Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 402
บทที่ 402 : ความแข็งแกร่งที่แท้จริง!
“นั่น.. นั่น.. นั่นมันหลิงหยุน!” เฉิงเมี่ยนร้องตะโกนออกมา
ภายในบ้านหลังเล็ก.. คนในตระกูลเฉิงต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงการต่อสู้ พวกเขาจึงรีบลุกจากโซฟา และวิ่งไปดูที่หน้าประตู แต่ก็ไม่กล้าที่จะวิ่งออกไปดูนอกบ้าน จึงได้แต่แอบดูอยู่ในบ้านเงียบๆ บรรยากาศดุเดือดเช่นนั้น ใครบ้างที่จะกล้าออกไป?
จนกระทั่งหลิงหยุนถอดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก เฉิงเมี่ยนจึงได้เห็นว่าชายร่างใหญ่ที่ถือกระบี่ยาวสีดำยืนสง่างามอยู่กลางสนามนั้น ที่แท้ก็คือหลิงหยุนั่นเอง!
“นี่เขา.. เขามาช่วยจริงๆด้วย แล้วยังสามารถทำให้ซันเทียนเปียวบาดเจ็บได้อีก..!?”
แม้เฉิงเมี่ยนจะร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดผวาและสยดสยอง แต่ภายในใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น และได้ยินเสียงร้องอุทานของเฉิงเมี่ยนได้อย่างชัดเจน เขาจึงยิ้มพร้อมกับหันไปโบกมือให้เธอ ก่อนจะร้องตะโกนออกไปว่า
“น้องเมีย.. ไปหลบอยู่ตรงนั้นทำไมกันล่ะ? รีบไปเรียกพี่สาวของคุณออกมาได้แล้ว เธอจะได้ออกมาดูว่าผมจะสังหารซันเทียนเปียวยังไง?”
เฉิงเมี่ยนนิ่งไปเล็กน้อย และมีท่าทางกระอึกกระอัก พร้อมกับคิดในใจว่า ‘จะให้ฉันไปเรียกพี่ใหญ่จากที่ใหนล่ะ? แม่ชีมี่ยื่อเอาตัวกลับสำนักจิ้งซินไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ในใจของเฉิงเมี่ยนกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนนี้พี่สาวของเธอไม่ได้อยู่เป็นคู่แข่งกับเธออีกแล้ว!
เฉิงเมี่ยนจ้องมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนสง่าอยู่กลางสนาม และในเวลานี้หัวใจของเธอก็กำลังเต้นแรง เลือดภายในกายสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง เธอกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างไม่แยแสคนรอบข้าง ก่อนจะวิ่งออกประตูไปโดยไม่สนใจพ่อแม่ที่ได้แต่ร้องห้าม
ลมทะเลที่พัดมาทั้งเย็นและชื้น เฉิงเมี่ยนสวมเพียงชุดนอนกระโปรงบางเบา เธอไม่ได้วิตกังวลว่าหลิงหยุนจะมองเห็นสัดส่วนแต่อย่างใด กลับภูมิอกภูมิใจที่ได้อวดหน้าอกใหญ่โต และหน้าทองแบนเรียบของตัวเอง เธอวิ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนทันที
เฉิงเมี่ยนกล้าที่จะวิ่งออกไปด้านนอก แต่เฉิงเทียนกับภรรยาต่างก็ไม่กล้า และพากันหลบซ่อนอยู่ด้านหลังประตู พร้อมกับร้องตะโกนเรียกเฉิงเมี่ยนที่วิ่งออกไปให้กลับมาอย่างกระวนกระวายใจ
ในเวลานั้น ถังเทียนห่าวที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ก็กำลังยืนยิ้มกว้างมองหลิงหยุนที่ยืนสง่าอยู่กลางสนาม
หลิงหยุนสำรวจไปทุกทิศทางอย่างละเอียด และกวาดตามองไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าถังเทียนห่าวไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ก็รู้สึกโล่งอก แต่เพราะแผนของเขาไม่ใช่การบุกเข้าไปช่วยถังเทียนห่าวในเวลานี้ ทั้งคู่จึงยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะทักทายกัน
ถังเทียนห่าวเองก็เข้าใจแผนการของหลิงหยุนดี เขาจึงไม่ได้ออกมาเพื่อความปลอดภัย
หลิงหยุนมองเฉิงเมี่ยนที่กำลังวิ่งออกมา แต่เมื่อไม่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงวิ่งตามออกมาด้วย หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรง!
หากเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ที่นี่ และได้ยินเสียงเรียกของเขา เธอจะต้องวิ่งออกมาอย่างแน่นอน แต่นี่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ!
หลิงหยุนได้ยินเสียงลมหายใจของคนสองคนที่อยู่ภายในบ้าน ก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นพ่อกับแม่ของเธอที่อยู่ด้านใน?!
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนอย่างฉับพลันทันที น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พร้อมกับร้องถามเฉิงเมี่ยนว่า “แล้วพี่สาวของคุณล่ะ?!”
“เอ่อ..” เฉิงเมี่ยนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงใหนก่อนดี และใบหน้าของเธอก็เริ่มนิ่งไป
ซันเทียนเปียวเห็นว่าสบโอกาสพอดี จึงรีบพูดเย้ยหยันหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน ถ้าเจ้าอยากจะช่วยเฉิงเม่ยเฟิง ข้าแนะนำให้เจ้าถนอมกำลังไว้จะดีกว่า เธอไม่ได้อยู่ที่นี่!”
แววตาของหลิงหยุนยิ่งเย็นชามากขึ้น รังสีอำมหิตก็เปล่งประกายรุนแรงยิ่งขึ้นเช่นกัน พลังหยินหยางในท้องของเขาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ม่านตาที่หดและขยายอย่างรวดเร็วจนเป็นสีดำและขาวสลับกันนั้น ปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียวแล้วก็หายไป!
“ตอนนี้เธออยู่ที่ใหน?” หลิงหยุนถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สงบนิ่ง มือที่กำกระบี่จนแน่นนั้นเริ่มซีดขาว
ตู้กู่โม่รู้ดีว่า ลักษณะท่าทางเช่นนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลิงหยุนเริ่มหมดความอดทนแล้ว!
ซันเทียนเปียวหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “หลิงหยุน เรื่องนี้เจ้าโทษข้าไม่ได้ ข้าจะบอกอะไรให้ ตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงได้ไปเป็นศิษย์ของแม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซินเรียบร้อยแล้ว และนางก็พากลับเธอไปที่สำนักของตัวเองแล้ว!”
“เจ้าพล่ามอะไร? ถ้าไม่ได้พบข้า นางไม่มีทางยอมไปกับคนอื่นแน่!” หลิงหยุนมั่นใจในตัวเฉิงเม่ยเฟิงอย่างมาก
เฉิงเม่ยเฟิงเป็นศิษย์สำนักจิ้งซินอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ใช้กำลังบีบบังคับเธอก็คงไม่ยอมแน่ เพราะเฉิงเม่ยเฟิงคงยอมตายมากกว่าที่จะยอมไปเป็นศิษย์สำนักจิ้งซิน!
ซันเทียนเปียวช่างไม่รู้เลยว่า หลิงหยุนได้มาถึงจุดที่ใกล้ระเบิดแล้ว เขายักไหล่พร้อมกับตอบไปว่า
“ถ้าไม่เชื่อ.. เจ้าก็ถามน้องเมียของเจ้าดูสิ! พวกเขาทั้งครอบครัวก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย..”
หลิงหยุนเริ่มเห็นภาพเรื่องราวชัดเจนขึ้น ร่างของเขาไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของเฉิงเมี่ยนทันที เขายื่นมือเข้าไปจับไหล่เฉิงเมี่ยนพร้อมกับถามขึ้นว่า
“ตอบมาว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นมากันแน่?”
“โอ๊ย.. นี่ฉันเจ็บนะ!”
เฉิงเมี่ยนกัดฟันด้วยความเจ็บปวด และก็ไม่สามารถทนได้ จึงได้แต่ร้องออกมา!
แต่หลิงหยุนก็ยังคงบีบไหล่บอบบางของเฉิงเมี่ยน ภายใต้ฝ่ามือที่ทรงพลังของหลิงหยุน เฉิงเมี่ยนกลับรู้สึกพอใจ ร่างกายของเธอรุ่มร้อนไปหมดอย่างไม่อาจอธิบายได้ จนถึงกับต้องหนีบต้นขาของตนเองไว้แน่น!
หลิงหยุนรู้ดีว่าเฉิงเมี่ยนกำลังรู้สึกเช่นไร เขาจึงออกแรงบีบมากขึ้นพร้อมกับถามขึ้นอีกครั้งว่า
“ตอบมาเร็วเข้า.. เกิดอะไรขึ้น?”
เฉิงเมี่ยนไม่ต่างจากโทรโข่ง และด้วยนิสัยที่เป็นคนช่างพูด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียด
หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ รอบตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย พร้อมกับพูดออกมาเพียงแค่สามคำ..
“เยี่ยม.. เยี่ยม.. เยี่ยม..”
“แม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซิน.. โอสถไร้ใจ.. พวกเจ้าคงอยากเห็นสำนักตัวเองถูกข้าถล่มมากสินะ.. ได้.. ข้าจะจัดให้ตามที่เจ้าต้องการ!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของหลิงหยุนและใบหน้าที่ดุร้ายของเขา ก็ไปโผล่อยู่ตรงกลางระหว่างยอดฝีมือทั้งสามคนที่ห่างไปราวสิบกว่าเมตร แล้วยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าของซันเทียนเปียวพร้อมกับพูดว่า
“คนตระกูลซัน.. เจ้าทำให้ข้าโกรธได้สำเร็จแล้ว! วันนี้ถ้าข้าไม่สับเจ้าเป็นชิ้นๆ ข้าคงไม่ใช่คนแซ่หลิงแน่!”
หลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนพูดอย่างจองหองนั้น เหล่ากุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘นายน้อยพูดราวกับรู้อนาคต – ข้าคงไม่ใช่คนตระกูลหลิงแน่?!’
หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ให้ทำหน้าที่คอยคุ้มครองความปลอดภัยของถังเทียนห่าวกับคนตระกูลเฉิง ส่วนเขาก็เริ่มใช้วิชาพลังลับหยินหยาง และโคจรดารกะดายันขั้นสุด!
“โอ้ว.. นั่น.. ร่างกายของหลิงหยุนสว่างไสวราวกับหลอดไฟ!”
ตอนนี้หลิงหยุนโคจรดารกะดายันขั้นสูงสุด แสงแห่งจันทราจึงเปล่งประกายรุนแรง!
หลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียวได้แต่คิดในใจว่า ‘นี่มันวิชาอะไรกัน? ถึงได้ทำให้ร่างกายเปล่งแสงสว่างได้ขนาดนี้?!’
‘หรือว่า.. นี่จะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะตนในตำนานที่ชื่อว่า-เก้าดารา แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝึกได้จนถึงขั้นนี้นี่นา!’
ตอนนี้กลิ่นอายแห่งการสังหารในตัวหลิงหยุนสูงมาก หญ้าสีเขียวที่อยู่รอบตัวเขาในระยะสามเมตรนั้นได้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งเป็นผลจากพลังหยินที่กระจายออกมาจากร่างกายของหลิงหยุน!
กระบี่โลหิตแดนใต้ดูเหมือนจะรับรู้ถึงจิตใจที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหารของหลิงหยุน ใบมีดของกระบี่ถึงกับกระตุกเล็กน้อย และเสียงหวีดหวิวเบาๆก็ดังออกมาเช่นกัน
ซันเทียนเปียวไม่สามารถยิ้มต่อได้อีก เขายืนนิ่งมองหลิงหยุนด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว!
“หนีเร็ว!”
หลวงจีนสิงฉีสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของหลิงหยุน และรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน จึงรีบร้องบอกซันเทียนเปียว!
เพื่อเอาตัวรอด หลวงจีนสิงฉีรีบรวบรวมลมปราณทั้งหมดกระโดดเข้าไปหาร่างของนักพรตเต๋าที่นอนหมดสติอยู่ พร้อมกับหนีบเขาไว้ใต้แขน และเตรียมตัวที่จะหนีอย่างเต็มที่!
ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าไม่มีใครที่จะสามารถต้านทานหลิงหยุนได้ จึงได้แต่พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสหนีเอาชีวิตรอด!
หลิงหยุนยังคงนิ่ง เปลือกตาของเขาขยับเพียงเล็กน้อย และปล่อยให้ร่างจริงเคลื่อนไหว แต่เงายังคงอยู่ที่เดิม!
ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจสุดขีด!
เขาเห็นร่างของหลิงหยุนสองร่างแยกออกจากร่างเดิม และร่างหนึ่งกำลังไล่ตามหลวงจีนสิงฉีไป ส่วนอีกร่างพุ่งเข้าใส่ซันเทียนเปียว!
หลิงหยุนทั้งสามร่างในตอนนี้ ในมือทั้งสองข้างต่างก็ถือกระบี่ไว้ข้างละเล่ม ดูราวกับมีจอมยุทธถึงสามคน
เงาลวงตา!
และนี่คือมังกรพรางร่างขั้นสูงสุด ภายใต้ความโกรธที่รุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้นั้น ในที่สุดหลิงหยุนก็ไม่อาจเก็บงำความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองไว้ได้อีก
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”
กระบี่ในมือซ้ายของหลิงหยุนคือเพลงกระบี่นวะสังหาร ส่วนมือขวาคือเพลงกระบี่พายุ กระบี่ในมือทั้งสองข้างนั้นกวัดแกว่งอย่างรวดเร็ว จนปรากฏเป็นภาพใบมีดของกระบี่ที่ทับซ้อนกันจนคล้ายม่านดำ ครอบคลุมหลวงจีนสิงฉี และซันเทียนเปียวไว้
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของหลิงหยุนนั้น แม้แต่สายตาของเหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่ ก็ยังเห็นเป็นภาพหลิงหยุนแยกร่างออกไปจับทั้งสองคนไว้
“สวรรค์! นี่มันวิชาอะไรกัน?!” ตู้กู่โม่ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“นี่น่ะเหรอคือพลังและความสามารถที่แท้จริงของนายน้อยที่เก็บซ่อนไว้..?!” เหล่ากุ่ยถึงกับตกตะลึง
แม้เหล่ากุ่ยจะไม่รู้ว่าหลิงหยุนมีกำลังภายในอยู่ขั้นใหน แต่จากพลังกับความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัว และวรยุทธที่เขาใช้นั้น ดูเหมือนน่าจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-4!
ฉึก “อ๊ะ..”
ชัวะ “โอ๊ย”
เสียงร้องดังขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน ทั้งหลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียวต่างก็คิดไม่ถึงว่า ไม่เพียงหลิงหยุนจะวิ่งตามพวกเขาทั้งคู่ทัน แต่กลับไปยืนดักหน้าไว้ก่อนแล้ว ทำให้ความหวังในการหลบหนีต้องดับสลายลง เพราะไม่รู้ว่าจะหนีไปทางใหนได้อีก?!
อีกทั้งแขนข้างหนึ่งของหลวงจีนสิงฉีก็แบกนักพรตเต๋าไว้ จึงมีภาระหนักและสามารถรับมือหลิงหยุนได้เพียงมือข้างเดียว เขามัวแต่หลบกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุน แต่ที่หน้าอกของเขากลับถูกกระบี่มังกรขาวแทงเข้าจนเป็นรูใหญ่!
ซันเทียนเปียวถูกหลิงหยุนไล่ล่าจนเหนื่อยหอบ เพราะเพิ่งจะถูกกระบี่โลหิตแดนใต้ฟันเข้าที่ไหล่ก่อนหน้านี้
เลือดสีแดงจากร่างของหลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียว ต่างก็กระจายเต็มท้องฟ้า เพราะแรงจากลมทะเลที่พัดเข้ามาพอดี และกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
หลิงหยุนค่อนข้างภูมิใจกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของตนเอง จนดูคล้ายกับสามารถแยกออกเป็นสองร่างได้..
ฮวู่!
หลิงหยุนกระโดดลงพื้นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลังหยินหยางภายในจุดตันเถียนของเขาเริ่มหมดแล้ว และมัจฉาหยินและมัจฉาหยางภายในวงกลมไท่จี๋ก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง!
และพลังหยินหยางก็ไหลเวียนขึ้นมาตามเส้นลมปราณในร่างกายของหลิงหยุนอีกครั้ง!
การที่หลิงหยุนหยุดยั้งอยู่แค่ขั้นปรับร่างกาย-3 อยู่นาน และไม่ยอมที่จะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 เสียทีนั้น ก็เพื่อที่จะรอฝึกวิชาพลังลับหยินหยางนี่เอง
และความลับของวิชาพลังลับหยินหยางนี้ก็อยู่ที่ พลังหยินหยางที่พึ่งพาอาศัยกัน และไม่ว่าจะใช้ไปมากแค่ใหน ก็ไม่มีวันหมด..
ในเวลานั้น เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ก็ได้สติ และทั้งคู่ต่างก็วิ่งไปขวางหน้าหลวงจีนสิงฉี และซันเทียนเปียว เพื่อช่วยหลิงหยุนสกัดไม่ให้ทั้งคู่หนีไปได้
“พวกเจ้าสองคนเป็นสหายที่ดีต่อกัน ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งสองคนไปอยู่ในนรกก็แล้วกัน!” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะก้าวเข้าไปหานักพรตเต๋า
นักพรตเต๋ารู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีรอดได้ เขาได้แต่กรีดร้องพร้อมกับหัวเราะ และนั่งลงรอคอยความตาย..
“ก่อนตายข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ หลิวเต๋อหมิงถูกข้าสังหารแล้ว!”
แววตาของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความเย็นชา และกระบี่ของเขาก็แทงเข้าที่คอหอยของนักพรตเต๋าทันที และรอจนกระทั่งร่างของนักพรตเต๋าล้มไปกองกับพื้น จึงหันไปทางหลวงจีนสิงฉี
“อมิตาพุทธ..”
หลวงจจีนสิงฉีจ้องมองบาดแผลของตนเอง ก่อนจะถามหลิงหยุนว่า “ถ้าเช่นนั้นศิษย์น้องของข้าหลวงจีนมี่ฉิงคงจะถูกเจ้าสังหารเช่นกันสินะ?”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ฉลาดนี่!”
หลวงจีนสิงฉียกมือขึ้นชี้ไปที่กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุน แล้วพูดขึ้นว่า
“ประสก.. กระบี่มารในมือเจ้านั้นโหดเหี้ยมนัก! เจ้าฟังข้าซึ่งเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์สักครั้งเถิด ทิ้งกระบี่เล่มนั้นซะ ก่อนที่กระบี่นั่นจะควบคุมเจ้าในวันข้างหน้า และก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นมารเต็มตัว..”
“ประสก.. เจ้าสามารถบ่มเพาะกำลังภายในมาถึงขึ้นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย หลวงจีนเฒ่าอย่างข้าหากต้องตายลงไปในวันนี้ก็ไม่เสียใจ! แต่ข้าอยากจะขอร้องเจ้าว่า ได้โปรดวางกระบี่มารนั่นลงซะ แล้วหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม!”
หลิงหยุนกลับยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า..
“ดูเหมือนจะมีคนมากมายที่แนะนำให้ข้าทิ้งกระบี่เล่มนี้ แต่ข้าขอถามท่านสักประโยค สังหารคนด้วยกระบี่ที่เลื่องชื่อ ด้วยกระบี่วิเศษ หรือแม้แต่ด้วยหมัด มันต่างกันอย่างไร?”
“เรื่องนั้น..” หลวงจีนสิงฉีที่ถูกหลิงหยุนถามถึงกับนั่งนิ่ง
หลิงหยุนจึงถามต่อว่า “หากข้าทิ้งกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้ไป และต่อให้ข้าวางมือไม่สังหารใครอีกในวันข้างหน้า ท่านสามารถยืนยันได้หรือไม่ว่า นับแต่นี้ไปผู้คนบนโลกใบนี้จะไม่เข่นฆ่ากันอีก?”
สีหน้าของหลวงจีนมี่สิงเปลี่ยนไปทันที เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา และตอบกลับไปยิ้มๆ
“หลวงจีนเฒ่าอย่างข้าไม่อาจมั่นใจและยืนยันเช่นนั้นได้ และดูเหมือนว่าประสกเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา ได้โปรดไตร่ตรอง..”
หลังจากที่หลวงจีนสิงฉีพูดจบ เขาก็เอามือออกจากบาดแผลของตนเอง ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ ปล่อยให้เลือดไหลออกจากอก และปากก็พล่ามแต่ – อมิตาพุทธ!
แม้ว่าหลวงจีนสิงฉีจะไม่ต่อต้านแล้ว แต่หลิงหยุนก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปได้ กระบี่ในมือหลิงหยุนเงื้อขึ้นอีกครั้ง และชี้ไปยังหน้าอกของหลวงจีนสิงฉี