Dungeon Defence - ตอนที่ 13
หนึ่งในผู้บริหารของ Keuncuska, ก็อบลินผู้ตระหนี่, โทรูเคล
“มีรายงานด่วนมาถึงขอรับ ท่านโทรูเคล”
“คุคุคุ เจ้าคนไร้มารยาทนี่! ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามมารบกวนข้าในขณะที่ฝ่าบาทไพมอนมาเยี่ยมเยือนเด็ดขาด
ในห้องรับแขกสุดหรูหรานี้
ข้ากำลังรู้สึกโมโหที่อยู่ ๆ เจ้าเลขานุการก็มาเคาะประตูห้อง
ทั้งที่ฝ่าบาทไพมอนที่เป็นแขกผู้มีเกียรติที่สุดของบริษัท Keuncuska กำลังนั่งคุยอยู่กับข้าแท้ ๆ ทั้งที่ถ้าเป็นคนผู้นี้แล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นงานหรือสัญญาอะไรข้าก็คอยกันไม่เคยให้มารบกวนการมาเยี่ยมเยือนโดยเด็ดขาด แต่เจ้าเสมียนโง่นี่กลับไม่รู้จักแม้กระทั่งมารยาทพื้นฐาน!
“โอ โทรูเคล เอ๋ย เราผู้นี้มิเป็นไรหรอก”
โชคดีที่ฝ่าบาทเป็นฝ่ายช่วยแสดงความเข้าอกเข้าใจออกมา
“ถ้าเขาจำเป็นที่จะต้องติดต่อเจ้าโดยที่ไม่อาจทนรอได้ล่ะก็ มันคงจะต้องเป็นเรื่องที่รีบร้อนอย่างถึงที่สุดเป็นแน่แท้ “
“ข้าต้องขออภัยจากใจจริง ปกติแล้วเจ้าเสมียนผู้นี้หาใช่คนที่ไร้มารยาทเช่นนี้ไม่……”
“เราบอกแล้วว่าเรานั้นมิเป็นไรหรอก ระหว่างนี้เราสุภาพสตรีผู้นี้จะคอยดื่มด่ำกับกลิ่นอันหอมหวานของชานี้เอง เจ้าจงไปรับฟังคำของเสมียนผู้นั้นเถิด”
ฝ่าบาทไพมอนยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน
ความเมตตาของฝ่าบาทไพมอนนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่คนอย่างข้าจะรับรู้ได้จริง ๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามฝ่าบาทก็จะปฎิบัติกับพ่อค้าผู้ต้อยต่ำอย่างข้าด้วยความกรุณาอยู่เสมอ เรื่องนี้ทำให้ข้าทำได้เพียงแค่การก้มหัวให้กับท่านด้วยความตื้นตันหลายครั้งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
แต่เมื่อหลังเดินออกมาจากห้องแล้ว แน่นอนว่าสีหน้าของข้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
“เจ้าโง่ มีเรื่องอะไร คุคุ?”
“ขะ-ข้าต้องขออภัยด้วย”
เจ้าเสมียนก้มหัวให้กับข้าด้วยท่าทางหวาดกลัว
ถึงจะก้มหัวให้ข้าแบบนั้น ความคิดที่จะยกโทษให้เจ้าเสมียนโง่นี่ก็ไม่มีทางที่จะผุดขึ้นมาในหัวของข้าหรอก กล้าดียังไงถึงได้มารบกวนการพบปะระหว่างข้ากับฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะก็ แค่ตัดหัวของเจ้านี่ทิ้งก็ไม่มีทางทำให้ข้าทำให้ข้าหายโกรธแน่ หลังจากนี้จงเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถอะ
“มีข้อความด่วนมาจากสำนักงานใหญ่ครับ นักเวทของเราได้เขียนข้อมูลเอาไว้ในแผ่นกระดาษนี้แล้ว”
“ต่อให้เป็นข้อความด่วนขนาดไหน แต่ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือฝ่าบาทไพมอนเชียวนะ ถ้าเกิดว่าเนื้อหาข้างในจดหมายมันไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญล่ะก็ ข้าจะเป็นคนตัดหัวของแกด้วยมือของข้าเอง”
“ทะ-ท่าน โทรูเคล……!
“ฮึ่ม”
ข้าดึงกระดาษจากมือของเสมียนอย่างรวดเร็วและมองอ่านแบบผ่าน ๆ บริษัทของเราให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ดังนั้นในข้อความที่ถูกส่งมาจึงมีแต่ใจความสำคัญเท่านั้น นอกจากนี้ข้อความที่ถูกส่งมาจะอยู่ในรูปแบบของรหัสลับที่มีเพียงเหล่าผู้บริหารเท่านั้นที่จะสามารถทำความเข้าใจได้ ซึ่งในที่นี้ก็มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะอ่านออก
โรคระบาดลุกลาม
แพร่กระจายโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นท่าเรือต่าง ๆ ตอนนี้โรคร้ายได้ระบาดไปทั่วทั้งอาณาจักรซาร์ดีเนียแล้ว
และมันจะต้องแพร่ระบาดไปยังประเทศต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน
อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 80%
“อะไรนะ……?”
หลังจากที่ข้าแกะข้อความมาจนถึงจุดนี้ คิ้วของข้าก็ขมวดลงมาทันที
ถ้าบอกว่ามีโอกาสเสียชีวิต 80% ล่ะก็ หมายความว่าถ้ามีคนที่ติดโรคร้ายนี้ 10 คน ก็จะมีคนตายถึง 8 คนอย่างนั้นหรือ? นี่มันไม่ใช่แค่โรคติดต่อทั่วไปแล้ว
แถมในนี้มันยังเขียนเอาไว้ว่า โรคร้ายนี้จะต้องแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ‘อย่างแน่นอน’ อีก นี่ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกเช่นกัน เพราะในหมู่พ่อค้าแล้วพวกเรามีกฎว่าจะต้องไม่แต่งเติมข้อมูลให้เกินจริงอย่างเด็ดขาด ดังนั้นโดยปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้พวกเราจะใช้คำว่า ‘คาดว่า’ จะแพร่กระจาย ไม่ใช่คำว่า ‘อย่างแน่นอน’
แต่คนอย่าง อีวาน ลอทบลอค คงไม่มีทางที่จะผิดพลาดกับเรื่องแบบนี้แน่……
อย่างแน่นอนเชียวหรือ? นี่หมายความว่าโรคมันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนถึงระดับนั้นเชียว? ท่าทางจะไม่ดีแล้ว ข้าชักจะรู้สึกได้ถึงลางร้ายขึ้นมาแล้ว……
และประโยคต่อมาหลังจากนั้นก็ทำให้สายตาของข้าหยุดลง
ยารักษาโรคร้ายนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของจอมมารดันทาเลี่ยน
ประเมินค่าแล้วคิดเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 1,200,000 – 3,000,000 เหรียญทอง
ขอให้ผู้บริหารทั้งหมดกลับมายังสาขาใหญ่โดยทันที
“…………”
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
“ขะ-ข้อต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ท่านโทรูเคล ความจริงแล้วข้าเองก็อยากจะรอจนกระทั่งฝ่าบาทไพมอนกลับไปก่อนจึงค่อยส่งข้อความนี้ให้กับท่าน”
นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“แต่ว่า ข้อความนี้ได้ถูกส่งมาราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งแล้ว และมันยังถูกตราด้วยสัญลักษณ์ของชั้นความลับระดับหนึ่งอีก ข้าจึงคิดว่าถ้าหากถึงมือท่านโทรูเคลช้าไปมากกว่านี้มันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้……”
นี่มันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ทะ-ท่านโทรูเคล? นี่ท่านกำลังฟังที่ข้าพูดอยู่หรือเปล่า? ท่านโทรูเคล……?”
เจ้าของบริษัท Keuncuska, แวมไพร์สายเลือดแท้, อีวาน ลอทบลอค
พวกเราถูกหลอก
ข้าผู้นี้โดนหลอกเข้าอย่างจัง
“อืมม”
ข้านั่งดื่มไวน์ในห้องที่มืดมิดอยู่เพียงลำพัง
ข้าครุ่นคิดคำนึงจนไม่รู้ว่าแก้วไวน์ในมือของข้ามันถูกเติมเข้ามากี่ครั้งแล้ว แต่ในค่ำคืนนี้ข้าก็คงจะดื่มแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงกลางดึก……
ใครกัน ใครคือคนที่ทำให้ อีวาน ลอทบลอค ผู้นี้กลายเป็นตัวตลก
ถ้าปลาซิวปลาสร้อยอย่างจอมมารดันทาเลี่ยนไม่มีทางที่จะคิดแผนการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้แล้วล่ะก็ ใครกันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
คำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ยัยเลือดผสมซัคคิวบัส เด็กสาวคนนั้นคือผู้ที่คอยวางแผนอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง……
“แลพิส แลซูลี”
อาจจะแค่จินตนาการไปเอง แต่รสชาติของไวน์ที่แพร่กระจายอยู่ภายในปากของข้าในขณะที่พูดชื่อของเธออกมานั้น ก็รู้สึกราวกับว่ามันหอมหวานเสียยิ่งกว่าเดิม
ความปรารถนาที่จะสำเร็จให้ได้ของเธอนั้นมันช่างงดงามจริง ๆ การไม่พึงพอใจกับสถานะในปัจจุบันของตนและพยายามปีนป่ายให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดตลอดเวลานั้น ในความคิดของข้าแล้ว นี่ล่ะคือทัศนคติที่ทุกคนควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้าเธอหันเขี้ยวเล็บเข้าใส่ข้าล่ะก็ มันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และข้ากำลังจะสั่งสอนบทเรียนเรื่องนั้นให้กับ แลพิส เลซูลี
ช่างโชคร้ายเสียจริงที่ข้าจะต้องมาเหยียบย่ำรุ่นน้องที่มีอนาคตสดใสเช่นนี้ ข้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ และถ้าถามว่าข้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรล่ะก็ ข้าก็จะขอบอกว่าข้ากำลังจะทำให้เธอกลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตของข้า
ข้ายื่นแก้วไวน์ที่ว่างเปล่าของข้าออกไป
“อีกแก้ว”
“……”
หญิงสาวรับใช้เติมไวน์ให้กับข้าโดยไม่มีคำพูดใด ๆ
ครั้งหนึ่ง หญิงสาวรับใช้คนนี้ก็เคยเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นผู้บริหารที่มีอนาคตไกลเช่นกัน เธอเป็นเหมือนกับ แลพิส แลซูลี ไม่มีผิด แม้ว่าเธอจะมีสถานะต่ำต้อย แต่ความกระหายในอำนาจของเธอก็ชวนให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่า เธอกลับทำเรื่องที่ไม่ฉลาดในเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการที่คิดก่อกบฎต่อข้าผู้นี้นี่เอง
ดวงตาสดใสที่เคยส่องสว่างด้วยประกายของสติปัญญาของเธอ ตอนนี้กลับพร่ามัวและมืดหม่น
เธอสูญเสียทั้งจิตใจและวิญญาณ ร่วงหล่นลงจนเป็นเพียงตุ๊กตาที่คอยรับใช้ตามคำสั่งข้าเท่านั้น……
“น่าเสียดายจริง ๆ ทำไมคนที่มีความสามารถทุกคนถึงไม่สามารถหักห้ามแรงกระตุ้นที่จะหันเขี้ยวเล็บเข้าใส่ข้าได้กันนะ?”
ข้าเผลอทอดถอนใจออกมา
จากนั้นก็หันหน้าไปด้านข้าง และได้พบกับภาพสะท้อนของตัวเองที่กำลังแสยะยิ้มอยู่บนหน้าต่างอย่างไม่คาดคิด ความรู้สึกสนุกสนานที่เอ่อล้นออกมาจนไม่อาจปิดซ่อนได้กำลังทะลักออกมาทางมุมปากของข้า ภาพสะท้อนบนกระจกนั้นดูเหมือนกับว่าข้ากำลังรู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย
ใช่แล้ว ตอนนี้ข้ากำลังรู้สึกสนุกอยู่จริง ๆ
ส่วนเรื่องที่ว่าข้ารู้สึกเสียดายที่จะต้องเสียเธอไปนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปิดบังอะไร
ตัวข้าในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกสนุกสุด ๆ แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
การที่มีเรื่องหักมุมที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนปรากฎขึ้นมาคือความสนุกสนานของชีวิตอย่างหนึ่ง
ยิ่งตอนได้เป็นคนเหยียบย่ำรุ่นน้องที่มีอนาคตไกลเช่นนี้ด้วยตัวเองแล้ว ถือเป็นวินาทีที่ล้ำค่าของชีวิตเลยทีเดียว
เปลี่ยนรุ่นน้องคนนี้ให้กลายเป็นตุ๊กตาชักไยที่ไร้วิญญาณ เก็บสะสมเธอที่กลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตเข้ามาในคอลเลคชั่นสะสมส่วนตัวของข้า ราวกับการเก็บไวน์เอาไว้เพื่อรอให้มันบ่มจนได้ที่……
นี่แหละคือจุดสุดยอดของความสุข
“แลพิส แลซูลี”
อีกครั้ง
ข้าพูดชื่อของสาวน้อยที่งดงามคนนั้นออกมาอีกครั้ง
ข้าจะทำลายทุกความหวังที่เจ้ามี
ข้าจะทำให้เจ้าแปดเปื้อนตั้งแต่เส้นผมยันปลายเท้า
และเมื่อยามที่เจ้าตกอยู่ในความสิ้นหวังและเริ่มตะเกียกตะกายดิ้นรน ข้าจะฝังเขี้ยวของข้าลงไปบนคอขาว ๆ ของเจ้าและทำให้เจ้ากลายเป็นทาสของข้าไปตลอดกาล
“อืมมม”
ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว
ข้าฝังเขี้ยวของข้าลงไปบนคอของหญิงสาวรับใช้ของข้า
“……อา อาา…… อาาาา……”
ร่างกายของเธอกระตุกเล็กน้อย
แม้จิตใจของเธอจะไม่เหลืออยู่อีกแล้ว แต่ร่างกายของเธอก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่
กลิ่นเลือดของเธอนั้น มันช่างหอมหวานเหมือนกับไวน์ชั้นเลิศที่ผ่านการบ่มมาอย่างดี
ข้าได้เริ่มสะสมตุ๊กตาที่เหมือนกับเหล้าไวน์อย่างพวกเธอเอาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว
แต่ในช่วง 60 ปีหลังมานี้ จำนวนตุ๊กตาที่ข้าสะสมเอาไว้ก็ได้หยุดลงที่ 32 คน เพราะไม่มีใครกล้าพอที่จะแสดงท่าทีต่อต้านให้ข้าเห็นอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อยิ่งนัก
เจ้าของที่แท้จริงแห่งบริษัท Keuncuska ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปีศาจ หนึ่งในสามแวมไพร์สายเลือดแท้ที่อยู่บนแผ่นดินนี้ คำพูดที่เอ่ยถึงตัวข้าทั้งหมด ทำให้คนรุ่นหลังที่กล้าพอที่จะหาญกล้าต่อการกับข้านั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเต็มทน
เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ แลพิส แลซูลี ซึ่งเป็นอุปสรรค์เพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฎตัวขึ้นมาในรอบ 60 ปีนั้น กลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่า และตัวเธอเองก็ยังมีค่าพอที่จะเป็นไวน์ลำดับที่ 33 ของข้าด้วย
……ลองมาคิดดูแล้ว ในคอลเลคชั่นสะสมของข้านั้นมีทั้งเอล์ฟ, วิช, แวร์วูฟ, เซนทอร์, เมอร์เมด และอื่น ๆ ข้ามีเกือบครบทุกเผ่าแล้ว ขาดแต่เพียงซัคคิวบัสเท่านั้น จึงทำให้คุณค่าในฐานะของสะสมของ แลพิส แลซูลี สูงยิ่งขึ้นไปอีก
ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าตัวเธอนั้นจะมีกลิ่นไวน์เช่นไร
ข้าดูดเลือดจากหญิงสาวรับใช้จนกระทั่งเธอหมดสติแล้วหัวเราะออกมา
Keuncuska โอ Keuncuska อันยิ่งใหญ่เอ๋ย
เจ้าจะต้องชำระหนี้เลือดด้วยเลือดของเจ้า
จอมมารลำดับ 71 จอมมารที่อ่อนแอที่สุด ดันทาเลี่ยน
ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 16, เดือน 7
ปราสาทของจอมมารดันทาเลี่ยน
การมีชีวิตนี่มันช่างงดงามจริง ๆ
งดงามเสียจนแม้กระทั่ง คนที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างผม สมควรที่จะค่อย ๆ เริ่มยอมรับได้แล้วว่าโลกใบนี้ก็มีความงดงามของมันอยู่เช่นกัน
ตามท้องเรื่องที่ถูกตั้งไว้ในเกม Dungeon Attack พวกจอมมารทั้งหลายนั้นไม่มีทั้งพ่อและแม่ ถ้าไม่เข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่ล่ะก็ ผมกำลังพูดถึงความจริงที่ว่าจอมมารนั้นกำเนิดมาจากเวทมนตร์ที่มารวมตัวกันอยู่ที่จุด ๆ เดียวอย่างผิดปกติ เป็นการกำเนิดที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญล้วน ๆ และจอมมารแต่ละคนที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะนิสัยหรือความสามารถก็แล้วแต่โชคชะตาว่าจะให้เป็นแบบไหน…….
เพราะเหตุนี้คนถึงได้พากันดูถูกในตัวจอมมาร
มันก็เหมือนกับที่ชาวบ้านดูถูกพวกขุนนางที่ไม่ได้เรื่องนั่นเอง คนที่ไต่เต้าไปถึงจุดสูงสุดได้ด้วยฝีมือและความสามารถของตัวเองต่างก็พากันพูดจาดูถูกตัวจอมมารว่า ‘ไอ้พวกนี้น่ะ มันก็แค่โชคดีก็เลยได้เกิดมาเป็นจอมมารเท่านั้น การที่พวกเราไปสู้กับพวกมันก็เหมือนกับการไปรังแกพวกมันนั่นแหละ’
พวกมันต่างก็เผลอคลายการระมัดระวังป้องกัน
และไม่ว่าใครก็ตามที่คลายการระมัดระวัง แม้แต่วินาทีเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ชั่วช้าสุด ๆ อย่างผม ก็ย่อมหมายถึงความตาย
มีเพียง 2 ช่วงเวลาเท่านั้นที่คนอย่างผมจะคิดว่าโลกนี้มันช่างงดงาม
อย่างแรกก็คือเวลาที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกลิ้งไป-มาบนเตียงของผม
และอย่างที่สองก็คือ เวลาที่ผมใช้มีดแทงใส่คนที่คิดเองเออเองแล้วมาดูถูกผม มีเพียงแค่ตอนที่ผมอยู่ในช่วงเวลาทั้งสองอย่างนี้เท่านั้นที่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นได้เข้าถึงแก่นแท้ของความหมายในการมีชีวิตแล้ว
……แต่น้องสาวของผมกลับหาว่านี่เป็นรสนิยมที่วิตถารแล้วก็ประนามด่าอย่างรุนแรง ผมไม่เห็นจะเข้าใจเธอเลยสักนิด ก็เรื่องนี้มันเป็นความผิดของคนที่เผลอเรอคลายการระมัดระวังตัวเองไม่ใช่หรือ?
แม้แต่สิงโตเองในยามที่ล่ากระต่าย พวกมันก็จะทุ่มเทความสามารถทั้งหมดในการล่า ดังนั้นการออกล่าจึงเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ถ้าไม่คิดที่จะทำให้สุดความสามารถตั้งแต่แรกแล้ว สู้ไม่ทำเลยเสียยังดีกว่า การทำงานแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็รังแต่จะได้ผลลัพท์กลับมาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น และประสิทธิ์ภาพของมันก็มีผลพอ ๆ กับการที่ผมนอนกลิ้งขี้เกียจทั้งวันเพื่อรักษาพลังงานของผมเอาไว้นั่นล่ะ
หากจำเป็นที่จะต้องฝืนใจหยุดทำตัวขี้เกียจเพื่อไปออกล่าแล้วล่ะก็ ก็ต้องทำให้ทุกอย่างมันจบสิ้นในครั้งเดียว
ปิดฉากการล่าโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายมีแม้แต่โอกาสที่จะขัดขืน
และตอนนี้ ผลลัพธ์ของการล่านั้นก็ได้อยู่เบื้องหน้าผมแล้ว
“โอ้ ลาล่า สีหน้าของเธอวันนี้มันดูมืดมนหน่อย ๆ นะ”
“……”
แลพิส แลซูลี กำลังยืนเงียบอยู่เบื้องหน้าผม
สีหน้าของเธอไม่เด็ดขาดเหมือนกับที่เธอเคยเป็น ดวงตาของเธอ ที่เคยใสราวกับกระจกกลับกลายเป็นมัวหมอง ดวงตาของเธอคือดวงตาที่ผมเคยเห็นมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน มันคือดวงตาของคนที่พ่ายแพ้
“หรือว่าจะเป็นไอ้นั่น? เวทมนตร์ที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องได้สัมผัสกันเดือนละครั้ง? เธอเองก็มีชีวิตที่ลำบากเหมือนกันเนอะ”
“…… ฝ่าบาททรงคาดเดาเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“อะฮ่า ลาล่า ข้ารู้สึกได้ถึงความร้อนรนในคำพูดของเธอแล้ว”
ตอนนี้ผมกำลังนอนหันข้างโดยเอาแขนค้ำหัวผมเอาไว้ ราวกับพระพุทธรูปปางปรินิพพานไม่มีผิด
“ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็เยือกเย็นและสงบนิ่งอยู่เสมอ นั่นคือเสน่ห์ของเธอ ลาล่า ตัวเธอเองก็น่าจะสนใจดูแลแสน่ห์ของตัวเธอเองหน่อยนะ”
สีหน้าของ แลพิส แลซูลี มืดมนลงยิ่งกว่าเดิม
ช่างน่าสงสารเสียจริง
แต่ผมดันเป็นพวกชอบกวนประสาทคนแพ้เสียด้วยสิ ช่วย ๆ ทนโดนผมแหย่เล่นอีกซักพักก็แล้วกัน
“ปฎิกิริยาจากทางด้านบริษัท Keuncuska เป็นยังไงบ้าง?”
“……เหมือนกับผึ้งแตกรัง คำสั่งเรียกตัวผู้บริหารทั้งหมดเพิ่งจะถูกส่งออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว แม้แต่เราผู้นี้เองก็ได้รับคำสั่งเรียกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ทันทีเช่นเดียวกัน”
“โอ้โห งั้นแล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปที่บริษัทล่ะ?”
“……”
แลพิส แลซูลี ไม่ตอบกลับมา
พูดให้ถูกก็คือเธอไม่สามารถตอบกลับมาได้
ผมแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์
“แลพิส แลซูลี จะให้ข้าลองทายสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ออกมาดีไหม? ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าถ้ากลับไปยังบริษัททั้ง ๆ แบบนี้ล่ะก็ชีวิตของเธอคงจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ เพราะพวกผู้บริหารของบริษัทไม่รู้เลยสักนิดว่าที่จริงแล้วข้าคือผู้ที่วางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด พวกนั้นปักใจเชื่อว่าคนร้ายเป็นเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
แลพิส แลซูลีจ้องเขม็งมายังผม
ราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บที่จ้องมองผู้ล่าของพวกมันด้วยสายตาที่เคียดแค้นในวินาทีสุดท้าย
“เพราะแบบนี้ฝ่าบาทจึงได้ส่งเราผู้นี้ไปยังไซราคิวส์หรือ? เพื่อตั้งใจให้เหล่าผู้บริหารเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของเราผู้นี้”
“ถูกต้อง”
ถ้าคิดตามหลักเหตุผลแล้ว การที่จะมีใครที่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะมีโรคระบาดเกิดขึ้นที่ไหนนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าใครก็คงคิดว่ามีใครสักคนใช้วิธีที่ไม่มีใครรู้จงใจแพร่เชื้อที่ไซราคิวส์กันทั้งนั้นแหละ
แล้วใครล่ะคือใครคนนั้น
ใครที่เหล่าผู้บริหารจะชี้นิ้วไปหาในฐานะคนร้าย
“คนที่ตั้งใจมาเป็นนางสนมของจอมมารเพื่อที่จะล่อลวงนั้น ก็คือเธอ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อหว่านเสน่ห์ใส่จอมมารดันทาเลี่ยน
“คนที่ล่อลวงจอมมารดันทาเลี่ยนให้ขอกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลจากบริษัท ก็คือเธอ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจเกลี้ยกล่อมให้บริษัทเชื่อว่านี่คือโอกาสทองที่จะใส่ที่ล่ามปลอกคอให้แก่จอมมาร
“และด้วยเหตุบังเอิญที่ว่า คนที่อยู่ในบริเวณที่โรคระบาดแพร่กระจายเป็นครั้งแรกนั้นเป็นสัปดาห์นั้น ก็ยังคงเป็นเธอ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่รายงานเป็นคนแรกว่า ความตายสีดำ นั้นระบาดจากที่ไหนตั้งแต่ช่วงที่มันเริ่มต้นระบาดเป็นครั้งแรก
“สุดท้าย คนที่ซื้อพืชที่สามารถรักษาโรคที่ว่านี้ได้เป็นจำนวนหลายพันหลายหมื่นต้น ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเธอ”
มันก็เป็นเช่นนี้เอง
เพราะต้องการให้มันออกมาเช่นนี้ ผมจึงให้ แลพิส แลซูลี เป็นคนจัดการรายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับบริษัทเล็ก ๆ ทั้งหลายหรือร้านขายยา แม้กระทั่งกระบวนการรับซื้อพืชที่ว่านี่ด้วยเช่นกัน การจัดการเอกสารทุกอย่าง แลพิส แลซูลี เป็นคนจัดการทั้งหมด
และตอนนี้
“ผู้บริหารของบริษัทของเธอก็ไม่มีทางเลือกอะไรอื่นอีกนอกจากจะสงสัยว่าเธอคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
ในการแสดงครั้งนี้ สิ่งเหล่าผู้บริหารทุกคนชองบริษัทคิดไว้ก็คือ จอมมารดันทาเลี่ยนเป็นอะไรไปไม่ได้มากไปกว่าตุ๊กตาที่ถูกซัคคิวบัสตนหนึ่งควบคุมเท่านั้น ส่วนคนที่เป็นคนควบคุมเส้นเชือกบังคับตุ๊กตา ก็คือซัคคิวบัสเลือดผสม แลพิส แลซูลี
ถึงสิ่งที่พวกนั้นมันคิดเอาไว้จะผิดทั้งหมดเลยก็เถอะ
ผมหัวเราะคิกคัก
“เธอเองก็คิดแบบนี้เหมือนกันจริงไหม ลาล่า เพราะฉะนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะมาที่นี่แทนที่จะกลับไปยังสาขาใหญ่ เป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะถ้าเธอกลับไปที่นั่นล่ะก็ ตอนนี้เธอคงจะถูกจับสำเร็จโทษโดยไม่มีการไต่สวนไปแล้ว”
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างพวกเราสองคนไปชั่วขณะ
ในห้องจอมมารที่ถูกทำลายโดยเหล่านักผจญภัย โดยที่นอกจากเตียงนอนแล้ว ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเศษขยะ ในห้องสีเทานี้เอง แลพิส แลซูลี ก็ได้เป็นฝ่ายที่พูดทำลายความเงียบนั้นออกมา
“……ทำไม?”
แลพิส แลซูลี ค่อย ๆ เปิดปากพูดออกมาอย่างช้า ๆ
“ทำไมฝ่าบาทจึงได้เปิดเผยรายละเอียดทุกอย่างแก่เราผู้นี้?”
“เพราะว่าข้าประเมินเธอเอาไว้อย่างสูงยิ่งไงล่ะ ลาล่า”
ผมลุกขึ้นจากเตียงนอน
“เธอนั้นงดงาม แน่นอนว่าข้าไม่ได้พูดถึงรูปร่างภายนอก ข้ากำลังพูดถึงความงดงามที่อยู่ข้างในตัวเธอ”
ผมม้วนลิ้นที่เหมือนกับอสรพิษของตัวเอง ในขณะที่เข้าไปประชิดตัวของ แลพิส แลซูลี
“แม้จะเกิดมาเป็นพวกเลือดผสมที่เป็นจัณฑาล แต่เธอก็ยังไม่ยอมละทิ้งความปรารถนาที่จะได้มาซึ่งอำนาจ ทำได้แม้กระทั่งพยายามสังเวยจอมมารเพื่อความสำเร็จของตัวเอง เพียงอีกแค่ก้าวเดียว ขาดเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ถ้าเธอสามารถได้อีกแค่ก้าวเดียวนั้นมาล่ะก็ ตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท Keuncuska ก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเธอ……”
ความปรารถนาในอำนาจที่รุนแรงผิดปกติ
ความใจเย็นที่ไม่เกรงกลัวต่อการต้องเสียสละ
ยิ่งไปกว่านั้น คือความสามารถที่ของเธอที่สูงล้ำกว่าชาติกำเนิดและตำแหน่งของเธอในตอนนี้มากนัก
“ข้าอยากได้ตัวของเธอ”
ผมใช้มือเชิดคางของ แลพิส แลซูลี ขึ้นมา
ดวงตาสีฟ้าอันไร้ก้นบึ้งนั้นกำลังจ้องมองมายังผม
“จงละทิ้งบริษัท Keuncuska และมาเป็นลูกน้องของข้าเถอะ สุดท้ายแล้ว บริษัท Keuncuska ก็เป็นอะไรไม่ได้ไปมากกว่าบริษัท เงินทองนั้นแม้ยิ่งใหญ่แต่ก็ไม่สูงล้ำไปกว่าอำนาจ สิ่งที่จะทำให้คนเรานั้นตื่นเต้นและกระเหี้ยนกระหือได้จริง ๆ มันคืออำนาจต่างหาก”
“…… แต่ฝ่าบาทก็เพิ่งจะเริ่มต้นสำเร็จเท่านั้น”
แลพิส แลซูลี พูดกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา
หน้าของพวกเราสองคนนั้นใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“ในอนาคต ฝ่าบาทนั้นจะสามารถหาเงินได้อย่างมากมาย ทว่าในสิ่งที่ฝ่าบาทจะหามาได้นั้นยังคงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ และฝ่าบาทก็ยังคงจะเป็นจอมมารลำดับที่ 71 จอมมารผู้ที่ลำดับต่ำสุดอยู่เช่นเดิม ในเมื่อฝ่าบาทยังคงไม่มีรากฐานที่เพียงพอเช่นนี้แล้ว เราผู้นี้ขอถามกลับว่าฝ่าบาทตั้งใจจะหาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจมาให้เราผู้นี้จากไหน?”
“การค้าขายทั้งหมดที่เกี่ยวกับยารักษาข้าจะมอบให้เป็นธุระของเธอ”
“……”
แลพิส แลซูลี เริ่มลังเล
ผมค่อย ๆ ขยับหน้าเข้าไปใกล้เธออย่างช้า ๆ ตอนนี้เธอโดนจับอยู่ในใจกลางของตาข่ายแมงมุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้
“ลองหลับตา แล้วจินตนาการถึงผู้คนในทวีปนี้ที่จะร้องคร่ำครวญราวกับกำลังฝันร้ายในขณะที่โรคระบาดนี้กำลังกลืนกินทวีปไปอย่างช้า ๆ ดูสิ ต่อให้จะเป็นเวลาที่สั้นแค่ไหนอย่างต่ำ ๆ ก็ 2 ปี และถ้านานกว่านั้นก็สัก 5 ปี ผู้คนเป็นแสน ๆ คนจะต้องตายไป และในจำนวนนั้นก็มีทั้งขุนนางและคนร่ำรวยรวมอยู่ด้วย คนพวกนี้หากเพื่อความอยู่รอดแล้ว ไม่ว่าจะต้องดิ้นรนยังไงพวกมันก็จะยินอมทำทุกอย่าง”
แลพิส แลซูลี เชื่อฟังคำสั่งของผมและหลับตาลง
จากนั้นผมก็เข้าไปกระซิบอย่างแผ่วเบา
“และยารักษาที่จะทำให้เธอสามารถควบคุมชะตาชีวิตของคนพวกนี้ได้นั้น ข้าก็จะมอบให้กับเธอ”
“……”
“ผู้มีอำนาจจำนวนนับไม่ถ้วนจะวิ่งมาหาเพื่อขอซื้อยารักษานั้นกับเธอ ถ้าเธอยอมขายให้ ผู้มีอำนาจนั้นก็จะมีชีวิตรอด แต่ถ้าไม่ยอม พวกมันก็จะต้องพบกับความตาย เพียงคำพูดเดียวของเธอก็สามารถทำให้ เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายรู้สึกดีใจ, สิ้นหวัง, เสียใจ และสำนึก ได้ตลอดกาล”
ผมใช้มือลูบก้นของเธอ
แลพิส แลซูลี ขมวดคิ้วของเธอลงเล็กน้อย
ผมใช้ฝ่ามือของผม ลูบไล้ไปตามผิวหนังบนร่างกายที่ไร้ไขมันส่วนเกินของเธอ ราวกับว่าผมกำลังควานหาสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ ผมใช้ฝ่ามือของตัวเองลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ
จากหน้าอกลงไปยังหน้าท้อง
จากหน้าท้องเลื่อนลงไปยังเอว
“เลือดผสม เศษเดนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลูกโสเภณี จัณฑาล เธอที่เคยถูกด่าทอและรังเกียจด้วยคำพูดพวกนี้ จะกลับกลายเป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินความเป็นตายของคนนับหมื่นนับแสน ฟังดูเป็นอย่างไร ลาล่า ความรู้สึกเช่นนี้เป็นยังไงบ้าง แลพิส แลซูลี”
และในตอนนี้เอง ที่ผมสัมผัสได้ถึงของแข็งบางอย่างที่ปลายนิ้วมือของผม
เจอแล้ว
“ความรู้สึกที่เธอกำลังรู้สึกอยู่นี่ล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ”
ผมดึงดันล้วงมือเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ
แลพิส แลซูลี ขมวดคิ้วของเธอยิ่งขึ้นไปอีก นี่เธอคิดว่าเธอกำลังจพถูกข่มขืนที่นี่หรือยังไงกัน? ผิดแล้วล่ะ และหลังจากนั้นผมก็ดึงวัตถุโลหะรูปร่างกลมมนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าตรงส่วนเอวของเธออกมาพร้อม ๆ กับรอยยิ้ม ในขณะเดียวกัน แลพิส แลซูลี ก็เปิดปากส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาพร้อมกับสีหน้าตกใจ
สิ่งที่ผมดึงออกมานั้นมันคือวัตถุที่มีสีเงิน
หากดูผ่าน ๆ ก็จะเห็นว่ามันมีหน้าตาเหมือนกับนาฬิกาพกกลไกไขลานแบบโบราณ แต่ถ้าหากมันเป็นนาฬิกาจริง ๆ ล่ะก็ มันก็ต้องมีตัวกุญแจที่เอาไว้ไขลานติดอยู่บนตัวของนาฬิกา แถมมันเองก็ไม่มีโซ่คล้องอยู่บนตัวมันอีกด้วย
“เพราะแบบนี้แหละ ข้าถึงได้ประเมินเธอเอาไว้อย่างสูงยิ่ง”
ผมโบกเจ้าวัตถุโลหะนี้ไปหาอย่างสนุกสนานเบื้องหน้าเธอ
แลพิส แลซูลี กัดริมฝีปากตัวเอง
“…… ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ?”
“มันก็ไม่ได้เดายากอะไรนี่นะ”
อุปกรณ์เวทมนตร์ เครื่องฉายความทรงจำ
มันคือเครื่องมือจำพวกที่เก็บบันทึกเสียงต่าง ๆ เอาไว้ และถ้าเป็นของดี ๆ หน่อยล่ะก็ จะเก็บบันทึกภาพเหมือนเครื่องเล่นวีดีโอเอาไว้ก็ยังได้
มันเป็นไอเท็มที่ขายกันในราคาแพงมากในเกม Dungeon Attack ซึ่งในโลกนี้ก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน
แลพิส แลซูลี ต้องการที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอกับเหล่าผู้บริหาร และในเมื่อปัญหาของเธอคือเธอไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะมาพิสูจน์ได้ สิ่งที่เธอจะทำต้องนั้น ก็คือการสร้างหลักฐานใหม่ขึ้นมานั่นเอง……
หลักฐานที่ดีที่สุดที่จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้ ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าคำรับสารภาพจากผู้บงการตัวจริง ดังนั้นเธอจะต้องเลือกใช้เครื่องฉายความทรงจำอย่างไม่ต้องสงสัย
“น่าเศร้าจริง ๆ อืม ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียซะแล้วสิ ถ้าเธอจัดการเรื่องนี้ได้ดีล่ะก็ โอกาสที่เธอยังจะได้เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ทรงเกียรติของบริษัท Keuncuska ก็ยังพอจะมีอยู่หรอก แต่ว่า พระเจ้าช่วย ดูนั่นสิ—”
ผมปล่อยวัตุสีเงินในมือให้ตกลงไปบนพื้น
จากนั้นก็ยกขาขวาของผมขึ้น และใช้ส้นเท้าของรองเท้าบูทผมกระทืบลงไป
เสียงดัง ‘เคร๊ง’ ที่เป็นเสียงแตกหักของกลไกอันละเอียดอ่อนข้างในดังขึ้น จากนั้นผมก็กระทืบซ้ำเข้าไปอีก 5 ที ก่อนจะก้มลงไปหยิบเครื่องฉายความทรงจำที่สภาพไม่เหลือชิ้นดีนั้นขึ้นมาแล้วปาอัดไปที่กำแพงสุดแรงเกิด
ผมยักไหล่
“ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้สุดท้ายของเธอมันจะพังเสียแล้วล่ะ”
“……”
“ลาล่า ตอนนี้เบื้องหน้าเธอมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น และทั้งสองทางเลือกก็เป็นหนทางที่เธอไม่สามารถปฎิเสธได้ ทางแรก ก็คือการที่เธอกลับไปตามคำสั่งเรียกตัวของบริษัทโดยที่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้ง ๆ แบบนี้ ไปวิงวอนร้องให้ทุกคนเชื่อในความบริสุทธิ์ของเธอที่นั่น หลังจากนั้น อืม ก็…… ถ้าเธอโชคดีก็คงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ล่ะมั้ง”
ผมตบไหล่ของเธอเบา ๆ
“……แล้วทางเลือกที่สองล่ะคะ?”
แลพิส แลซูลี พูดออกมาแล้ว ยอดเยี่ยมมาก ทั้ง ๆ ที่กำลังจนมุมถึงขนาดนี้แล้วน้ำเสียงของเธอก็ยังคงเยือกเย็นเช่นเคย ไม่ว่าเธอคนนี้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังยังไงก็ตาม แม้ว่าว่าชีวิตของตัวเธอเองกำลังอยู่บนเส้นด้าย แต่เธอก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นหนักแน่นได้ตลอดเวลา
เหมือนกับที่ผมเคยทำเมื่อสามเดือนก่อน
ในขณะที่ถูกรายล้อมไปด้วยเหล่านักผจญภัยนั่นเอง
“มาอยู่ภายใต้ปีกของข้าซะ แลพิส แลซูลี โอ เลือดผสมผู้ต้อยต่ำเอ๋ย หากเธอทุ่มเทความสามารถของเธอให้แก่ข้า ข้าก็จะมอบสถานะเป็นการตอบแทน หากเธอทุ่มเทความจงรักภักดีให้แก่ข้า ข้าก็จะมอบพลังอำนาจเป็นการตอบแทน ข้าจะทำให้ทุกความหวังและความต้องการที่อยู่ภายในใจของเธอเป็นจริงขึ้นมาบนผืนแผ่นดินนี้ และเธอก็จะปกป้องข้าจากความหวังและความต้องการของผู้อื่นเช่นกัน”
หรือก็คือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันนั่นเอง
นี่ไม่ใช่หลักเหตุผลที่น่ารักที่สุดหรอกหรือ
“หากเราผู้นี้ทำการทรยศฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทำเช่นไร”
“โอ อย่าเข้าใจข้าผิดไป ข้าไม่เคยร้องขอความจงรักภักดีจนตัวตายจากเธอ หากเธอต้องการที่จะทรยศข้า ก็จงทรยศซะ หากเธอคิดว่ามีใครอื่นนอกเหนือจากข้าที่จะสามารถมอบผลประโยชน์ที่เหนือกว่าให้กับเธอได้ มันก็ถูกแล้วที่เธอจะทำเช่นนั้น”
ผมไม่เชื่อในมิตรภาพ
และผมยิ่งไม่เชื่อในความรักยิ่งกว่า
เฉกเช่นเดียวกัน ความจงรักภักดีก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยยึดมั่นเลยแม้แต่น้อย
“แต่ข้าขอให้สัญญาแก่เธอว่า ข้าจะต้องทำให้เธอได้เพลิดเพลินอยู่บนจุดสูงสุดของพลังอำนาจอย่างแน่นอน”
สิ่งที่ผมยึดมั่นเชื่อถือนั้น คือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
การแลกเปลี่ยนกันด้วยของที่มีมูลค่าเทียบเท่ากันนั้น คือการกระทำของคนที่มีเหตุมีผล
“……”
“……”
แลพิสแลซูลี จ้องมองยังผม ผมเองก็จ้องมองเธอกลับโดยไม่หลบสายตา ความเงียบงันนั้นจะทำให้รู้สึกเคอะเขินก็ต่อเมื่อพบว่าภายในดวงตาของอีกฝ่ายว่างเปล่าไม่มีความหมายอะไรแฝงอยู่ ต่างกับพวกเราทั้งสองคนที่ยังมีเรื่องต้องไขความลับจากสายตาของอีกฝ่ายอยู่อีกมาก
ผมเองก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวผม
เธอเองก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเธอเช่นเดียวกัน
พวกเราทั้งสองคนไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องกลัวความเงียบงันนี้
และในที่สุด
“เราผู้นี้เข้าใจแล้ว ฝ่าบาท”
แลพิส แลซูลี ย่อตัวคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง
เธอก้มหน้ามองลงไปยังพื้นและให้สัตย์สาบาน
“เราผู้นี้ แลพิส แลซูลี เราผู้เกิดจากซัคคิวบัส ฮัมบาบา และเติบโตขึ้นมาตามตรอกด้านหลังของเมืองเล็กและเมืองใหญ่ต่าง ๆ เราผู้ที่เคยทำงานในฐานะพ่อค้าระดับสามให้แก่บริษัท Keuncuska เป็นเวลา 10 ปีผู้นี้ จะลืมเลือนอดีตและมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรับใช้จอมมารดันทาเลี่ยนในฐานะข้ารับใช้เท่านั้น หัวใจของเรา สมองของเรา และวิญญาณของเรา จะอยู่ภายใต้การครอบครองของฝ่าบาทตลอดไป”
หลักจากที่เธอกล่าวถ้อยคำสาบานตนของเธอจบลง ก็มีข้อความเตือนปรากฎขึ้นมา
[แลพิส แลซูลี ได้กลายมาเป็นลูกน้องของท่าน]
[ระดับของความจงรักภักดีจะแสดงอยู่ในค่าสถานะของเธอ]
[ระดับความจงรักภักดีไม่สามารถไว้วางใจได้: อีกฝ่ายหนึ่งเพียงแค่ยึดถือว่าท่านเป็นเจ้านายตามสัญญาว่าจ้างเท่านั้น สามารถทรยศหักหลังท่านได้ตลอดเวลา]
ผมยิ้มออกมา
ผมรู้สึกประทับใจตรงส่วนที่เขียนว่าสามารถทรยศหักหลังได้ตลอดเวลาเป็นพิเศษ นี่เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือยิ่งกว่าไอ้ประเภทที่บอกว่า ความสัมพันธ์แนบแน่นหรือรักตราบชั่วนิรันดร์เป็นไหน ๆ
จะรักไปคราบชั่วฟ้าดินสลายที่พ่อของผมเคยพูดสาบานกับเหล่าแม่ ๆ ของผมนั้น สุดท้ายก็มันก็ต้องจบสิ้น มนุษย์เราไม่ได้เข็มแข็งพอที่จะยึดมั่นในรูปแบบความรักเช่นนั้น การยัดเยียดความรู้สึกที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถทนแบกรับได้ให้แก่กันและกัน ก็มีแต่จะทำให้ทรุดลงไปทั้งสองฝ่าย
มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว
แทนที่จะมานั่งทนกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ สู้นอนขี้เกียจเสียยังดีกว่า
แทนที่จะมามัวทำตัวเป็นพวกบัดซบอย่างจริงจัง สู้เป็นพวกจริงจังอย่างบัดซบยังดีกว่า
นี่คือความเชื่อ นี่คือกฎเหล็กของผม
ทันใดนั้นเอง ผมก็รำลึกถึงภาพหนึ่งจากในความทรงจำของผม ภาพที่ริมฝีปากของพ่อผมกำลังขยับพูดออกมานั้นกำลังปรากฎขึ้นมาในหัวผมอย่างชัดเจน
‘ไอ้ลูกชาย แกจงเตรียมตัวเอาไว้เถอะ’
‘เพราะไม่ว่าแกจะเลือกหนทางไหน—’
‘ชีวิตของแกก็มีแต่จะต้องลำบากกว่าพ่อ’
โทษทีนะพ่อ
ที่ผมไม่คิดจะดำเนินชีวิตซ้ำรอยอย่างที่พ่อเดิน
พ่อประสบความสำเร็จในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคม แต่ล้มเหลวไม่มีชิ้นดีในฐานะสามี ผมไม่พอใจในเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ทำไมคนเราถึงต้องยึดติดกับการทำบางสิ่งบางอย่างทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ามันจะต้องล้มเหลวด้วยล่ะ?
อะไรที่มันมีโอกาสไม่สำเร็จก็อย่าเข้าไปยุ่งด้วย นี่คือคำตอบของผม มันทำให้ไม่ต้องมีคนที่ต้องมานั่งรู้สึกสิ้นหวังเพราะผม เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งพ่อเคยเป็นตราบาปในชีวิตของผม และผมเองก็ไม่อยากให้ตัวผมเองกลายเป็นตราบาปของคนอื่นด้วยเช่นกัน……
“ยอดเยี่ยม แลพิส แลซูลี”
ผมก้มลงคุกเข่าจนอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเธอ
ระหว่างเราไม่ได้เป็นแค่เพียงเจ้านายและบ่าว ผู้ทำสัญญาและผู้รับสัญญา แต่พวกเราเป็นคู่ค้าที่แลกเปลี่ยนกันด้วยสัญญาที่เท่าเทียม ผมอยากที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้กับ แลพิส แลซูลี ด้วยร่างกายของผม
“ข้า ดันทาเลี่ยน จะไม่มีวันตอบสนองคำแนะนำของเธอด้วยความเงียบงัน จะไม่มีวันตอบสนองข้อเสนอแนะด้วยการดูถูก หากเธอหลั่งเลือดและหยาดเหงื่อให้แก่ข้า ข้าก็จักตอบแทนให้กับทุกเลือดและหยาดเหงื่อที่เํอหลั่งออกมา”
ผมกุมมือของเธออย่างแนบแน่น
ถึงผมจะเคยจับมือของเธอมาแล้วก็ตาม แต่ผมก็คิดว่ามือของเธอนั่นช่างรู้สึกนุ่มนิ่มจริง ๆ
หลังจากที่เธอจ้องมองผมอย่างยาวนาน แม้ว่าจะเล็กน้อย ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่เธอก็ก้มหัวตอบรับ
“……เราผู้นี้ขอทำงานรับใช้ท่าน ฝ่าบาท”
สามเดือนหลังจากที่ผมตกลงมายังโลกแห่งนี้
ผมก็ได้มีข้ารับใช้เป็นคนแรก
หนึ่งในผู้บริหารของ Keuncuska, ก็อบลินผู้ตระหนี่, โทรูเคล
วันนี้สำนักงานใหญ่ดูวุ่นวายยุ่งเหยิงยิ่งกว่าทุกวัน
เหล่าก็อบลินจ้องมองไปยังลูกบอลคริสตัลเพื่อแกะรหัส จากนั้นก็เขียนรหัสที่แกะได้ลงบนกระดาษในเวลาอึดใจเดียวก่อนจะส่งต่อให้กับเหล่าแฟรี่
เหล่าแฟรี่ที่มีขนาดเท่ากับนิ้วโป้งก็ร้องคร่ำครวญไปพลางเคลื่อนย้ายกระดาษนั้นไปพลาง จากแผนกปฎิบัติการต่อไปยังแผนกแผนการรับมือ ต่อด้วยแผนกกระจายสินค้า และจบที่แผนกพนักงานระดับสูงในที่สุด ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วสำนักงานใหญ่เป็นตึกที่ค่อนข้างสูงมากแท้ ๆ แต่ก็มีเหล่าแฟรี่บินวุ่นกันไปหมดจนเหมือนกับว่ามีสภาพการจราจรติดขัดเกินขึ้นที่ด้านบนเพดานของสำนักงานเลยทีเดียว
“มีหลายรายงานที่บอกว่ามีผู้ป่วยเกิดขึ้นในเมืองโคโลญแล้ว!”
“พวกเรามั่นใจว่าโรคระบาดได้แพร่กระจายไปตามแม่น้ำไรน์และกำลังแพร่ระบาดไปทางเหนือ”
“แบบนั้นก็ทำให้การปิดตายอาณาจักรซาร์ดีเนียไม่มีประโยชน์เลยน่ะสิ”
“คุณนายของตระกูลซฟอร์ซาก็ได้ล้มป่วยจากโรคนี้แล้วเหมือนกัน……”
รายงานจากทั่วทั้งทวีปถูกรายงานเข้ามาอย่างยุ่งเหยิง จนพนักงานทุกคนของที่นี่ต่างก็พากันปวดหัวไปตาม ๆ กัน มีแม้กระทั่งก็อบลินที่มีดวงตาบวมเป่งและแดงก่ำเพราะน่าจะอดนอนมาแล้วหลายวันอยู่ด้วย คุคุคุ น่าสงสารเสียจริง
ข้าเดินเข้าสำนักงานใหญ่โดยที่เดินตรงไปยังห้องทำงานส่วนตัวของ อีวาน ลอทบลอค ชั่วพริบตาหนึ่งที่ข้าถึงกับคิดว่าตัวเองเดินเข้ามาผิดห้อง ในห้องมีกองเอกสารวางอยู่เต็มไปหมด เยอะเสียจนข้าไม่อาจเห็นตัวของ อีวาน ลอทบลอค ด้วยซ้ำ นี่ถ้าข้าไม่ได้ยินเสียงมืดหม่นดังมาจากอีกด้านของกองกระดาษล่ะก็ ข้าก็คงจะเดินออกจากห้องนี้ไปแล้ว
“โทรูเคล รึ”
“สภาพดูไม่จืดเลยนะ คุคุ”
“โอ นี่มันแย่มากเชียวล่ะ แต่ต่อไปมันจะแย่ไปยิ่งกว่านี้อีก นั่งสิ”
“……จะให้นั่งตรงไหน?”
กองเอกสารมากมายกองกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะบนโต๊ะหรือบนพื้น ไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็มีแต่เอกสารวางกองเรียงกัน
“จะตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ยังไงข้าก็จำข้อมูลทั้งหมดที่วางอยู่ตรงนั้นได้ทั้งหมดแล้ว”
“ยังมีความสามารถในการจดจำที่น่ากลัวไม่เปลี่ยนเลยนะ…… ว่าแต่โรคระบาดนี่มีท่าทีที่จะสงบลงบ้างหรือยัง?”
“ไม่เลยสักนิด”
อีวาน ลอทบลอค ตอบกลับมาในทันที
“โรคระบาดแพร่กระจายด้วยความเร็วที่น่ากลัวมากไม่ว่าจะเป็น สหภาพคาร์ลมา หรือราชอาณาจักรมอสโคว นอกเหนือจากเวเนเซียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตกอยุ่ภายใต้การระบาดของโรคนี้กันทั้งนั้น ประเทศต่าง ๆ ที่เหลือก็คงจะต้องเผชิญกับโรคระบาดในไม่ช้านี้ ตอนนี้บริษัทของเราได้คาดการณ์ว่าจะมีคนตายอยู่ที่ 30%”
“ผู้คนจำนวน 30% ของทั้งทวีปนี้จะต้องตายงั้นเรอะ? นี่ท่านพูดเล่นหรือเปล่า?”
“เจ้าเคยเห็นข้าคนนี้เคยพูดจาล้อเล่นแม้แต่เพียงครั้งเดียวในชีวิตด้วยหรือ”
ข้าถึงกับเผลอพูดพึมพำกับตัวเอกออกมา 30% นี่เป็นจำนวนมหาศาลจนนึกไม่ถึง นี่มันหมายความว่าทั้งมนุษย์และปีศาจหลายล้านคนที่กำลังจะต้องตายไป ความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นมันมากเสียจนข้าไม่สามารถจินตนาการออกมาได้เลย
“ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองไหน ๆ ก็สั่งหยุดทำการค้าขายกับบริษัทของเรา”
อีวาน ลอทบลอค พูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังสนุกกับอะไรบางอย่าง
ในสถานการณ์เช่นนี้คน ๆ นี้ก็ยังจะทำท่าทางสนุกสนานแบบนั้นอยู่อีกหรือ? คน ๆ นี้สติไม่ดีแล้วจริง ๆ ด้วย ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ เรื่องที่สำคัญกว่านั้น เมื่อกี้นี้พูดว่าเจ้าเมืองทุกเมืองหยุดทำการค้าขายกับเรางั้นรึ?
“นี่มันเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่หรือ!?”
“อาา เป็นเรื่องใหญ่สิ พวกนั้นกลัวว่านอกจากสินค้าแล้วพวกเรายังจะนำโรคระบาดเข้าไปด้วย แล้วก็ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้สินค้าที่เราใช้เวลาตระเตรียมกันมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ก็ได้แค่ทิ้งเอาไว้ในเกวียนบรรทุกกับคลังสินค้ารอให้มันเน่าแค่นั้น”
“อย่าบอกนะว่าบริษัทอื่น ๆ ก็โดนด้วย……”
“ทุกบริษัทโดนเหมือนกัน ตอนนี้การค้าขายทุกอย่างหยุดหมด”
นี่เป็นวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โรคระบาดนี้ไม่เพียงจะนำอันตรายมาสู่สังคมของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของทวีปนี้พลังทลายตามไปด้วย ตอนนี้ไม่ว่าใครจะติดโรคระบาดนี้หรือไม่ติดก็มีค่าไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนต่างก็กำลังวิ่งตรงเข้าไปสู่นรกเหมือนกันทั้งสิ้น
หลังจากที่หน้าของข้าได้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ลีวาน ลอทบลอค ก็เปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พวกเราที่เป็นปีศาจอย่างน้อยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า พวกเรานั้นต่างกับมนุษย์ พวกเราได้ศึกษาในเรื่องของมนตร์ดำมาเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีแล้ว พวกเรามีความรู้ความเข้าใจในการที่จะควบคุมโรคติดต่อให้อยู่ในระดับความเสียหายที่ต่ำที่สุด แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ ประเทศของพวกนั้นสั่งให้มนตร์ดำเป็นของต้องห้าม ดังนั้นพวกมนุษย์จึงยังมีความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องนี้ตามหลังพวกเราอยู่มาก สำหรับมนุษย์ อาจจะไม่ใช่แค่ 30% หรือ 40% บางทีมันอาจจะขึ้นไปถึง 50% ด้วยซ้ำ”
“พระเจ้าช่วย.…..”
“ปัญหาคือ แลพิส แลซูลี สามารถรู้ล่วงหน้าถึงโรคระบาดนี้ได้อย่างไร”
อีวาท ลอทบลอคหยิบไปป์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
จากนั้นก็เริ่มบ่นอุบอิบไปพลางยัดใบยาสูบลงไปในท่อไปป์ไปพลาง
“สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่ายารักษาโรคระบาดคืออะไรและทำการกว้านซื้อผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน โรคระบาดในครั้งนี้จะต้องถูกจงใจสร้างขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“หมายความว่า…… มีใครบางคนตั้งใจที่จะแพร่กระจายโรคระบาดนี้งั้นหรือ?”
อีวาน ลอทบลอค พยักหน้า
แต่อาศัยเพียงแค่ แลพิส แลซูลี ที่เป็นซัคคิวบัสเลือดผสมมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เธอไม่มีความสามารถที่จะสร้างโรคระบาดเช่นนี้ด้วยตัวของเธอเองอย่างแน่นอน ไม่สิ ไม่มีใครบนทวีปนี้ที่สามารถสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้หรอก
แต่ อีวาน ลอทบลอค ก็พูดขึ้นมาราวกับกำลังอ่านใจข้าอยู่
“ถ้าคิดตามสามัญสำนึกทั่วไปมันก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่า หากเป็นจอมมารบาร์บาทอสล่ะก็ มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้”
“จอมมารบาร์บาทอส……”
จอมมารลำดับ 8
จอมมารที่ถูกยกย่องว่าเป็นเนโครแมนเซอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนทวีปและถูกเรียกว่าราชาแห่งผู้วายชนม์
กองทัพที่จอมมารบาร์บาทอสเป็นผู้นำทัพนั้น ประกอบได้ด้วยอันเดดจำนวน 5,000 ตน ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศพที่ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ถ้าเป็นบาร์บาทอส ผู้ช่ำชองในศาสตร์มนตร์ดำและโรคภัยผู้นั้นล่ะก็ จะต้องสามารถสร้างโรคระบาดเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่ อีวาน ลอทบลอคเป็นผู้สรุป
หมายความว่า แลพิส แลซูลี แท้จริงแล้วคือคือตัวหมากของ บาร์บาทอส
ส่วนดันทาเลี่ยนนั้น ก็เป็นแค่เพียงเหยื่อล่อปลาปลอมที่แสดงอยู่เบื้องหน้า
ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้แท้จริงแล้วคือบาร์บาทอสอย่างนั้นหรือ? และหากถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง……
“นี่ไม่ใช่การกล่าวหาลอย ๆ ไม่ว่าใครก็รู้ว่าจอมมารบาร์บาทอสนั้นเกลียดพวกมนุษย์ขนาดไหน ดังนั้นถ้าเกิดมีโรคร้ายระบาดขึ้นมาล่ะก็ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์จะต้องหนักหนากว่าที่ความเสียหายที่เผ่าปีศาจได้รับอย่างแน่นอน เรื่องนี้จอมมารบาร์บาทอสจะต้องทราบเป็นอย่างดีแน่”
อีวาท ลอทบลอค ยังคงพูดต่อไปในท่าทางที่สงบนิ่ง
“ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จอมมารบาร์บาทอสจะเล็งกำจัดพวกมนุษย์ด้วยการใช้โรคระบาด จริง ๆ แล้วนี่ต้องพูดชมเชยด้วยซ้ำว่าเป็นวิธีการที่สมเหตุสมผลมาก”
“……เรื่องนั้นมัน เลวร้ายที่สุด”
ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไม อีวาน ลอทบลอค ถึงได้บอกกับข้าว่าหลังจากนี้เหตุการณ์ต่าง ๆ มันจะยิ่งแย่ลงไปอีก
แพร่กระจายโรคระบาดร้ายแรงเพียงเพื่อที่จะกำจัดเผ่าพันธุ์เพียงเผ่าพันธุ์หนึ่ง โดยไม่สนใจเหตุผลอื่น ๆ เช่นนี้ นี่คืออาชญากรรมร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย ความคิดที่ว่า “คนเราสามารถโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ” ผ่านเข้ามาในสมองของข้าและทำให้ข้ารู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา
“ความจริงแล้วจอมมารทั้งหลายก็มีสันดานเฉกเช่นนี้เอง หากเพื่อที่จะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ก็ไม่สนใจว่าอะไรถูกอะไรผิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันปีมันก็คงเป็นเช่นนี้เสมอ”
“……ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วพวกเราจะยืนอยู่เฉย ๆ ที่นี่โดยไม่พูดอะไรเลยหรือ? ในขณะที่ผู้คนหลายล้านคนต้องร่ำร้องด้วยความทรมาณ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องตอบโต้ บาร์บาทอส ดันทาเลี่ยน และ แลพิส แลซูลี ที่สุมหัวกันวางแผนในเรื่องนี้อย่างสาสม”
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับเจ้าในเรื่องนั้น โทรูเคล ลองดูนี่สิ”
อีวาน ลอทบลอค ดีดนิ้ว
กระดาษม้วนหนึ่งบนโต๊ะทำงานของ อีวาน ลอทบลอค ลอยขึ้นมากลางอากาศและเคลื่อนที่มาหาข้า หลังจากที่รับม้วนกระดาษมา ข้าก็กางออกมาอ่าน
บนแผ่นกระดาษนั้น ได้เขียนเอาไว้ว่าหลังจากนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน จะเป็นค่ำคืนแห่งวาลพัวร์กิส(Walpurgis Night) ค่ำคืนที่เหล่าจอมมารจะมารวมตัวกันเพื่อจัดงานสังสรรค์
สถานที่คือ เมืองนิฟเฮม— นั่นก็คือเมืองที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท Keuncuska ตั้งอยู่นั่นเอง ดังนั้นจะมองว่านี่คือโอกาสทองก็ได้
“คุคุ งานสังสรรค์ครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายปี”
“ก็คงถูกจัดขึ้นมาเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการรับมือโรคระบาดนั่นล่ะ ซึ่งในครั้งนี้ จอมมารดันทาเลี่ยนก็จะมาร่วมงานด้วย และข้าขอพนันสิบต่อหนึ่งเลยว่า เจ้าซัคคิวบัสตัวน้อยนั่นก็จะต้องร่วมทางมาด้วยอย่างแน่นอน พวกเราจะใช้โอกาสนี้ในการกำจัดพวกมันทั้งสองคนไปในคราวเดียวเลย”
แต่ว่า
ถึงเราจะคาดเดาโดยไม่มีหลักฐานว่าจอมมารบาร์บาทอสเป็นผู้บงการเบื้องหลังตัวจริงก็เถอะ แต่ถ้าหากพวกเราสามารถข่มขู่และจับตัวจอมมารดันทาเลี่ยนและ แลพิส แลซูลี มาทรมาณได้ล่ะก็ บางทีพวกเราก็อาจจะได้หลักฐานที่พวกเราต้องการก็ได้
“ลอทบลอค บอกมาเลยว่าข้าจะต้องทำอย่างไรบ้าง”
แลพิส แลซูลี เธอคนนี้คือผู้ที่ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้อย่างเด็ดขาด
ทั้งที่พวกเราเรียกตัวเธอกลับมาแล้ว แต่ แลพิส แลซูลี ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา ช่องทางการติดต่อก็ถูกตัดขาด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สามารถจะมองเห็นเป็นอย่างอื่นได้อีกนอกจากเธอทรยศบริษัทของเรา
เธอลืมเลือนแม้กระทั่งความเมตตาที่เรามอบให้กับเธอด้วยการรับเธอเข้ามาทำงาน
จะต้องมีการสั่งลงโทษเธอทันที
“สำหรับตอนนี้ ข้าจะเข้าไปติดต่อกับจอมมารดันทาเลี่ยน ส่วนเจ้า โทรูเคล เจ้าจงไปพบกับฝ่าบาทไพมอนและทำการขอร้องเธอซะ”
“……ขอร้องฝ่าบาทไพมอนงั้นหรือ?”
“หากผู้บงการคือบาร์บาทอส ก็มีเพียงฝ่าบาทไพมอนเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับเธอได้”
ข้าพยักหน้า
ใคร ๆ ก็รู้ว่าบาร์บาทอสกับฝ่าบาทไพมอนนั้นไม่ลงรอยกัน ถ้าหากเรื่องนี้สามารถทำให้ฝ่าบาทไพมอนสามารถตบหน้าบาร์บาทอสได้ฟรี ๆ ล่ะก็ ฝ่าบาทไพมอนย่อมไม่มีทางที่จะปฎิเสธแน่
Keuncuska โอ Keuncuska อันยิ่งใหญ่เอ๋ย
เจ้าจะต้องชำระหนี้เลือดด้วยเลือดของเจ้า
ชื่อ: แลพิส แลซูลี
เผ่าพันธุ์: เลือดผสมระหว่าง ซัคคิวบัส – มนุษย์
อาชีพ: แม่ค้า(B)
ระดับชื่อเสียง: หัวหน้าหมู่บ้าน
ความเป็นผู้นำ: E พละกำลัง: D ความฉลาด : A
ไหวพริบ: B เสน่ห์: E ความชำนาญ: F
ฉายา: 1. จัณฑาล 2. ลูกของโสเภณีผู้ถูกทิ้ง
ความสามารถ: ทำบัญชี A, ค้าขาย B+, เวทมนตร์ F
ทักษะ: จูบแห่งจูดัส(B+) [หักหลังความเชื่อใจ]
[ประวัติความสำเร็จ: 1]