูเคล
ทั้งสองคนนั้นเป็นเหยื่อ มีเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ร้าย นอกจากนี้ คำพูดไม่อาจออกมาจากซากศพได้ ดังนั้นวันที่ความจริงถูกเปิดเผยจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ผมขอแสดงความนับถือจริงๆต่อการแก้ปํญหาของแกนะเจ้าก๊อบลิน
อีวาน ล๊อทบรอคและไพม่อนต่างต่อกรกับผมด้วยแนวคิดที่โง่เขลา พวกเขาไม่ได้ลงทุนเสี่ยงชีวิตของพวกเขา แต่แกนั้นผิดแปลกไปจากคนอื่น แกเข้ามาหาผมด้วยทุกสิ่งที่แกมี ไม่เหมือนไอ้สองตัวนั่น แกไม่ลืมเกี่ยวกับมารยาทที่พึงมีเลย
เลิศมาก
ผมขอยอมรับว่า ผู้คนเช่นแกมีคุณสมบัติมากพอที่จะมาจุ้นจ้านกับชีวิตที่แสนสุขสบายของผมได้
"— พวกเราจะดำเนินการต่อด้วยการยกมือเพื่อใช้ในการพิจารณาคดีนี้"
มาร์บาสกล่าว
พยานเพียงคนเดียวได้ฆ่าตัวตายและไพม่อนก็สูญเสียกำลังใจไปแล้ว เขาคงตัดสินว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพิจารณาคดีอีกต่อไป
"ปัญหาแรกก็คือคดีฆาตกรรม คดีที่จอมปีศาจผู้ไร้ชื่อเสียงอันดับที่ 72 แอนโดรมาเรียสถูกฆาตกรรมโดยจอมปีศาจผู้ไร้ชื่อเสียงอันดับที่ 71ดันทาเลี่ยน ผู้ฟ้องร้องได้เรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 100,000 ลิบรา เป็นค่าชดเชยสำหรับการฆาตกรรมแอนโดรมาเรียสจากตัวดันทาเลี่ยน และตัวดันทาเลี่ยนเองจะต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกน้ำแข็งเป็นเวลา 15 ปี "
(คนแปล eng เอ๋ย ตกลงมันหนึ่งแสนหรือหนึ่งล้านกันแน่…..)
มาร์บาสได้มองไปรอบๆสถานที่ประชุมและกล่าวว่า
"บรรดาผู้ที่คิดว่าดันทาเลี่ยนมีความผิดจงยกมือขวาของคุณ ส่วนผู้ที่คิดว่าเขาบริสุทธิ์จงยกมือซ้ายของคุณ สำหรับผู้ที่ยกเว้นจากการยกมือ คือคนทั้งสองคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและตัวข้าเองที่รับบทบาทเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย จะไม่มีสิทธิ์โหวตลงคะแนนเสียงได้ "
ผู้คนทั้งหลายต่างรีบเร่งขยับแขนของพวกเขาหลังจากที่มาร์บาสได้เสร็จสิ้นการอธิบาย
ในบรรดาจอมปีศาจทั้ง 29 คน คนที่ได้โหวตว่ามีความผิดมีแค่ 9 คน
ส่วนจำนวนคนที่โหวตว่าบริสุทธิ์ก็คือ 19 คน
มาร์บาสได้พยักหน้าและกล่าวว่า
"ข้าขอประกาศว่า ดันทาเลี่ยนเป็นผู้บริสุทธิ์ในการพิจารณาเรื่องแรกนี้"
นอกจากเหล่าบริวารของไพม่อนแล้ว จอมปีศาจเกือบทุกคนต่างโหวตว่าบริสุทธิ์กันทั้งนั้น ในความเป็นจริง มันคือชัยชนะอันท่วมท้นเลยทีเดียว แต่ว่า รสชาติที่ค้างอยู่ในปากยังคงมีรสขมอยู่ มันเป็นเพราะการสละชีพของเจ้าก๊อบลินผู้ดีแก่ๆ ผมเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดีเท่าที่ผมเคยได้รู้สึกมาก่อน ……
"ปัญหาที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคความตายสีดำ ผู้ฟ้องร้องอ้างว่าดันทาเลี่ยนเป็นตัวการที่แท้จริงในการแพร่ระบาดของโรค ผู้ที่คิดว่านี่เป็นความจริงจงยกมือซ้ายของคุณขึ้น ส่วนผู้ที่คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จริงจงยกมือขวาของคุณ "
ผู้ที่โหวตว่ามีความผิดยังคงมี 9 คนเช่นเดิม
ส่วนผู้ที่โหวตว่าบริสุทธิ์มี 15 คน
"เนื่องจากมันเกินจนเป็นเสียงข้างมาก ข้าจึงขอประกาศว่าดันทาเลี่ยนเป็นผู้บริสุทธิ์ในการพิจารณาเรื่องที่สอง ดังนั้น ภายในนามของจอมปีศาจอันดับที่ 5 จอมปีศาจที่รับผิดชอบในเรื่องของคุณธรรม ข้ามาร์บาส ขอยืนยันว่าเจ้า, ดันทาเลี่ยน, พ้นผิดจากข้อกล่าวหาทั้งปวง บรรดาผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้พึงระลึกไว้ว่าเจ้ากำลังท้าทายเกียรติของข้า "
เสียงปรบมือดังขึ้นจากหนึ่งในเหล่าจอมปีศาจ มันคือบาร์บาทอสอีกเช่นกันในครั้งนี้ อีกทั้งเธอยังผิวปากดั่งเธอได้ประทับใจในคำตัดสินนี้ด้วย
"ฮ่าฮ่าฮา! สมน้ำหน้าอีดอก! นับตั้งแต่ที่แกเริ่มเชิดจมูกของแกโดยคิดว่าแกนั้นทั้งสูงส่งและยิ่งใหญ่ ข้าก็เฝ้ารอคอยวันที่จะเห็นจมูกของแกถูกบดขยี้ทิ้งแล้วแหละ! ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมไม่ลองสละ 'เวลา' สักหน่อยกับก๊อบลินตัวนั้นล่ะ! บางทีแกทั้งสองตัวอาจจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันสุดๆบนเตียงนอนก็ได้เนอะ! "
(คำว่า ‘เวลา’ ผู้แต่งได้แฝงความหมายอื่นโดยการเล่นคำจากภาษาจีน ‘屍姦’ ซึ่งอ่านออกเสียงเหมือนกับคำว่า ‘เวลา’ตามภาษาเกาหลี แต่กลับมีความหมายว่า ‘พวกชอบร่วมเพศกับศพ’ )
…… ถึงแม้ว่าวิธีในการแสดงความประทับใจจะดูสถุลเกินไปหน่อยก็เถอะนะ
ในตอนนี้ไพม่อน, ด้วยสายตาที่ดูเบลอๆ, กำลังจ้องมองอย่างเหม่อลอยที่ศพของโทรูเคล การที่สามารถหัวเราะเยาะอย่างเปิดเผยต่อผู้หญิงในสภาพเช่นนั้น จิตคงไม่ปกติเพียงอย่างเดียวหรอกแต่มีความโหดเหี้ยมอำมหิตควบรวมเข้าไปอีกด้วย มันเป็นความสุดยอดในอีกแง่มุมหนึ่งอะนะ และผมแน่ใจว่าถ้าผมต้องการที่จะรักษาชีวิตที่สงบสุข งั้นมันคงจะเป็นไอเดียที่ดีถ้าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบาร์บาทอสด้วย
อีกทั้งหน้าอกของเธอยังแบนเรียบ
หน้าอกของเธอแบนราบเรียบเหมือนดั่งทุ่งหญ้าไซบีเรียก็มิปาน –
มันเป็นสิ่งสำคัญมากๆดังนั้นผมจึงเน้นย้ำถึงสองครั้งเลย
ถ้าคุณเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผลด้วยการกลั่นกรองอีกรอบด้วยแล้ว งั้นมันเป็นที่แน่นอนว่าคุณจะชอบโตเต็มที่มากกว่าไม่โตเต็มที่ เลือกความอุดมสมบูรณ์มากกว่าการขาดแคลน ส่วนโลลิค่อนนั้นเป็นอาการป่วยทางจิตอย่างหนึ่ง พวกโลลิค่อนทั้งหลาย, ผมหวังว่าพวกคุณจะสามารถไปยังโรงพยาบาลโรคจิตที่ใกล้ที่สุดของคุณและรับการตรวจเช็คความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายซะล่ะ
"ตอนนี้ พวกเราจะมาหารือเกี่ยวกับบทลงโทษของไพม่อนกัน ดันทาเลี่ยน นอกจากเจ้าจะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วไพม่อนยังพยายามที่จะใส่ร้ายเจ้าอีกด้วย คนเราจะต้องชดใช้ต่อความผิดพลาดเสมอ ดังนั้นจงแนะนำในสิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบทลงโทษได้เลย "
"บทลงโทษงั้นเหรอ อืม …… "
ผมก้มมองลงที่พื้น
ในอดีต การโต้เถียงกันในศาลมีความหมายคล้ายกับการต่อสู้กันตัวต่อตัว เป็นการวางเกียรติยศชื่อเสียงของพวกเขาไว้เป็นเดิมพันเลยทีเดียว ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันว่าใครผิดและใครถูก ถ้าโจทก์พ่ายแพ้พวกเขาก็จะได้รับบทลงโทษที่พวกเขาได้ประกาศไว้ต่ออีกฝ่ายนึง มันหมายความว่าถ้าคุณต้องการจะสาปแช่งคนอื่น คุณก็ต้องขุดหลุมฝังศพของคุณเองก่อน มันเป็นสิ่งน่ากลัวที่สืบทอดกันมาจากยุคโบราณก็ว่าได้
ในสถานการณ์นี้ ไพม่อนจะต้องจ่ายเงินค่าปรับเป็นจำนวน 100,000 เหรียญทองและต้องถูกคุมขังนานถึง 15 ปีในคุกน้ำแข็ง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเข้าใจถึงการตัดสินใจอันห้าวหาญของไพม่อนในระหว่างที่รับอาสาเป็นผู้ฟ้องร้องในการพิจารณาคดีนี้ ถึงแม้มันอาจจะไม่มากเท่ากับเจ้าก๊อบลิน แต่ไพม่อนก็มีมันเช่นเดียวกันในแบบฉบับของตัวเธอเองที่พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง ……
ต่อมาในทันใดนั้นเอง ก็มีตัวเลือกปรากฏขึ้นมาต่อหน้าผม
[1. ยกโทษให้ไพม่อน]
[2. สั่งสอนไพม่อนซะ]
เมื่อได้เห็นกล่องตัวเลือกปรากฏขึ้นมา มันหมายความว่านี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ
เหมือนกับตอนที่เลือกฆาตกรรมแอนโดรมาเรียส นี่คือสิ่งที่จะเปลี่ยนทิศทางของโลกเป็นอย่างมาก
มาร์บาสกล่าวเร่งผมด้วยน้ำเสียงที่ทุ่มต่ำ
"ดันทาเลี่ยน"
"…… "
ผมเหลือบมองไปที่ศพของก๊อบลิน
โทรูเคล แม้ว่าแกจะไม่ได้พูดสั่งเสียเอาไว้ แต่สิ่งที่แกต้องการจะพูดได้ถูกถ่ายทอดอย่างชัดเจนไปแล้ว 'ไม่ว่ายังไงก็ตาม จงอย่าปล่อยให้อีวาน ล๊อทบรอคหรือไพม่อนต้องประสบความเดือดร้อนเป็นอันขาด' นี่น่าจะเป็นคำพูดก่อนตายที่แกไม่สามารถพูดออกมาจากปากของแกได้ใช่มะ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่เรียกว่าความทุกข์ระทมใจนั่นเอง
เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจของผมต่อแก คำสั่งเสียของแกผมจะให้ความเคารพต่อมันก็แล้วกันนะ
"มันไม่เป็นไรหรอกครับ"
"ว่าไงนะ?"
"ผมพูดว่ามันไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านมาร์บาสผู้ทรงเกียรติ"
ผมเงยหน้าขึ้นและหันหน้าไปทางมาร์บาส
ผมมีรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงบนริมฝีปากของผมในตอนนี้ มันเป็นรูปแบบเพื่อแสดงสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยออกมา ก็นะ, มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ผมได้ใช้สมองถึงขนาดนี้ ดังนั้นผมเลยค่อนข้างรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจริงๆน้า
"ถึงผมจะถูกปรักปรำและใส่ร้าย แต่ฝ่าบาทไพม่อนก็เช่นกันที่ตกอยู่ในสภาพอันน่าสงสารเพราะถูกกวาดรวมเข้าในแผนการด้วยไม่ใช่เหรอครับ? ตามที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากทุกคนในที่นี้ ผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดก็คือก๊อบลินที่อยู่บนพื้นตรงนั้นเอง เขาเป็นวายร้ายที่หาใครเปรียบมิได้เลย แต่ทว่า ในเมื่อเขาตายแล้วมันจึงไม่มีเหตุผลที่จะให้คนอื่นต้องมารับผิดชอบอีกครับ "
"กล่าวอีกอย่างก็คือ … นี่เจ้ากำลังบอกว่าเจ้าจะไม่เรียกร้องบทลงโทษใดๆเลยรึ ?"
"ใช่ครับท่านผู้ทรงเกียรติ ในฐานะที่เป็นบุคคลอันมีส่วนเกี่ยวพันโดยตรงในการพิจารณาคดีนี้ และในฐานะที่เป็นบุคคลอันรอดพ้นจากกฏเกณฑ์ของศาลโดยการได้รับชัยชนะ ด้วยสิทธิที่ผมมี ผมจะขอทำการเรียกร้องดังต่อไปนี้ อันดับที่ 71 จอมปีศาจผู้ไร้ชื่อเสียงดันทาเลี่ยนได้ทำการร้องขอ ให้ฝ่าบาทไพม่อนไม่ต้องถูกลงโทษใดๆทั้งปวงเนื่องจากเหตุการณ์นี้ครับ "
ผมฉีกยิ้มกว้างออกมา
"นับตั้งแต่แรกเริ่มเลย ที่นี่คืองานวัลเพอร์กิสไนท์อันศักดิ์สิทธิ์นะครับ นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับคำพูดอันหยาบคายเช่นการลงโทษหรือเบี้ยปรับมาปล่อยให้เพ่นพ่านไปทั่วได้หรอกครับ "
ผู้คนรอบๆตัวผมเริ่มสับสนวุ่นวาย พวกเขาคงคาดคิดไม่ถึงว่าคนที่ถูกกล่าวหาจะออกมาแสดงท่าทีเป็นมิตรขนาดนี้ พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าแห่งความประหลาดใจเหมือนๆกันเลย ในทางตรงกันข้าม เมื่อผมได้ดูเจ้าก๊อบลินฆ่าตัวตาย ผมไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นอำมหิตเอาไว้ได้หรอกนะ
ผมไม่ต้องการที่จะเป็นคนที่ชอบพูดไปทั่วเกี่ยวกับเรื่อง 'การให้ความยอมรับ' และ 'การให้ความเคารพ' แก่ตัวเองตลอดเวลานะเออ ผมได้คิดที่จะแสดงความยอมรับนับถือแก่ตัวก๊อบลินโทรูเคล ผมจึงตัดสินใจที่จะเคารพในคำสั่งเสียของเขา ดังนั้นผมต้องแสดงออกมาให้เห็นโดยการกระทำ
การยกโทษให้ไพม่อนนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือการตัดสินใจทางการเมืองที่อันตราย ในโลกของการเมือง เพียงแค่ความจริงที่ว่าคุณเป็นศัตรูก็มีแววว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือการกระทำอันมุ่งร้ายต่อคุณแล้วแหละ ในวันนี้ ถ้าไม่คำนึงถึงความจริงที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไพม่อนกับผมได้กลายเป็น 'ศัตรู' ต่อกันอย่างชัดเจนแล้ว หากต้องการเปลี่ยนความสัมพันธ์นี้ให้กลายเป็นรูปแบบอื่นที่ต่างออกไป ดูๆไปแล้วคงจะต้องเป็นงานที่น่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแน่ๆ มันอาจถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
นั่นคือช่วงเวลาที่ 'การให้ความเคารพ' จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ
เพื่อปกป้องอีกฝ่ายหนึ่งแม้มันจะหมายความว่าคุณอาจจะต้องเผชิญกับภัยอันตรายก็ตาม
ผมมั่นใจว่าผมจะไม่รู้สึกทุกข์ระทมใจหรอกนะแม้ว่าผมจะต้องประสบกับความยากลำบากในการให้ความเคารพผู้อื่นแบบนี้อ่ะ
ถ้าผมใช้การประเมินของน้องสาวต่างแม่คนที่สองเป็นพื้นฐานแล้ว งั้นตัวผมก็คงจะเป็นเจ้าของมันสมองที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดตามนั้นแหละ
แต่ถ้าผมใช้การประเมินจากตนเองเป็นพื้นฐานแล้ว งั้นตัวผมก็คือนักเรียนตัวอย่างผู้รู้จักมารยาทผู้ดีนะเออ
"ท่านมาร์บาสผู้ทรงเกียรติ สิ่งเดียวที่กระผมผู้นี้ปรารถนาในค่ำคืนนี้ก็คือแก้วไวน์น้ำผึ้งอุ่นๆเพียงแก้วเดียวเท่านั้นแหละครับ "
[1. ยกโทษให้ไพม่อน]
[2. สั่งสอนไพม่อนซะ]
ทันทีที่ผมพูดจบ กล่องตัวเลือกก็มลายหายไป
ไม่ช้าไม่นาน กล่องตัวเลือกก็ถูกแทนที่โดยประโยคข้อความใหม่
อักษรแต่ละตัวถูกแยกส่วนออกมาและประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคำใหม่ขึ้น มันให้ความรู้สึกที่เพลิดเพลินแบบแปลกๆเสมือนกำลังดูตัวต่อเลโก้ประกอบรูปร่างด้วยตัวของมันเองยังไงยังงั้นเลย
[เป็นการตัดสินใจที่โอบอ้อมอารีและเปี่ยมด้วยเมตตาเหลือเกิน!]
[ทั่วทั้งทวีปต่างประทับใจในความใจกว้างดุจมหรรณพของคุณ]
[ค่าชื่อเสียงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก]
ประโยคข้อความได้สว่างไสวขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นไม่นาน ตัวอักษรก็แตกออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เปล่งประกายแพรวพราว หลังจากที่ล่องลอยผ่านอากาศเหมือนหมู่มวลกลีบดอกไม้ พวกมันก็อันตรธานหายไปในที่ใดที่หนึ่งอย่างเงียบเชียบ
"…… "
มาร์บาสกำลังเพ่งมองมาที่ผมด้วยดวงตาสีฟ้าของเขาซึ่งทำให้คนเห็นนึกถึงมหาสมุทรอันเงียบสงบก็มิปาน ผมไม่หลบสายตาของมาร์บาสและได้จ้องมองเขากลับอย่างสงบนิ่ง
"นึกถึงภาระหน้าที่มากกว่าความขุ่นเคืองใจ ดูจากคำพูดแล้ว แม้จะฟังดูง่าย แต่ก็เป็นคำพูดที่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตามได้หากพวกมันนั้นสั้นกว่าเดิม และจะกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะเก็บไว้ได้หากพวกมันนั้นยาวขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้หรอกนะ ยิ่งไปกว่านี้ จำนวนผู้คนซึ่งละทิ้งโอกาสที่จะระบายความอาฆาตแค้นโดยถูกต้องตามกฎหมายได้นั้นมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อยอีก"
มาร์บาสตบบ่าของผม ความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาได้ถูกถ่ายทอดให้รับรู้ผ่านมือของเขา
"เจ้าน่าทึ่งมากดันทาเลี่ยน ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพงานวัลเพอร์กิสไนท์ในวันนี้ ข้าขอขอบคุณเจ้าเลย ข้าจะเฝ้ารอวันที่เจ้าสามารถขจัดสถานะจอมปีศาจผู้ไร้ชื่อเสียงของเจ้าและกลายเป็นจอมราชันย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในที่สุดนะ "
[ค่าความชอบของจอมปีศาจมาร์บาสเพิ่มขึ้นมา 9 ]
แทนที่จะตอบกลับด้วยคำพูด ผมกลับก้มหน้าลงแทน
ก่อนหน้านี้มาร์บาสได้กล่าวไว้ว่าเขาไม่เชื่อถือในคำพูดที่ยอกย้อนเยิ่นเย้อ ดังนั้นการที่พูดเพียงสั้นๆและตอบโต้ด้วยความเงียบจึงเป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีกับความเชื่อของมาร์บาสเป็นอย่างดี มาร์บาสดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของผมนะ เขาเลยพยักหน้าและตบบ่าของผมอีกครั้งนึง
"…… ยังไงก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีบทลงโทษอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะไม่กล่าวอะไรเลยแม้แต่คำขอโทษสักคำหรอกนะไพม่อน"
มาร์บาสหันไปมองที่ไพม่อน เธอยังคงนั่งงุนงงอยู่ที่ด้านข้างของศพก๊อบลิน เธอดูเหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือกโยงทั้งหมดทิ้งยังไงยังงั้นเลย มาร์บาสได้พูดกับเธอด้วยสีหน้าที่เศร้าๆว่า
"จงกล่าวขอโทษดันทาเลี่ยนซะ"
ไพม่อนผงะเล็กน้อย
"…… ขอ….. โทษ…… ?"
"ใช่แล้วล่ะ นั่นคือความรับผิดชอบที่เจ้าต้องแบกรับไว้ "
"โกหก …… โทรูเคล…… โกหก"
ไพม่อนขยับร่างกายของเธอขึ้น แต่ไม่สำเร็จ เข่าของเธอไม่มีกำลังหลงเหลืออยู่เลยดังนั้นเธอจึงทรุดลงมาเหมือนเดิม ไพม่อนเงยหน้าของเธอขึ้นแค่พอที่จะมองเห็นผมได้
"นี่โทรูเคล………ทรยศ ผู้หญิงคนนี้หรือ?"
ผมพยักหน้า
"เป็นเช่นนั้นแหละครับ ฝ่าบาท "
"บริสุทธิ์…… ?"
"ใช่ครับ ผมไม่ได้สร้างความตายสีดำขึ้นมาหรอกครับ และผมก็ไม่ได้ตั้งใจแพร่กระจายมันด้วยทั้งสองอย่างเลย นั่นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อค้าที่ชื่อโทรูเคลครับ"
ไพม่อนค่อยๆก้มหน้าลง มันเกิดเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบงันขึ้นซะงั้น ผมไม่มีวิธีที่พอจะทำให้รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่หรอกนะ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยไหล่ที่กำลังสั่นเทา, เธอก็พึมพำออกมาด้วยเสียงที่เบามากๆว่า
"…… ฉะ …… โทษ …… "
ตอนแรก พวกเราก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดหรอกนะ เพราะคำพูดของเธอดังออกมาจากนั้นก็หยุดและย้อนกลับเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งดั่งเช่นวิทยุที่พังแล้ว เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องไห้ซะอื้นยังได้เข้ามาผสมปนเปกันอีกด้วย ไพม่อนได้พูดทวนคำเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งในที่สุดพวกเราก็ได้ยินเสียงของเธอดังและชัดเจนยิ่งขึ้น
"ฉัน……….ขอ โทษ……"
พวกมันเป็นคำกล่าวขอโทษนี่เอง
แอ่งเลือดได้ก่อตัวขึ้นบนพื้นตรงที่ไพม่อนได้ทรุดตัวลงไป แต่มีบางสิ่งได้ล่วงหล่นลงตรงพื้นที่แห่งนั้น พวกมันเป็นน้ำตาของไพม่อนนั่นเอง ทุกครั้งที่หยดน้ำตากระทบกับแอ่งน้ำสีแดงเข้ม มันคล้ายกับว่ามีก้อนกรวดได้ตกลงมายังทะเลสาบจนเกิดระลอกคลื่นอันนุ่มนวลขึ้นในรูปร่างของวงแหวนที่กระจายตัวออกไป
"ฉันขอโทษ……"
"…… "
"ฉันขอโทษ …… ฉันขอโทษ …… "
ความเงียบงันอย่างแปลกประหลาดได้พัดผ่านไปทั่วทั้งห้องบอลรูม
เสียงของไพม่อนแม้จะเบา แต่มันรู้สึกคล้ายกับว่าคำพูดของเธอนั้นทำให้ทุกคนในที่นี้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง
มันคงจะเป็นการยากที่จะเฝ้าดูเช่นนี้ต่อไป จึงมีจอมปีศาจหญิงคนหนึ่ง ผู้ที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในบริวารของไพม่อน ได้รีบวิ่งออกไปและเริ่มพยุงร่างผู้หญิงอันกำลังเปราะบางอยู่ ไพม่อนได้ถูกพยุงตัวออกไปข้างนอกอย่างเงอะงะโดยจอมปีศาจหญิง อีกทั้งกลุ่มคนราวๆ 15 คนได้เดินตามจอมปีศาจหญิงออกจากห้องบอลรูมด้วย ไม่มีใครเลยที่พยายามจะหยุดยั้งพวกเขาไว้
"ถึงมันจะมีเรื่องแทรกซ้อนหลายอย่างเกินขึ้น, แต่"
มาร์บาสกล่าวออกมาเพื่อต้องการที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
"มันไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าวันนี้ยังคงเป็นงานวัลเพอร์กิสไนท์อยู่ดี แม้ว่าจะมีวาระการประชุมเหลืออยู่บ้าง แต่พวกเราสามารถเลื่อนให้เป็นวันพรุ่งนี้แทนได้ ข้าจึงขอหยิบยกข้อเสนอแนะของบาร์บาทอสและปรับเปลี่ยนสถานที่นี้ไว้สำหรับดื่มสังสรรค์กันให้แก่ทุกคน ณ ตรงนี้ "
ด้วยเสียงปรบมือดัง ‘แป๊ะ’ ของมาร์บาส
ในทันทีทันใด พวกแฟรี่ก็เข้ามาและเริ่มเสริฟ์อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด บรรดาเอลฟ์ที่สวมเครื่องแบบสาวใช้กับเสื้อโค้ตที่มีชายผ้าด้านหลังยาวสองชายได้เดินเข้าสู่ห้องพร้อมกับเก้าอี้และโต๊ะต่างๆ ห้องบอลรูมได้เปลี่ยนเป็นห้องจัดเลี้ยงโดยทันควัน ผมยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้รับแก้วไวน์น้ำผึ้งที่รินจากมาร์บาสโดยตรงอีกด้วยนะ
คนที่มีอำนาจนั้นหายาก คนที่มีอำนาจพร้อมทั้งมีสามัญสำนึกนั้นหาได้ยากซะยิ่งกว่ายากอีก จนถึงขนาดที่พวกเขาควรได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และตั้งระดับ EX ไว้บนชาร์ตเลยทีเดียวเชียว ผม, ด้วยความปรารถนาที่จะอนุรักษ์สัตว์สายพันธุ์ที่หายากตามธรรมชาติเหล่านี้ไว้, จึงรับแก้วไวน์อย่างสุภาพนอบน้อม
ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของวันนี้ มันไม่มีเหตุผลที่ไพม่อนจะต้องมาเสนอหน้าของเธออีกต่อไป
จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน
ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 8, วันที่ 21
นิฟเฮม, ณ พระราชวังของเจ้าเมือง
งานเลี้ยงสังสรรค์ไม่ได้ยุติลงแม้จะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว
ผมไม่เคยนึกคิดเลยว่าพวกจอมปีศาจนั้นจะเป็นพวกที่ชื่นชอบดื่มอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะบาร์บาทอสซึ่งน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เธอหยิบเหยือกแอลกอฮอล์ทั้งเหยือกขึ้นมาและกรอกมันลงในอึกเดียว
ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์และปรบมือกัน มันบ้าชะมัดยาดเลย นอกจากนี้ บาร์บาทอสดูเหมือนจะเริ่มถูกใจผมจึงทำให้เธอบังคับให้ผมดื่มเยอะๆอีกด้วย ถ้าผมพยายามที่จะปฏิเสธเธอแม้แต่น้อย เธอก็จะพูดว่า "อ๋าา? นี่นายพยายามที่จะขัดขืนการดื่มแอลกอฮอล์ที่ข้าประทานให้แก่นายหรือไง? "และเริ่มไม่พอใจ นี่มันไม่ใช่พวกคนเถื่อนหรือไงกันฟะ?
เมื่อไม่สามารถทนคลุกคลีกับเธอได้อีกต่อไป ผมเลยแอบหลบฉากออกไปที่ทางเดินด้านนอก ความจริงผมก็อยากจะหนีออกทางประตูหน้าหรอกนะ แต่มันมีโอกาสที่ผมจะถูกจับได้โดยบาร์บาทอสน่ะ
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแต่ปริมาณแอลกอฮอล์ที่แดกไปนี่มันดันไปอยู่ที่ไหนแล้วหว่า? ผมไม่เข้าใจเลย ในความคิดของผม ผมคิดว่านักวิทยาศาสตร์คงจำเป็นต้องผ่ากระเพาะอาหารของเธอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมั่นใจว่าจะต้องมีหลุมดำขนาดเล็กกระจิดริดอยู่ในนั้นแน่ …… ปัญหาก็คือวิทยาศาสตร์ในโลกใบนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ผลลัพธ์ก็คือ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบได้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นปริศนาที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ในที่สุด ……
หัวของผมรู้สึกว่างเปล่าผมว่าผมต้องเมาแล้วแน่ๆเลย ผมกำลังเดินไปตามทางเดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่กระนั้นทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าของผมรู้สึกเหมือนมันกำลังสั่นเป็นจังหวะเลย ห่าเอ๊ย มันต้องเป็นเพราะไอ้เด็กเวรนั่นแน่ๆ เด็กเวรที่เกิดบนทุ่งหญ้าแห่งไซบีเรีย, ได้กล่าวว่า "ข้าจะโชว์นายให้เห็นถึงสมบัติลับของข้า" และบังคับให้ผมดื่มเหล้าที่ผสมปนเปกันถึง 6 อย่าง เธอต้องการสื่อถึงอะไรกันในคำพูดที่ว่า "จงคิดว่านี่เป็นเกียรติอย่างสูงของนายซะ ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถลิ้มลองรสชาตินี้ได้หรอกน้า? " ไปแดกจนตัวเองตายคนเดียวเหอะ ……
ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาจากด้านหลังผม เมื่อหันกลับไปมอง ผมก็เห็นลาพิส ลาซูรี่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ผมอ้าแขนของผมออกอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า
"โอ้ว ลาล่า! ลาล่าของข้า! นัยน์ตาของเธอที่มีสีเหมือนดั่งท้องฟ้าและน้ำเสียงของเธอที่ราวกับเสียงร้องประสานเสียงที่วิหารเลย! "
อะแฮ่ม
ในความเป็นจริง ผมดันกางแขนออกด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะโอเวอร์เกินไปหน่อยนิ
ทำไมอ่ะ? ก็ผมเมานี่ มันอยู่เหนือการควบคุมของผมนะ
"…… ฝ่าบาทเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามเกินไป"
"อะไรน้า? นี่ข้าเลิศซะเธอตกหลุมรักข้าเลยหยอ? "
"เราผู้นี้พูดว่าฝ่าบาทได้ดำเนินแผนการที่บุ่มบ่ามเกินไป"
"ถึงจุดที่เธอต้องการจะจูบข้าเลย? ดีมาก! ถ้าเธอรับรู้ถึงความยากลำบากของข้าในการทุ่มเทอย่างหนักขนาดไหนเพื่อเพิ่มค่าความชอบของเธอแล้ว งั้นเธอก็คงรู้สึกผิดต่อข้าจนเธอยินดีที่จะเสนอริมฝีปากแก่ข้าแน่ๆ "
"ฝ่าบาท"
ผมปิดปากของผมลง
สายตาที่เขม่นมองของลาพิส ลาซูรี่มันแทบจะเพ่งซะทะลุตัวผมเลย
"ฝ่าบาททั้งบ้าบิ่น, ขาดความรับผิดชอบ และบุ่มบ่ามมากค่ะ"
"…… เธอไม่ได้รู้สึกประทับใจกับชัยชนะของข้าเลยเหรอ?"
"ใช่ค่ะ"
"นั่นมันค่อนข้างน่าตกใจนะ"
มันน่าตกใจเหมือนดั่งตอนที่ผมถูกสารภาพรักจากเด็กชายคนนึงในชั้นเรียนเดียวกันกับผมในระหว่างช่วงตอนเรียนชั้นประถมเลยแฮะ
"ไพม่อนไม่ได้เป็นเพียงแค่จอมปีศาจอันดับที่ 9 แต่เธอยังเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายเขตภูเขาซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นฝ่ายที่ทรงอำนาจที่สุดภายในกองทัพสัมพันธมิตรของจอมปีศาจ เธอเป็นผู้บัญชาการของเหล่าบริวารผู้จงรักภักดีจำนวนมากและมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับบรรดาบุคคลที่มีอำนาจในฝ่ายของมนุษย์อีกด้วย พูดง่ายๆก็คือ ฝ่าบาทได้เปลี่ยนหนึ่งในคนที่มีความสำคัญที่สุดของโลกปีศาจให้กลายเป็นศัตรูไปซะงั้นค่ะ "
"เดี๋ยว รอสักครู่ลาล่า "
ผมโบกมือของผมอย่างรุนแรง
"…… ข้าไม่ได้บ้าบิ่น ข้าไม่ได้ไร้ความผิดชอบและข้าก็ไม่ได้บุ่มบ่ามด้วย นี่เป็นคำพูดที่ข้าได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ นั่นเป็นคำสบประมาทที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ "
"อย่างงั้นเหรอคะ? แผนแบบไหนกันที่ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดและผู้นำฝ่ายที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกของปีศาจให้กลับกลายเป็นศัตรูล่ะคะ? "
"นั่น …… นั่นคือ …… "
มันไม่มีประโยชน์
สมองของผมยังคงมึนเพราะแอลกอฮอล์อยู่ ดังนั้นผมจึงนึกคิดอะไรไม่ออกเลย มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนอันตัวผมจะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในขณะที่กำลังเมาอยู่หรอกนะ แผนนี้เป็นดั่งกลไกที่ซับซ้อนที่สุดในโลกเลยนะขอบอก
"นั่นคือ มันแบบว่าน่าตกตะลึงมากง่ะ …… "
"น่าตกตะลึงมาก?"
"มหัศจรรย์ …… และน่าหวาดกลัวมาก …… มันเป็นแผนแบบนั้นแหละเออ!"
"ฝ่าบาทเป็นเจ้าของทักษะการโน้มน้าวที่ค่อนข้างน่าทึ่งจังค่ะ เราผู้นี้รู้สึกประทับใจจนเราผู้นี้พูดอะไรไม่ถูกเลยค่ะ "
"ตาและหูของข้าน่าจะแสดงผลที่ผิดพลาดแก่ข้าในเวลาเดียวกันแฮะ แต่ที่แน่นอนก็คือลิ้นของเธอขยับมากฉิบหายเลยสำหรับการพูดอะไรไม่ถูกนะ"
*[ผู้แปล : ประโยคนี้ตาดันพูดในทำนองที่ว่า “ไม่อยากเชื่อสายตาและหูของตัวเองเลยว่าเมียกูจะปากหมาได้ขนาดนี้”]
"มันน่าโล่งอกจังที่ฝ่าบาทมีปัญญาเพียงพอที่จะสังเกตเห็นมันได้ค่ะ"
"โอ้!"
เหมือนนักแสดงที่น่าสะพรึงกลัว ผมได้ตะโกนขึ้นไปที่เพดานว่า
"ข้าขอโทษ ลาล่า! ถูกตัองแล้วแหละ! ข้าบ้าไปแล้ว! หลังจากถูกกล่าวหาโดยไพม่อนและเห็นไอ้ค้างคาวเฒ่ายืนหัวเราะเยาะข้าจากด้านข้าง การควบคุมตนเองทั้งหมดของข้าก็ได้ระเบิดกระจุยไปในที่สุด! นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าแสดงบทเรียนให้พวกมันสำนึกซะบ้าง! ข้ายังไม่สามารถแม้แต่จะเริ่มรู้วิธีที่ข้าจะไถ่โทษสำหรับความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของข้าแก่สุภาพสตรีซัสคิวบัสของพวกเราได้อีกด้วย! "
ผมได้หันไปรอบๆและโค้งคำนับ มันเป็นตำแหน่งซึ่งตรงข้ามกับที่ลาพิส ลาซูรี่ยืนอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นหรอกนะ แต่ต้องขอบคุณแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างผมจึงพอที่จะรู้ลักษณะของพื้นได้
ไม่สิ เป็นเพราะผมพอที่จะมองเห็น ที่แท้มันไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นสักหน่อย มันมีแมวสีเทานั่งอยู่บนขอบหน้าต่างและกำลังเลียอุ้งเท้าของมันอยู่ ผมโค้งคำนับลงต่ำให้แก่แมวตัวนั้น
"ผมขอโทษไพม่อน! ผมขอโทษเหล่าบริวารของไพม่อนและขอโทษต่อผู้สนับสนุนซึ่งก็คืออีวาน ล๊อทบรอคด้วย! ผมได้หักล้างหลักฐานและบดขยี้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งเธอรักทุกคนมากๆ! พวกเขากล่าวหาผมในคดีที่ผมไม่ได้กระทำ พวกเขาเชิดจมูกของพวกเขาสูงเพียงเพราะพวกเขามีอำนาจอันยิ่งใหญ่เท่าเล็บนิ้วมือภายในจักรวาลที่กว้างใหญ่ของพวกเรา และพวกเขาเป็นบุคคลที่ไม่รู้วิธีให้ความเคารพแก่คนอื่น แต่ทุกคนต้องรักทั้งสองบุคคลนี้อยู่ดี โอ้ ท่านเทพธิดาคงจะโปรยความโกรธแค้นของพวกเขาลงสู่ตัวผมเป็นแน่แท้! โอ้, เอรีบัส, โอ้, เนเมซิส, เทพธิดาที่น่ากลัวที่สุด! ถ้า, บางที, พวกท่านทั้งหมดอยู่บนท้องฟ้า—- ถ้าพวกท่านไม่ได้ทำอะไรอื่นและกำลังมองลงมายังผมจากบัลลังค์ของพวกท่าน—–"
ผมมองขึ้นไปเสมือนนักพยากรณ์ที่คอยรับพระบัญชาจากพระเจ้าโดยตรง ร่างกายของผมขยับอย่างเอาจริงเอาจังและเสียงของผมก็ดังออกมาอย่างสง่างาม ผมดูราวกับว่าผมกำลังจะได้รับรางวัลสำหรับนักแสดงนำยอดเยี่ยมแห่งปีเลยแหละ
"ผมอาจจะได้รับการศึกษามากเกินไปและเปี่ยมล้นไปด้วยการกลั่นกรองต่อความเชื่อในตัวท่านเทพธิดา ดังนั้นผมจึงไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่าพวกท่านทุกคนมีอยู่จริงบนท้องฟ้า แต่ถ้าหากบังเอิญมันดันเป็นจริง พวกท่านทั้งหมดอยู่ที่นั่นจริงๆ–ท่านเทพธิดา! จงอย่าให้อภัยแก่เศษสวะที่ชื่อดันทาเลี่ยนนี้เลยผู้ซึ่งเยาะเย้ยผู้นำฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของปีศาจและมากระทืบผมที! "
“……”
"อย่างไรก็ตาม ถ้าผมพูดถึงความคิดส่วนตัวของผม—แม้ว่าผมจะคิดว่าเรื่องนี้จากความคิดเห็นส่วนตัวของผมจะเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนและไร้ข้อสงสัยเกี่ยวกับมันก็ตาม ไม่ว่ายังไงก็เถอะ เท่าที่ผมต้องการจะถ่อมตัวเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเทพธิดา ผมจะขอพูดเรื่องนี้ด้วยความนอบน้อมอย่างบริสุทธิ์ใจก็แล้วกัน — ถ้าท่านเห็นด้วยกับความเห็นส่วนตัวของผมที่ว่า ไพม่อนและอีวาน ล๊อทบรอคช่างซวยสุดๆและทั้งคู่เป็นเนื้อหมูเน่าๆที่ใกล้เคียงกับขยะอันไม่สามารถรีไซเคิลได้ — งั้นท่านเทพธิดาเหี้ย! กรุณาอย่าทำอะไร, อย่าทำห่าอะไรเลยอีกเลย และยอมให้ผมใช้ชีวิตของผมตามที่ผมต้องการเถอะ! ในเมื่อผมเก่งกาจกว่าเป็น 1000 เท่าต่อเทพธิดาบางองค์ที่นั่งอยู่เฉยๆและใช้ชีวิตไปวันๆ! "
……
เงียบสนิท
เจ้าแมวสีเทารู้สึกประหลาดใจและมองมาทางนี้ด้วยดวงตาที่เบิ่งกว้าง เจ้าแมวต้องลืมไปแล้วแน่ๆว่ามันกำลังทำความสะอาดขนของมันเองอยู่เนื่องจากเท้าหน้าของมันได้ยกค้างอยู่กลางอากาศ มันไม่น่าแปลกเลย มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นพยานเห็นอำนาจอันทรงพลังของผมและการสารภาพผิดอันโอ่อ่าสง่างามเกี่ยวกับความเลื่อมใสศรัทธา มันเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังพักผ่อนอยู่ที่ด้านหลังของภูเขาและจากนั้นในทันทีทันใดโมเสสก็เดินลงมาจากยอดเขา ผมเข้าใจในความรู้สึกของเจ้าแมวนะ นั่นคือปริมาณความเข้าใจที่ผมมีอย่างเอ่อล้นอยู่
"ฮู่ ฮู่ …… "
ผมปรับลมหายใจของผม
ตอนนี้ความมึนเมากำลังสลายหายไป
ผมหันกลับไปและเผชิญหน้ากับลาพิส ลาซูรี่ ซึ่งเธอกำลังจ้องมองผมด้วยสีหน้าอันไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนเดิม ผมยกนิ้วชี้ขึ้นและชี้ไปยังเพดาน
"ดูสิ ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย"
“……”
"หากลองคิดอย่างมีเหตุผลดู พวกเราจะสามารถได้ข้อสรุปสามอย่างจากเรื่องนี้ ประการแรก ท่านเทพธิดาได้ทรงให้อภัยด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อความบ้าบิ่น, ขาดความรับผิดชอบ และความบุ่มบ่ามจนน่าตลกขบขันของข้า โอ้ ลาล่า, จริงๆแล้วเธอเป็นเด็กสาวที่โดดเด่นมากๆนะ และมันมีโอกาสที่เธอจะโดดเด่นกว่าข้าซะด้วยซ้ำ — แน่นอนว่า นั่นเป็นหัวข้อที่จะก่อให้เกิดการโต้แย้งกันมาก — แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่โดดเด่นเท่ากับเทพธิดาหรอก และต่อมา, ประการที่สอง เนื่องจากท่านเทพธิดาได้ทรงให้อภัยผมแล้ว เธอก็ต้องให้อภัยผมด้วยเช่นเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการมีทัศนคติอันอ่อนน้อมถ่อมตัวอะนะ และสุดท้ายประการที่สาม ท่านเทพธิดาได้ยอมรับแล้วว่าไพม่อนและอีวาน ล๊อทบรอคมีความคล้ายคลึงกับเศษเนื้อหมูที่เน่าเปื่อย ดังนั้นการกระทำอันส่งผลคุกคามต่อพวกเขาถือว่าไม่มีปัญหาไม่ว่าจะในด้านศาสนา กฏหมาย และจริยธรรมก็ตาม เอาล่ะ ถ้าเธอมีอะไรที่จะกล่าวต่อตรรกะที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอนของข้า งั้นก็เชิญเลยจ้า "
ช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบได้กลับคืนสู่ทางเดินพระราชวังอีกครั้งนึง
พวกเราได้เขม่นมองกันอยู่สักพักหนึ่ง
จากนั้นลาพิส ลาซูรี่ก็เปิดปากของเธอและกล่าวว่า
"ฝ่าบาทพล่ามจบหรือยัง?"
“อืม”
"เราผู้นี้ต้องเปิดโปงหรือเปล่าว่าฝ่าบาทได้ใช้เทคนิควาทศิลป์ขั้นต้นซึ่งก็คือ 'การใช้หลักฐานเท็จ' น่ะ?
“ม่ายต้องหรอก”
"มีเหตุผลอะไรบ้างมั้ยที่เราผู้นี้ต้องเตือนฝ่าบาทให้เห็นว่ามันมีภัยอันตรายทางการเมืองขนาดไหนกันจากการประกาศอย่างชัดเจนในที่สาธารณะว่าไม่เชื่อในพระเจ้า?"
"ไม่มีเลย"
"ฝ่าบาทคิดว่าเราผู้นี้ควรจะตอบสนองต่อเจ้านายที่มีตรรกะ ทัศนคติทางการเมืองและหลักเทววิทยาที่วิบัติอย่างไรดีคะ?"
"ข้าคิดอะไรไม่ออกเลย"
"เราผู้นี้ก็คิดอย่างนั้นเช่นกันค่ะ"
“ลาล่า จริงๆแล้วข้าไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้องหรอกนะเนื่องจากข้ายังคงเมาอยู่น่ะ แต่ข้าอยากให้เธอเชื่อมั่นว่าข้าได้วางแผนการที่สมบูรณ์แบบเอาไว้แล้วอันจะทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกเลยแหละ ข้าจะอธิบายให้เธอฟังหลังจากที่พักสักแปปนึงนะ จากนั้นหลังจากที่ได้ฟังแล้วแม้แต่เธอก็คงจะชื่นชมมันแน่ๆ ดังนั้นสำหรับตอนนี้ เรากลับไปที่ห้องของพวกเราก่อนดีกว่า เอนกายลงบนเตียงและหารือเกี่ยวกับส่วนที่เหลือ …… "
"เราผู้นี้รู้ค่ะ"
"ฮะ?"
"เราผู้นี้เชื่อว่าฝ่าบาทได้คิดแผนการที่ละเอียดถี่ถ้วนค่ะ"
ผมกระพริบตาปริบๆ
"นั่นมัน, เอ่อ, ข้าจะพูดว่ายังไงดี … ค่อนข้างผิดคาดแฮะ"
"เราผู้นี้รู้ดีว่าสันดารที่แท้จริงของฝ่าบาทเป็นเหมือนดั่งนักล่า ถ้าจะให้แม่นยำก็คือแมงมุม ก่อนที่ก้าวเดินหนึ่งก้าว ฝ่าบาทจะมองไปข้างหน้าถึง 10 ก้าว และหากไม่แน่ใจว่าจะเป็นการล่าที่สมบูรณ์แบบ ฝ่าบาทก็จะรอคอยอย่างอดทนต่อไป ผู้คนอาจคิดว่าฝ่าบาทเป็นพวกเบี้ยวหนี้แถมไม่มีดีอะไรเลยเมื่อพวกเขาเห็นฝ่าบาทไม่เคลื่อนไหวและพวกเขาจะหัวเราะในเชิงเยาะเย้ย แต่ในความเป็นจริง ฝ่าบาทเพียงกำลังรอคอยให้เหยื่อของท่านถูกจับได้โดยใยต่างหาก ”
"……ขอบคุณสำหรับคำชมน้า?"
หัวของผมรู้สึกว่างเปล่าดังนั้นผมเลยไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลาพิส ลาซูรี่ได้ชมเชยผมแบบนี้นะ โดยที่ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดีในขณะนั้น ผมจึงขมวดคิ้วของผมและกล่าวว่า
"งั้นทำไมเธอถึงปฏิบัติตัวเลวร้ายต่อข้าล่ะ?"
"เนื่องจากสภาพจิตใจของฝ่าบาทวิปริตบิดเบี้ยว ดังนั้นเราผู้นี้จึงตัดสินว่าฝ่าบาทจำเป็นต้องมีข้ารับใช้ที่ควรจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดเวลาและคอยดุด่าตักเตือนฝ่าบาทค่ะ"
“ลาล่า ข้าเป็นผู้ใหญ่ที่โตเต็มวัยแล้วนะ ข้าไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องมีบุคคลที่คล้ายแม่และคอยฟังเสียงจู้จี้ขี้บ่นหรอกนะ …… "
ในตอนนั้นเอง
อย่างช้าๆ
ลาพิส ลาซูรี่ได้คว้าเนคไทของผมอย่างเนิบๆ
ในช่วงเวลาอันสั้นๆของผมที่กำลังสับสนอยู่ ลาพิส ลาซูรี่ก็ดึงผมเข้ามาใกล้
ผมไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าสาเหตุทางกายภาพแบบใดกันที่ซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเรียบง่ายและชัดเจนว่า
ลาพิส ลาซูรี่ได้ขโมยริมฝีปากของผม
“……”
“……”
ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่นุ่มนวลบนริมฝีปากของผม
ผมสงสัยว่าเวลาน่าจะผ่านไปราวๆ 10 วินาที พวกเราจึงค่อยๆพัดพาออกจากกัน
เมื่อทั้งสองคนแยกออกจากกัน มันคงจะรู้สึกเก้ๆกังๆเป็นแน่แท้แม้ว่าพวกเขาจะแชร์บทสนทนาไร้สาระทั่วๆไปเป็นร้อยๆครั้งต่อก็ตาม แต่ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงันนี้ มันรู้สึกสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะแยกออกจากกันน่ะ เมื่อการจูบได้จบสิ้นลงและพวกเราได้กลับคืนสู่ระยะห่างเดิมของพวกเราแล้ว ผมรู้สึกว่าระยะห่างนั้นดูเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลย
ลาพิส ลาซูรี่ได้กระซิบออกมาว่า
"เราก็ไม่ตั้งใจที่จะทำตัวเยี่ยงแม่ของฝ่าบาทหรอก"
“…… ลาล่า”
ผมพูดอย่างระมัดระวัง
"ข้ายอมรับว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าได้กล่าวเรื่องลามกหลายเรื่องเช่นการจูบเป็นต้น แต่ทว่า นั่นเป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินในการเฝ้าดูปฏิกิริยาที่เอียงอายของเธอหรอกนะ และมันก็ไม่มีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งอีกด้วย ถ้าโดยบังเอิญ ข้าได้ปลูกฝังความเข้าใจผิดอันสืบเนื่องมาจากการกระทำเหล่านั้น งั้นข้าก็ขอโทษด้วยจากใจจริง ณ ที่นี้และ …… "
"เรารู้เรื่องนั้นเช่นกันค่ะ ฝ่าบาท "
ลาพิส ลาซูรี่พูดตัดบทผม
และเธอก็ดึงเนคไทของผมลงอีกครั้งนึง
"เพราะฉะนั้น ได้โปรดกรุณาหุบปากด้วยค่ะ"
พวกเราได้ฝังกายอยู่ภายใต้ทางเดินอันมืดมิดไปแล้ว
หลังจากการจูบครั้งที่สอง ใครที่ลงมือก่อน, ฝ่ามือของใครกันที่คว้าร่างกายของอีกฝ่ายเป็นคนแรก และใครคนแรกที่ผลักอีกฝ่ายเข้าสู่มุมที่มืดที่สุดของทางเดิน พวกเราไม่สามารถบอกได้หรอก และมันได้กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วที่จะถกเถียงถึงลำดับขั้นตอนที่เกิดขึ้น
สิ่งเดียวที่ผมสามารถจำได้อย่างชัดเจน ก็คือดวงตาสีฟ้าอันทอประกายแวววาวอย่างเงียบงันของเธอ
เมี้ยววว~
เจ้าแมวสีเทาได้ร้องเมี้ยวออกมา
เจ้าแมวที่อาบอยู่ใต้แสงจันทร์ได้ยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเอือมระอา