Dungeon Defence - ตอนที่ 11
มีอะไรเกิดขึ้นหลาย ๆ จนตอนนี้ค่อนข้างจะออกมาล่าช้าพอสมควรก็ขอโทษสำหรับเรื่องนี้ด้วย
ส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าตอนนี้ผมเรียบเรียงออกมาได้ไม่ค่อยดี แต่ก็หาจุดแก้ไม่ได้ ประมาณว่าอ่านแล้วเมาสำนวนตัวเอง เอาเป็นว่าถ้าใครเจอจุดไหนที่ควรแก้ก็ทักท้วงมาได้เลยครับ
หนึ่งในผู้บริหารของ Keuncuska, ก็อบลินผู้ตระหนี่, โทรูเคล
ปฎิทินจักรวรรดิ์: ปี 1505, วันที่ 20, เดือน 4
ห้องประชุม, สำนักงานใหญ่บริษัท Keuncuska
“ถึงกับต้องเรียกทุกคนมาประชุมเลยรึ นาน ๆ จะได้เห็นอะไรแบบนี้ทีนะเนี่ย คุคุ”
อยู่ ๆ ก็มีคำสั่งจากสำนักงานใหญ่เรียกให้ทุกคนเข้าประชุมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ปกติแล้วเหล่าผู้บริหารของ Keuncuska จะถูกส่งไปทำหน้าที่กระจายกันอยู่ทั่วทั้งทวีป ความจริงวันนี้ข้าเองก็มีกำหนดการที่จะไปสั่งการกองเรือที่ บาตาเซ เหมือนกัน แต่อยู่ ๆ ก็ถูกเรียกมาให้เข้าร่วมการประชุมที่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการ
การที่อยู่ ๆ ก็มีการเรียกตัวผู้บริหารทั้งหมดให้มารวมตัวกันนั้น…… ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกันได้ทุกวัน รู้สึกใจคอไมค่อยดีเอาเสียเลย หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
หลังจากที่เก็บซ่อนความรู้สึกกระวนกระวายของตัวเองแล้ว ข้าก็เดินทางมายังสำนักงานใหญ่ และเข้าไปในห้องที่เหล่าผู้บริหารทุกคนรวมตัวกัน
“คุคุคุ”
ที่แห่งนี้ก็ยังคงมีพวกแวมไพร์, แวร์วูฟ, ลิซาร์ดแมน และก็เจ้าพวกโง่ป่าเถื่อนอื่น ๆ อยู่กันเต็มไปหมดเหมือนเคย ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มารวมกันอยู่ที่นี่จนเหมือนกับงานนิทรรศการแสดงเผ่าพันธุ์แบบย่อม ๆ เลยทีเดียว ……หืม? ตรงมุมหนึ่งของห้องประชุมนี้มีผู้หญิงที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ด้วย เธอมีเส้นผมเป็นสีชมพูงั้นหรือ สีผมแบบนี้มันมีกันอยู่ไม่กี่เผ่าหรอกนะ
และข้าก็ได้สบตาเข้ากับเธอ
“หือ……!”
ข้าถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย
ดวงตาที่เหมือนกับพิษร้ายบนใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเธอนั้นมันไม่ธรรมดาเลย นั่นคือดวงตาของคนที่เคยฆ่าคนมาก่อน ไม่ใช่ดวงตาของคนที่เคยฆ่าแค่หนึ่งคนหรือสองคน แต่เป็นดวงตาของคนที่เคยฆ่ามาแล้วเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน โชคดีที่ที่พวกเราสบตากันเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับไป
คุคุ
ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่การเรียกประชุมฉุกเฉินในคราวนี้ต้องเกิดขึ้นเพราะเธออย่างแน่นอน ทุกครั้งที่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฎตัวขึ้นก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ พลิกผันอย่างรวดเร็วเสมอ และในคราวนี้ก็มีเด็กสาวที่ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนมาปรากฎตัวขึ้นในห้องประชุม เรื่องแค่นี้เดาได้ไม่ยากเลยสักนิด
ตอนนี้เหล่าผู้บริหารก็เริ่มพากันส่งเสียงไม่พอใจออกมา
“ในที่สุดเจ้าคนตระหนี่โทรูเคลก็มาถึงแล้ว รีบเริ่มประชุมเร็วเข้า”
“รู้มั้ยว่าพวกลูกค้าน่ารำคาญน่ะมันมีเยอะขนาดไหน?”
“ใช่ ใช่ ถ้าวันนี้ข้าขายปลาเฮอร์ริ่งตากแห้งได้ไม่หมดล่ะก็จะต้องแย่แน่”
ช่างเป็นพวกที่ความอดทนต่ำเสียจริง
แต่ว่าวันนี้ข้าเองก็มีกำหนดการพบปะกับเหล่าพ่อค้าแห่งฟริเจียที่ท่าเรือเหมือนกัน ข้าเองก็ยุ่งไม่ใช่น้อยด้วย เวลานั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อค้า จะเป็นการประชุมหรืออะไรก็ช่างก็รีบ ๆ เริ่มเถอะ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รีบจบเร็ว ๆ ด้วย
“เอาล่ะ ทุกท่านโปรดใจเย็นลงก่อน”
เหล่าผู้บริหารต่างพากันสงบลงเมื่อได้ยินคำพูดของแวมไพร์เฒ่าที่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านบน
“เราย่อมต้องมีเหตุผลในการเรียกผู้บริหารทุกท่านมารวมตัวกันในวันนี้อย่างแน่นอน เราจะไม่ทำให้เวลาของทุกท่านต้องเสียเปล่าหรอก”
อีวาน ลอทบลอค
ชายชราที่มีเคราสีขาวยาวเฟื้อยผู้นี้คือผู้บริหารสูงสุดของบริษัท หรือจะบอกว่าเป็นผู้ที่ควบคุมบริษัทนี้ตัวจริงก็ได้
นอกจากนี้ยังใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานมามากกว่า 600 สมกับที่เป็นแวมไพร์ ถึงข้าจะอยากพูดว่าแก่จนควรจะคลานเข้าไปนอนในโลงแล้วจัดงานศพไปเลยก็เถอะ แต่ก็เป็นคนที่มีชีวิตมาอย่างยาวนานจริง ๆ
“เอาล่ะ แลพิส แลซูลี เจ้าเริ่มอธิบายได้”
“ค่ะ ผู้บริหารสูงสุด”
เธอขานรับและเดินไปยังกลางห้องประชุม
แลพิส แลซูลี งั้นรึ? ……ข้าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“นั่นมันคนที่เกิดมาพร้อมสายเลือดต้องสาปนั่นนี่”
“ทำไมไอ้ตัวแบบนั้นถึงได้เข้ามาในห้องประชุมผู้บริหารคราวนี้ด้วย?”
ผู้บริหารหลายคนที่รู้จักเด็กหญิงคนนี้ก็เริ่มพากันขมวดคิ้วและหันหน้าเข้าซุบซิบกัน แต่ละคนพากันแสดงออกถึงความรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
อาา ข้าจำได้แล้ว เธอคนนี้ก็คือเด็กที่ถึงจะเป็นจันฑาลแต่ก็สามารถไต่เต้ามาจนมีตำแหน่งที่มั่นคงในบริษัทของเราได้คนนั้นนี่เอง
มีช่วงหนึ่งที่หัวข้อถกเถียงเรื่องเด็กสาวผู้มีความสามารถสูงล้ำเหนือฐานะของเธอได้เป็นที่โจษจันไปทั่วบริษัท คุคุคุ เธอคนนี้เองสินะที่เป็นตัวละครเอกของเรื่องที่ว่านั่น
เสียงขานรับของเธอนั้นหนักแน่นและชัดเจน การที่มายืนอยู่ต่อหน้าผู้บริหารทั้งหมดของบริษัทแล้วยังสงบสติอารณ์ได้แบบนี้ ความกล้าของเธอนั้นไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าสิ่งนั้นไม่ใช่แม้แต่จะเป็นว่าที่ผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้บริหารไม่ใช่หรือ ท่านผู้บริหารสูงสุด เจ้านั่นมันเป็นเพียงแค่เสมียนธรรมดา ๆ เองนี่นา? แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน? ต่อเป็นเป็นกรณีพิเศษยังไงก็เถอะมันก็ต้องมีขอบเขตบ้าง”
“แค่ข้าต้องมาหายใจร่วมกับเจ้าพันธุ์ผสมนี่ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาแล้ว”
เหล่าผู้บริหารต่างพากันส่งเสียงบ่นไม่พอใจ
ช่างโง่เขลาอะไรแบบนี้นะ
ระบบชนชั้นวรรณนะน่ะมันก็เป็นได้แค่ของเก่าเก็บที่ไม่มีค่าอะไร มันคือเครื่องมือที่เจ้าพวกขุนนางโง่เง่านั้นสร้างขึ้นมาไว้เพื่อยกระดับลูก ๆ ที่โง่เขลายิ่งกว่าเท่านั้น แต่กระนั้นแล้วพวกเจ้าก็ยังจะรังเกียจเดียดฉันท์เธอที่เป็นพันธุ์ผสมคนนี้อีกหรือ ทั้งที่พวกเราเหล่าพ่อค้าแม้ค้าเองก็ถูกจัดอยู่ในพวกระดับต่ำเหมือนกันแท้ ๆ จุ๊จุ๊ ต้องบอกว่านี่คือ เฉือนจมูกแกล้งหน้า* สินะ(บันทึกผู้แปล: ตอบสนองต่อปัญหาอย่างเกินจริงด้วยการทำร้ายตัวเองอย่างเปล่าประโยชน์)
อีวาน ลอทบลอค ยิ้มเจื่อน
“ก่อนอื่นก็ลองมาฟังในสิ่งที่เธอึนนี้จะพูดก่อนเป็นอย่างไร ถ้ามันทำให้เราได้กำไรล่ะก็ จะเป็นทองที่สุกรถ่ายออกมาหรือจะเป็นทองที่อาบน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มันก็มีค่าเท่ากันทั้งนั้น…… แลพิส แลซูลี เจ้าพูดต่อได้
“ค่ะ ขณะนี้จอมมารดันทาเลี่ยนได้ยื่นคำร้องขอกู้เงินเพิ่มค่ะ”
แลพิส แลซูลี พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ปัจจุบัน แม้ว่าจอมมารดันทาเลี่ยนจะมีหนี้ค้างชำระอยู่ 196 ลิบราแล้วก็ตาม แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ตั้งใจที่ขอกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก โดยวางแผนที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาค่ะ”
“หืม”
เหล่าผู้บริหารต่างหันหน้าไปมองกันและกัน
ถึงท่าทีของแต่ละคนเมื่อสักครู่นี้จะดูแย่ยังไงก็เถอะ แต่ทุกคนในที่นี้ต่างก็ไม่ใช่คนโง่ ทุกคนเข้าใจได้ในทันทีว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนพากันหยุดสนใจเรื่องสถานะของ แลพิส แลซูลี และหันไปปรึกษากับคนที่ยู่ข้าง ๆ ทันที
“เจ้านั่นคิดจะก่อหนี้เพื่อหยุดหนี้”
“ไม่มีอะไรจะสิ้นคิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“ถ้ากระต่ายเสนอตัวมาติดกับดักด้วยตัวเอง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องปฎิเสธ”
“แล้วเจ้านั่นอยากจะยืมเพิ่มอีกสักเท่าไหร่ล่ะ?”
ข้าเองก็คิดเหมือนกับผู้บริหารคนอื่น ๆ
ต่อให้เป็นจอมมารลำดับที่ 71 ก็ยังมีคุณค่าให้ใช้สอยในทางการเมืองอยู่ดี นี่ล่ะคือโอกาสที่จะจับจอมมารที่ว่านั่นมาใส่ปลอกคอล่ามโซ่
แต่หลังจากที่ได้ยินคำตอบกลับมา ผู้บริหารทุกคนต่างก็พากันเงียบกริบ
“จำนวนเงินที่จอมมารดันทาเลี่ยนต้องการคือ— 10,000 เหรียญทองค่ะ”
อะไรนะ?
สีหน้าตกตะลึงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเหล่าผู้บริหาร
“เจ้านั่นยังสติดีอยู่หรือเปล่า!”
“เฮอะ เจ้าบ้านนอกนั่น แค่เงิน 100 เหรียญทองยังไม่มีปัญญาจัดการเลยแท้ ๆ “
เจ้านั่นมันบ้า มันเสียสติไปแล้ว คำพูดเหล่านี้ต่างพากันพรั่งพรูออกจากปากโดยที่ไม่มีการห้ามปรามใด ๆ ทั้งที่พวกเรากำลังนินทาจอมมารที่อยู่บนจุดสูงสุดของลำดับชนชั้นอยู่แท้ ๆ แต่แล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ ถ้าในเมื่อไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเราที่ได้ยินคำนินทาพวกนี้
“เจ้าแน่ใจนะว่า มันพูดเงินจำนวน 10,000 เหรียญทองออกมาจริง ๆ ?”
“ค่ะ ข้าขอสาบานต่อแม่น้ำสติกซ์ว่าเป็นเช่นนั้นจริง (บันทึกผู้แปล:แม่น้ำสติกซ์ หรือ River of Styx คือชื่อของแม่น้ำสายหนึ่งในนรกในเทพปกรณ์มกรีก”
“เจ้านั่นมันบ้าไปแล้ว……”
เหล่าผู้บริหารต่างพากันเยาะเย้ย
เงินจำนวน 10,000 เหรียญทองนั้น เป็นจำนวนเงินที่เทียบเท่ากับรายรับทั้งปีของขุนนางระดับเอิร์ลที่มีประชนชนจำนวนไม่ต่ำกว่า 50,000 คนอาศัยอยู่ในพื้นที่ตัวเอง และเมื่อปีที่แล้ว จำนวนเงินงบประมาณรายปีทั้งหมดของจักรวรรดิแฮบสเบิร์กก็มีจำนวนราว ๆ 500,000 ลิบรา
ส่วนจอมมารดันทาเลี่ยนที่ไม่มีทั้งอาณาเขตและประชนชนของตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับร้องขอเงินเป็นจำนวนเทียบเท่า 1 ส่วน 50 ของเงินงบประมาณรายปีของจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่งั้นรึ? ข้างในกระโหลกของมันมีสไลม์อาศัยอยู่แทนสมองหรือยังไงกัน?
“เหล่าสหายแห่ง Keuncuska เอ๋ย”
คงจะคิดว่าบรรยากาศภายในห้องประชุมนี้เริ่มซับซ้อนขึ้นทุกทีแล้วกระมั้ง อีวาน ลอทบลอค จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น
ทันใดนั้นในห้องประชุมที่อึกทึกจนถึงเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ เงียบสงบลง ก็ถ้าหากแวมไพร์เฒ่าผู้นี้ได้เอ่ยปากแล้วล่ะก็ แม้แต่ผู้บริหารที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ก็ยังต้องปิดปาก
“โดยส่วนตัวแล้วข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีของเรา แม้เงินจำนวน 10,000 เหรียญทองนั้นจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ แต่ว่า หากมันสามารถทำให้จอมมารกลายเป็นหมาเฝ้าบ้านของเราไปได้ตลอดกาลล่ะก็ มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเงินจำนวนที่มากมายอะไรเลย”
“คุคุคุ”
ข้าถึงกับหัวเราะอย่างลืมตัวออกไป
ตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิด สัญลักษณ์แห่งฐานันดรศักดิ์ที่ไม่อาจมีผู้เทียบเทียม หนึ่งใน 72 จอมมารผู้บังคับบัญชากองทัพปีศาจ นี่ถึงกับกล้าเรียกคนที่มีศักดิ์ระดับสูงเช่นนั้นว่าหมาเฝ้าบ้าน…… สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสามแอนเชียนท์แวมไพร์ผู้ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นท่าทีที่โอหังเหมาะสมกับตัวของ อีวาน ลอทบลอค จริง ๆ
แต่จะยังไงก็เถอะ จะให้เขาคอยเป็นคนดำเนินการประชุมครั้งนี้เพียงคนเดียวก็ออกจะน่าสงสารไปหน่อย เอาเป็นว่าข้าจะยื่นมือเข้าไปช่วยดันเรื่องให้เดินสักนิดก็แล้วกัน
“ช้าก่อนท่านบริหารสูงสุด ทางข้ามีคำถามอะไรเล็กน้อย”
“อืม มีอะไรก็พูดออกมาเลยเถอะอย่ามัวแต่อ้อมค้อม”
อีวาน ลอทบลอค กับข้าหันมาสบตากัน
นัยน์ตาสีแดงบริสุทธิ์คู่นั้น มันคือสีที่ทำให้ทุกคนนึกถึงสีของเลือด แม้ว่าจะมีเหล่าผู้บริหารหลายต่อคนหลายคนที่คอยกระซิบกระซาบกันว่าดวงตาคู่นี้เป็นดวงตาที่ชวนให้รู้สึกน่าสะพรึงกลัว แต่ว่า สำหรับข้าแล้ว ข้ากลับรู้สึกเพียงแค่ว่าดวงตาคู่นี้มันช่างงดงามเหลือเกิน มันมีทั้งความเลือดเย็น ความเกรี้ยวกราด และนิสัยชอบเยาะเย้ยถากถางของแวมไพร์อยู่ข้างในนั้น…… ในอนาคต อีวาน ลอทบลอค จะต้องทำให้บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทที่สามารถคงอยู่ไปชั่วนิรันทร์ได้แน่ และถ้าหากเป็นไปได้ ข้าเองก็อยากอยู่เพื่อเป็นสักขีพยานในวินาทีที่มันเป็นจริง นี่คือความฝันเล็ก ๆ ของข้าคนนี้
“เป็นไปได้หรือเปล่าว่านี่จะเป็นกับดัก?”
“กับดัก?”
“เราไม่ได้กำลังพูดถึงเงินจำนวนหนึ่งหรือสองเหรียญทอง แต่กำลังพูดถึงจำนวนเงินที่อย่างน้อย ๆ ก็ 10,000 เหรียญทองเข้าไปแล้ว ถ้าจอมมารดันทาเลี่ยนไม่ได้เสียสติจริงล่ะก็ ก็แปลว่าเขาต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่”
ส่วนตัวแล้วทางนี้เองก็ไม่ได้คิดว่าเจ้าจอมมารดันทาเลี่ยนนั่นจะมีความสามารถอะไรที่จะมาบริหารเงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ได้หรอก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตามที เราก็ต้องตระเตรียมคิดถึงทุก ๆ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้เอาไว้ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ห้ามหลงลืมเป็นอันขาด
“นั่นก็เป็นคำถามที่ดี”
หืม?
อีวาน ลอทบลอค ยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่เป็นสีหน้าที่เขาจะแสดงออกมาในเวลาที่กำลังคิดแผนชั่วร้ายอะไรสักอย่างอยู่ ทั้งที่แก่หง่อมถึงขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังจะมีรอยตีนกาที่ดูเท่แบบนั้นอยู่อีกนะ
“ในส่วนนั้น แลพิส แลซูลี จะเป็นคนอธิบายเอง”
“ค่ะ ท่านผู้บริหารสูงสุด เราผู้นี้อยากจะขอแจ้งให้ผู้ที่เป็นเสาหลักของบริษัท Keuncuska ทุกท่านให้ทราบว่า ในปัจจุบัน จอมมารดันทาเลี่ยนกำลังถือว่าเราผู้นี้เป็นนางสนมของเขาอยู่ค่ะ”
“……เมื่อกี้นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ถึงจะฟังดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่เราผู้นี้ก็ได้ตัดสินใจใช่เสน่ห์เพื่อทำให้จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นลุ่มหลงในตัวเราไปโดยพลการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
คราวนี้ เหล่าผู้บริหารต่างก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกแตกตื่นของตัวเองเอาไว้ได้
แต่ในทางกลับกัน แลพิส แลซูลี ตั้งแต่ต้นจนจบเธอก็ยังคงรักษาสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของเธอเอาไว้ ใบหน้าของเธอนั้นสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา
ไม่สิ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสิ่งนั้นคือความสงบนิ่งดีหรือเปล่า เพราะมันไม่มีเค้าลางของอารมณ์หรือความรู้สึกตึงเครียดใด ๆ บนใบหน้าเธอแม้แต่เสี้ยวเดียวด้วยซ้ำ พนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะไม่มีแม้แต่การขมวดคิ้วเกิดขึ้นในเวลาที่มายืนอยู่ต่อหน้าเหล่าผู้บริหารทั้งหมดได้เชียวหรือ? จะบอกว่านี่คือความสงบนิ่งหรืออะไรก็ดี แต่นี่มันไม่ใช่ปกติแล้ว……
“แลพิส แลซูลี ที่เจ้าบอกว่าใช่เสน่ห์นั้นมันหมายถึงอะไร?”
ข้าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าได้จับจอมมารมาครอบครองด้วยการใช้ร่างกายของเจ้าหรือยังไง?”
“เป็นอย่างที่ท่านว่ามานั่นล่ะค่ะ ท่าน โทรูเคล”
แลพิส แลซูลี หันหน้ามามองทางข้าตรง ๆ
นัยน์ตาของเธอมีสีฟ้าเฉกเช่นเดียวกับสีของท้องฟ้า
ดวงตาสดใสของเธอนั้นไม่สั่นไหวแม้แต่นิด
“ข้ากับจอมมารดันทาเลี่ยนได้มีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันไปแล้ว”
“พระเจ้า”
เหล่าผู้บริหารหลายคนได้ส่งเสียงพึมพัมกับตัวเอง
หากผู้ใดทำการซ่องเสพกับบุคคลลที่เป็นพวกพันธุ์ผสมแล้ว ผู้นั่นก็จะถูกพระเจ้าสาปส่ง แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ แต่ประชากรทั้งหมดกว่า 90% ของทวีปนี้ก็เชื่อในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จริงจังจนไม่อาจทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนกับเรื่องที่ตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงละเมิดอย่างจอมมารถูกเธอที่เป็นพันธุ์ผสมทำให้แปดเปื้อนไปได้ เรื่องนี้นอกจากจะเป็นความผิดที่ยากจะปฎิเสธแล้ว ยังจะก่อปัญหาใหญ่โตตามมาอีกมากมาย
“นี่เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าได้ทำอะไรลงไป!”
“พวกเราอาจจะถูกโบสถ์ตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีตได้เลยนะ!”
เหล่าผู้บริหารต่างพากันชี้นิ้วไปที่หน้าของ แลพิส แลซูลี
บนทวีปนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่คิดจะทำการซื้อขายสินค้าต่าง ๆ ก็ต้องของอนุญาติจากวิหารก่อนทั้งสิ้น และนอกจากวิหารของแอโฟรไดท์กับอาร์เทมีสแล้ว วิหารทุกวิหารต่างก็ห้ามไม่ให้พวกพันธ์ผสมทำการสมสู่กับผู้ที่อยู่ในชนชั้นอื่นโดยเด็ดขาด……
และก็พากันตะโกนด้วยใบหน้าที่โมโหจนแดงก่ำ
“ผู้บริหารสูงสุด! เตะยัยโสเภณีนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เลยเถอะ!”
“ฝ่าฝืนข้อห้ามของเทพเจ้าทั้งหลายยังไม่พอ แต่ยังจะลากบริษัทของพวกเราไปเสี่ยงอันตรายด้วยอีก! พวกเราไม่น่าให้ไอ้ตัวอัปรีย์นี่เข้ามาอยู่ในบริษัทเราตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ไอ้ตัวโรคเรื้อนระยำเอ้ย……!”
ในห้องประชุมเต็มไปด้วยเสียงด่าทอ
โสเภณีแห่งโลกปีศาจ ซัคคิวบัส
และไม่ใช่แค่ซัคคิวบัสธรรมดา แต่ยังเป็นพวกพันธ์ผสมที่น่าขยะแขยงอีก
ขนาดข้าที่ไม่ชมชอบในระบบชนชั้นวรรณะ ก็ยังถึงกับพูดไม่ออกในสถานการณ์นี้ แต่ทว่า อีวาน ลอทบลอค ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองและคอยจ้องมองซัคคิวบัสคนนี้อยู่
“ยังไม่หมดแค่นี้ ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งที่เจ้ายังไม่ได้อธิบายให้เหล่าผู้บริหารฟังไม่ใช่หรือ มัวทำอะไรอยู่? รีบ ๆ บอกพวกนี้เร็วเข้าสิ”
มีเสียงหัวเราะซุกซนผสมอยู่ในเสียงของ อีวาน ลอทบลอค…… นี่เขากำลังสนุกกับเรื่องนี้อยู่หรือ? ทั้ง ๆ ที่อาจจะพูดเกินจริงไปบ้างก็เถอะ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับบริษัทเราเลยนะ? แต่ยังไงซะ พวกแวมไพร์มันก็ไม่ค่อยจะปกติดีอยู่แล้ว สมองของพวกนี้มันจะเพี้ยน ๆ กันทุกคนเพราะไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์เข้าไปเลย และการขาดสารอาหารจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อจิตใจ ทำให้ข้าในฐานะที่เป็นเป็นก็อบลินผู้ได้รับการฝึกฝนด้านมารยาทและสามัญสำนึกมาอย่างดีแล้ว ตามความคิดของเขาคนนี้ไม่ทันเลยจริง ๆ
“ค่ะ ยังมีสิ่งที่เราผู้นี้ยังไม่ได้บอกกับผู้บริหารทุกท่านอยู่อีก”
แลพิส แลซูล พูดต่อไปด้วยเสียงเรียบต่ำ
ทั้งที่เมื่อกี้เธอคนนี้ถูกทั้งก่นด่าและสาปแช่งสารพัดถึงขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ นี่จะบอกข้าว่าเธอคนนี้ก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดงั้นหรือ? เธอคนนี้มันไม่ปกติธรรมดาจริง ๆ ด้วย
“อย่างที่ทุกท่านอาจจะทราบกันดีว่า เดิมทีนั้นบริษัทของเราไม่ถือจอมมารที่มีลำดับต่ำกว่า 60 นั้นเป็นลูกค้าของเรา เพราะนั่นจะทำให้ระดับของบริษัทเราดูตกต่ำลง แต่ถึงกระนั้น เราผู้นี้ก็ได้ทำงานอยู่ในตำแหน่งของที่ปรึกษาส่วนตัวของจอมมารดันทาเลี่ยนมาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี และเหตุผลของเรื่องนี้ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
แลพิส แลซูล สูดอากาศหายใจเข้าไปหนึ่งครั้งแล้วก็พูดประกาศออกมา
“เพราะเราผู้นี้ เป็นคนดึงดันร้องขอตำแหน่งที่ปรึกษานั้นเอง”
“ว่าไงนะ?”
“เราผู้นี้ได้เล็งตำแหน่งนางสนมของจอมมารดันทาเลี่ยนมาตั้งแต่ต้น”
เหล่าผู้บริหารพากันเอะอะโวยวายอีกครั้ง
พวกที่ด่าทอซัคคิวบัสคนนี้จะถึงเมื่อสักครู่ต่างพากันรู้สึกมึนงง นั่นก็เพราะว่า แลพิส แลซูลี กลับพูดในเรื่องที่พวกตัวเองนั้นเพิ่งจะด่าทอออกไปนั้นด้วยความรู้สึกที่สง่างามดูภูมิฐานเสียเหลือเกิน สถานการณ์ในตอนนี้ได้ห่างไกลจากจุดที่พวกผู้บริหารจะสามารถทำความเข้าใจได้ออกไปเรื่อย ๆ
ในตอนนั้นเอง ก็มีใครบางคนหัวเราะออกมา
พอข้าหันหน้ามองไปยังต้นเสียงก็พบกับ อีวาน ลอทบลอค กำลังหัวเราะเสียงดัง เขาคนนั้นกลับหัวเราะในสถานการณ์เช่นนี้ โดยที่ไม่สนใจผู้บริหารคนอื่น ๆ ที่กำลังมึนงงสับสนเลยสักนิด และหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนออกมา
“สหายทุกท่านเอ๋ย นี่พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ว่าจอมมารนั้นไม่ได้อยู่ ๆ ก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาแต่อย่างใด แต่ทุกอย่างได้ถูกจัดแจงโดยฝีมือของซัคคิวบัสผู้นี้ ในระยะเวลาไม่ถึงปี เด็กคนนี้ก็สามารถทำให้จอมมารดันทาเลี่ยนตกเป็นทาสของตัณหาได้แล้ว”
เป็นแบบนี้เองหรอกหรือ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองหรอกหรือ!
ในที่สุด ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลเสียที
ถึงฐานะของ แลพิส แลซูลี จะต่ำต้อยก็ตาม แต่รูปร่างภายนอกของเธอนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาเลย เธอใช้รูปร่างหน้าตาของเธอมัดใจของจอมมาร และใช้วิธีที่พวกเราไม่รู้ ในการล่อลวงให้จอมมารทำการขอยืมเงินก้อนโตจากบริษัท……
เหล่าผู้บริหารคนอื่นก็คงจะตระหนักถึงความจริงของสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเช่นกัน ใบหน้าของแต่ละคนนั้นขาวซีด พวกเขาไม่ได้มอง แลพิส แลซูลี ด้วยสายตาดูถูกอีกต่อไปแล้ว
“แต่ทำไม……ถึงต้องทำอะไรที่มันเสี่ยงถึงขนาดนี้ด้วย……?”
“เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ”
“ประสบความสำเร็จ?”
“หากทำให้จอมมารกลายมาเป็นคนของบริษัทได้ล่ะก็ ผลงานในครั้งนี้ของเราคงจะได้รับคำชมเป็นอย่างสูงเป็นแน่”
“……”
ทุกคนที่เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ต่างก็นิ่งเงียบไม่มีคำพูดใด ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าควรจะพูดกับพนักงานของบริษัทตัวเองที่เพิ่งจะสารภาพออกมาว่า ‘ได้ขายร่างกายของตัวเองแลกกับความสำเร็จ’ อย่างหน้าตาเฉยอย่างไรดี
มีเพียง อีวาน ลอทบลอค เท่านั้นที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด
“เป็นยังไงล่ะ สหายทุกท่าน นี่ไม่ใช่ผลงานชิ้นเอกหรอกหรือ”
“…….ผลงานชิ้นเอก?”
ข้าเผลอถามคำพูดนั้นกลับออกไป
อีวาน ลอทบลอค ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง และทำท่ากางแขนทั้งสองข้างออกไปราวกับกำลังจะแนะนำอะไรบางอย่าง เป็นการแสดงที่เหมือนกับว่าเขากำลังแนะนำนักแสดงคนต่อไปที่จะก้าวขึ้นสู่เวที
“นี่แหละคือ ผลงานเอก ทั้งที่เธอคือพวกพันธุ์ผสมที่เป็นเศษเดนของสังคม ทั้งที่เธอคือเกิดมาในฐานะเยี่ยงหนูที่คลานอยู่บนพื้น ทั้งที่เธอคือผู้ที่ถูกกำหนดให้ต้องตายอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครรู้ในตรอกด้านหลังของท้องถนน…… แต่กระนั้น ดูเธอสิ! ซัคคิวบัสคนนี้ไม่เพียงแค่สามารถเข้ามาทำงานอยู่ในบริษัทที่อยู่สูงที่สุดของโลกปีศาจได้เท่านั้น แต่เธอยังสามารถเป็นนางสนมของจอมมารได้อีก!”
“……”
“แล้วนี่ถ้าไม่ใช่ผลงานเอกแล้วจะนับว่าเป็นอะไร พวกเจ้าไม่คิดว่าความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จอันบริสุทธิ์นี้มันไม่งดงามหรือ พวกเจ้าไม่คิดว่าความต้องการที่จะไขว่คว้าพลังอำนาจอันบริสุทธิ์นี้มันไม่งดงามหรือ โออ ทุกครั้งที่ข้าได้พบกับคนรุ่นหลังที่เต็มไปด้วยจิตใจไม่ย่อท้อเช่นนี้แล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาชื่นชมเป็นทุกครั้งไป พลังอำนาจนั้นคือสตรี! ดังนั้นพลังอำนาจจึงหลงใหลในคนที่เป็นนักสู้เท่านั้น!”
ผู้บริหารทุกคนต่างพากันตกตะลึงในความบ้าคลั่งของ อีวาน ลอทบลอค
แต่มันไม่ใช่แบบนั้นสำหรับข้า
เพราะหัวใจของข้ากำลังสูบฉีดอย่างรุนแรง
เพราะนี่แหละ คือความบ้าคลั่งที่ข้าหลงใหล
ยุงที่เกิดจากแอ่งน้ำอับชื้นและมืดมิดรู้สึกโหยหาดวงอาทิตย์อันเจิดจ้าฉันใด ข้าที่เป็นคนปกติและปฎิบัติตัวตามสามัญสำนึกอยู่ตลอดเวลาก็ย่อมถูก อีวาน ลอทบลอค ผู้อยู่ด้านตรงข้ามกับข้าที่สุดดึงดูดไปฉันนั้น
“แลพิส แลซูลี จงไปบอกกับจอมมารซะ! บอกว่าพวกเรายินดีที่จะให้ยืมเงินจำนวน 10,000 เหรียญทองทุกเมื่อตามที่ต้องการ!”
“จะปฎิบัติตามคำสั่งทันทีค่ะ ผู้บริหารสูงสุด”
“และความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จอย่างแรงกล้าของเจ้าที่ถึงกับมอบพรหมจารีให้กับบริษัทของเรานั้น ข้าล่ะชอบมันจริง ๆ Keuncuska เองเป็นที่ ๆให้ความสำคัญแต่กับความสามารถและผลงานของแต่ละคนอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์เพียงพอที่จะได้รับรางวัล บอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการอะไร”
อีวาน ลอทบลอค พุดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เงินทอง? เกียรติยศ? หรือจะให้ข้ารับเจ้ามาในฐานะบุตรสาวบุญธรรม? จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดองเจ้าก็คงจะเป็นเรื่องฐานะสินะ? ถ้าเจ้ากลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้าล่ะก็จุดอ่อนข้อนี้ก็คงจะถูกกำจัดจนเกือบหมด”
“ผู้บริหารสูงสุด! ถึงเธอจะสร้างผลงานได้ขนาดไหนก็เถอะแต่ว่านั่นมัน—”
“อย่าเข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนาของคนอื่นสิ สหายเอ๋ย”
อีวาน ลอทบลอค หยุดผู้บริหารคนอื่นที่พยายามจะขัดขวาง
“ข้ากำลังพยายามดื่มด่ำกับบทสนาระหว่างข้ากับจันฑาลที่สามารถล่อลวงจอมมารได้คนนี้อยู่”
ดวงตาที่สีแดงเหมือนเลือดคู่นั้นค่อย ๆ มองไปยังเหล่าผู้บริหาร
จิตสังหารเข้มข้นแผ่ออกมาจนทำให้เหล่าผู้บริหารถึงกับตัวลีบ บรรยากาศในห้องประชุมเย็นเฉียบลงทันที
“เอาสิ แลพิส แลซูลี บอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการสิ่งใด”
“ได้โปรดจัดเตรียมเก้าอี้ของเราในการประชุมผู้บริหารครั้งต่อ ๆ ไปด้วย”
เหล่าผู้บริหารตัวสั่นระริกอย่างรุนแรง
แค่การได้เห็นพนักงานออฟฟิสธรรมดา ๆ ร้องขอให้แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้้บริหารก็เป็นอะไรที่ชวนรู้สึกให้น่าทึ่งพออยู่แล้ว แต่นี่ มันกลับมีสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นตามมาอีก สิ่งที่ทำให้เหล้าผู้บริหารถึงกับตกตะลึงสุดขีดเลยก็คือ คำตอบของ อีวาน ลอทบลอค นั่นเอง
“ไม่ใช่เงินทองหรือเกียรติยศ แต่เป็นอำนาจสินะ ไม่มีปัญหา”
“ผะ-ผู้บริหารสูงสุด……!”
“ถ้าแผนของเจ้าไปได้ด้วยดีล่ะก็ ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าเป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบภูมิภาคโดลสเตททั้งหมด โดยมีแม่น้ำไรน์เป็นศูนย์กลาง ตามด้วยโคโลญ, ซานเทน, เวิร์ทเก้น, สตราสบูร์ก, ดืสบูร์ก, วอมส์ และไมซ์ ทั้งหมดนี้คือพื้นที่รับผิดชอบของเจ้า ฟังดูเป็นยังไงบ้าง?
อีวาน ลอทบลอค จ้องมองพินิจพิจารณาหญิงสาว ราวกับว่ากำลังใช้สายตาของตัวเองทดสอบความกล้าของเธอ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
“อำนาจของจักรวรรดิได้อ่อนแอลง ด้วยเหตุนั้นอำนาจในการปกครองตัวเองของเมืองทั้งหลายที่ข้าได้เอ่ยมาจึงมีมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ มากจนทำให้การพัฒนาของเมืองเหล่านี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหันด้วย พวกสมองกลวงทั้งหลายก็จะถูกเขี่ยออกไปข้างทางจนเหลือรอดแต่ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงเท่านั้น แลพิส แลซูลี ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดฝ่าฟันไปข้างหน้าภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ไปได้หรือไม่”
“ข้าจะพิสูนจ์ให้เห็นด้วยความสามารถของตัวข้า”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็เพราะว่านอกจากความสามารถแล้วตัวเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย”
เสียงหัวเราะดังลั่นของ อีวาน ลอทบลอค ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
แวมไพร์เฒ่ากับซัคคิวบัสผู้เย็นชาได้เข้าไปสู่โลกของตัวเอง โดยทิ้งเหล่าผู้บริหารที่มึนงงเอาไว้ในห้องประชุมมืด ๆ แห่งนี้
ข้าต้องยอมรับว่านี่เป็นสถานการณ์ที่บ้าบอคอแตกจริง ๆ
อยู่ ๆ ก็จะแต่งตั้งซัคคิวบัสที่ด้อยประสบการณ์แถมยังเป็นพวกพันธ์ผสมขึ้นไปเป็นผู้จัดการสาขา จะให้ก้าวกระโดดในหน้าที่การงานอย่างไรมันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง นี่คงจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Keuncuska และก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยกระมั้ง
“คุคุคุ”
แต่ว่า จอมมารดันทาเลี่ยน งั้นหรือ ข้ากลับรู้สึกเหมือนว่าพวกเรากำลังดูถูกเขามากเกินไป…… แต่ช่างเถอะ ยังไงเสียก็เป็นเพียงแค่จอมมารลำดับที่ 71 เท่านั้นเอง แค่ระมัดระวังตัวให้มากหน่อยก็คงพอแล้ว
เอาล่ะ เรื่องคราวนี้มันช่างน่าสนใจจริง ๆ ดูสิทำเอาข้าพลอยรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
พวกเราเองก็มารอเล่นกับท่านจอมมารให้สนุกกันดีกว่า