Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 644 : หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่!
- Home
- Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร
- ตอนที่ 644 : หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่!
บทที่ 644 : หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่!
สิ้นสุดวิชาสุดท้ายของการสอบเอนทรานซ์ หลิงหยุนได้จัดการใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองขจัดความรู้ขยะในสมองออกไป จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินยิ้มออกไปจากห้องสอบ
“จากนี้ไปก็เป็นเวลาไล่ล่าสังหารศศัตรูของข้าแล้ว!” น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นมีแต่ความเฉยชา
“พี่เขย!”
ดูเหมือนว่าเฉิงเมี่ยนจะเริ่มคุ้นเคยกับการเรียกหลิงหยุนว่าพี่เขยมากเข้าไปทุกที และทุกครั้งที่เธอเรียกเขาว่าพี่เขย เลือดลมในกายของเธอก็จะพลุ่งพล่านอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หลิงหยุนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว เขาจ้องมองเฉิงเมี่ยนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เป็นไงบ้าง? ทำข้อสอบได้มั๊ย?”
“พี่เขย.. นี่ล้อเลียนฉันรึงไง..?”
เฉิงเมี่ยนเดินเข้าไปเกาะแขนหลิงหยุนอย่างสนินทสนมพร้อมกับตัดพ้อ “รู้อยู่แล้วยังจะแกล้งถามฉันอีก? ไปกันเถอะ!”
เฉิงเมี่ยนเดินกอดแขนหลิงหยุนไปพร้อมกับยิ้มสดใส..
ฉีเสี่ยวชิงเดินออกมาจากห้องสอบก่อนคนอื่น แต่เธอยังไม่กลับในทันที และได้ยืนคอยหลิงหยุนอยู่ที่หน้าระเบียง
“หลิงหยุน.. ขอบคุณมาก..”
เมื่อฉีเสี่ยวชิงเห็นหลิงหยุนเดินออกมาจากห้องสอบ ก็รีบโค้งคำนับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนทันที
และนี่เป็นการขอบคุณจากหัวใจ!
หลิงหยุนจ้องมองหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามจนเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด แล้วจึงตอบกลับไปยิ้มๆ
“เรื่องเล็กน้อย.. ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมอีกแล้วล่ะ! ขอแสดงความยินดีด้วย คุณทำข้อสอบได้ดีทีเดียว!”
“ห๊ะ.. เอ่อ.. ขอบคุณค่ะ!”
ถึงแม้ว่าฉีเสี่ยวชิงจะประหลาดใจมากว่าหลิงหยุนรู้ได้อย่างไร? แต่เธอก็รีบเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนมาจากใจจริง
“พี่ใหญ่คะ!”
หนิงหลิงยู่วิ่งออกมาจากห้องสอบ แต่เมื่อเห็นเฉิงเมี่ยนกอดแขนหลิงหยุนอย่างสนิทสนม สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หลิงยู่.. ทำข้อสอบได้มั๊ย?”
เมื่อเห็นหนิงหลิงยู่เดินเข้ามาหา หลิงหยุนก็ไม่ยอมให้เฉิงเมี่ยนกอดแขนของเขาอีก และรีบดึงแขนออกจากการเกาะกุมทันที แล้วเดินตรงเข้าไปลูบไหล่หนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรยากนี่! รีบไปกันเถอะพี่ใหญ่ น้าหญิงกำลังรอพวกเราอยู่..” หนิงหลิงยู่เร่งเร้าหลิงหยุนให้รีบกลับไปที่รถ และพยายามปกปิดความรู้สึกที่อยู่ด้านในของตนเอง
“รอฉางหลิงก่อน.. เธอกำลังจะมาที่นี่พอดี แล้วพวกเราค่อยเดินไปพร้อมกัน!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับฉีเสี่ยวชิง “ฉีเสี่ยวชิง.. คุณต้องการให้พวกเราไปส่งมั๊ย?”
ฉีเสี่ยวชิงจ้องมองหนิงหลิงยู่ก่อนจะตอบกลับไปพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ.. ขอบคุณ!”
ฉีเสี่ยวชิงที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าความสวยของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหญิงสาวคนใหนนั้น ถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่งดงามชวนฝันของหนิงหลิงยู่
หลิงหยุนเองก็ไม่ไม่คะยั้นคะยอ และไม่ได้เอ่ยถามฉีเสี่ยวชิงซ้ำ เมื่อฉางหลิงมาถึง ทั้งสี่คนก็เดินลงบันไปทันที
“เฮ้อ.. รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย!”
“ตอนนี้ก็มีเวลาแชทคุยกับเพื่อน มีเวลาได้ดูหนัง แล้วก็เล่นเกมแล้ว..”
“ ถ้าครั้งนี้สอบไม่ติด ฉันก็จะสอบใหม่ปีหน้า!”
ในวันสุดท้ายของสอบเอนทรานซ์นี้ นักเรียนมัธยมปลายที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี ต่างก็รู้สึกราวกับว่าได้โยนภาระที่หนักอึ้งนี้ออกจากบ่าของตนเองเสียที ทุกคนต่างก็ตื่นเต้น และบางคนถึงกับร้องไห้ออกมาทีเดียว
“ในที่สุดก็จบลงซะที! ไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังตลอดทั้งวันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้ฉันจะกินจะเล่นให้เต็มที่ จะไปเดินช้อปปิ้ง แล้วก็นอนตื่นสายๆ..”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังฉางหลิงระบายออกมาก็ถึงกับเราะคิกคักพร้อมกับพูดออกไปตรงๆ “ระวังจะอ้วนเอาล่ะ..”
“หลิงยู่.. ปิดเทอมเธอจะไปเที่ยวที่ใหน?”
หนิงหลิงยู่ตอบเสียงเบา “เรื่องนี้แล้วแต่พี่ใหญ่! ถ้าพี่ใหญ่ไปใหน ฉันก็ไปด้วย..”
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของหนิงหลิงยู่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร สำหรับหนิงหลิงยู่นั้น หลังจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกวิชา แทนที่จะติดตามเขาไปใหนต่อใหน!
ทั้งสี่คนเดินคุยกันอยู่ไม่นานก็มาถึงที่จอดรถ และฉินตงเฉี่วยก็กำลังนั่งคอยอยู่พอดี
รถที่มาส่งเฉิงเมี่ยนก็จอดอยู่ไม่ไกลกันนัก และดูเหมือนเธอจะหวาดกลัวฉินตงเฉี่วยอยู่ไม่น้อย เมื่อมาถึงที่รถเธอจึงรีบร้องทักทายฉินตงเฉี่วย แล้วรีบร่ำลาหลิงหยุน และวิ่งไปที่รถของตนเองทันที
“ว่าไงพี่หยุน! ทำข้อสอบได้เปล่า? มั่นใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยหยางจิงได้มั๊ย?”
ถังเมิ่งรีบทิ้งบุหรี่ในมือ และวิ่งไปหาหลิงหยุนทันที ตลอดสองสามวันนี้เขากับตี้เสี่ยวอู๋ก็มีหน้าที่ขับรถรับส่งหลิงหยุน
หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ และฉินตงเฉี่วย ทั้งสามคนได้นั่งมาในรถของถังเมิ่ง เมื่อหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ขึ้นห้องสอบไป ภายในรถก็เหลือเพียงถังเมิ่งกับฉินตงเฉี่วย และรังสีของฉินตงเฉี่วยก็ดูเหมือนจะน่ากลัวจนถังเมิ่งไม่กล้าในอยู่ในรถ ดังนั้นตลอดระยะเวลาของการสอบ ถังเมิ่งจึงต้องเลี่ยงออกไปหาที่สูบบุหรี่ หรือไม่ก็ไปนั่งในรถของตี้เสี่ยวอู๋แทน
“ฉันไม่ใช่คนตรวจข้อสอบ แล้วก็ไม่ใช่คนให้คะแนน นายถามฉัน.. แล้วฉันจะไปถามใคร? ช่างมันเถอะน่า! ใหนๆก็สอบเสร็จแล้ว ผลจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะน่า!” หลิงหยุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ..
“พี่หยุน! แต่เรายังมีเดิมพันเรื่องนี้อยู่หนึ่งร้อยล้านนะ จะปล่อยให้เสียไปฟรีๆได้ยังไง..?”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปทันที “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเงินเดิมพันหนึ่งร้อยล้าน แต่ไม่ต้องห่วง นายไม่มีทางเสียมันไปแน่นอน!”
ถังเมิ่งได้รับคำยืนยันเช่นนี้ ก็สามารถสงบจิตสงบใจ และหันไปยิ้มและพูดกับหลิงหยุนได้ต่อ
“ถ้างั้นก็รีบกลับบ้านกันดีกว่า..”
อุณหภูมิภายในเมืองจิงฉูวันนี้สูงถึงสี่สิบองศา และร้อนไม่ต่างจากเตาอบ ทุกคนต่างก็เหงื่อออกไปทั่วทั้งตัว และที่นี่ก็วุ่นวายหนวกหูจนหลิงหยุนไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินนาทีเดียว
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนรถแล้ว ถังเมิ่งก็รีบขับออกจากสถานที่สอบทันที และแวะไปส่งฉางหลิงที่บ้านก่อน แล้วจึงขับกลับไปยังบ้านเลขที่-1
ฉินตงเฉี่วยกับหลิงหลิงยู่นั้น ทันทีที่กลับถึงบ้าน ทั้งคู่ต่างก็เดินไปที่ห้องของตนเอง และจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ส่วนหลิงหยุนเดินตรงไปหาต้นสมุนไพรชีฉียู่ และเมื่อเห็นว่าใบของมันมีจุดสีน้ำตาลขึ้นถึงหกจุดแล้ว ก็ตื่นเต้นอย่างมาก และรีบเรียกกล่องหยกที่ทิ้งไว้เข้าไป และเรียกกล่องหยกใบใหม่ออกมาวางไว้อีกถึงสามกล่อง
“วันนี้แดดแรงมากจริงๆ”
หากดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าแบบนี้อีกสักสองวัน จุดสีน้ำตาลนี้คงจะต้องขึ้นจนครบเจ็ดจุดอย่างแน่ และนั่นก็หมายความว่าสมุนไพรชีฉียู่ได้โตเต็มวัยแล้ว
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของพลังชีวิตที่ปลดปล่อยออกมาจากสมุนไพรชีฉียู่ เขาวางกล่องหยกทั้งสามใบไว้เพื่อให้มันดูดซับเอาพลังชีวิตที่เข้มข้นจนเป็นของเหลวนี้เข้าไปเห็บไว้
ป้าเหมยจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศภายในบ้านไว้ที่ยี่สิบสามองศา ซึ่งไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกิน ภายในบ้านจึงกำลังเย็นสบาย
“นี่พี่หยุน.. พี่สามารถทำกำไรได้ถึงหนี่งร้อยล้านในเวลาเพียงแค่สองวันครึ่ง ช่างเป็นการค้าที่มีกำไรงดงามมากจริงๆ! ไว้ฉันจะหาเดิมพันแบบนี้ให้พี่อีก..” ถังเมิ่งร้องบอก
หลิงหยุนถลึงตาใส่ทันที “จะบ้าหรือยังไง? ใครบอกนายว่าแค่สองวันครึ่ง! รวมเตรียมตัวก่อนสอบด้วยทั้งหมดก็ยี่สิบวันต่างหาก!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นปิดปากเป็นการส่งสัญญาณให้หยุดพูดเรื่องสอบเอนทรานซ์เสียที จากนั้นจึงหันไปพูดกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“ใหนๆพวกนายอยู่พร้อมหน้ากันพอดี.. ฉันก็จะพูดเรื่องของแก๊งมังกรเขียวเลยก็แล้วกัน”
“ถังเมิ่ง.. ตอนนี้เสี่ยวอู๋ไม่อยากเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแล้ว นายรู้จักใครที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะหน้าที่นี้แทนเสี่ยวอู๋ได้มั๊ย?”
เมื่อพูดเรื่องานขึ้นมา.. สีหน้าท่าทางของถังเมิ่งก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที เขาเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า
“พี่หยุน.. ฉันว่ามีคนคนหนึ่งที่เหมาะจะทำหน้าที่นี้มากเลย!”
ถังเมิ่งพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “พี่หยุน.. ฉันว่าอาปิงน่าจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากที่สุด!”
ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของถังเมิ่ง ภาพของอาปิงก็ปรากฎขึ้นในความคิดของหลิงหยุนทันที
ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปร่างผอมแต่สง่างาม และปากคาบบุหรี่อยู่ตลอดเวลา ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวนั้น นอกจากจะดูเย็นชาแล้ว ยังมีแววเฉลียวฉลาดอีกด้วย และถึงแม้ว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวาทะศิลป์ที่ดีมากคนหนึ่ง
“จริงด้วย.. เด็กหนุ่มคนนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมจริงๆ!” หลิงหยุนพึมพำออกมา
แต่จู่ๆเขาก็พูดขึ้นว่า “แต่ฉันมีความกังวลใจอยู่ทั้งหมดสามเรื่อง เรื่องแรก.. นายเคยบอกฉันว่าอาปิงมาจากครอบครัวทหารไม่ใช่เหรอ แล้วคนที่มาจากครอบครัวทหารอย่างเขาจะสามารถทำงานพวกนี้ได้งั้นเหรอ? ข้อที่สอง.. อาปิงไว้ใจได้มากแค่ใหน? และข้อสุดท้าย.. เขาจะสามารถดูแลพี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่มีเรื่องจนถึงขั้นฆ่ากันตายได้หรือเปล่า?”
หลิงหยุนไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ และถามตรงเข้าประเด็นทันที
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า..
“ข้อแรก.. อาปิงเป็นลูกชายคนโตที่เติบโตมาในครอบครัวทหารตั้งแต่เล็ก และเรียนรู้การยิงปืนมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเหมาะสมกับงานลักษณะนี้ที่สุด!”
“ข้อสอง..เรื่องความไว้วางใจ อย่าลืมว่าพี่ยังมีฉันกับเสี่ยวอู๋อยู่ หากอาปิงกล้าคิดไม่ซื่อ ฉันก็จะไม่ไว้หน้าเขาเหมือนกัน พี่เองก็เห็นกับตาในวันเปิดคลินิก อีกอย่างฉันกับอาปิงเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันรู้จักนิสัยของเขาดี!”
“ส่วนข้อสุดท้าย พ่อของอาปิงเคยให้เขาไปฝึกร่วมกับหน่วยรบพิเศษ เขาคนเดียวสามารถจัดการกับคนธรรมดาได้พร้อมกันถึงห้าหกคน แต่พี่ก็สามารถสอนวิชาให้เขาได้นี่!”
หลังจากได้ฟัง.. หลิงหยุนก็เห็นด้วย และคิดว่าถังเมิ่งนั้นวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล เขาจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าและสั่งว่า
“ดีมาก! ถ้างั้นคืนนี้นายก็พาอาปิงมาหาฉันได้เลย”
ถังเมิ่งตอบกลับทันที “ได้! ความจริงฉันเองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกพี่เท่านั้นเอง”