Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 775-776
บทที่ 775: หย่าร้าง!
นับวันหลิงหยุนก็เริ่มติดต่อได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆสาวงามรอบกายหลิงหยุนจึงเค่อยๆเห็นความสำคัญของถังเมิ่งขึ้นมาทุกวัน..
เวลานี้ถังเมิ่งเปรียบเสมือนมือขวาของหลิงหยุนเขามีหน้าที่จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆให้กับหลิงหยุน แทบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนก็มักจะสุมลงมาบนศรีษะของเขาแต่เพียงผู้เดียว
การจะหาตัวหลิงหยุนนั้นช่างยากเย็นเสียเหลือเกินอีกทั้งยังไม่สามารถติดต่อได้ง่ายๆ ตรงข้ามกับถังเมิ่งที่สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา และทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหากต้องการรู้เรื่องของหลิงหยุน ก็ต้องโทรหาถังเมิ่งจึงจะได้เรื่องมากที่สุด!
หญิงงามรอบตัวหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี หากหลิงหยุนต้องประสบกับปัญหาอะไร พวกเธอก็สามารถจัดการให้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ทุกคนต่างก็รู้จักหลิงหยุนดีเขามักใช้งานคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องของเขาเท่านั้น แต่ไม่นิยมใช้งานหญิงสาวรอบตัว
อีกทั้งในช่วงของการฝึกฝนกำลังภายในและวรยุทธหรือมีธุระที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง หลิงหยุนก็มักจะลืมสาวงามรอบๆตัว และต่อให้สาวงามเหล่านั้นจะมีเสน่ห์ยั่วยวนมากเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับการบ่มเพาะของเขา..
เพราะสำหรับหลิงหยุนแล้วการฝึกจิตแห่งเต๋านั้นสำคัญกว่าเรื่องใดๆ เพราะนี่คือการฝึกบ่มเพาะที่แท้จริง!
หลิงหยุนนั้นมีความปรารถนาที่จะเดินไปตามเส้นทางที่ตนได้เลือกแล้ว..
และแน่นอนว่าระหว่างที่หลิงหยุนมีความสุขกับการได้เดินตามเส้นทางที่เลือกไว้นั้นบรรดาหญิงงามรอบตัวเขาก็ต้องระทมทุกข์ เพราะไม่สามารถอยู่กับหลิงหยุนได้อย่างที่ใจต้องการ
ดังนั้นทั้งหลินเมิ่งหานและเหยาลู่ต่างก็ทุกข์ใจในเรื่องเดียวกันแต่พวกเธอก็เลือกที่จะปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ไม่เปิดเผยออกมาให้เห็นง่ายๆ
“อะไรกัน..เวลานี้ถังเมิ่งใหญ่โตจะตายไป ยังจะเห็นฉันอยู่ในสายตาอีกเหรอ!”
หลินเมิ่งหานไม่สนใจฟังคำแก้ตัวของเหยาลู่พร้อมกับพูดจาประชดประชันถังเมิ่ง
ถังเมิ่งที่อยู่ไกลถึงปักกิ่งจู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง และกำลังรู้สึกว่าตนเองได้ทำอะไรผิดไป..
เหยาลู่ยิ้มปลอบใจหลินเมิ่งหานพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หลิน.. ถังเมิ่งไม่กล้าคิดอะไรแบบนั้นหรอก!”
“คอยดูนะ..ฉันจะไม่ยกโทษให้เลย!”
หลินเม่งหานตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่จนหน้าอกใหญ่โตทั้งสองข้างกระเพื่อมขึ้นแล้วจึงถามต่อว่า
“เมื่อครู่เธอบอกว่าหลิงหยุนกำลังไปหาถังเมิ่งใช่มั๊ย”
“อืมม..”เหยาลู่ทำเสียงพึมพำอยู่ในลำคอ
สีหน้าของหลินเมิ่งหานเปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมาทันทีเธอยิ้มแก้มปริพร้อมกับร้องบอกเหยาลู่
“ถ้างั้นอีกสักพักฉันจะลองโทรไปหาหลิงหยุนใหม่ดูสิว่าครั้งนี้เขาจะรับโทรศัพท์มั๊ย ถ้าหลิงหยุนยังไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก ฉันจะบินไปจัดการกับเขาที่ปักกิ่งเลยคอยดู!”
เหยาลู่ได้แต่พูดหยอกเย้ากลับไปเพื่อให้หลินเมิ่งหานอารมณ์ดี“ฉันกลัวแต่ว่าพี่ไปถึง ก็จะตรงเข้าไปจูบหลิงหยุนแทนน่ะสิ!”
หลินเมิ่งหานทำท่าเขินอายพร้อมกับคว้าหมอนที่วางอยู่ข้างๆโยนใส่เหยาลู่ทันที
……
“ฉางหลิง..นี่ลูกเดินวนไปวนมาสักทีได้มั๊ย แม่เวียนหัวไปหมดแล้ว!”
“แม่คะ..หนูจะไปปักกิ่ง!”
บนคอนโดชั้น17 ห้อง 1701..
ฉางหลิงสวมชุดนอนผ้าไหมสีแดงกุหลาบและกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องรับแขก และนั่นทำให้แม่ของฉางหลิงถึงกับวิงเวียนศรีษะ
สีหน้าของหลินเฟิ่งจินบ่งบอกว่าภายในใจกำลังรู้สึกอะไรมากมายแต่ใบหน้านั้นกลับดูเหนื่อยหน่าย..
วันนี้ฉางหลิงกำลังตื่นเต้นดีใจกับคะแนนสอบเอนทรานซ์ที่สูงมากของตนเองแต่กลับไม่รู้ตัวว่าพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะไปเซ็นต์ใบหย่ากัน
เหลียงเฟิ่งจินเป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์เธอเป็นสาวใหญ่ที่ยังคงดูเซ็กซี่สวยงาม เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้ามอย่างมาก นิ้วทั้งสิบของเธอนั้นเรียวยาวอ่อนช้อย และงดงามอย่างหาที่ติไม่ได้ ส่วนนิ้วนางนั้นดูเหมือนจะเป็นนิ้วที่อ่อนช้อยกว่านิ้วใดๆ
แม้เหลียงเฟิ่งจินจะมีใบหน้าและรูปร่างที่งดงามอย่างที่ผู้หญิงมากมายใฝ่ฝัน แต่เมื่อสิบปีที่แล้วก็เกิดเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดขึ้นกับตัวเธอ..
ฉางฮั่นเหลียง– สามีของเหลียงเฟิ่งจิน และเป็นพ่อของฉางหลิง ได้ทำให้เหลียงเฟิ่งจิงเจ็บปวดเสียใจอย่างที่สุด!
และเรื่องที่น่าขันที่สุดก็คือ..ผู้หญิงซึ่งเป็นมือที่สามและเป็นฝ่ายแย่งสามีของเธอไปนั้น กลับไม่มีคุณสมบัติใดๆเทียบเท่าเธอได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา และหากจะเปรียบเทียบผู้หญิงคนนั้นกับเหลียงเฟิ่งจินให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คงจะไม่ต่างจากไก่กับหงส์
แต่ก็อย่างว่า..หญิงสาวผู้เพียบพร้อมมักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน..
หรือจะพูดง่ายๆก็คือว่า..ดอกไม้ในบ้านหรือจะสู้ดอกไม้ป่าที่มีกลิ่นฉุน และสามารถดึงดูดผู้ชายได้มากกว่า!
มือที่สามที่แย่งสามีของเหลียงเฟิ่งจินไปนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานของฉางฮั่นเหลียงเอง และยังเป็นผู้ช่วยของเขาอีกด้วย
ฉางฮั่นเหลียงเป็นนักธรณีวิทยาจึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านอยู่เสมอๆ และกว่าครึ่งปีมานี้เขาก็อยู่บ้านไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำไป
อีกทั้งในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นนั้นทั้งฉางฮั่นเหลียงและเหลียงเฟิ่งจินก็ตกอยู่ในช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีของชีวิตคู่ด้วย และในการออกไปทำงานข้างนอกของฉางฮั่นเหลียงนั้น ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขาแห้งแล้งกับเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างศรัทธาในตัวเขา เรื่องราวเช่นนี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา..
และนับตั้งแต่นั้นมาฉางฮั่นเหลียนก็มักจะอ้างเรื่องงาน และไม่ค่อยกลับบ้านอีก..
แต่ความลับก็ไม่เคยมีในโลกดังคำพูดว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง เพราะไม่นานเหลียงเฟิ่งจินก็รู้เรื่องนี้เข้าจนได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งคู่ต่างก็ทำสงครามเย็นใส่กันมานานนับสิบปี
แต่ที่ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันมานานถึงสิบปีนั้นก็เพราะว่าเหลียงเฟิ่งจินเป็นห่วงความรู้สึกของลูกสาวนั่นเอง
วันนี้..การสอบเอนทรานซ์ของฉางหลิงก็ผ่านพ้นไปแล้ว อีกทั้งคะแนนสอบก็ออกมาดีเกินกว่าที่คาดคิด คะแนนของฉางหลิงนั้นแม้แต่มหาวิทยาลัยหยานจิง และมหาวิทยาลัยหัวชิงก็เข้าได้ จึงไม่ต้องพูดถึงการเข้ามหาวิทยาลัยการสื่อสารตามที่เธอปรารถนา
เมื่อเห็นว่าฉางหลิงมีผลสอบที่ดีเยี่ยมเช่นนี้เหลียงเฟิ่งจินก็ดีใจจนพูดไม่ออก เธอรู้สึกว่าความอดทนที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่เสียเปล่า แต่กลับได้ผลอย่างยอดเยี่ยม!
การฝืนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและแทบไม่ต้องพูดถึงความขมขื่นที่ต้องทนอยู่ในสภาพนี้มานานนับสิบปี
ระหว่างที่ฉางหลิงกำลังดีอกดีใจอยู่นั้นเหลียงเฟิ่งจินก็เดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างเงียบๆ และแอบโทรหาสามีเพื่อนัดหมายไปหย่าร้างกันในวันพรุ่งนี้
ฉางฮั่นเหลียงนั้นจะเป็นฝ่ายออกจากบ้านและให้เหลียงเฟิ่งจินเป็นผู้ดูแลลูกสาวต่อไป และเรื่องนี้ทั้งคู่ก็ได้ตกลงกันมานานนับสิบปีแล้ว
สภาพสมรสที่แตกร้าวมานานถึงสิบปีในวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอันจบสิ้นอย่างแท้จริง แต่สองสามีภรรยากลับไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย มีเพียงความเฉยเมยต่อกันเท่านั้น..
หลังจากที่ได้วางก้อนหินที่หนักอึ้งนี้ลงเหลียงเฟิ่งจินก็ขับรถไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต หาซื้ออาหารทะเล เป็ด ไก่ ปลา พร้อมกับโทรเรียกน้องสาวของเธอเหลียงเฟิงอี้ให้มาที่บ้านเพื่อร่วมฉลองให้กับฉางหลิง
แต่เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน..เหลียงเฟิ่งจินกลับพบว่าฉางหลิงได้ปาข้าวของในห้องจนกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
เหลียงเฟิ่งจินถึงกับตกใจเพราะคิดว่าฉางหลิงคงรู้เรื่องที่เธอกับสามีจะหย่ากันแล้ว แต่เมื่อสอบถามฉางหลิง เธอจึงได้รู้ว่าที่ฉางหลิงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคะแนนสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเป็นศูนย์นั่นเอง..
เมื่อฉางหลิงมีสภาพอารมณ์เช่นนี้งานเลี้ยงฉลองจึงต้องถูกยกเลิกไป และหลังจากที่สอบถามจนมั่นใจแล้วว่าหลิงหยุนได้คะแนนเป็นศูนย์จริง ฉางหลิงก็ตัดสินใจที่จะเดินทางไปปักกิ่ง
“ลูกจะไปทำอะไรที่ปักกิ่งหลิงหยุนได้ศูนย์คะแนน แล้วลูกจะไปปักกิ่งเพื่ออะไร?” เหลียงเฟิงอี้ร้องเตือนสติฉางหลิง
ฉางหลิงกระทืบเท้าไม่พอใจและหันไปทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แม่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่คะ.. ครูกงก็จะไปถึงปักกิ่งพรุ่งนี้เช้า ถังเมิ่งเองก็อยู่ที่ปักกิ่งแล้ว หนูก็อยากจะไปหาหลิงหยุนด้วยนี่..”
ความสัมพันธ์ระหว่างฉางหลิงกับหลิงหยุนนั้นเหลียงเฟิ่งจินก็ได้รู้หมดแล้ว จึงไม่จำเป็นที่ฉางหลิงจะต้องปิดบังอะไรอีก
“หลิงหยุน..หลิงหยุน.. อะไรก็หลิงหยุน! ตั้งแต่สอบเอนทรานซ์เสร็จ แม่ก็ได้ยินแต่ชื่อหลิงหยุนมาตลอด..”
เหลียงเฟิ่งจินพูดต่อ“หลิงหยุนมีเสน่ห์อะไรมากมายงั้นรึ ลูกถึงได้คลั่งไคล้เขามากขนาดนี้!”
“ลูกคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้..แต่ตั้งแต่แม่กลับมาจนกระทั่งสอบเอนทรานซ์เสร็จ แม่ยังไม่เคยเห็นหลิงหยุนโทรหาลูกเลยสักครั้ง! ” เหลียงเฟิ่งจินพูดออกมาอย่างโมโหและไม่พอใจ
“แม่คะ..ช่วงก่อนสอบเอนทรานซ์หลิงหยุนก็มาที่บ้าน แต่ตอนนั้นแม่ไม่อยู่บ้านเอง ส่วนพ่อก็ไม่เคยกลับบ้านมาเป็นปีๆแล้ว..”
“เรื่องนั้นแม่รู้..แต่หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จล่ะ ทำไมหลิงหยุนถึงไม่มาหาลูกบ้าง เขาเป็นแฟนแบบใหนกัน?”
เหลียงเฟิ่งจินนั้นล้มเหลวในชีวิตคู่เธอจึงเป็นห่วงลูกสาวมาก แม้ว่าเธอจะเคยฟังเรื่องของหลิงหยุนด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แต่ความเย็นชาห่างเหินของหลิงหยุนที่มีต่อลูกสาวของเธอนั้น ทำให้เธอค่อนข้างไม่พอใจหลิงหยุนอย่างมาก
“แม่คะ..แม่ไม่รู้อะไร หลิงหยุนยุ่งมาก เขามีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ..”
“ลูกเข้าข้างเขาแบบนี้..เอาแต่มองเขาในแง่ดีแบบนี้.. วันที่ต้องเสียใจน้ำตาเช็ดหัวเข่า ก็อย่าตำหนิว่าแม่ไม่เตือนไม่บอกก็แล้วกัน!”
“แล้วแม่จะให้หนูไปปักกิ่งมั๊ยคะ”
“ลูกจะไปคนเดียวได้ยังไง”
“ใครบอกล่ะว่าหนูจะไปคนเดียวแม่สบายใจได้ รับรองว่าต้องมีคนไปกับหนูอย่างแน่นอน! แต่ต่อให้ไม่มีใครไป น้าเล็กก็ต้องไปกับหนูอยู่ดี!”
“ลูกกับน้าเล็กเป็นอะไรกันแน่แม่เห็นวันๆเอาแต่สุมหัวคุยกันเรื่องอะไร?”
“เอาล่ะ..ถ้าอยากจะไปจริงๆ ก็ไปจัดการจองตั๋วให้เรียบร้อย แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ!”
“ขอบคุณค่ะแม่!”
ฉางหลิงกระโดดเข้ากอดแม่ด้วยความตื่นเต้นดีใจเหลียงเฟิ่งจินยกมือขึ้นลูกแผ่นหลังของลูกสาวพร้อมกับคิดในใจว่า
‘พรุ่งนี้ลูกไปปักกิ่งแม่ก็จะไปหย่ากับพ่อแล้ว..’
ความขมขื่นและภาระหนักอึ้งที่แบกมานานสิบปี ในที่สุดก็จะจบสิ้นลงเสียที!
บทที่ 776: เรียนทำอาหาร – ฝึกวิชาคลื่นคงคา!
ณบ้านเลขที่ 9 ในหมู่บ้านอ่าวจิงฉู
ภายในบ้านห้องครัวที่หรูหราใหญ่โตฉินตงเฉี่วยสวมชุดกระโปรงสีขาว และกำลังใช้อาวุธต่างๆจัดการกับปลาและผักที่วางเรียงรายอยู่!
และแน่นอนว่าอาวุธเหล่านั้นก็คือหม้อกระทะ มีด ตะหลิว และอุปกรณ์เครื่องครัวอื่นๆอีกมากมาย..
ท่ามกลางความร้อนจากเตาไฟและความกดดันจากความโกลาหลวุ่นวายภายในห้องครัว ทำให้ร่างของฉินตงเฉี่วยเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ..
ฉินตงเฉี่วยยืนอยู่ในห้องครัวด้วยความรู้สึกท้อแท้แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางยังคงอดทนอยู่ในห้องครัวต่อไปได้ ก็คือคำพูดของหลิงหยุน!
และแน่นอนว่า..ข้างๆฉินตงเฉี่วยนั้นมีป้าเม่ยคอยกำกับดูแลอยู่ด้วย!
“คุณหนูคะ..ต้องใส่น้ำมันก่อน รอให้น้ำมันเดือด แล้วค่อยใส่ของเตรียมลงไป..”
“เท่านี้พอหรือไม่”
ฉินตงเฉี่วยจัดการเทน้ำมันเตรียมไว้ลงไปในกะทะจนเกือบหมด..
“คุณหนู..นั่นมันมากเกินไป นิดหน่อยก็พอ”
“ว้าย..”
ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อมือข้างขวาจับไปโดนหูกะทะที่ร้อนหลังจากนั้นนางก็จัดการยกกะทะขึ้นเทน้ำมันที่อยู่ด้านในออกครึ่งหนึ่ง ป้าเม่ยถึงขมวดคิ้วและส่ายหน้าไปมา..
“เอาล่ะ..เสร็จแล้วก็เอาไปตั้งไฟรอให้น้ำมันเดือด แล้วจัดการหั่นหัวหอม และกระเทียมลงไป..”
ฉินตงเฉี่วยจัดการหั่นหอมตามคำบอกแล้วโยนลงไปในกระทะ จากนั้นจึงคว้าตะหลิวขึ้นมาผัดอย่างรวดเร็วราวกับกำลังร่ายรำเพลงกระบี่เพื่อต่อสู้กับศัตรู
ป้าเม่ยได้แต่มองยิ้มๆแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา แล้วจึงร้องเตือนว่า “คุณหนูคะ.. สับสนใหญ่แล้ว ตอนนี้เรากำลังผัดอาหารอยู่นะคะ ไม่ได้สับเนื้อ..”
“ก็ข้ากลัวน้ำมันกระเด็นใส่นี่นา!”
ฉินตงเฉี่วยชะงักทันทีและทำสีหน้าสับสน ใบหน้าของนางนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน!
“ตอนนี้น้ำมันกำลังเดือด..รอให้กระเทียมส่งกลิ่นหอมก่อน แล้วคุณหนูค่อยเอาของที่เตรียมไว้ใส่ลงไป..”
“จากนั้นจึงค่อยๆผัดเบาๆ..”
ภายใต้คำแนะนำของป้าเม่ยทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น เสียงตะหลิวกระแทกกับกะทะดังขึ้นเบาๆ
“การผัดอาหารนั้นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความร้อนหากไฟแรงเกินไปก็จะไหม้ แต่ถ้าไฟอ่อนเกินไปมันฝรั่งก็จะไม่สุก และแข็งจนกินไม่ได้..”
“งั้นรึ”
ฉินตงเฉี่วยแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูนางเองก็เคยเห็นหนิงหลิงยู่ทำกับข้าว และตัวนางเองก็เคยเข้าครัวทำอาหารให้หลิงหยุนทาน แต่ก็ต้องได้รับการกำกับอย่างใกล้ชิดจากหนิงหลิงยู่เช่นกัน
“สู้ตาย!”
ฉินตงเฉี่วยกัดฟันกรอดพร้อมกับส่งเสียงให้กำลังใจตนเองและเริ่มผัดต่อ..
แต่หลังจากที่นำมันฝรั่งใส่ลงไปในกระทะฉินตงเฉี่วยก็แทบจะกระโจนออกจากห้องครัวทันที
“ช่างน่าโมโหจริงๆ!แค่อาหารจานเดียวทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้นะ ยากเย็นเสียยิ่งกว่าการฝึกวรยุทธเสียอีก..”
ฉินตงเฉี่วยบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดพร้อมกับจ้องมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าและในที่สุดนางก็รู้ว่าการเป็นแม่บ้านนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายเลย..
“คุณหนู..ไม่ต้องผัดแรงขนาดนั้นก็ได้ คุณหนูกำลังผัดกับข้าวนะ ไม่ได้กำลังสู้กับใครที่ใหน..”
ป้าเม่ยส่ายหน้ายิ้มๆจากนั้นจึงลงมือผัดให้ดูเป็นตัวอย่างอีกครั้ง ท่าทางของป้าเม่ยนั้นยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าเชฟในโรงแรมใหญ่ๆเสียอีก
ฉินตงเฉี่วยได้แต่นึกท้อแท้หมดหวังอยู่ในใจเทพธิดาฉินผู้ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปในครัวด้วยซ้ำไป เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับนางมาก
“คุณหนูหั่นมันฝรั่งได้บางแบบนี้อีกเดี๋ยวเดียวก็คงสุกแล้ว ไม่เห็นจะยากตรงใหนเลย..”
แม้ว่าฝีมือการผัดกับข้าวของฉินตงเฉี่วยจะไม่ดีนักแต่ทักษะการใช้มีดของนางนั้นนับว่ายอดเยี่ยมมาก และนับว่าการฝึกฝนกระบี่มานานกว่ายี่สิบปีของนางก็ไม่สูญเปล่าจริงๆ
“เอาล่ะ..คราวนี้ก็ใส่เกลือลงไปปรุงรส”
“จากนั้นก็ใส่น้ำส้มสายชูลงไปนิดหน่อยแค่นี้ก็จะทำให้รสชาดของผักดีขึ้น บางคนไม่ชอบเค็มเกิน บางคนก็ไม่ชอบเปรี้ยวเกินไป..”
และทุกครั้งที่เรียนทำอาหารมาถึงการปรุงรสนั้นฉินตงเฉี่วยที่แม้จะเป็นคนเฉลียวฉลาดก็ไม่รู้ว่าอะไรคือนิดหน่อย.. และปริมาณที่ถูกต้องคือแค่ใหน
“พอ..พอ.. พอแค่นี้ก่อน!” ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็ร้องออกมาอย่างหมดความอดทน
“ป้าเม่ย..วันนี้พอแค่นี้ก่อน! นี่ก็สายมากแล้ว ข้าต้องไปดูหลิงยู่ก่อน..”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของฉินตงเฉี่วยนางก็ถอดผ้ากันเปื้อนโยนทิ้ง และกระโดดออกไปจากห้องครัวทันที ฉินตงเฉี่วยวิ่งไปยังห้องนอนของตนเอง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงยาวแล้ว นางก็คว้ากระบี่ยาวของตนเองเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังตีนเขาฝั่งชายทะเลทันที
“หลิงหยุน..เจ้าเด็กตัวแสบ รอให้ข้าพบเจ้าก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
ร่างโปร่งบางพุ่งออกไปพร้อมกับคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจป้าเม่ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“ตั้งแต่เด็ก..คุณหนูสองก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในครัวเลยสักครั้ง จะให้นางเรียนทำอาหารน่ะรึ คงต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกเสียก่อน..”
ป้าเม่ยยืนนิ่งเงียบแต่จู่ๆเมื่อนึกถึงผลสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนขึ้นมาได้ นางก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง แล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวให้เรียบร้อย
……
ไม่นานฉินตงเฉี่วยก็มาถึงริมทะเลนางรู้ว่าทุกวันหนิงหลิงยู่จะมาฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่ ฉินตงเฉี่วยกระโดดเข้าไปทางด้านทิศตะวันออกของชายหาด
หมู่บ้านในอ่าวจิงฉูแห่งนี้สร้างอยู่บนเนินเขาและด้านข้างของหมู่บ้านที่ติดกับทะเลนั้น ก็มีหน้าผาสูงในระดับต่างๆอยู่มากมาย
หนิงหลิงยู่นั้นฝึกฝนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งสูงจากพื้นดินไปราวยี่สิบเมตรและหากมองไปที่พื้นด้านล่างก็ดูอันตรายอย่างมาก
ฉินตงเฉี่วยที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วนั้นเพียงไม่นานก็มายืนอยู่ด้านล่างของหน้าผาแห่งนี้ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างของหน้าผา เฝ้ามองหนิงหลิงยู่ที่กำลังนั่งหลับตาฝึกฝนวิชาคลื่นคงคาอยู่
คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถขึ้นมาบนหน้าผาแห่งนี้ได้และจะไม่มีโอกาสได้เห็นหนิงหลิงยู่ที่ฝึกฝนวิชาอยู่ด้านบนนี้ อีกทั้งในยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ คงไม่มีใครออกมาเดินเล่นดื่มด่ำกับทิวทัศน์รอบตัวอย่างแน่นอน ถ้าจะมีก็คงจะเป็นคนที่ต้องการมากระโดดหน้าผาเสียมากกว่า..
หนิงหลิงยู่กำลังฝึกวิชาคลื่นคงคาและที่เธอเลือกมาฝึกในสถานที่แห่งนี้ ก็เพราะ ที่นี่มีพลังชีวิตธาตุน้ำอยู่เต็มเปี่ยม และจะมีผลต่อการฝึกของเธอไม่มากก็น้อย
เวลานี้หนิงหลิงยู่ก็ได้เข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นโฮ่วเทียน-7แล้ว และกำลังเข้าสู่ระดับกลางขั้นโฮ่วเทียน-8
และนี่นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก!
แม้แต่หลิงหยุนเองก็ตามหากเขาได้รู้ก็คงต้องตกใจจนแทบช็อคเช่นกัน เพราะความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของหนิงหลิงยู่นั้นเกือบจะเทียบเท่ากับหลิงหยุนด้วยซ้ำไป!
กายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้นหาได้ยากยิ่งในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..
ในการฝึกบ่มเพาะนั้น..พรสวรรค์จากธรรมชาติส่วนหนึ่ง บวกกับความเข้าใจ และวิชาในการบ่มเพาะ ทั้งสามอย่างนี้ล้วนเป็นพื้นฐานการฝึก และหากได้อาจารย์ที่สามารถชี้แนะได้ดี และมีโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังปราณ ก็จะยิ่งเสริมให้สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
และสำหรับหนิงหลิงยู่นั้นเธอมีทุกอย่างที่พูดมาข้างต้น.. และแม้แต่สิ่งอื่นที่ผู้อื่นไม่มี เธอก็มี!
เพียงแค่กายอัปสรของหนิงหลิงยู่ก็เหนือกว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะมากมายแล้วเพราะภายในกายอัปสรของเธอนั้นมีพลังอมตะไหลเวียนอยู่ อีกทั้งยังเป็นลูกสาวของฉินจิวยื่อ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการทำความเข้าใจ อีกทั้งวิชาคลื่นคงคาที่เธอฝึกนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาพลังลับหยิน-หยางของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย!
ส่วนเรื่องอาจารย์ที่ชี้แนะนั้นเวลานี้ฉินตงเฉี่วยซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 ก็ได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์คอยชี้แนะหนิงหลิงยู่อยู่ทุกวัน
นี่ยังไม่รวมถึงสมุนไพรล้ำค่าต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นโสมพันปี สมุนไพรเหอโชวู บัวหิมะเทียนซัน น้ำลายมังกร และอื่นๆอีกมากมาย
ยังมียันต์พลังชีวิตที่หลิงหยุนปลุกเสกอีกและนั่นจะทำให้หนิงหลิงยู่สามารถดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในกายอัปสรได้..
ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานจิตใจที่สงบนิ่งร่างกายที่หาได้ยากยิ่ง วิชาบ่มเพาะที่ทรงอานุภาพ และสมุนไพรอีกมากมาย หลิงหยุนเองก็ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้หนิงหลิงยู่ก่อนที่จะออกเดินทางแล้ว..
แทบไม่ต้องพูดถึงใครอื่นแม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็ยังแอบคิดว่าในยุทธภพนี้ คงจะมีเพียงหลานสาวของนางเท่านั้นที่จะมีพร้อมทุกอย่างเช่นนี้!
คงจะมีแต่หนิงหลิงยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
“ก้าวหน้าเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
ฉินตงเฉี่วยที่เห็นหนิงหลิงยู่กำลังจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8ก็ได้แต่ร้องอุทานออกมาอย่งตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก!
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ยืนนิ่งเงียบและไม่ส่งเสียงรบกวนการฝึกของหนิงหลิงยู่..
หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งหลับตาขัดสมาธิและกำลังฝึกฝนวิชาคลื่นคงคา ระหว่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น หนิงหลิงยู่ก็ยกมือที่วางอยู่บนเข่าทั้งสองข้างขึ้น และยื่นมือไปด้านหน้าวาดไปมาด้วยท่วงท่าลึกลับซับซ้อน
ครืน…
เสียงกระแสน้ำดังขึ้นและฉินตงเฉี่วยก็สังเกตเห็นน้ำทะเลที่อยู่ด้านล่างเริ่มหมุนเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองยังรู้สึกเหมือนจะถูกกระแสน้ำวนนั้นดูดเข้าไปด้วย
ครืน…
วิชาคลื่นคงคาคือวิชาที่ผู้ฝึกสามารถควบคุมน้ำจำนวนมหาศาลได้ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงๆ!
ระหว่างที่ลมปราณหมุนเวียนอยู่ภายในร่างกายนั้นพลังชีวิตธาตุน้ำที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนโลกนี้ ก็ได้ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของหนิงหลิงยู่อย่างรวดเร็ว
หนิงหลิงยู่หยุดการวาดมือทั้งสองข้างไปมาจากนั้นจึงยืดลำแขนตรงไปด้านหน้าพร้อมกับหงายฝ่ามือขาวนวลขึ้น และค่อยๆยกขึ้นอย่างช้าๆ
ครืน..ครืน..
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นถึงสองครั้งและสายน้ำสีขาวขนาดใหญ่ก็พุ่งจากท้องทะเลขึ้นสู่ท้องฟ้าเกิดเป็นภาพเสาน้ำขนาดใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
ร่างงดงามของฉินตงเฉี่วยกระโดดหลบหยดน้ำที่คมราวกับปลายมีดและกระจัดกระจายออกไปรอบบริเวณ ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี
บทที่ 775: หย่าร้าง!
นับวันหลิงหยุนก็เริ่มติดต่อได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆสาวงามรอบกายหลิงหยุนจึงเค่อยๆเห็นความสำคัญของถังเมิ่งขึ้นมาทุกวัน..
เวลานี้ถังเมิ่งเปรียบเสมือนมือขวาของหลิงหยุนเขามีหน้าที่จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆให้กับหลิงหยุน แทบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนก็มักจะสุมลงมาบนศรีษะของเขาแต่เพียงผู้เดียว
การจะหาตัวหลิงหยุนนั้นช่างยากเย็นเสียเหลือเกินอีกทั้งยังไม่สามารถติดต่อได้ง่ายๆ ตรงข้ามกับถังเมิ่งที่สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา และทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหากต้องการรู้เรื่องของหลิงหยุน ก็ต้องโทรหาถังเมิ่งจึงจะได้เรื่องมากที่สุด!
หญิงงามรอบตัวหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี หากหลิงหยุนต้องประสบกับปัญหาอะไร พวกเธอก็สามารถจัดการให้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ทุกคนต่างก็รู้จักหลิงหยุนดีเขามักใช้งานคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องของเขาเท่านั้น แต่ไม่นิยมใช้งานหญิงสาวรอบตัว
อีกทั้งในช่วงของการฝึกฝนกำลังภายในและวรยุทธหรือมีธุระที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง หลิงหยุนก็มักจะลืมสาวงามรอบๆตัว และต่อให้สาวงามเหล่านั้นจะมีเสน่ห์ยั่วยวนมากเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับการบ่มเพาะของเขา..
เพราะสำหรับหลิงหยุนแล้วการฝึกจิตแห่งเต๋านั้นสำคัญกว่าเรื่องใดๆ เพราะนี่คือการฝึกบ่มเพาะที่แท้จริง!
หลิงหยุนนั้นมีความปรารถนาที่จะเดินไปตามเส้นทางที่ตนได้เลือกแล้ว..
และแน่นอนว่าระหว่างที่หลิงหยุนมีความสุขกับการได้เดินตามเส้นทางที่เลือกไว้นั้นบรรดาหญิงงามรอบตัวเขาก็ต้องระทมทุกข์ เพราะไม่สามารถอยู่กับหลิงหยุนได้อย่างที่ใจต้องการ
ดังนั้นทั้งหลินเมิ่งหานและเหยาลู่ต่างก็ทุกข์ใจในเรื่องเดียวกันแต่พวกเธอก็เลือกที่จะปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ไม่เปิดเผยออกมาให้เห็นง่ายๆ
“อะไรกัน..เวลานี้ถังเมิ่งใหญ่โตจะตายไป ยังจะเห็นฉันอยู่ในสายตาอีกเหรอ!”
หลินเมิ่งหานไม่สนใจฟังคำแก้ตัวของเหยาลู่พร้อมกับพูดจาประชดประชันถังเมิ่ง
ถังเมิ่งที่อยู่ไกลถึงปักกิ่งจู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง และกำลังรู้สึกว่าตนเองได้ทำอะไรผิดไป..
เหยาลู่ยิ้มปลอบใจหลินเมิ่งหานพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หลิน.. ถังเมิ่งไม่กล้าคิดอะไรแบบนั้นหรอก!”
“คอยดูนะ..ฉันจะไม่ยกโทษให้เลย!”
หลินเม่งหานตอบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่จนหน้าอกใหญ่โตทั้งสองข้างกระเพื่อมขึ้นแล้วจึงถามต่อว่า
“เมื่อครู่เธอบอกว่าหลิงหยุนกำลังไปหาถังเมิ่งใช่มั๊ย”
“อืมม..”เหยาลู่ทำเสียงพึมพำอยู่ในลำคอ
สีหน้าของหลินเมิ่งหานเปลี่ยนเป็นดีใจขึ้นมาทันทีเธอยิ้มแก้มปริพร้อมกับร้องบอกเหยาลู่
“ถ้างั้นอีกสักพักฉันจะลองโทรไปหาหลิงหยุนใหม่ดูสิว่าครั้งนี้เขาจะรับโทรศัพท์มั๊ย ถ้าหลิงหยุนยังไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก ฉันจะบินไปจัดการกับเขาที่ปักกิ่งเลยคอยดู!”
เหยาลู่ได้แต่พูดหยอกเย้ากลับไปเพื่อให้หลินเมิ่งหานอารมณ์ดี“ฉันกลัวแต่ว่าพี่ไปถึง ก็จะตรงเข้าไปจูบหลิงหยุนแทนน่ะสิ!”
หลินเมิ่งหานทำท่าเขินอายพร้อมกับคว้าหมอนที่วางอยู่ข้างๆโยนใส่เหยาลู่ทันที
……
“ฉางหลิง..นี่ลูกเดินวนไปวนมาสักทีได้มั๊ย แม่เวียนหัวไปหมดแล้ว!”
“แม่คะ..หนูจะไปปักกิ่ง!”
บนคอนโดชั้น17 ห้อง 1701..
ฉางหลิงสวมชุดนอนผ้าไหมสีแดงกุหลาบและกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องรับแขก และนั่นทำให้แม่ของฉางหลิงถึงกับวิงเวียนศรีษะ
สีหน้าของหลินเฟิ่งจินบ่งบอกว่าภายในใจกำลังรู้สึกอะไรมากมายแต่ใบหน้านั้นกลับดูเหนื่อยหน่าย..
วันนี้ฉางหลิงกำลังตื่นเต้นดีใจกับคะแนนสอบเอนทรานซ์ที่สูงมากของตนเองแต่กลับไม่รู้ตัวว่าพ่อกับแม่ของเธอกำลังจะไปเซ็นต์ใบหย่ากัน
เหลียงเฟิ่งจินเป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์เธอเป็นสาวใหญ่ที่ยังคงดูเซ็กซี่สวยงาม เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้ามอย่างมาก นิ้วทั้งสิบของเธอนั้นเรียวยาวอ่อนช้อย และงดงามอย่างหาที่ติไม่ได้ ส่วนนิ้วนางนั้นดูเหมือนจะเป็นนิ้วที่อ่อนช้อยกว่านิ้วใดๆ
แม้เหลียงเฟิ่งจินจะมีใบหน้าและรูปร่างที่งดงามอย่างที่ผู้หญิงมากมายใฝ่ฝัน แต่เมื่อสิบปีที่แล้วก็เกิดเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดขึ้นกับตัวเธอ..
ฉางฮั่นเหลียง– สามีของเหลียงเฟิ่งจิน และเป็นพ่อของฉางหลิง ได้ทำให้เหลียงเฟิ่งจิงเจ็บปวดเสียใจอย่างที่สุด!
และเรื่องที่น่าขันที่สุดก็คือ..ผู้หญิงซึ่งเป็นมือที่สามและเป็นฝ่ายแย่งสามีของเธอไปนั้น กลับไม่มีคุณสมบัติใดๆเทียบเท่าเธอได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา และหากจะเปรียบเทียบผู้หญิงคนนั้นกับเหลียงเฟิ่งจินให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คงจะไม่ต่างจากไก่กับหงส์
แต่ก็อย่างว่า..หญิงสาวผู้เพียบพร้อมมักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน..
หรือจะพูดง่ายๆก็คือว่า..ดอกไม้ในบ้านหรือจะสู้ดอกไม้ป่าที่มีกลิ่นฉุน และสามารถดึงดูดผู้ชายได้มากกว่า!
มือที่สามที่แย่งสามีของเหลียงเฟิ่งจินไปนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานของฉางฮั่นเหลียงเอง และยังเป็นผู้ช่วยของเขาอีกด้วย
ฉางฮั่นเหลียงเป็นนักธรณีวิทยาจึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านอยู่เสมอๆ และกว่าครึ่งปีมานี้เขาก็อยู่บ้านไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำไป
อีกทั้งในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นนั้นทั้งฉางฮั่นเหลียงและเหลียงเฟิ่งจินก็ตกอยู่ในช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีของชีวิตคู่ด้วย และในการออกไปทำงานข้างนอกของฉางฮั่นเหลียงนั้น ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขาแห้งแล้งกับเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างศรัทธาในตัวเขา เรื่องราวเช่นนี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา..
และนับตั้งแต่นั้นมาฉางฮั่นเหลียนก็มักจะอ้างเรื่องงาน และไม่ค่อยกลับบ้านอีก..
แต่ความลับก็ไม่เคยมีในโลกดังคำพูดว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง เพราะไม่นานเหลียงเฟิ่งจินก็รู้เรื่องนี้เข้าจนได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งคู่ต่างก็ทำสงครามเย็นใส่กันมานานนับสิบปี
แต่ที่ทั้งคู่ยังคงใช้ชีวิตร่วมกันมานานถึงสิบปีนั้นก็เพราะว่าเหลียงเฟิ่งจินเป็นห่วงความรู้สึกของลูกสาวนั่นเอง
วันนี้..การสอบเอนทรานซ์ของฉางหลิงก็ผ่านพ้นไปแล้ว อีกทั้งคะแนนสอบก็ออกมาดีเกินกว่าที่คาดคิด คะแนนของฉางหลิงนั้นแม้แต่มหาวิทยาลัยหยานจิง และมหาวิทยาลัยหัวชิงก็เข้าได้ จึงไม่ต้องพูดถึงการเข้ามหาวิทยาลัยการสื่อสารตามที่เธอปรารถนา
เมื่อเห็นว่าฉางหลิงมีผลสอบที่ดีเยี่ยมเช่นนี้เหลียงเฟิ่งจินก็ดีใจจนพูดไม่ออก เธอรู้สึกว่าความอดทนที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่เสียเปล่า แต่กลับได้ผลอย่างยอดเยี่ยม!
การฝืนใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและแทบไม่ต้องพูดถึงความขมขื่นที่ต้องทนอยู่ในสภาพนี้มานานนับสิบปี
ระหว่างที่ฉางหลิงกำลังดีอกดีใจอยู่นั้นเหลียงเฟิ่งจินก็เดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างเงียบๆ และแอบโทรหาสามีเพื่อนัดหมายไปหย่าร้างกันในวันพรุ่งนี้
ฉางฮั่นเหลียงนั้นจะเป็นฝ่ายออกจากบ้านและให้เหลียงเฟิ่งจินเป็นผู้ดูแลลูกสาวต่อไป และเรื่องนี้ทั้งคู่ก็ได้ตกลงกันมานานนับสิบปีแล้ว
สภาพสมรสที่แตกร้าวมานานถึงสิบปีในวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอันจบสิ้นอย่างแท้จริง แต่สองสามีภรรยากลับไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย มีเพียงความเฉยเมยต่อกันเท่านั้น..
หลังจากที่ได้วางก้อนหินที่หนักอึ้งนี้ลงเหลียงเฟิ่งจินก็ขับรถไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต หาซื้ออาหารทะเล เป็ด ไก่ ปลา พร้อมกับโทรเรียกน้องสาวของเธอเหลียงเฟิงอี้ให้มาที่บ้านเพื่อร่วมฉลองให้กับฉางหลิง
แต่เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน..เหลียงเฟิ่งจินกลับพบว่าฉางหลิงได้ปาข้าวของในห้องจนกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
เหลียงเฟิ่งจินถึงกับตกใจเพราะคิดว่าฉางหลิงคงรู้เรื่องที่เธอกับสามีจะหย่ากันแล้ว แต่เมื่อสอบถามฉางหลิง เธอจึงได้รู้ว่าที่ฉางหลิงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคะแนนสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเป็นศูนย์นั่นเอง..
เมื่อฉางหลิงมีสภาพอารมณ์เช่นนี้งานเลี้ยงฉลองจึงต้องถูกยกเลิกไป และหลังจากที่สอบถามจนมั่นใจแล้วว่าหลิงหยุนได้คะแนนเป็นศูนย์จริง ฉางหลิงก็ตัดสินใจที่จะเดินทางไปปักกิ่ง
“ลูกจะไปทำอะไรที่ปักกิ่งหลิงหยุนได้ศูนย์คะแนน แล้วลูกจะไปปักกิ่งเพื่ออะไร?” เหลียงเฟิงอี้ร้องเตือนสติฉางหลิง
ฉางหลิงกระทืบเท้าไม่พอใจและหันไปทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แม่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่คะ.. ครูกงก็จะไปถึงปักกิ่งพรุ่งนี้เช้า ถังเมิ่งเองก็อยู่ที่ปักกิ่งแล้ว หนูก็อยากจะไปหาหลิงหยุนด้วยนี่..”
ความสัมพันธ์ระหว่างฉางหลิงกับหลิงหยุนนั้นเหลียงเฟิ่งจินก็ได้รู้หมดแล้ว จึงไม่จำเป็นที่ฉางหลิงจะต้องปิดบังอะไรอีก
“หลิงหยุน..หลิงหยุน.. อะไรก็หลิงหยุน! ตั้งแต่สอบเอนทรานซ์เสร็จ แม่ก็ได้ยินแต่ชื่อหลิงหยุนมาตลอด..”
เหลียงเฟิ่งจินพูดต่อ“หลิงหยุนมีเสน่ห์อะไรมากมายงั้นรึ ลูกถึงได้คลั่งไคล้เขามากขนาดนี้!”
“ลูกคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้..แต่ตั้งแต่แม่กลับมาจนกระทั่งสอบเอนทรานซ์เสร็จ แม่ยังไม่เคยเห็นหลิงหยุนโทรหาลูกเลยสักครั้ง! ” เหลียงเฟิ่งจินพูดออกมาอย่างโมโหและไม่พอใจ
“แม่คะ..ช่วงก่อนสอบเอนทรานซ์หลิงหยุนก็มาที่บ้าน แต่ตอนนั้นแม่ไม่อยู่บ้านเอง ส่วนพ่อก็ไม่เคยกลับบ้านมาเป็นปีๆแล้ว..”
“เรื่องนั้นแม่รู้..แต่หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จล่ะ ทำไมหลิงหยุนถึงไม่มาหาลูกบ้าง เขาเป็นแฟนแบบใหนกัน?”
เหลียงเฟิ่งจินนั้นล้มเหลวในชีวิตคู่เธอจึงเป็นห่วงลูกสาวมาก แม้ว่าเธอจะเคยฟังเรื่องของหลิงหยุนด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แต่ความเย็นชาห่างเหินของหลิงหยุนที่มีต่อลูกสาวของเธอนั้น ทำให้เธอค่อนข้างไม่พอใจหลิงหยุนอย่างมาก
“แม่คะ..แม่ไม่รู้อะไร หลิงหยุนยุ่งมาก เขามีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ..”
“ลูกเข้าข้างเขาแบบนี้..เอาแต่มองเขาในแง่ดีแบบนี้.. วันที่ต้องเสียใจน้ำตาเช็ดหัวเข่า ก็อย่าตำหนิว่าแม่ไม่เตือนไม่บอกก็แล้วกัน!”
“แล้วแม่จะให้หนูไปปักกิ่งมั๊ยคะ”
“ลูกจะไปคนเดียวได้ยังไง”
“ใครบอกล่ะว่าหนูจะไปคนเดียวแม่สบายใจได้ รับรองว่าต้องมีคนไปกับหนูอย่างแน่นอน! แต่ต่อให้ไม่มีใครไป น้าเล็กก็ต้องไปกับหนูอยู่ดี!”
“ลูกกับน้าเล็กเป็นอะไรกันแน่แม่เห็นวันๆเอาแต่สุมหัวคุยกันเรื่องอะไร?”
“เอาล่ะ..ถ้าอยากจะไปจริงๆ ก็ไปจัดการจองตั๋วให้เรียบร้อย แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ!”
“ขอบคุณค่ะแม่!”
ฉางหลิงกระโดดเข้ากอดแม่ด้วยความตื่นเต้นดีใจเหลียงเฟิ่งจินยกมือขึ้นลูกแผ่นหลังของลูกสาวพร้อมกับคิดในใจว่า
‘พรุ่งนี้ลูกไปปักกิ่งแม่ก็จะไปหย่ากับพ่อแล้ว..’
ความขมขื่นและภาระหนักอึ้งที่แบกมานานสิบปี ในที่สุดก็จะจบสิ้นลงเสียที!
บทที่ 776: เรียนทำอาหาร – ฝึกวิชาคลื่นคงคา!
ณบ้านเลขที่ 9 ในหมู่บ้านอ่าวจิงฉู
ภายในบ้านห้องครัวที่หรูหราใหญ่โตฉินตงเฉี่วยสวมชุดกระโปรงสีขาว และกำลังใช้อาวุธต่างๆจัดการกับปลาและผักที่วางเรียงรายอยู่!
และแน่นอนว่าอาวุธเหล่านั้นก็คือหม้อกระทะ มีด ตะหลิว และอุปกรณ์เครื่องครัวอื่นๆอีกมากมาย..
ท่ามกลางความร้อนจากเตาไฟและความกดดันจากความโกลาหลวุ่นวายภายในห้องครัว ทำให้ร่างของฉินตงเฉี่วยเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ..
ฉินตงเฉี่วยยืนอยู่ในห้องครัวด้วยความรู้สึกท้อแท้แต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางยังคงอดทนอยู่ในห้องครัวต่อไปได้ ก็คือคำพูดของหลิงหยุน!
และแน่นอนว่า..ข้างๆฉินตงเฉี่วยนั้นมีป้าเม่ยคอยกำกับดูแลอยู่ด้วย!
“คุณหนูคะ..ต้องใส่น้ำมันก่อน รอให้น้ำมันเดือด แล้วค่อยใส่ของเตรียมลงไป..”
“เท่านี้พอหรือไม่”
ฉินตงเฉี่วยจัดการเทน้ำมันเตรียมไว้ลงไปในกะทะจนเกือบหมด..
“คุณหนู..นั่นมันมากเกินไป นิดหน่อยก็พอ”
“ว้าย..”
ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อมือข้างขวาจับไปโดนหูกะทะที่ร้อนหลังจากนั้นนางก็จัดการยกกะทะขึ้นเทน้ำมันที่อยู่ด้านในออกครึ่งหนึ่ง ป้าเม่ยถึงขมวดคิ้วและส่ายหน้าไปมา..
“เอาล่ะ..เสร็จแล้วก็เอาไปตั้งไฟรอให้น้ำมันเดือด แล้วจัดการหั่นหัวหอม และกระเทียมลงไป..”
ฉินตงเฉี่วยจัดการหั่นหอมตามคำบอกแล้วโยนลงไปในกระทะ จากนั้นจึงคว้าตะหลิวขึ้นมาผัดอย่างรวดเร็วราวกับกำลังร่ายรำเพลงกระบี่เพื่อต่อสู้กับศัตรู
ป้าเม่ยได้แต่มองยิ้มๆแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา แล้วจึงร้องเตือนว่า “คุณหนูคะ.. สับสนใหญ่แล้ว ตอนนี้เรากำลังผัดอาหารอยู่นะคะ ไม่ได้สับเนื้อ..”
“ก็ข้ากลัวน้ำมันกระเด็นใส่นี่นา!”
ฉินตงเฉี่วยชะงักทันทีและทำสีหน้าสับสน ใบหน้าของนางนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน!
“ตอนนี้น้ำมันกำลังเดือด..รอให้กระเทียมส่งกลิ่นหอมก่อน แล้วคุณหนูค่อยเอาของที่เตรียมไว้ใส่ลงไป..”
“จากนั้นจึงค่อยๆผัดเบาๆ..”
ภายใต้คำแนะนำของป้าเม่ยทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น เสียงตะหลิวกระแทกกับกะทะดังขึ้นเบาๆ
“การผัดอาหารนั้นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความร้อนหากไฟแรงเกินไปก็จะไหม้ แต่ถ้าไฟอ่อนเกินไปมันฝรั่งก็จะไม่สุก และแข็งจนกินไม่ได้..”
“งั้นรึ”
ฉินตงเฉี่วยแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูนางเองก็เคยเห็นหนิงหลิงยู่ทำกับข้าว และตัวนางเองก็เคยเข้าครัวทำอาหารให้หลิงหยุนทาน แต่ก็ต้องได้รับการกำกับอย่างใกล้ชิดจากหนิงหลิงยู่เช่นกัน
“สู้ตาย!”
ฉินตงเฉี่วยกัดฟันกรอดพร้อมกับส่งเสียงให้กำลังใจตนเองและเริ่มผัดต่อ..
แต่หลังจากที่นำมันฝรั่งใส่ลงไปในกระทะฉินตงเฉี่วยก็แทบจะกระโจนออกจากห้องครัวทันที
“ช่างน่าโมโหจริงๆ!แค่อาหารจานเดียวทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้นะ ยากเย็นเสียยิ่งกว่าการฝึกวรยุทธเสียอีก..”
ฉินตงเฉี่วยบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดพร้อมกับจ้องมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าและในที่สุดนางก็รู้ว่าการเป็นแม่บ้านนั้นไม่ใช่งานที่ง่ายเลย..
“คุณหนู..ไม่ต้องผัดแรงขนาดนั้นก็ได้ คุณหนูกำลังผัดกับข้าวนะ ไม่ได้กำลังสู้กับใครที่ใหน..”
ป้าเม่ยส่ายหน้ายิ้มๆจากนั้นจึงลงมือผัดให้ดูเป็นตัวอย่างอีกครั้ง ท่าทางของป้าเม่ยนั้นยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าเชฟในโรงแรมใหญ่ๆเสียอีก
ฉินตงเฉี่วยได้แต่นึกท้อแท้หมดหวังอยู่ในใจเทพธิดาฉินผู้ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปในครัวด้วยซ้ำไป เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับนางมาก
“คุณหนูหั่นมันฝรั่งได้บางแบบนี้อีกเดี๋ยวเดียวก็คงสุกแล้ว ไม่เห็นจะยากตรงใหนเลย..”
แม้ว่าฝีมือการผัดกับข้าวของฉินตงเฉี่วยจะไม่ดีนักแต่ทักษะการใช้มีดของนางนั้นนับว่ายอดเยี่ยมมาก และนับว่าการฝึกฝนกระบี่มานานกว่ายี่สิบปีของนางก็ไม่สูญเปล่าจริงๆ
“เอาล่ะ..คราวนี้ก็ใส่เกลือลงไปปรุงรส”
“จากนั้นก็ใส่น้ำส้มสายชูลงไปนิดหน่อยแค่นี้ก็จะทำให้รสชาดของผักดีขึ้น บางคนไม่ชอบเค็มเกิน บางคนก็ไม่ชอบเปรี้ยวเกินไป..”
และทุกครั้งที่เรียนทำอาหารมาถึงการปรุงรสนั้นฉินตงเฉี่วยที่แม้จะเป็นคนเฉลียวฉลาดก็ไม่รู้ว่าอะไรคือนิดหน่อย.. และปริมาณที่ถูกต้องคือแค่ใหน
“พอ..พอ.. พอแค่นี้ก่อน!” ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็ร้องออกมาอย่างหมดความอดทน
“ป้าเม่ย..วันนี้พอแค่นี้ก่อน! นี่ก็สายมากแล้ว ข้าต้องไปดูหลิงยู่ก่อน..”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของฉินตงเฉี่วยนางก็ถอดผ้ากันเปื้อนโยนทิ้ง และกระโดดออกไปจากห้องครัวทันที ฉินตงเฉี่วยวิ่งไปยังห้องนอนของตนเอง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกระโปรงยาวแล้ว นางก็คว้ากระบี่ยาวของตนเองเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังตีนเขาฝั่งชายทะเลทันที
“หลิงหยุน..เจ้าเด็กตัวแสบ รอให้ข้าพบเจ้าก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
ร่างโปร่งบางพุ่งออกไปพร้อมกับคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจป้าเม่ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“ตั้งแต่เด็ก..คุณหนูสองก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในครัวเลยสักครั้ง จะให้นางเรียนทำอาหารน่ะรึ คงต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกเสียก่อน..”
ป้าเม่ยยืนนิ่งเงียบแต่จู่ๆเมื่อนึกถึงผลสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนขึ้นมาได้ นางก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง แล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวให้เรียบร้อย
……
ไม่นานฉินตงเฉี่วยก็มาถึงริมทะเลนางรู้ว่าทุกวันหนิงหลิงยู่จะมาฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่ ฉินตงเฉี่วยกระโดดเข้าไปทางด้านทิศตะวันออกของชายหาด
หมู่บ้านในอ่าวจิงฉูแห่งนี้สร้างอยู่บนเนินเขาและด้านข้างของหมู่บ้านที่ติดกับทะเลนั้น ก็มีหน้าผาสูงในระดับต่างๆอยู่มากมาย
หนิงหลิงยู่นั้นฝึกฝนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งสูงจากพื้นดินไปราวยี่สิบเมตรและหากมองไปที่พื้นด้านล่างก็ดูอันตรายอย่างมาก
ฉินตงเฉี่วยที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วนั้นเพียงไม่นานก็มายืนอยู่ด้านล่างของหน้าผาแห่งนี้ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างของหน้าผา เฝ้ามองหนิงหลิงยู่ที่กำลังนั่งหลับตาฝึกฝนวิชาคลื่นคงคาอยู่
คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถขึ้นมาบนหน้าผาแห่งนี้ได้และจะไม่มีโอกาสได้เห็นหนิงหลิงยู่ที่ฝึกฝนวิชาอยู่ด้านบนนี้ อีกทั้งในยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ คงไม่มีใครออกมาเดินเล่นดื่มด่ำกับทิวทัศน์รอบตัวอย่างแน่นอน ถ้าจะมีก็คงจะเป็นคนที่ต้องการมากระโดดหน้าผาเสียมากกว่า..
หนิงหลิงยู่กำลังฝึกวิชาคลื่นคงคาและที่เธอเลือกมาฝึกในสถานที่แห่งนี้ ก็เพราะ ที่นี่มีพลังชีวิตธาตุน้ำอยู่เต็มเปี่ยม และจะมีผลต่อการฝึกของเธอไม่มากก็น้อย
เวลานี้หนิงหลิงยู่ก็ได้เข้าสู่ระดับเริ่มต้นขั้นโฮ่วเทียน-7แล้ว และกำลังเข้าสู่ระดับกลางขั้นโฮ่วเทียน-8
และนี่นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก!
แม้แต่หลิงหยุนเองก็ตามหากเขาได้รู้ก็คงต้องตกใจจนแทบช็อคเช่นกัน เพราะความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของหนิงหลิงยู่นั้นเกือบจะเทียบเท่ากับหลิงหยุนด้วยซ้ำไป!
กายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้นหาได้ยากยิ่งในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..
ในการฝึกบ่มเพาะนั้น..พรสวรรค์จากธรรมชาติส่วนหนึ่ง บวกกับความเข้าใจ และวิชาในการบ่มเพาะ ทั้งสามอย่างนี้ล้วนเป็นพื้นฐานการฝึก และหากได้อาจารย์ที่สามารถชี้แนะได้ดี และมีโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังปราณ ก็จะยิ่งเสริมให้สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
และสำหรับหนิงหลิงยู่นั้นเธอมีทุกอย่างที่พูดมาข้างต้น.. และแม้แต่สิ่งอื่นที่ผู้อื่นไม่มี เธอก็มี!
เพียงแค่กายอัปสรของหนิงหลิงยู่ก็เหนือกว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะมากมายแล้วเพราะภายในกายอัปสรของเธอนั้นมีพลังอมตะไหลเวียนอยู่ อีกทั้งยังเป็นลูกสาวของฉินจิวยื่อ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการทำความเข้าใจ อีกทั้งวิชาคลื่นคงคาที่เธอฝึกนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาพลังลับหยิน-หยางของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย!
ส่วนเรื่องอาจารย์ที่ชี้แนะนั้นเวลานี้ฉินตงเฉี่วยซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 ก็ได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์คอยชี้แนะหนิงหลิงยู่อยู่ทุกวัน
นี่ยังไม่รวมถึงสมุนไพรล้ำค่าต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นโสมพันปี สมุนไพรเหอโชวู บัวหิมะเทียนซัน น้ำลายมังกร และอื่นๆอีกมากมาย
ยังมียันต์พลังชีวิตที่หลิงหยุนปลุกเสกอีกและนั่นจะทำให้หนิงหลิงยู่สามารถดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในกายอัปสรได้..
ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานจิตใจที่สงบนิ่งร่างกายที่หาได้ยากยิ่ง วิชาบ่มเพาะที่ทรงอานุภาพ และสมุนไพรอีกมากมาย หลิงหยุนเองก็ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้หนิงหลิงยู่ก่อนที่จะออกเดินทางแล้ว..
แทบไม่ต้องพูดถึงใครอื่นแม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็ยังแอบคิดว่าในยุทธภพนี้ คงจะมีเพียงหลานสาวของนางเท่านั้นที่จะมีพร้อมทุกอย่างเช่นนี้!
คงจะมีแต่หนิงหลิงยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!
“ก้าวหน้าเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
ฉินตงเฉี่วยที่เห็นหนิงหลิงยู่กำลังจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8ก็ได้แต่ร้องอุทานออกมาอย่งตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก!
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ยืนนิ่งเงียบและไม่ส่งเสียงรบกวนการฝึกของหนิงหลิงยู่..
หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งหลับตาขัดสมาธิและกำลังฝึกฝนวิชาคลื่นคงคา ระหว่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น หนิงหลิงยู่ก็ยกมือที่วางอยู่บนเข่าทั้งสองข้างขึ้น และยื่นมือไปด้านหน้าวาดไปมาด้วยท่วงท่าลึกลับซับซ้อน
ครืน…
เสียงกระแสน้ำดังขึ้นและฉินตงเฉี่วยก็สังเกตเห็นน้ำทะเลที่อยู่ด้านล่างเริ่มหมุนเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองยังรู้สึกเหมือนจะถูกกระแสน้ำวนนั้นดูดเข้าไปด้วย
ครืน…
วิชาคลื่นคงคาคือวิชาที่ผู้ฝึกสามารถควบคุมน้ำจำนวนมหาศาลได้ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงๆ!
ระหว่างที่ลมปราณหมุนเวียนอยู่ภายในร่างกายนั้นพลังชีวิตธาตุน้ำที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนโลกนี้ ก็ได้ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของหนิงหลิงยู่อย่างรวดเร็ว
หนิงหลิงยู่หยุดการวาดมือทั้งสองข้างไปมาจากนั้นจึงยืดลำแขนตรงไปด้านหน้าพร้อมกับหงายฝ่ามือขาวนวลขึ้น และค่อยๆยกขึ้นอย่างช้าๆ
ครืน..ครืน..
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นถึงสองครั้งและสายน้ำสีขาวขนาดใหญ่ก็พุ่งจากท้องทะเลขึ้นสู่ท้องฟ้าเกิดเป็นภาพเสาน้ำขนาดใหญ่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
ร่างงดงามของฉินตงเฉี่วยกระโดดหลบหยดน้ำที่คมราวกับปลายมีดและกระจัดกระจายออกไปรอบบริเวณ ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี