บทที่ 393 : ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7!
เฉิงเม่ยเฟิงคือบุคคลสำคัญที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อเธอกลับไปที่บ้านตระกูลเฉิง ซันเทียนเปียวจึงจับตัวเธอไว้ทันที
เฉิงเม่ยเฟิงยืนอยู่ต่อหน้าซันเทียนเปียวและคนอื่นๆอย่างสงบนิ่ง แม้ว่าภายในใจของเธอจะรู้สึกสับสนวุ่นวาย แต่ภายนอกกลับมีเพียงความสงบเยือกเย็น..
การที่จิตใจของเธอสับสนวุ่นวายนั้น เกิดจากความเป็นห่วงหลิงหยุนที่หายตัวไปนานหลายวัน แต่แววตาของเธอกลับแน่วแน่คล้ายคนที่ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างเด็ดขาดแล้ว
ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ เฉิงเม่ยเฟิงได้ประเมินสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว และเธอก็ได้เตรียมใจรอรับไว้แล้วเช่นกัน แต่ภายในใจลึกๆ ก็ยังเชื่อมั่นในตัวของหลิงหยุน!
แต่เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงปรากฏตัว ซันเทียนเปียว และยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสามคนก็ถึงกับตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ชีมี่ยื่อซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 แห่งสำนักจิ้งซินที่ถึงกับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
นั่นเพราะเฉิงเม่ยเฟิงนั้นมีคุณสมบัติ และพรสวรรค์ที่เหมะสำหรับการบ่มเพาะพลังอย่างยิ่ง!
ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสี่คน ต่างก็มองทะลุปรุโปร่งว่า ร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น ได้ผ่านการชำระล้างภายในจนราวกับได้ร่างใหม่แล้ว และหากมีโอกาสได้ฝึกตนบ่มเพาะแล้วล่ะก็ เธอก็จะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วจนน่ากลัว และสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่าพวกเขาทั้งสี่คนได้!
แต่แม่ชีมี่ยื่อกลับมองทะลุได้มากกว่านั้น เพราะในจำนวนยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสี่คนนั้น สามคนอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนตัวนางนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-2 และเป็นผู้ที่มีกำลังภายในอยู่ในสูงที่สุดในสำนักจิ้งซินแล้ว
ผ่านใบหน้าที่สงบนิ่ง และแววตาที่แน่วแน่ แม่ชีมี่ยื่อสัมผัสได้ถึงจิตที่ทรงอำนาจของเฉิงเม่ยเฟิง!
ในสายตาของเม่ชีมี่ยื่อนั้น หากเธอจะต้องเลือกใครให้มาเป็นเจ้าสำนักจิ้งซินคนต่อไป ก็คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปกว่าเฉิงเม่ยเฟิงอีกแล้ว!
แม่ชีมี่ยื่อลงจากเขามาครั้งนี้ แม้จะไม่สามารถตามหาแม่ชีมี่ซินพบ และไม่สามารถค้นหาสมุดและพู่กันจักรพรรดิเจอ แต่นางกลับได้พบหญิงสาวที่เหมาะสมจะมาเป็นผู้สืบทอดวิชาของสำนักจิ้งซินแล้ว..
ซันเทียนเปียวคาดไม่ถึงจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยพบกับเฉิงเม่ยเฟิงครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นแม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะดูเป็นคนที่มีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่เขาในฐานะที่เป็นผู้ฝึกบ่มเพาะเช่นกัน กลับเห็นว่าเฉิงเม่ยเฟิงเป็นหญิงสาวที่สวยงาม แต่พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเธอนั้นหนือกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อย
อีกทั้งเฉิงเม่ยเฟิงก็อายุเกินสิบแปดปี และร่างกายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้จะมีโอกาสได้ฝึกบ่มเพาะ และได้ทานยาเม็ดพลังชีวิตทุกวัน แต่ก็ยังยากที่จะฝึกไปจนถึงขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้
นั่นเพราะจุดตันเถียน และเส้นลมปราณของเธอนั้นได้เติบโตเต็มที่แล้ว จึงไม่เหมาะกับการบ่มเพาะ
เว้นแต่ว่าจะมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไป ยอมถ่ายเทพลังชี่ของตนเองให้ และเสริมด้วยยาเม็ดที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่จะสามารถช่วยชะล้างของเสียภายในร่างกายอย่างเช่นกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อต่างๆ และไขกระดูกเป็นต้น
นอกเหนือจากวิธีเหล่านี้แล้ว ซันเทียนเปียวก็ไม่เห็นว่าจะมีหนทางอื่นอีก!
แต่ถึงอย่างนั้น จะสามารถหายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นได้จากที่ใหน? แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยพบเห็นเลยสักครั้ง! และต่อให้สามารถหาจนพบ ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น จะยินยอมถ่ายเทพลังชี่ของตนเองให้อย่างนั้นหรือ? ใหนจะยังต้องมีเม็ดยาที่ปรุงขึ้นมาพิเศษ เพื่อชำระล้างภายในของร่างกายให้แตกต่างจากร่างกายของคนธรรมดาอีก!
และด้วยเหตุผลอะไร.. ที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องลงทุนมากมาย เพียงเพื่อให้อีกคนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้!?
เพราะนับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย ใครบ้างที่จะยอมทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้?!
แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าซันเทียนเปียวในเวลานี้ก็คือ ร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงถูกชำระล้างภายใน และได้ถือกำเนิดใหม่เต็มตัวแล้ว ทำให้มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะได้อย่างน่าอัศจรรย์!
ดังนั้นสำหรับซันเทียนเปียวแล้ว มีเพียงเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ นั่นก็คือต้องมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปเป็นผู้ชำระล้างร่างกายให้กับเฉิงเม่ยเฟิง และดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะไม่สนใจใยดีกับพลังชี่มากนัก คล้ายกับว่าเขาชำระล้างร่างกายให้เฉิงเม่ยเฟิงโดยไม่ได้คาดหวังสิ่งใด!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซันเทียนเปียวก็ได้แต่ตกใจสุดขีด และในใจรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าตัวเขาเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เพราะหากเฉิงเม่ยเฟิงมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปเป็นผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ แล้วการที่เขาเข้ามาจับกุมคนของตระกูลเฉิงไว้เช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าเขากำลังรนหาที่ตายเช่นนั้นหรือ?
เพราะหากยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นี้ ต้องการจะสั่งสอนตระกูลซันแล้วล่ะก็ เขาก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่จะทำลายล้างตระกูลซันด้วยซ้ำไป!
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ซันเทียนเปียวถึงกับใจสั่น และหวั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาไม่ได้หวาดกลัวเฉิงเม่ยเฟิง แต่หวาดกลัวยอดฝีมือที่ทำการชำระล้างร่างกายให้กับเธอต่างหาก!
ยอดฝีมือผู้นั้นคือใครกัน? ซันเทียนเปียวคิดจนหัวแทบระเบิด แต่ก็คิดไม่ออก!
ซันเทียนเปียวไม่รู้ตัวว่า ‘ยอดฝีมือ’ ที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็คือหลิงหยุน คนที่เขากำลังพยายามสืบสาวหาตัวอยู่นั่นเอง หากเขารู้เข้าคงจะต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน!
ในเวลานั้น หลิงหยุนได้รับพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 ได้ในทันที และพลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนั้นก็เหนือกว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกทั้งยังมีพลังอมตะที่มากมายเหลือเฟือ ประกอบกับดัชนีห้าธาตุสลายลมปราณ การจะชำระล้างร่างกายให้ผู้คนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากสำหรับเขา
นับว่าซันเทียนเปียววิเคราะห์ได้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย และหากหลิงหยุนไปที่ตระกูลซันในวันและเวลานั้น เขาแทบไม่ต้องลงมืออะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเพียงแค่หลิงหยุนใช้มังกรคำราม ก็สามารถฆ่าคนในตระกูลซันได้ทั้งหมดในคราวเดียว!
เพราะการที่หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สะกดจิตควบคุม และลบความทรงจำที่ต่างกันให้กับทุกคนในคราวเดียวนั้น มันยากยิ่งกว่าการฆ่าคนทั้งหมดพร้อมๆกันเสียอีก
แต่สิ่งที่ซันเทียนเปียวไม่คาดคิดก็คือ ความแข็งแกร่งที่เขาคิดว่าเป็นของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปนั้น กลับเป็นเพียงแค่ของชั่วคราว และอยู่เพียงแค่หกชั่วโมง แล้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
“ซันเทียนเปียวดูนี่ก่อน!”
เฉิงเม่ยเฟิงยืนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับซันเทียนเปียว
ซันเทียนเปียวคือศัตรูที่จ้องเอาชีวิตของหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับเขา และกล้าที่จะเรียกชื่อเขาตรงๆ
ซันเทียนเปียวได้ฟังก็รู้สึกเสียหน้า แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขายกมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้น และค่อยๆคลี่ออกดู
กระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยลายมือของนางหนิวเฟิ่นเหยียว มีข้อความระบุว่าการหมั้นระหว่างสองตระกูลได้สิ้นสุดลงแล้ว
“เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ภรรยาของคุณได้ประกาศยกเลิกงานแต่งงาน และเขียนหนังสือฉบับนี้ขึ้นต่อหน้าทุกคนไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น ตอนนี้ตระกูลเฉิงกับตระกูลซันจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันอีก!”
ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงช่างเย็นชาและน้ำเสียงก็ราบเรียบและสงบนิ่ง!
เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนบังคับให้นางหนิวเฟิ่นหยียวเขียนสัญญายกเลิกการแต่งงานฉบับนี้ขึ้น และให้ยอดฝีมือทั้งสี่คนเป็นพยาน และเมื่อนึกถึงความพยายามของหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด
“ซันเทียนเปียว.. ลายมือในหนังสือยกเลิกการแต่งงานฉบับนี้ คุณจำได้ใช่ไม๊ว่าเป็นลายมือของใคร?” เฉิงเม่ยเฟิงจ้องซันเทียนเปียวพร้อมกับเอ่ยถาม
เฉิงเม่ยเฟิงเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่เห็นซันเทียนเปียวอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่กับหลิงหยุนมา เธอรู้ดีว่าแม้จะเต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด หลิงหยุนก็ไม่เคยแสดงความพ่ายแพ้ออกมา เธอจึงไม่ต้องการสร้างความอัปยศให้กับหลิงหยุนในขณะที่ต้องเผชิญหน้าอยู่กับตระกูลซันที่ยิ่งใหญ่!
ซันเทียนเปียวนิ่งเงียบไป เขาจ้องมองตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้าอยู่นาน และในที่สุดก็พยักหน้า
“ฉันเชื่อว่าจดหมายฉบับนี้เป็นหนังสือยกเลิกการแต่งงานของเธอกับซันจิ้งจริง!”
เมื่อได้ยินว่าซันเทียนเปียวยอมรับการล้มเลิกการแต่งงานของเธอกับซันจิ้ง เฉินเม่ยเฟิงก็ได้แต่แอบคิดในใจว่า ก้าวแรกในการมาที่ตระกูลเฉิงของเธอได้ประสบความสำเร็จแล้ว!
คนจีนนั้นให้ความสำคัญมากกับสถานภาพของตนเอง ที่ผ่านมาข้อผูกมัดเรื่องการแต่งงานระหว่างเธอกับซันจิ้งนั้น เป็นสิ่งที่กัดกินใจเธอตลอดมา แม้ว่าซันจิ้งจะได้หายสาปสูญไปแล้ว และถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สนใจและใส่ใจกับสถานภาพพวกนี้ แต่เฉิงเม่ยเฟิงให้ความสำคัญ!
เธอต้องการแต่งงานกับหลิงหยุนได้อย่างบริสุทธิ์โดยไม่มีพันธะผูกพันกับใคร เพื่อที่ว่าเมื่อถึงวันนั้น ตระกูลซันจะได้ไม่สามารถสบประมาท และเยาะเย้ยหลิงหยุนในเรื่องนี้ได้!
เฉิงเม่ยเฟิงมีความสุขอย่างมากที่ซันเทียนเปียวยอมรับ แต่ก็แอบเอะใจว่าเหตุใดเขาจึงยอมรับง่ายดายเช่นนี้!
เฉิงเม่ยเฟิงรีบประกาศชัยชนะและพูดต่อว่า “ในเมื่อการแต่งงานได้ถูกยกเลิกแล้ว ก็ปล่อยคนในครอบครัวของฉันได้แล้ว ปล่อยให้พวกเขาให้เป็นอิสระ!”
วันที่ซันเทียนเปียวมาที่เมืองจิงฉูนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะกล้ามาปรากฏตัว และมายืนกดดันเขาอยู่เช่นนี้ สีหน้าของเขาเกินจะทนยอมรับได้ แต่ก็ต้องอดทนรับไว้!
เพราะในใจของซันเทียนเปียวเองก็แอบหวาดกลัวยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น..
ซันเทียนเปียวอดคิดไม่ได้ว่า การที่เฉิงเม่ยเฟิงกล้าแข็งกร้าวกับเขาเช่นนี้ ไม่แน่ว่ายอดฝีมือผู้นั้นอาจจะรออยู่ด้านนอกประตูก็เป็นได้ และหากจู่ๆยอดฝีมือผู้นั้นบุกเข้ามา แม้แต่เขาเองก็ยากที่จะรับมือได้!
แต่ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่ซันเทียนเปียวในฐานะตัวแทนของตระกูลซัน เขาจำเป็นต้องสืบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยา และลูกชายของเขากันแน่ เขาจึงตอบกลับไปว่า..
“ฉันไม่ได้ทำอันตรายคนในครอบครัวของเธอ พวกเขายังสบายดี อยู่ดีกินดี เพียงแต่ที่ต้องควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเพื่อสืบหาคนของตระกูลซันที่หายตัวไป”
การที่ซันเทียนเปียวตอบเช่นนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง แต่ต้องการสื่อสารกับยอดฝีมือที่เขาคิดว่าคอยแอบคุ้มครองเฉิงเม่ยเฟิงอยู่เงียบๆผู้นั้นต่างหาก
ซันเทียนเปียวเองก็ไม่มั่นใจว่า ยอดฝีมือผู้นั้นจะเป็นคนที่ชำระล้างร่างกายให้กับเฉิงเม่ยเฟิงหรือไม่ แต่เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยง จึงต้องเดาไว้ก่อนว่ายอดฝีมือผู้นั้นเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการมาของเฉิงเม่ยเฟิงในครั้งนี้ด้วย
แน่นอนว่าบนโลกใบนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าล้วนเป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
วันนี้หากหลิงหยุนฝึกถึงขั้นพลังชี่-9 และกำลังอยู่ต่อหน้าซันเทียนเปียว พร้อมกับบอกซันเทียนเปียวไปตรงๆว่า นางหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้งได้ถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว ซันเทียนเปียวคงทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลาย และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังไม่รีรอที่จะเอาใจหลิงหยุนด้วยซ้ำ
และนี่คืออำนาจของพลังความแข็งแกร่ง!
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด สัญญาฉบับนี้คงจะเขียนขึ้นหลังจากที่ภรรยาโทรหาฉัน ตอนนี้สัญญาก็อยู่ในมือเธอ แต่ภรรยาและลูกของฉัน รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลซันกลับหายตัวไปถึงสี่วันแล้ว!”
“หลังจากที่ภรรยาของฉันโทรมาหาฉันแล้ว เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น? และตอนนี้คนของตระกูลซันอยู่ที่ใหน? นี่เป็นเรื่องที่ฉันยังต้องสืบหาความจริง!”
ซันเทียนเปียวไม่ใช่คนธรรมดา เขาวิเคราะห์จากเหตุการณ์ทั้งสองช่วงคือ ช่วงก่อนหน้าที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวจะโทรหาเขา และหลังจากที่นางหนิวเฟิน่เหยียววางสายไป
ตอนนั้น.. ยอดฝีมือของตระกูลซันกลับหลิงหยุนกำลังปะทะกันอยู่ และช่วงที่ซันจิ้งถูกส่งตัวให้กับถังเทียนห่าวนั้น นางหนิวเฟิ่นเหยียวก็ได้โทรหาซันเทียนเปียว และเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟังทางโทรศัพท์ เขาจึงสามารถที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก
ดังนั้น ซันเทียนเปียวจึงรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงน้อยมาก แต่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนเป็นส่วนใหญ่!
เพราะนางหนิวเฟิ่นเหยียวได้เล่าให้เขาฟังทางโทรศัพท์ว่า หลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด และได้สังหารคนของตระกูลซันไปแล้วกี่คน และซันจิ้งลูกชายของเขาก็ตกอยู่ในเงื้อมือของหลิงหยุน..
เขาได้ฟังสถานการณ์ที่เลวร้ายผ่านทางโทรศัพท์อย่างละเอียด!
ดังนั้นการที่ซันเทียนเปียวมาที่เมืองจิงฉูเพื่อสืบสาวความจริงนั้นจึงเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แต่จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อฆ่าหลิงหยุน!