Dungeon Defence - ตอนที่ 14
จอมมารลำดับ 71 จอมมารที่อ่อนแอที่สุด ดันทาเลี่ยน
ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 15, เดือน 8
ปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยน
การออกจากบ้านมีแต่นำมาซึ่งความยุ่งยากลำบาก
ผมขอประกาศว่าประโยคที่พูดมาเมื่อกี้คือสัจธรรม
คนเรานั้นเรียนรู้บทเรียนชีวิตจากชีวประวัติของผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
และความจริงที่ผมได้ค้นพบหลังจากการไล่อ่านประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติตั้งแต่สมัยโบราณกาลก็คือ ทุกเหตุการณ์บนโลกนี้มันเกิดขึ้นก็เพราะว่าเจ้าตัวออกไปนอกบ้านของตนนั่นเอง
เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องทรมาณทรกรรมลำบากก็เพราะว่าหนีออกจากบ้าน เหตุผลที่ซีซาร์ถูกลอบสังหารก็เพราะเดินเรื่อยเปื่อยนอกบ้านตัวเองมากเกินไป
ความตายที่น่าจดจำที่สุดก็คือความตายของนักปรัชญาที่ชื่อว่า เรอเน เดการ์ต ปกติแล้วชายคนนี้มักจะใช้เวลานอนหลับพักผ่อน แต่อยู่ ๆ เจ้านายของเขาก็สั่งให้ ‘มาทำงานตั้งแต่ตีห้า’ จนเป็นเหตุให้ เรอเน เดการ์ต ตายเพราะทำงานหนักมากเกินไป หลังจากที่ผมได้เรียนรู้โศกนาฎกรรมครั้งประวัติศาสตร์นี้แล้ว ผมก็ได้ข้อสรุปตั้งแต่สมัยยังเด็กว่า: ถ้าคนเราไม่ออกไปนอกบ้าน ก็จะอยู่รอดปลอดภัยอย่างแน่นอนนั่นเอง
หากผมเผยแพร่ข้อสรุปอันสุดยอดนี้ของผมออกไปล่ะก็ เหล่านักวิชาการทางประวัติศาสตร์จะต้องยกย่องให้มันเป็นหนึ่งในสุดยอดของข้อสรุปอย่างไม่ต้องสงสัย และชื่อของผมก็จะได้รับการจารึกเอาไว้ในฐานะผู้บุกเบิกทฤษฎีนี้ในหน้าประวัติศาสตร์
แต่ผมกลับไม่สามารถที่จะมีความสุขได้
เพราะในโลกนี้นั้น มีพวกที่อิจฉาบุรุษอัจฉริยะอย่างผมอยู่เต็มไปหมด แม้ผมอาจจะสามารถทำให้เหล่านักวิชาการทางประวัติศาสตร์ทั้งหลายรู้สึกทึ่งได้ แต่การจะทำตัวให้เป็นที่นิยมชมชอบในประชาชนทั่วไปนั้นมันเป็นอะไรที่ยากมาก โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ มานี้ ผมต้องตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกหมองหม่นทุกเช้า ราวกับอัจฉริยะในโศกนาฎกรรมที่ถูกความอิจฉาริษยาของผู้อื่นกัดกินทั้งเป็น……
“ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน”
ตัวต้นเหตุของโศกนาฎกรรมที่ว่านี่ก็คือ แลพิส แลซูลี นี่เอง
ราวกับเป็นการประชดประชัน สาเหตุที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเธอได้กลายเป็นข้ารับใช้คนแรกของผมนี่แหละ
“นี่เป็นเวลา 11 นาฬิกาแล้ว ได้โปรดตื่นเถอะค่ะ”
“อือ อืมมม…… 11 โมงเนี่ยมันเพิ่งจะรุ่งสางเองไม่ใช่เหรอ……?”
“เราผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มคัดค้านจากตรงไหนก่อนดี แต่ถ้าหากเราผู้นี้จะต้องพูดอะไรสักอย่างแล้วล่ะก็ เราขอยืนยันว่าเวลา 11 นาฬิกานั้นมันไม่ใช่รุ่งเช้าอย่างแน่นอน”
แลพิส แลซูลี ตอบกลับมาอย่างสงบนิ่ง
ยัยซัคคิวบัสที่ไร้ความยืดหยุ่นคนนี้ ก็คือตัวแทนของประชาชนพวกที่ว่า เธอพยายามที่จะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตฮิคิโคโมริของผมอย่างสุดชีวิต ราวกับเข้าใจอะไรผิดไปว่านั่นคือหน้าที่ที่ได้รับประทานมาจากพระเจ้าหรืออะไรสักอย่าง
ผมร้องคร่ำครวญออกมาราวกับพวกนักการเมืองที่ถูกโจมตีโดยสื่อมวลชน
“ใคร และด้วยสิทธิ์อะไร ถึงมาบอกว่า 11 โมงมันไม่ใช่เวลารุ่งสาง……?”
“เหมือนสิ่งที่เรียกกันว่าสามัญสำนึกจะว่าเอาไว้เช่นนั้นค่ะ”
ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวของผม
การที่คิดจะดึงตัวผมออกมาจากความรู้สึกที่สุขสบายเช่นนี้ หากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความโหดร้ายทารุณอย่างที่สุดจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ล่ะก็ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่าอะไรได้อีก ผมมั่นใจว่านอกจากอาการปวดประจำเดือนของยัยซัคคิวบัสคนนี้จะแย่ลงกว่าเดิมแล้ว สติสตังของเธอก็คงจะเพี้ยนไปด้วยอย่างแน่นอน
“คนส่วนมากต่างก็เป็นโรคจิตกันคนละอย่างสองอย่างกันทั้งนั้น สิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่ากฎที่พวกป่วยทางจิตสร้างขึ้นมาเพื่อพวกมันเอง เหมือนกับกฎในโรงพยาบาลบ้านั่นล่ะ ดังนั้น ในฐานะตัวตนเฉพาะที่มีจิตปกติเพียงหนึ่งเดียวอย่างข้า จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้กับแรงกดดันของพวกป่วยทางจิตเป็นอันขาด……”
“เฮ้อ… ฝ่าบาทได้นอนติดต่อกันมาเป็นเวลา 22 ชั่วโมงแล้วนะคะ”
ให้มันรู้จักความพอดีแล้วลุกขึ้นมาซะ
นี่คือคำเตือนเล็ก ๆ ที่ผมรับรู้ได้จากน้ำเสียงของเธอ
ผมกอดหมอนของผมแน่นยิ่งกว่าเดิม แสดงท่าทางขัดขืนออกไปอย่างสุดชีวิต
“เลิกคิดแบบยึดติดได้แล้ว ยังไงซะวันสิ้นโลกก็ยังไม่มาถึง และในเมื่อโลกมันยังไม่ถึงจุดจบ การที่ได้นอนเพิ่มขึ้นมาอีกแม้ 10 นาทีก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าไม่ใช่หรือ”
“……เมื่อกี้นี้ฝ่าบาทถึงกับพูดเรื่องวันสิ้นโลกเพียงเพราะต้องการนอนเพิ่มขึ้นอีก 10 นาทีงั้นหรือ? เราผู้นี้ไม่อาจที่จะทำอะไรได้นอกจากทึ่งในหลักเหตุและผลที่ก้าวกระโดดไปอย่างผิดธรรมดายิ่งของฝ่าบาทจริง ๆ”
แลพิส แลซูลี แกล้งพูดตอบกลับมาราวกับว่าเธอกำลังอึ้งอยู่
“มันคือการแหกกรอบความคิดเดิม ๆ ต่างหาก ข้าน่ะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ราวกับว่าทุกวันคือวันสุดท้ายในชีวิตของข้า สรุปก็คือข้าพยายามที่จะขี้เกียจอย่างเต็มที่ทุกวันยังไงล่ะ”
“ไม่ว่าเราผู้นี้จะพินิจพิจารณาอย่างไร ก็ไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่า ขี้เกียจ กับ พยายามอย่างเต็มที่ จะเป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันอย่างยิ่งเช่นนี้ ฝ่าบาทช่างคอยสรรหาวิธีการใช้คำพูดที่วิเศษมหัศจรรย์มาได้อยู่เสมอจริง ๆ”
เพี๊ยะ
ผมได้ยินเสียงดีดนิ้วดังลอดผ่านเข้ามาในผ้าห่มของผม
จากนั้น ผ้าห่มของผมก็เริ่มขยับไม่หยุดและลอยขึ้นไปเอง ผมโดนใช้เวทมนตร์ใส่เข้าแล้ว ผมรีบลุกขึ้นมาและพยายามที่จะคว้าขอบผ้าห่มเอาไว้ให้ได้ แต่ทุกอย่างมันก็สูญเปล่า
“อ๊ะ อ๋าา! เดี๋ยวก่อน!”
“กรุณาใช้เวลานอนหลับแต่เพียงพอดีด้วย ชีวิตคนเรานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องนอนมากเกินความพอดีแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายหลังจากที่คนเราตายไปแล้ว ทุกคนก็ได้นอนหลับไปตลอดกาลในหลุมศพของตัวเองกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?”
ผ้าห่มของผมลอยกระเด็นไปอีกฝั่งของห้อง
ผมจ้องเขม็งไปที่ แลพิส แลซูลี อย่างโกรธเกรี้ยว
“ใช้เวทมนตร์แบบนี้มันโกงกันชัด ๆ !”
“เราผู้นี้นึกว่าฝ่าบาทเป็นผู้ที่ชมชอบการเล่นโกงเสียอีก”
“คนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้โกงได้ก็คือข้าเท่านั้น ส่วนคนอื่นน่ะก็ใช้ชีวิตไปอย่างซื่อตรงไปก็พอแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ข้าคนนี้ก็จะกอบโกยหากำไรได้ตลอดเวลาที่ข้าต้องการยังไงล่ะ เรื่องนี้มันมีอะไรผิดหรือไง!?”
“ดูท่าเราผู้นี้คงจะเลือกรับใช้เจ้านายผิดคนไปแล้วจริง ๆ ……”
แลพิส แลซูลี ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ฝ่าบาท ค่ำคืนแห่งวาลพัวร์กิสกำลังจะถูกจัดขึ้นมาในวันมะรืนนี้แล้ว หากพวกเรายังไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ บางทีพวกเราอาจจะไปไม่ทันร่วมงานก็ได้”
“ก็ไม่ต้องเข้าร่วมสิ อย่างนั้นล่ะดีแล้ว ไม่ต้องไปร่วมงาน เป็นอะไรที่ฟังดูดีออกจะตาย”
“จะได้อย่างไรกัน หากฝ่าบาทดันทาเลี่ยนผู้ถือครองยารักษาโรคระบาดจำนวนมหาศาลไม่เข้าร่วมการประชุมเพื่อหาทางตอบโต้การระบาดของโรคติดต่อนี่แล้ว ฝ่าบาทจะต้องถูกวิจารณ์และตำหนิอย่างรุนแรงเป็นแน่ หากเพื่อรักษาเกียรติยศของฝ่าบาทแล้วล่ะก็ เราผู้นี้ก็พร้อมที่จะใช้มาตรการรุนแรง”
“โฮ่ ดูท่าเธอตั้งใจที่จะเอาให้ได้จริง ๆ เลยสินะ”
ผมส่งเสียง ฮึ ออกมา
“แต่เสียใจด้วย ข้าน่ะไม่มีทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครอบครัว หรือแม้กระทั่งเพื่อนสมัยเด็กที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่สมัยเด็ก นั่นก็คือ ข้าน่ะเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานยังไงล่ะ! ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ เลยว่าเธอจะใช้วิธีการอะไรในการโค่นล่มข้า จอมมารดันทาเลี่ยน ผู้ซึ่งไม่มีจุดอ่อนแม้แต่อย่างเดียวผู้นี้ เอาเลยสิ ใช้มาตรการรุนแรงอะไรนั่นที่เธอภูมิใจนักภูมิใจหนาออกมาได้เลย
“ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านบัญชา”
เพี๊ยะ
แลพิส แลซูลี ดีดนิ้วของเธออีกครั้ง
และหมอนทีผมกอดเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ได้ลื่นไหลหลุดออกไปจากอ้อมกอดของผม
“โนวววววววว!?”
“เราจะทำให้คำสั่งของฝ่าบาทสำเร็จลุล่วงเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
“ทำไมเธอถึงทำท่าเชิดคางอย่างภาคภูมิใจแบบนั้นล่ะหา!? คืนหมอนของข้ามาเดี๋ยวนี้นะ! นั่นน่ะไม่ใช่หมอนธรรมดานะเฟ้ย! แต่มันคือวิญญาณ มันคือส่วนหนึ่งของวิญญาณของข้าเลยนะ!”
“ขออภัย”
จากนั้น หมอนของผมก็ระเบิดกระจายไปพร้อมกับ เสียงดัง ‘ปุ้ง’
ขนนกสีขาวฟุ้งกระจายและร่วงหล่น
“มายยย พริตตี้ โซลลลล!?”
ผมร้องตะโกนออกไป
ราวกับผู้กล้าที่เพิ่งจะสูญเสียเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นนักเวท(ที่หมั้นหมายกันแล้วแถมยังท้องสองเดือน)ไปด้วยฝีมือของจอมมาร
ตัวของผมสั่นกระตุกอย่างรุนแรง
“จิตวิญญาณนั่นได้ตายเสียแล้วล่ะค่ะ”
“ยัยปีศาจ!”
“จะเรียกเราผู้นี้ว่าปีศาจก็หาได้เป็นไรไม่ เรายินยอมใช้หนทางของปีศาจเพื่อผลักดันให้ฝ่าบาทลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยตัวเอง ต่อให้ฝ่าบาทจะตัดสินใจลงโทษ เราผู้นี้ก็จะจงรักภักดีในตัวฝ่าบาทจนถึงที่สุด”
“แล้วทำไมฝ่ายที่ทำท่าทางใหญ่โตถึงได้กลายเป็นเธอไปได้!? นี่ตำแหน่งของพวกเรามันสลับกันอยู่ไม่ใช่เรอะ!?”
“ต้องขออภัยด้วย แต่ความจริงแล้วเราผู้นี้เป็นข้ารับใช้ที่มีความสามารถล้นเหลืออย่างยิ่งของฝ่าบาทค่ะ”
“ฟังดูเหมือนกับว่ากำลังสำนึกผิด แต่จริง ๆ แล้วกำลังกวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ ……!?”
“เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่เราผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทดันทาเลี่ยน และในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เราก็ได้ทำการพบปะกับบริษัทต่าง ๆ ไม่น้อยไปกว่า 72 บริษัทเพื่อทำการขายยารักษาให้ นอกจากนี้เราก็ได้ค่อย ๆ ทำการปล่อยยารักษาออกมาในตลาดทีละนิด ทำให้ขายได้ในราคาที่สูงลิบลิ่วถึง 10 เหรียญทองต่อสำรับ ก็ตามที่ว่ามานั้นเอง ในขณะนี้เราสามารถหาเงินเข้าคลังสมบัติของฝ่าบาทได้เป็นเงินทั้งหมด 50,000 ลิบราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมีสมุนไพรเหลืออยู่อีกถึง 25,000 สำรับที่ยังไม่ได้ขายออกไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การค้าขายในครั้งนี้ของเรา จะต้องได้รับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน”
“นี่เธอมีความสามารถถึงขั้นนั้นจริง ๆ เรอะ……!?”
“ก็อย่างที่ว่ามา เราผู้นี้สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ถ้าเอาตัวเราไปเทียบกับฝ่าบาทที่ใช้เวลาที่ผ่านมาทั้งเดือนกับการเกี้ยวพาราสีหมอนแล้ว ความสามารถระหว่างเราสองคนก็คงจะอยู่กันคนละมิตินั่นล่ะค่ะ”
เรื่องที่เธอพูดมามันน่าตกตะลึงก็จริง แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องที่เธอสามารถพูดทั้งหมดนั่นออกมาโดยที่ยังทำหน้าตายได้อยู่มันออกจะน่าตกตะลึงยิ่งกว่าอีก
ถ้าผมจำไม่ผิด รายรับทั้งปีของจักรวรรดิแฮบสเบิร์ก ในเกม มีจำนวนทั้งหมด 500,000 เหรียญทอง และ แลพิส แลซูลี ก็สามารถหาเงินจำนวน 1 ใน 10 ของทั้งหมดนั้นได้ในเวลาเพียงเดือนเดียว
ผมยอมรับว่าฝีมือของเธอนั้นสุดยอดเหนือคำบรรยาย
นี่ถ้าเธอไม่ได้ก่อกวนการนอนหลับของผมล่ะก็ ป่านนี้ผมคงเอามือลูบหัวเธอไปแล้ว
ทว่า นอกจากเธอจะปล้นชิงผ้าห่มไปจากผมแล้ว เธอยังทำลายหมอนของผมไปอีก… เธอได้กระทำความผิดที่ไม่อาจแก้ไขได้และก้าวข้ามแม่น้ำ รูบิคอน ไปเป็นที่เรียบร้อย
ไม่สามารถที่จะประนีประนอมยอมความกันได้อีก
ผมในฐานะสมาชิกสภาสูงที่ทรงเกียรติของสาธารณรัฐโรมัน รู้สึกจงเกลียดจงชังทรราชย์ที่ไม่รู้จักจุดยืนของตัวเองแล้วพยายามทำตัวเป็นเผด็จการอย่างยิ่ง ตอนนี้จงหลงระเริงและเฉลิมฉลองในชัยชนะของตัวเองไปเถอะ จูเลียส ซีซาร์ แต่จงรู้เอาไว้ว่า ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็จะต้องตายด้วยเงื้อมมือของลูกที่เจ้าคิดว่าเป็นคนดีและอ่อนโยนนั่นเอง……
“…… เราผู้นี้จะทำอย่างไรดี เพียงเพราะเราแค่ทำลายหมอนไปเท่านั้น ชายที่เราผู้นี้ให้สัตย์สาบานว่าจะรับใช้ในฐานะนายเหนือหัวก็ได้จ้องมองเราด้วยสายตาเคียดแค้นประหนึ่งจ้องมองศัตรูคู่อาฆาต เราผู้นึ้สึกตกตะลึงเสียยิ่งกว่ารู้สึกลำบากใจซะอีก”
“ลาล่า”
ผมเตือนเธออย่างจริงจัง
“เธอจะอ้างชื่อของข้าเพื่อใช้อำนาจก็ไม่เป็นไร เธอจะฉวยโอกาสหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองข้าก็ไม่ว่า แต่มีเรื่องหนึ่ง เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น…… นั่นคือห้ามทำการดูถูกย่ำยีหมอนของข้าไม่ว่าจะในกรณีใด ๆ ! เข้าใจไหม? นี่ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด!”
แลพิส แลซูลี จ้องมองมาที่ผม
ด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองขยะอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้
พวกเลือดผสม, แลพิส แลซูลี
ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 15, เดือน 8
ปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยน
ในที่สุด เราก็สามารถลากฝ่าบาทออกมาข้างนอกได้สำเร็จ
ตามข้อมูลของฝ่าบาทดันทาเลี่ยน เป็นเวลา 4 เดือนแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้ออกมาข้างนอก นับตั้งแต่ตอนที่กลุ่มของนักผจญภัยริฟบุกเข้ามาในปราสาท ฝ่าบาทก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในถ้ำตลอด
หรือว่าบางที ฝ่าบาทจะไม่ได้เป็นจอมมารแต่เป็นแวมไพร์กันนะ? ถึงจะเป็นเรื่องบ้าบอเช่นนั้นแต่เราตอนนี้ก็พร้อมที่จะเชื่อเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกทึ่งกับความขี้เกียจของฝ่าบาทกันทั้งนั้นแหละ
“ดะ-ดวงอาทิตย์ ช่างเจิดจ้าเหลือเกิน……!”
ทันทีที่พวกเราออกมานอกถ้ำ ฝ่าบาทก็ร้องตะโกนออกมาทันที
เอามือปิดหน้าปิดตาตัวเอง ลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้นดิน ……นี่ฝ่าบาทเป็นพวกกูล(Ghoul)หรือยังไงกัน? ฝ่าบาทเป็นพวกอันเดดที่เนื้อหนังจะเปื่อยละลายเมื่อโดนแสงอาทิตย์กระนั้นหรือ?
ที่ทำให้แย่ลงไปอีกก็คือ ณ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาเที่ยงวัน แต่มันล่วงเลยเข้ายามเย็นไปแล้ว แสงอาทิตย์อัศดงที่เคลื่อนคล้อยอยู่บนฟากฟ้าในเวลานี้ มันจืดจางเสียจนแม้แต่เหล่ากูลที่อวัยวะภายในเน่าเฟะไปแล้วยังสามารถออกมาเดินเล่นอย่างดี๊ด๊าได้ ซึ่งหลังจากที่เราพูดถึงความจริงข้อนี้ให้ฝ่าบาทฟัง ฝ่าบาทก็หันมามองเราด้วยสีหน้าขึงขัง
“ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าทัศนียภาพของพระอาทิตย์ยามเย็นนี้มันช่างสวยงามขนาดไหน มันตระการตาเสียจนแม้แต่ผู้ที่เหนื่อยหน่ายในชีวิตอย่างข้ายังรู้สึกแสบตาในความเจิดจ้าของมันต่างหากล่ะ”
“ถ้อยคำของฝ่าบาทนั้นอาจจะฟังดูดี แต่ท่าทางของฝ่าบาทเมื่อกี้นี้มันอุบาทว์ที่สุดเลยล่ะค่ะ”
ตัวเราเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เลยว่า
ชายขี้เกียจคนนี้ ‘คือ’ จอมมารดันทาเลี่ยนที่ปั่นหัวบริษัท Keuncuska จนแทบจะไปไม่เป็นคนนั้น? นี่ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอะไรใช่ไหม?
เสียงทอดถอนหายใจดังออกมาจากปากของเรา นี่เป็นการถอนหายใจครั้งที่ 21 ของวันนี้แล้ว คงต้องระมัดระวังไม่ให้มันติดเป็นนิสัยเสียแล้วสิ
“……เดิมที การใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายนั้นเป็นวิธีการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด แต่เพราะโรคระบาดลุกลามก็เลยทำให้เมืองต่าง ๆ มีคำสั่งห้ามใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้าย ดังนั้นในวันนี้พวกเราก็จะเดินทางไปด้วยวิธีอื่น”
“ยอดเยี่ยมมาก สามารถวางแผนรับมือโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว นี่ล่ะคือผู้จัดการบริหารเมืองที่เก่งกาจ ข้าขอชื่นชมจากใจ และก็จะขอแสดงความเคารพด้วยการเฝ้ารออย่างอดกลั้นจนกว่าคำสั่งห้ามใช้เวทมนตร์จะถูกยกเลิก”
ฝ่าบาทหันหลังและพยายามที่จะเดินกลับไปยังทางเข้าถ้ำ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าก้าวที่สองออกไป ฝ่าบาทก็ต้องหยุดลง นั่นก็เพราะเราได้ตระเตรียมคว้าจับผ้าคลุมของฝ่าบาทเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
“เราผู้นี้จะไม่มีทางปล่อยให้ฝ่าบาทหนีไปได้อย่างเด็ดขาด”
“ยัยซัคคิวบัส ปวด-ประ-จำ-เดือน-ตลอด-กาล เอ๊ย”
“ต่อให้ฝ่าบาทด่าทอเราผู้นี้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก รู้ไหมว่าเราผู้นี้ต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงกว่าที่จะลากฝ่าบาทออกมาจนถึงตรงนี้ได้?”
“กระซิก……”
“ต่อให้ฝ่าบาททำหน้าสมเพชเวทนาแบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน แล้วขอบอกด้วยว่าหน้าตาน่าสมเพชเวทนานั่นมันไม่เหมาะกับฝ่าบาทเลยสักนิด และตั้งแต่นี้ต่อไปช่วยกรุณาอย่าทำอีกเด็ดขาดมิฉะนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายที่พบเห็นเกิดอาเจียนออกมาได้”
“นี่เธอพูดตรงเกินไปหน่อยหรือเปล่าหา!?”
เราดึงนาฬิกาพกออกมาเพื่อตรวจดูเวลา
เนื่องจากการเดินทางด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้ายนั้นทำไม่ได้ ครั้งนี้เราจึงได้เรียกพวกแม่มด
พี่น้องเบอเบอรเร คือหนึ่งในห้ากลุ่มแม่มดชาญศึกของโลกปีศาจ ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้ การเดินทางด้วยไม้กวาดจะเป็นอะไรที่ล้าสมัยไปแล้วเพราะการเข้ามาของเวทมนตร์เคลื่อนย้าย แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่นอีก เราก็ได้แต่ต้องใช้ในสิ่งที่เรามีนั่นล่ะ……
“พวกนั้นน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะค่ะ”
เข็มบนนาฬิกาพกชี้ไปที่ 11 นาฬิกา 55 นาที
นาฬิกาเรือนนี้เชื่อมต่อกับนาฬิกาพกของอีกฝ่าย และจะแสดงเวลาที่อีกฝ่ายจะมาถึง นี่เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่มีธุรกิจรัดตัว
จุดเริ่มต้นก็เคือเวลา 12 นาฬิกาตรง จากนั้นเวลาบนหน้าปัดจะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะทางระหว่างเรากับฝ่ายตรงข้าม ถ้าตอนนี้เข็มมันชี้อยู่ที่ 11:55 นาฬิกา ก็หมายความว่าฝั่งตรงข้ามอยู่ห่างไปในระยะเวลาเดินทาง 5 นาที หรือก็คือ พวกแม่มดกำลังจะมาถึงในเวลา 5 นาทีนั่นเอง
และถ้าเมื่อพูดถึงแม่มดแล้ว สิ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้ก็คือ
เสียงขับขานบทเพลงที่ดังแว่วมาแต่ไกล เสียงขับร้องที่เหมือนดังมาจากทางฟากฟ้า แต่ก็เหมือนดังมาจากทางฝั่งตรงข้ามผืนป่าที่อยู่เบื้องหน้าถ้ำในเวลาเดียวกัน
“โลกแห่งความฝันเอย พวกเราท่องไปบนฟากฟ้าแห่งเวทมนตร์
จงหมุนตัว และทุกอย่างก็จะหมุนตาม
โลกทั้งหลายก็จะหมุนวน ดาวตกก็จะหมุนวน ทุกอย่างก็จะหมุนตาม
จับมือกันไว้ พวกเราเหล่าแม่มดก็จะหมุนตาม
เธอหมุนสามครั้ง ฉันหมุนสามครั้ง พวกเราก็จะหมุนอีกสามครา
พวกเราไปด้วยกัน หมุนด้วยกัน และพวกเราก็จะหมุนวนกันอีกสามร้อยสามสิบสามครา”
เสียงร้องประสานดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ในตอนแรก พวกเธอดูเหมือนกับฝูงห่านที่กำลังบินอยู่บนฟ้า เว้นแต่ว่าพวกเธอนั้นตัวใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นห่าน ผ้าคลุมของพวกเธอนั้นคือส่วนปีก และไม้กวาดของพวกเธอก็เหมือนกับส่วนจะงอย
ตึก
แม่มดทั้ง 12 คนร่อนลงพื้นอย่างสง่างาม
และคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิด สัญลักษณ์แห่งฐานันดรศักดิ์ที่ไม่อาจมีผู้เทียบเทียม หนึ่งใน 72 จอมมารผู้บังคับบัญชากองทัพปีศาจ”
แม่มดที่ไว้ผมเปียสีบลอนด์หม่นท่าทางเหมือนกับเป็นหัวหน้าของทั้งหมดพูดขึ้น
“เป็นเกียรติอย่างสูงที่พวกเราได้รับอนุญาตให้มาอยู่เบื้องหน้าของฝ่าบาทค่ะ”
“ขอให้พรแห่งเทพธิดาเฮคาทีจงสถิตย์อยู่กับพวกเธอทุกคน เงยหน้าขึ้นเถอะ”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนตอบรับพวกเธออย่างถูกต้องตามมารยาททุกประการ
“ถึงจะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่พวกเราสองคนก็อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเธอแล้ว ช่วยดูแลพวกเราอย่างเต็มที่ด้วยนะ”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนพูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจังจนไม่เหลือเค้าลางของคนที่เพิ่งจะร้องตะโกนโวยวายเหมือนเด็กว่าพระอาทิตย์ทำให้แสบตาเมื่อกี้นี้แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนในตอนนี้ก็มีท่าทางราวกับจอมมารผู้เอาจริงเอาจังและทรงเกียรติไม่มีผิด
……ความสามารถในการเปลี่ยนท่าทางในพริบตาแบบนี้มันขี้โกงชัด ๆ
“ค่ะ นายท่าน พวกเราพี่น้องเบอเบอรเรจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้การเดินทางของฝ่าบาทนั้นเต็มไปด้วยความสุขสบายและผ่อนคลายอย่างที่สุดค่ะ!”
แม่มดที่เป็นหัวหน้าขานรับด้วยท่าทางร่าเริง
เธอคงจะไม่รู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนแม้แต่น้อย สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้จอมมาร เราผู้นี้รู้สึกอิจฉาความใสซื่อนั้นของเธอเหลือเกิน……
หมวกทรงโคนแหลมที่ปิดส่วนศรีษะของพวกเธอไปถึง 2 ส่วน 3 นั้นดูน่ารักไม่น้อย และในระหว่างที่เหล่าแม่มดทั้งหลายกำลังวุ่นวายอยู่กับการเขียนวงเวทเพื่อเตรียมตัวเดินทางอยู่นั้นเอง
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนก็ยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูเรา
“ลาล่า เธอไม่คิดหรือว่าแม่มดพวกนี้ออกจะดูเด็กเกินไปหน่อย?"
“……ใกล้เกินไปแล้วค่ะฝ่าบาท ช่วยถอยออกไปด้วย”
“อ๊ะ โทษที ๆ "
มีหลายครั้งหลายคราที่เรารู้สึกลำบากใจกับเรื่องที่ฝ่าบาทชอบเข้ามาใกล้ตัวเราเกินไป
หรือฝ่าบาทจะลืมไปแล้วว่าตัวเรานั้นเป็นเพียงชนชั้นจัณฑาล?
โชคยังดีที่เหล่าแม่มดนั้นไม่รู้สถานะทางชนชั้นของตัวเรา แต่ถึงจะไม่รู้ เรื่องที่เราผู้นี้ได้พูดกับฝ่าบาทแบบกระซิบกระซาบนั้นก็สามารถกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ง่าย ๆ เพราะจอมมารนั้นคือตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิด สัญลักษณ์แห่งฐานันดรศักดิ์ที่ไม่อาจมีผู้เทียบเทียม ส่วนเราก็เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การที่เราจะมีสิทธิ์พูดคุยกับฝ่าบาทแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่……
เราถอนหายใจอีกครั้งและ— แย่ล่ะ เมื่อกี้นี้เป็นการถอนหายใจครั้งที่ 22 แล้วสินะ—
เรายืดตัวตรงจัดท่าทางตัวเองใหม่
“อย่าตัดสินแม่มดที่รูปร่างภายนอกค่ะฝ่าบาท เพราะทันทีที่แม่มดทำสัญญาผูกมัดชีวิตกับจอมมาร การเจริญเติบโตของพวกเธอก็จะหยุดลงไปตลอดกาลทันที ดังนั้น ยิ่งแม่มดคนนั้นมีรูปร่างภายนอกที่เยาว์วัยเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าเธอมีความสามารถสูงส่งจนถูกเรียกตัวไปทำสัญญาตั้งแต่เด็กมากขึ้นเท่านั้น”
โฮ่
มันก็เป็นเช่นนี้เอง
ในโลกของเหล่าแม่มดนั้น ผู้ที่เด็กกว่าหาได้เคารพผู้ที่มีอายุมากกว่าไม่ แต่มันกลับกันโดยสิ้นเชิง ผู้ที่มีอายุมากกว่าต่างหากที่จะต้องเป็นคนเคารพผู้มีอายุน้อย มันเป็นโลกที่สมควรจะพูดว่า ‘จงเคารพผู้อ่อนวัย’ แทนการพูด ‘จงเคารพผู้สูงวัย’
สมาชิกของเหล่าพี่น้องเบอเบอรเรทุกคนต่างก็มีใบหน้าของเด็กสาว ซึ่งก็หมายความว่าทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นแม่มดที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น บนหน้าอกของแต่ละคนยังมีเหรียญตราใบไม้สามใบติดอยู่ ซึ่งใบไม่สามใบนี้คือสิ่งที่แสดงว่าพวกเธอแต่ละคนได้ผ่านสงครามในอดีตมาแล้วถึง 3 ครั้ง และถ้าคิดตามระบบการแบ่งชนชั้นระหว่างเผ่าพันธุ์โลกปีศาจแล้ว พวกเธอที่เป็นแม่มดก็คือพวกที่ส่งไปเป็นแนวหน้าของการต่อสู้บนอากาศที่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีอัตราการตายสูงที่สุด แต่กระนั้นพวกเธอก็ยังสามารถรอดมาได้ นี่คือหลักฐานที่แสดงว่าพวกเธอคือยอดฝีมือในเหล่ายอดฝีมือ
ในระหว่างที่เรากำลังสงสัยว่าเมื่อไหร่จะเตรียมการเสร็จอยู่นั้นเอง หัวหน้าของเหล่าแม่มดก็กระโดดดึ๋ง ๆ มาทางพวกเรา ทั้ง ๆ ที่เธอน่าจะมีอายุมากกว่าเราอย่างน้อย ๆ ก็ 200 ปีแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเธอถึงได้ดูน่ารักได้ถึงขนาดนี้กันนะ…… มันช่างเป็นปริศนาที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้เสียจริง
“นายท่าน! นายท่านคะ! กรุณาเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะ!”
หัวหน้าของเหล่าแม่มดยื่นกระดาษมาด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อม
“พวกเราเหล่าพี่น้องเบอเบอรเรถือคติเปิดเผยค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมดแก่ลูกค้าของพวกเราก่อนเสมอ และไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเราก็จะไม่คิดเงินเพิ่มโดยเด็ดขาดค่ะ!”
เธอพูดด้วยท่าทางอกผายไหล่ผึ่งราวกับกำลังรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“……”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง สีหน้าของฝ่าบาทดันทาเลี่ยนที่กำลังก้มลงอ่านกระดาษใบนั้นกลับดำทะมึน
เรารู้สึกสงสัยว่าบนกระดาษแผ่นนั้นได้เขียนอะไรเอาไว้ถึงสามารถทำให้ฝ่าบาทกลายเป็นเช่นนี้ได้ เราเลยชะโงกมองข้ามไหล่ของฝ่าบาทไปดู
พี่น้องแม่มดเบอเบอรเร
พวกเราจะปฎิบัติต่อลูกค้าของเราเป็นอย่างดีและซื่อตรง
*ราคาร่ายเวทมนตร์ป้องกันลม: เพียง 2 เหรียญทอง
*ราคาร่ายเวทมนตร์ควบคุมอุณหภูมิ: เพียง 1 เหรียญทอง
*ราคาร่ายเวทมนตร์ป้องกันเสียง: จำนวนเงินเล็กน้อยเพียง 4 เหรียญเงิน
*ราคาขับขานบทเพลงอันงดงามและทิวทัศน์เวทมนตร์อันตระการตา: เพียง 1 เหรียญทอง
*ราคาค่าเหล้าไวน์น้ำผึ้งที่รสชาติร้อนแรงจนรู้สึกเหมือนข้างในร่างกายถูกแผดเผา: จำนวนเงินเล็กน้อยเพียง 2 เหรียญเงิน
*ราคาค่าผู้คุ้มกันในแต่ละครั้ง: เพียง 3 เหรียญทอง x 12 คน = 36 เหรียญทอง
หืม
แม้เราจะรู้สึกว่ามันแพงไปหน่อยแต่ก็อยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้ ยังไงเสียพวกเราก็กำลังจ้างแม่มดที่มีเหรียญตราใบไม้สามใบถึง 12 คน ต่อให้ต้องจ่ายเงินมากนิดหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
“แหะแหะ พวกเราได้คำนวณราคาออกมาหลังจากที่ได้ตรวจสอบราคาของตลาดในปัจจุบันมาเป็นอย่างดีแล้วล่ะค่ะ”
หัวหน้าของเหล่าแม่มดยิ้มออกมาอย่างร่าเริง ดูท่าเธอเองก็คงจะมั่นใจในราคาที่เสนอออกมาเช่นกัน
“ทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 41 เหรียญทอง และอีก 1 เหรียญเงิน และเนื่องในโอกาสที่พวกเราได้รับเกียรติให้มารับใช้นายท่านโดยตรงเช่นนี้ พวกเราจะทำการลดราคาโดยการตัดส่วนเกิน 1 เหรียญเงินนั้นออกไปให้เหลือเพียงแค่ 41 เหรียญทองเท่านั้น อะฮ้า เพียงเท่านี้ราคาค่าบริการของพวกเราก็ถูกจนเหมือนกับได้เปล่าเลยใช่ไหมล่ะคะ!”
“…………”
หือ?
มุมปากของฝ่าบาทนั้นบิดเกร็งขึ้นมา
แม้มันจะเล็กน้อยเสียจนมีแต่เราเท่านั้นที่สังเกตุเห็นก็เถอะ แต่เราก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แน่นอนว่าคนที่เพิ่งจะทำเงินได้มากกว่า 50,000 เหรียญทองจากการขายยารักษาคงไม่งกกับเงินจำนวนเล็กน้อยแค่นี้หรอก อีกอย่าง เมื่อหลายวันก่อนฝ่าบาทเองก็เพิ่งจะผลาญเงินจำนวน 1,600 เหรียญทองไปกับแหวนไร้สาระด้วย……
“ช่วยรอประเดี๋ยวได้ไหม ข้ามีเรื่องบางเรื่องที่จะต้องปรึกษากับข้ารับใช้ของข้าก่อน”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเดินออกห่างจากแม่มด และก้มหน้าลงเหมือนกับพยายามที่จะกระซิบข้างหูของเราอีกแล้ว แต่เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วเราก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งเตือนฝ่าบาทอีกแล้วล่ะ
“มีอะไรหรือคะ ฝ่าบาท”
“ทำไมกะอีกแค่ยกไม้กวาดขึ้นมาแค่ครั้งเดียวถึงมีราคาตั้ง 41 เหรียญทองได้หา? นี่มันปล้นกัน นี่มันเป็นการปล้นกันชัด ๆ ! ”
เราผู้นี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าฝ่าบาทจะขี้เหนียวเรื่องเงินทองถึงขนาดนี้
“……ขออภัยด้วย แต่เราผู้นี้คิดว่าราคานี้เป็นราคาว่าจ้างที่เหมาะสมและถูกต้องแล้ว ฝ่าบาทกรุณาคิดถึงเรื่องที่นี่ไม่ใช่แค่ราคาค่าโดยสารเท่านั้น แต่ยังเป็นราคาค่าคนคุ้มกันอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้คุ้มกันทั้ง 12 คนนั้นก็เป็นถึงแม่มดชาญศึก ถึงเกิดเหตุการณ์ที่พวกเราถูกพวกนอกกฎหมายโจมตีในระหว่างทางก็สามารถมั่นใจได้เลยว่า พวกเธอจะต้องขับไล่พวกที่มาโจมตีเรากลับไปได้อย่างแน่นอน”
“บัดซบ เงินทองที่ล้ำค่าราวกับหยาดโลหิตของข้า……”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนเปิดกระเป๋าเงินออกมาด้วยมือที่สั่นเทา
แปลกจริง
เราผู้นี้ถึงกับเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จนต้องถามออกไป
“ฝ่าบาท ทำไมฝ่าบาทถึงต้องทำท่าทางเหมือนกัดฟันอดทนกับเหรียญทองจำนวนเพียงนี้ด้วย? ตอนนี้นอกจากพวกเราจะมี 50,000 ลิบราเก็บอยู่ในคลังสมบัติแล้ว ก็ยังเหลือสมุนไพรที่ยังไม่ได้ขายออกไปอีกถึง 25,000 สำรับ และตัวฝ่าบาทเองก็เพิ่งจะใช้เงินออกไป 1,600 เหรียญทองกับอะไรซักอย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้เองไม่ใช่หรือ”
“นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ รึ?”
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจ้องเขม็งมองเราผู้นี้
เสียงของฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างที่สุด นี่ไม่ใช่น้ำเสียงแบบเดียวกับตอนที่ฝ่าบาททำตัวเป็นก้อนเนื้อขี้เกียจธรรมดา แต่นี่คือน้ำเสียงของฝ่าบาทในขณะที่กลายเป็นจอมวางแผนเหนือชั้นผู้เหี้ยมโหด
ตัวเรารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที นี่เราพลาดอะไรไปอย่างนั้นหรือ?
และฝ่าบาทก็พูดออกมาว่า
“การที่เงินของข้ามันลดลงมันก็หมายถึงเวลาที่ข้าจะเอาแต่เล่นตามใจชอบโดยที่ไม่ต้องทำงานมันลดลงไม่ใช่หรือไง?”
“……เอ๋?”
ขออภัยค่ะ
ดูเหมือนเราจะได้ยินฝ่าบาทไม่ชัด
“ถ้าตอนนี้ข้ากลับไปในถ้ำแล้วเหวี่ยงอีเต้อทั้งวันล่ะก็ ข้าก็จะหาเงินมาได้ 1 เหรียญเงิน ซึ่งถ้าข้าต้องการที่จะหาเงินจำนวน 41 เหรียญทอง ข้าต้องทำงานขุดเหมือนถึง 205 วัน การเดินทางครั้งเดียวนี่มันเท่ากับเวลาตั้ง 205 วันที่ข้าจะใช้ชีวิตได้อย่างเรื่อยเปื่อยเชียวนะ!”
“……”
“เข้าใจแล้วหรือยังว่าทำไมข้าถึงทำตัวขี้เหนียว? ส่วนสาเหตุที่ข้าซื้อแหวนมาก็เพราะว่ามันช่วยทำให้ชีวิตข้ามันสะดวกสบายขึ้น ก็เลยจำใจกัดฟันจนน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือดซื้อมา เจ้าจะเอาการเดินทางรอบเดียวนี่ไปเทียบกับแหวนนั่นได้อย่างไรกัน!”
“……”
แม้จะเพียงชั่วพริบตา แต่ว่า
ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนในสายตาของเราก็กลายเป็นเหมือนกับตัวหนอนที่ไต่ขึ้นมาตามอาหารบูดเน่า
การที่เราตัดสินใจกลายมาเป็นข้ารับใช้ฝ่าบาทนี่เป็นความคิดที่ดีแล้วจริง ๆ หรือ?
เราชักจะสูญเสียความมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเราเองเสียแล้วสิ