Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 408
บทที่ 408 : ถ่ายทอดเคล็ดวิชา!
ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และน้ำตาสองหยดที่ใสราวกับคริสตัลก็ได้ร่วงลงมา แล้วจึงถูกพัดไปพร้อมกับลมทะเล หากใครได้เห็นภาพนี้ก็คงต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปพร้อมกับนางด้วยอย่างแน่นอน
นางค่อยๆหันหน้าหนีไปทางทางอื่น และใช้มือปาดน้ำตาออกจนหมด แล้วจึงหันหลังกลับมาพูดกับหลิงหยุนว่า
“เอาล่ะ.. อย่าพูดเรื่องนี้กันดีกว่า! หน้าที่ของข้าก็คือมาคอยดูแลพวกเจ้าให้ตั้งใจเรียนหนังสือ ฝึกวรยุทธ ตอนนี้กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์”
จู่ๆ หลิงหยุนก็รู้สึกว่าการเดินทางไปที่เขาเทียนซันของแม่เขานั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแม้แต่น้าหญิงที่เข้มแข็งของเขายังถึงกับร้องไห้ออกมา และน่าจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆด้วย
“น้าหญิง.. แล้วแม่ของข้าจะกลับเมื่อไหร่?” หลิงหยุนแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ และถามไปเรื่อยเปื่อย
ฉินตงเฉี่วยถึงกับตัวสั่น “ถ้าเร็ว.. ก็น่าจะนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ถ้ามีเรื่องให้ต้องล่าช้า ก็น่าจะนานกว่านั้นหน่อย..”
หัวใจของหลิงหยุนเต้นแรง แม้ที่นั่นจะไม่มีเครื่องบินไปถึง แต่ก็ไม่น่าจะกินเวลานานกว่าสามหรือห้าวัน แล้วเหตุใดจึงต้องล่าช้าถึงเพียงนั้น?
ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนทำท่าเหมือนจะถามต่อ ดวงตาคู่สวยของนางจ้องมองพร้อมกับรีบพูดตัดบท “เอาล่ะ.. อย่าถามมากความ เรื่องนี้ไว้ข้าค่อยบอกเจ้าทีหลัง! และถ้าพี่ใหญ่ยังไม่กลับมา ข้าก็จะยังไม่ไปจากจิงฉู!”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับคิดว่า เรื่องราวอาจจะไม่ยุ่งยากใหญ่โตเหมือนที่เขาคิดก็เป็นได้ อีกอย่างน้าหญิงเองก็เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่เขา หากเกิดเรื่องขึ้นกับแม่ของเขาจริงๆ นางคงไม่สามารถทนนิ่งเฉยเช่นนี้ได้แน่!
หลิงหยุนเรียกเสื้อผ้าชุดดำออกมาจากแหวนพื้นที่และส่งให้กับฉินตงเฉี่วย จากนั้นจึงถามนางไปว่า
“น้าหญิง.. ข้ามีบ้านสามหลัง ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะไปพักหลังใหน?”
ฉินตงเฉี่วยยกมือขึ้นชี้ไปทางบ้านเลขที่-9 ที่เขายกให้แม่กับน้องสาวอยู่
“พวกเราไปพักที่บ้านหลังนั้นกันดีกว่า เจ้าวางค่ายกลสังหารที่แปลกประหลาดไว้ ข้าจึงไม่สามารถเข้าไปได้ เจ้าเป็นคนนำข้าไปก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนไม่มีกุญแจบ้านหลังนั้น และตอนนี้กุญแจบ้านก็อยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ แต่ค่ายกลนั่นเขาเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมาเอง เพียงแค่ย้ายก้อนหินที่อยู่ทางด้านซ้ายของประตูออก จากนั้นค่ายกลนวะสังหารที่เขาวางไว้ก็จะหยุดทำงาน และไม่เกิดผลใดๆอีก
หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่-9 เขาจัดการเตะก้อนหินที่อยู่ทางด้านซ้ายของประตูออกต่อหน้านางพร้อมกับหัวเราะ
“นี่คือค่ายกลนวะสังหาร หากหินก้อนนี้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป ค่ายกลก็จะหยุดทำงาน ก้อนหินที่เหลือก็จะกลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาเหมือนเดิม!”
ฉินติงเฉี่วยพยักหน้าอย่างประหลาดใจ ตอนนี้นางเริ่มค้นพบความอัศจรรย์ของหลิงหยุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในใจก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร?
ในเมื่อค่ายกลสังหารนั่นถูกปิดไปแล้ว เพียงแค่ประตูบานเดียวจึงไม่สามารถหยุดยั้งคนทั้งคู่ได้ ทั้งคู่กระโดดเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าตกแต่งบ้านได้ไม่เลวนี่!” ฉินตงเฉี่วยเดินตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่น นางมองสำรวจไปรอบๆพร้อมกับเอ่ยชม
ฉินตงเฉี่วยนับว่าเป็นเพชรประจำตระกูลฉิน หากนางสามารถพึงพอใจการตกแต่งบ้านจนถึงกับเอ่ยปากชมแล้ว ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว!
“แม่ของเจ้านอนห้องใหน ข้าจะไปนอนห้องนั้น!” หลังจากที่ชื่นชมบ้านไปแล้ว นางก็หันกลับไปถามหลิงหยุน
หลิงหยุนพาฉินตงเฉี่วยไปที่ห้องนอนของแม่เขา ฉินตงเฉี่วยผลักประตูเข้าไปทันที จากนั้นก็หันไปสั่งหลิงหยุน
“เจ้าเด็กดื้อ.. ถ้าไม่มีคำสั่งข้า ห้ามเจ้าเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แล้วจากนี้ไปก็ห้ามเจ้าแสดงวรยุทธต่อหน้าคนอื่น อ่อ.. แล้วก็ห้ามออกไปใหนด้วย ได้ยินชัดเจนไม๊?”
หลิงหยุนได้แต่อึ้งและพูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่พยักหน้า จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วนั่งครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆอยู่บนโซฟา
ตอนนี้ความสามารถในการได้ยินของหลิงหยุนนั้น ต้องเรียกได้ว่าไม่เพียงได้ยินในระยะไกล แต่ยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกด้วย และในไม่ช้าเขาก็เริ่มได้ยินเสียงถอดเสื้อผ้า
หลิงหยุนรู้ว่าตอนนี้ฉินตงเฉี่วยคงจะกำลังเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงร่างเปียกโชกของนางที่เผยให้เห็นรูปร่างที่แสนงดงาม
“น้าหญิงช่างสวยงามนัก..” หลิงหยุนได้แต่พึมพำ
เสียงน้ำไหลดังมาจากห้องนอน หลิงหยุนลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่น และตรงไปที่ลานนอกบ้าน แล้วเริ่มฝึกดารกะดายัน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฉินตงเฉี่วยก็อาบน้ำเสร็จพอดี นางใส่เสื้อผ้าของฉินจิวยื่อ จัดการเช็ดผมให้แห้ง และสางผมที่ยาวก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป
“หลิงหยุน..”
ฉินตงเฉี่วยร้องเรียกหลิงหยุน และค่อยๆเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปหาเขาที่ลานด้านนอก และก็ได้แต่จ้องมองหลิงหยุนที่อยู่ในสนามหญ้าอย่างตกตะลึง
“โอ้.. นั่น.. ร่างกายของเจ้าเด็กดื้อเรืองแสงขึ้นอีกครั้งแล้ว… ดูเหมือนว่าแสงที่เรืองรองออกจากร่างของเขาจะเป็นแสงจากดวงจันทร์?!”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกตะลึงและยืนแข็งเป็นหิน นางจ้องมองหลิงหยุนที่ยืนอยู่กลางสนามพร้อมกับคิดสงสัยว่า ‘นี่มันวิชาอะไรกนแน่?!’
หลิงหยุนคาดว่าฉินตงเฉี่วยน่าจะใช้เวลานาน เขาจึงพาตัวเองออกไปรับพลังจันทราที่สนาม แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็ถึงกับตกตะลึง!
ฉินตงเฉี่วยที่ยืนห่างออกไปราวห้าหกเมตร สวมชุดกระโปรงลูกไม้แขนสั้นลายดอกไม้ ผิวของนางขาวนวล หน้าผากสะอาดสะอ้าน คิ้วสองข้างโค้งสวยงาม ดวงตามีแววตกตะลึง จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ตะโพกที่ผายช่วยให้เอวของร่างที่สูงตระหง่านนั้นคอดเล็ก ดูสมส่วนและไม่มีไขมันแม้แต่นิดเดียว!
หน้าอกทั้งสองข้างของฉินตงเฉี่วยทำหน้าที่รองรับผมยาวดำขลับที่พาดลงมา และชุดสีขาวที่ใส่ก็ยิ่งขับให้สีผมของนางดำมากยิ่งขึ้น
ลมที่พัดในยามค่ำคืน ได้พัดผมที่กำลังเปียกให้ปลิวไสวไปมา ทำให้ร่างที่สวยงามนั้นดูราวกับเทพธิดาในภาพวาด!
ทั้งสองคนต่างก็ตกตะลึงซึ่งกันและกัน ฉินตงเฉี่วยเป็นฝ่ายที่รู้สึกตัวก่อน และนางก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงได้มีอาการตกตะลึงเช่นนั้น นางจึงถามออกไปว่
“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้ามองอะไร?!”
“ข้ามองน้าหญิง..”
หลิงหยุนพูดเพียงแค่นั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก ในเมื่อฉินตงเฉี่วยถามตรงๆ เขาก็ตอบไปตรงๆเช่นกัน
“นี่เจ้า..!”
แล้วฉินตงเฉี่วยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางส่งรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิให้หลิงหยุน พร้อมกับเดินเข้าไปถามว่า
“น้าหญิงของเจ้างดงามมากไม๊?”
หลิงหยุนยิ้มแฉ่งพร้อมกับพยักหน้า และตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้าหญิงของข้างดงามมากจริงๆ! ใครที่กล้าพูดว่าท่านไม่สวย ข้าว่ามันผู้นั้นคงมีตาแต่เหมือนไม่มีแน่นอน!”
ฉินตงเฉี่วยถามยิ้มๆ “แล้วดวงตาของมันผู้นั้นจะเรียกว่าอะไร?”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “เรียกว่ารูก็แล้วกัน.. ฮ่า ฮ่า”
ฉินตงเฉี่วยหัวเราะตามหลิงหยุนอย่างสนุนกสนาน แต่จู่ๆนางก็ยื่นมือออกมาหยิกแก้มหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยความเอ็นดู
“เจ้าเองก็หล่อเหลาไม่ใช่น้อยเลย ไม่แปลกที่พี่ใหญ่ชมเจ้าให้ข้าฟังทุกวัน แต่ตัวจริงของเจ้ากลับหล่อกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก.. หล่อมากๆ!”
“ไม่ขนาดนั้นมั๊งน้าหญิง.. ท่านชมข้าเกินไป” หลิงหยุนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
“หลิงหยุน.. เจ้ายังจำได้ใช่ไม๊ว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่?!” ฉินตงเฉี่วยหยิกแก้มหลิงหยุนพร้อมกับถามยิ้มๆ
หลิงหยุนรู้ดีว่าที่นางพูดขึ้นมาเช่นนั้น คงจะเป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง เขาจึงยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า
“น้าหญิง.. เมื่อครู่ท่านช่วยข้าไว้ ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนก็บอกข้ามา ข้ายินดีจะตอบแทนอย่างไม่ลังเลเลยล่ะ!”
หลิงหยุนคาดว่าน้าหญิงของเขาคงจะอยากได้กระบี่มังกรขาว และหากนางต้องการจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะยกให้นางด้วยความเต็มใจ
ฉิงตงเฉี่วยหัวเราะคิดคักดีใจพร้อมกับพยักหน้า “เจ้าแค่สอนเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกเมื่อครู่ให้ข้าก็พอ? บอกข้ามา.. เจ้าดึงดูดแสงจันทร์มาที่ร่างของตนเองได้ยังไง?”
หลิงหยุนเข้าใจได้ในทันทีพร้อมกับคิดว่า ขนาดตี้เสี่ยวอู๋เขายังสอนให้ได้ แล้วนี่เป็นฉินตงเฉี่วยต้องการที่จะฝึก มีหรือที่เขาจะไม่ยินดีสอนให้!
“น้าหญิง วิชาที่ข้าฝึกเมื่อครู่เรียกว่า.. ดารกะดายัน..”
หลิงหยุนเริ่มอธิบายรายละเอียดของวิชาดารกะดายันให้กับนางฟัง และเมื่อฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็แสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างออกหน้าออกตา
“เจ้าสอนน้าหญิงตอนนี้เลยจะได้ไม๊?” ฉินตงเฉี่วยถามยิ้มๆ
หลิงหยุนพยักหน้าอย่างมีความสุข “ถ้าท่านต้องการจะฝึก ข้าก็จะสอนท่านทุกรายละเอียดเลยล่ะ..”
ฉินตงเฉี่ยวเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-3 ตั้งแต่เกิดมาก็ฝึกวรยุทธมาโดยตลอด จึงมีความเข้าใจและทักษะที่ดีกว่าตี้เสี่ยวอู๋มาก อีกทั้งนางยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกตนอย่างหาใครเปรียบได้ยาก เพียงแค่ฟังก็สามารถจดจำรายละเอียดได้หมด
“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง น้าหญิงจะลองฝึกดู..” ฉินตงเฉี่วยเริ่มลงมือฝึกด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
แน่นอนว่าหลิงหยุนยังคงไม่จากไปใหน และเฝ้าดูฉินตงเฉี่วยฝึก เพราะเกรงว่าในช่วงเริ่มต้นของการฝึกฝนนั้น หากเกิดธาตุไฟเข้าแทรก หรือเกิดข้อผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น และเขาไม่ได้อยู่ด้วย โชคชะตาของนางคงพลิกผลันใหญ่โตแน่!
ฉินตงเฉี่วยพยายามเริ่มฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็เป็นไปตามคาด เพียงแค่นางเดินลมปราณภายในร่างกาย หลิงหยุนก็รับรู้ได้ถึงพลังที่น่ากลัว! และเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ฉินตงเฉี่วยก็สามารถฝึกดารกะดายันไปถึงระดับสาม
“ยอดเยี่ยมมาก.. รุดหน้าเร็วมาก!”
ฉินตงเฉี่วยลืมตาขึ้น เธอยืดร่างกาย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตกใจ “นี่เป็นวิชาที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร! ต่อให้ผู้ที่ฝึกวิชาสิบสามองค์รักษ์ วิชาระฆังทองคุ้มกาย หรือแม้แต่วิชาภูษาเหล็ก และอยู่ในขั้นที่เหนือกว่า พลังชี่ของพวกเขาก็ไม่อาจเทียบเท่าผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “น้าหญิงช่างมีพรสวรรค์จริงๆ เพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถฝึกจนถึงระดับสามได้แล้ว! อีกอย่างท่านก็อธิบายได้ถูกต้องทีเดียว เพราะพลังชี่นั้นขึ้นอยู่กับจุดตันเถียน แต่วิชาดารกะดายันนั้น อาศัยการดูดซับพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวผ่านทางผิวหนัง เข้าสู่กระดูก กล้ามเนื้อ ไปจนถึงอวัยวะหลัก และอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย ซึ่งพลังชี่นั้นไม่สามารถกระจายไปตามอวัยวะต่างๆที่ว่ามาได้ วิชานี้จึงทำให้ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแม้แต่วิชาระฆังทองคุ้มกายก็ไม่อาจทำได้เช่นนี้”
ฉินตงเฉี่วยทั้งดีใจและตื่นเต้น “มิน่า ตอนเจ้าถูกซันเทียนเปียวกระแทกด้วยข้อศอกทั้งสองข้าง ร่างกายของเจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แล้วเจ้าล่ะฝึกไปถึงระดับใหนแล้ว?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบอย่างอายๆ “ระดับสิบสอง..”
“อะไรนะ?!” ฉินตงเฉี่วยมองหลิงหยุนอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วก็ได้แต่อึ้งไป!
ฉินตงเฉี่วยที่ฝึกมาจนถึงระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 นั้น เรียกได้ว่าฝึกมาจนถึงขั้นเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสวรรค์กับมนุษย์แล้ว ด้วยพลังชี่ขั้นเซียงเทียนในร่างกายของนางนั้น เพียงแค่การเดินลมปราณหนึ่งครั้ง ก็สามารถฝึกดารกะดายันถึงระดับสามได้แล้ว แต่เมื่อนางต้องการที่จะเข้าสู่ระดับสี่ กลับคล้ายมีสิ่งกีดขวาง ทำให้ไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ระดับสูงขึ้นได้
หลิงหยุนได้แต่นึกขันน้าหญิงของเขาพร้อมกับคิดในใจว่า นางจะฝึกได้รวดเร็วจนถึงเพียงแค่ระดับสามเท่านั้น เพราะนอกเหนือกจากหนิงหลิงยู่ที่มีร่างของกายอัปสรแล้ว คนอื่นๆ ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะ หรือมีกำลังภายในแข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
ฉินตงเฉี่วยนั่งนิ่งไปเป็นเวลานาน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหลิงหยุนอย่างอ่อนโยนพร้อมกับถามขึ้นว่า
“หลิงหยุน.. ในเมือเจ้าก็ฝึกถึงระดับสิบสองแล้ว ตอนข้าทุบหน้าอกของเจ้า เจ้ายังเจ็บถึงกับต้องร้องโอดครวญเลยหรือไง? นี่เจ้ากล้าหลอกน้าหญิงงั้นรึ?”
ความลับของหลิงหยุนแตกเสียแล้ว..
“ไม่นะน้าหญิง ฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้หลอกท่าน.. โอ๊ย..!”
หลิงหยุนพูดยังไม่ทันจบ เนื้อนุ่มๆที่เอวของเขาก็ถูกฉินตงเฉี่วยหยิกเข้าไปอย่างแรง พร้อมกับสั่งว่า “เจ้าห้ามใช้วิชาดวงดาวอะไรนั่น!”
มีหรือหลิงหยุนจะกล้าขัดคำสั่ง เขาได้แต่พยักหน้า และมองฉินตงเฉี่วยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดจากแรงหยิกค่อยๆเบาบางลง
ฉินตงเฉี่วยปล่อยมือพร้อมกับปัดมือไปมา “เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า! ถ้าวันหน้ากล้าโกหกข้าอีกล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง!”
แม้ปากของหลิงหยุนจะร้องตะโกนคร่ำครวญ แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างมากกับสิ่งที่ฉินตงเฉี่วยแสดงออกมา เขารู้สึกราวกับมีเพื่อนในวัยเดียวกันที่มีความรักในใจให้เขามากมาย ความรู้สึกเช่นนี้..
“นี่เจ้าเด็กดื้อ.. ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องถามเจ้า เรื่องนี้ข้าจริงจังมาก เจ้าต้องตอบข้ามาตามความจริง!” ฉินตงเฉี่วยยิ้มและพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลิงหยุนอดหวาดผวาไม่ได้ที่จู่ๆ น้ำเสียงและท่าทางของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังถึงเพียงนี้ จึงได้แต่พยักหน้า..
ฉินตงเฉี่วยพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะนุ่มนวล “บอกข้ามาตามตรง เจ้าเป็นคนทำให้แม่ของเจ้าเด็กลงถึงสิบปีใช่ไม๊?”
“เอ่อ..”