Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 384
บทที่ 384 : รักษาเหล่ากุ่ย
บ้านเลขที่-1 หลังนี้ มีเนื้อที่ทั้งหมดสีพันแปดร้อยตารางเมตร และตัวบ้านนั้นเป็นบ้านสองชั้น มีพื้นที่ใช้สอยกว่าหนึ่งพันสามร้อยตารางเมตร กว้างสามสิบเมตร และยาวสี่สิบเมตร
ห้องที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของชั้นล่างก็คือห้องนั่งเล่นที่ใหญ่โตถึงสี่ร้อยตารางเมตร นอกนั้นก็จะเป็นห้องครัวที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ห้องทานข้าวที่สว่างสดใส ห้องน้ำที่ใหญ่โตหรูหรา ห้องหนังสือ ห้องออกกำลังกาย และห้องพักสำหรับแขกเหรื่อ
ห้องหนังสือและห้องออกกำลังกายของหลิงหยุนนั้นแยกเป็นสัดส่วนกับห้องนั่งเล่น เรียกได้ว่าอยู่กันคนละฟากของตัวบ้านก็ว่าได้ แต่ห้องหนังสือของหลิงหยุนที่ว่ากว้างใหญ่ถึงหนึ่งร้อยตารางเมตรนั้น ยังเทียบกับห้องออกกำลังกายของเขาไม่ได้ เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่มากถึงสองร้อยตารางเมตร
สระว่ายน้ำภายในบ้านนั้นไม่ได้อยู่ชั้นล่าง แต่อยู่ตรงหัวมุมชั้นสองของบ้าน และหันหน้ารับแสงอาทิตย์ ตำแหน่งเดียวกันกับห้องออกกำลังกายที่อยู่ด้านล่างพอดี จึงมีบันได้จากห้องยิมตรงขึ้นไปที่สระว่ายน้ำได้โดยตรง
ขนาดของสระว่ายน้ำนั้นก็ไม่ได้เล็กเลย เพราะยาวถึงสิบห้าเมตรและกว้างกว่าสิบเมตร ต่อให้คนลงไปเล่นน้ำพร้อมกันเป็นสิบคน ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขเป็นพิเศษเมื่ออยู่ที่บ้าน
จินตนาการดูว่าหากเราได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่โต ที่ตื่นเช้าขึ้นมาก็สามารถออกกำลังกายที่บ้านได้เลย เสร็จแล้วก็สามารถเดินขึ้นไปว่ายน้ำที่ชั้นสอง และรับแสงแดดยามเช้าที่สดชื่นได้อีก.. เราจะมีความสุขมากเพียงใด?
แต่หากคิดว่าสระว่ายน้ำภายในบ้านนั้นเล็กเกินไป ด้านนอกตัวบ้านก็ยังมีสระว่ายน้ำทรงน้ำเต้าขนาดสี่ร้อยตารางเมตรอีกหนึ่งสระ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ และเพราะตั้งอยู่กลางแจ้งจึงสามารถมองเห็นท้องฟ้าสีคราม และเมฆขาวได้อย่างชัดเจน
ที่ชั้นล่างของบ้านนั้น นอกเหนือจากห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องออกกำลังกาย และห้องหนังสือแล้ว ยังมีห้องพักสำหรับแขกขนาดแตกต่างกันอีกหลายห้อง แต่ละห้องก็มีเนื้อที่แตกต่างกันไป และห้องที่เล็กที่สุดนั้นก็มีพื้นที่ราวห้าสิบตารางเมตร การตกแต่งของแต่ละห้องก็ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ออกแบบบ้านนั้นได้ใคร่ครวญถึงผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เพราะหลังจากยอมควักเงินหลายสิบล้านเพื่อซื้อบ้านหลังนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือแขกเหรื่อ ก็จะสามารถแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเจ้าของบ้านพร้อมกับค้างคืนต่อได้อีกด้วย
ส่วนด้านบนทั้งหมดนั้น ห้องที่ใหญ่ที่สุดก็คือห้องที่หลิงหยุนเป็นผู้อยู่เอง ส่วนห้องอื่นๆชั้นสอง ก็เอาไว้สำหรับให้คนในครอบครัวของหลิงหยุนมาพักค้างด้วย
อีกทั้งภายในบ้านยังมีระบบน้ำ ระบบแอร์ และระบบเครื่องทำความร้อนทั่วทั้งหลัง
บ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใกล้ชิด และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติให้มากที่สุด และมีผลต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย อีกทั้งยังเงียบสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน และสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกได้จากที่บ้าน
ด้วยบรรยากาศที่เรียบร่าย สัมผัสจากแสงอาทิตย์ ต้นไม้ ใบหญ้า และน้ำค้าง ทำให้รับรู้ได้ถึงอิสระที่แท้จริง
แต่เพราะบ้านหลังนี้ใหญ่โตเกินไป และหลิงหยุนก็ให้เวลาถังเมิ่งน้อยมาก อีกทั้งบ้านหลังนี้ก็ถูกยึดและสั่งปิดนานถึงห้าวัน ดังนั้นการตกแต่งจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังต้องเก็บรายละเอียดอีกมาก
แต่ถึงอย่างนั้น.. ทันทีที่หลิงหยุนพาเหล่ากุ่ยเข้าไปในบ้าน เขากลับมีสีหน้าที่พึงพอใจอย่างมาก
ประตู และม่านหน้าต่างให้บรรยากาศของความเป็นผู้ดี เฟอร์นิเจอร์สีสันสว่างสดใสให้ความรู้สึกที่สะดวกสบายและหรูหรา ดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้าที่ประดับประดาก็ให้ความรู้สึกที่โรแมนติคและอบอุ่น และการตกแต่งภายในนั้นก็ดูเป็นหนึ่งเดียว และเข้ากันกับบรรยากาศของสวนนอกบ้าน ให้ความรู้สึกที่สงบและเป็นธรรมชาติ
“ว้าว! สวยงามมาก!”
หลิงหยุนเหลือบมองห้องนั่งเล่นพร้อมกับพยักหน้า และอุทานออกมาอย่างชอบใจ จากนั้นก็หันไปร้องสั่งถังเมิ่งที่เดินตามมา
“เปิดห้องให้ฉันกับเหล่ากุ่ย..”
ถังเมิ่งเดินนำหลิงหยุนกับเหล่ากุ่ยไปที่ห้องนอนด้านล่าง และเลิกสนใจตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังกรีดเลือดจากสุนัขดำตัวใหญ่
“พ่อหนุ่ม.. เธอนี่ไม่เลวเลยนะ มีบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้เชียวรึ..” เหล่ากุ่ยเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามาในบ้าน และสอดส่ายสายตาสำรวจอยู่ครู่ใหญ่
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “ก็แค่เป็นที่สำหรับซุกหัวนอนเท่านั้นล่ะครับ ต่อให้เป็นบ้านหลังใหญ่แค่ใหน คนเราก็ใช้พื้นที่ในการนอนเพียงแค่ไม่กี่ฟุต ขอบอกตามตรงบ้านหลังนี้ซื้อมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกฝน เพราะเป็นทำเลที่เงียบสงบและอยู่ห่างไกลจากผู้คน”
ขณะที่หลิงหยุนพูดประโยคนี้ เหล่ากุ่ยก็ได้แอบมองแววตาของหลิงหยุน และพบว่าสายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความสงบนิ่งและสงบสุขฉายออกมา ไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดอย่างคนยากจน และไม่มีร่องรอยของความหยิ่งจองหองอย่างคนร่ำรวย เหล่ากุ่ยได้แต่แอบพอใจอยู่เงียบๆ
หลิงหยุนยังคงต้องทำยันต์ต่อในคืนนี้ เขาจึงรีบบอกกับเหล่ากุ่ยว่า “เหล่ากุ่ย.. ข้าวินิจฉัยอาการของท่านได้ถูกต้องใช่ไม๊? ท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสมาเป็นเวลานาน ทำให้จุดตันเถียนและเส้นลมปราณเสียหาย แม้จะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมาเป็นเวลานาน และอาการบาดเจ็บได้ทุเลาลง แต่ความเสียหายของจุดตันเถียนและเส้นลมปราณล้วนยังคงอยู่ ทำให้มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อการฝึกฝนของท่านใช่หรือไม่?”
“นี่พ่อหนุ่ม.. จุดอ่อนในร่างกายของข้า ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนก็ยังยากที่จะดูออก แล้วเจ้าที่ยังเด็กนักรู้ได้ยังไงกัน?!” เหล่ากุ่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
“สำนักหมอสวรรค์!”
หลิงหยุนตอบเพียงแค่สั้นๆ เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า จากนี้ไปไม่ว่าใครก็ตามที่ถามเขาเรื่องนี้ เขาก็จะพูดเพียงคำว่า – สำนักหมอสวรรค์เท่านั้น!
“ข้าเคยได้ยินแต่สำนักหมอหุบเขาเทวะ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์เลย..”
เหล่ากุ่ยพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน และจำได้ว่าตั้งแต่ฝึกวรยุทธมาก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน
หลิงหยุนมองแววตาที่ครุ่นคิดของเหล่ากุ่ยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม “เหล่ากุ่ย.. บ่ายนี้ข้ามีบางอย่างต้องทำต่อ ให้ข้ารีบรักษาอาการบาดเจ็บของท่านก่อนเถอะนะ?”
“นี่เป็นอาการเจ็บป่วยที่ซ่อนมานานเกือบยี่สิบปี.. เจ้า..” เหล่ากุ่ยค่อนข้างลังเล แต่สายตาของเขากลับไม่มีอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด
เหล่ากุ่ยไม่ได้กลัวว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ เขาอยู่กับสภาพเช่นนี้มาถึงสิบแปดปีแล้ว จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน อาการบาดเจ็บนี้ไม่ได้ส่งผลกับการใช้ชีวิตของเขา เพียงแค่มีผลกระทบกับการฝึกฝนของเขาเท่านั้น เหล่ากุ่ยรู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถก้าวข้ามสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ได้ และได้ทำใจยอมรับตั้งนานแล้ว
ไม่เพียงหลิงลี่จะเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเหล่ากุ่ยไว้เท่านั้น แต่ตัวหลิงหยุนเองก็เป็นถึงทายาทของตระกูลหลิง และเป็นถึงหลานชายของหลิงลี่ ต่อให้หลิงหยุนไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ หรือแม้แต่เขาต้องตายเพราะการรักษาครั้งนี้ เหล่ากุ่ยก็จะไม่นึกตำหนิหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย
แต่อาการตื่นเต้นของเหล่ากุ่ยนั้นเกิดจากความคิดที่ว่า หากหลิงหยุนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายได้ ก็เท่ากับว่าหลิงหยุนต้องรักษาอาการบาดเจ็บของหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลหลิงให้หายได้เช่นเดียวกัน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของหลิงหยุน – หลิงเสี่ยว หากคุณชายสามสามารถหายจากอาการบาดเจ็บได้ การฝึกฝนกำลังภายในของเขาคงต้องก้าวหน้าไปเร็วกว่านี้เป็นพันเท่า และไม่นานก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสูงสุดเหมือนอย่างที่เคยเป็นในอดีตได้?!
ยิ่งคิดเหล่ากุ่ยก็ยิ่งตื่นเต้นจนสั่นไปทั่วทั้งร่าง เขาอดคิดไม่ได้ว่าจากนี้ไปตระกูลหลิงคงจะสามารถกลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง และทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหลิงหยุน!
หลิงหยุนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเหล่ากุ่ยจึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เมื่อข้าสามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของท่านได้ ข้าก็มั่นใจว่าจะรักษาท่านให้หายได้เช่นกัน แต่เพราะอาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน จึงไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้เพียงแค่ครั้งเดียว ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องราวครึ่งเดือน..”
เหล่ากุ่ยฟังด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขพร้อมกับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เยี่ยม! ข้าควรทำยังไงตอนนี้?”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ถอดเสื้อออก.. แล้วจัดการเดินลมปราณ”
เหล่ากุ่ยทำตามคำสั่งของหลิงหยุนอย่างว่าง่าย เขาถอดเสื้อและนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง จากนั้นจึงหลับตาและเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกาย
หลิงหยุนหยิบเข็มทองทั้งเก้าเล่มออกมา และเริ่มฝังเข็มให้กับเหล่ากุ่ย เขาทำการฝังเก้าเข็มปลุกชีพให้เหล่ากุ่ยทั้งหมดแปดสิบเอ็ดรอบ และแต่ละครั้งที่ฝังเข็มลงบนร่างกายของเหล่ากุ่ยนั้น หลิงหยุนก็ได้ถ่ายเทพลังชีวิตของเขาลงไปด้วยเช่นกัน
จุดฝังเข็ม เส้นลมปราณ และจุดตันเถียนในร่างกายมนุษย์นั้น สำหรับทางด้านวิชากายวิภาคแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกอธิบายไว้..
จึงจำเป็นต้องอธิบายเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน สำหรับผู้ที่ฝึกกำลังภายในนั้น ภายในร่างกายจะมีพลังชี่ (พลังปราณ หรือพลังชีวิต) ซึ่งเปรียบเหมือนกับสายน้ำ และจุดฝังเข็มต่างๆนั้นก็เปรียบเหมือนกับบ่อน้ำ ธรรมชาติของกระแสน้ำนั้นจะไหลลงบ่อผ่านเส้นทางน้ำซึ่งก็คือหลอดเลือดดำ ส่วนจุดตันเถียนนั้น ก็เปรียบเหมือนบ่อที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด เพราะเป็นศูนย์รวมที่สายน้ำต่างๆจะไหลมารวมกัน ซึ่งก็คือศูนย์รวมของเส้นลมปราณหลักทั้งแปดเส้นนั่นเอง
อาการบาดเจ็บของเหล่ากุ่ยนั้นทำให้จุดฝังเข็มหลายแห่งแห้งไป และทำให้เส้นลมปราณบางเส้นหดตัว และจุดตันเถียนก็ไม่สามารถขยายกว้างได้อีก จึงเกิดสภาวะที่พลังชี่ต้องไหลผ่านเส้นลมปราณที่ตีบตันหลายเส้น และจุดตันเถียนที่ไม่สามารถขยายกว้างได้อีก และมีพลังชี่เดิมอยู่เต็มแล้ว จึงม่สามารถรองรับพลังชี่ใหม่ได้อีก จึงแทบไม่ต้องพูดถึงการข้ามสู่ขั้นที่สูงขึ้นเลย เพราะเพียงแค่ฝึกก็ยากเย็นมากแล้ว
สิ่งที่หลิงหยุนต้องในทำเวลานี้ก็คือ ใช้ทักษะเก้าเข็มปลุกชีพและถ่ายทอดพลังชีวิตในร่างกายของเขาเพื่อรักษาจุดตันเถียน จุดฝังเข็ม และเส้นลมปราณของเหล่ากุ่ยให้กลับคืนสู่สภาพที่ดีเหมือนเดิมก่อน!
แน่นอนว่าหากโชคดีว่าเหล่ากุ่ยเป็นคนที่มีพื้นพรสวรรค์เดิมดีมาก หลังจากการรักษาของหลิงหยุน เหล่ากุ่ยก็จะสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ในทันที
หลิงหยุนใช้เวลาในการฝังเข็มให้กับเหล่ากุ่ยไปร่วมหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่ได้ทำการฝังเก้าเข็มปลุกชีพให้เหล่ากุ่ยรอบสุดท้าย หลิงหยุนก็ได้พูดกับเหล่ากุ่ยที่ยังคงนั่งทำสมาธิเดินลมปราณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เหล่ากุ่ย.. นี่เป็นการรักษาครั้งแรก เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ข้าต้องไปเดินลมปราณครู่หนึ่งก่อน หลังจากนั้นจะกลับมาถอนเข็มออกจากร่างกายให้กับท่าน และหลังจากนั้นท่านก็จะสามารถลงไปฝึกที่ลานบ้านข้างนอกได้”
พูดจบ หลิงหยุนก็เดินออกไปจากห้อง และตรงไปยังห้องนั่งเล่น
“ฮู่ว!! ข้าใช้พลังชีวิตไปตั้งมากมาย” หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก และเริ่มทำการดูดซับพลังชีวิตเข้าไปพร้อมกับถอนใจ
แม้ว่าตอนนี้หลิงหยุนจะมีพลังชีวิตจำนวนมากอยู่ในร่างกาย แต่เขาก็ได้ใช้พลังในการรักษาเหล่ากุ่ยไปมาก
“ตี้เสี่ยวอู๋ นายไปจัดการหาซื้อกระดาษยันต์และสมุนไพรมาเพิ่มรึยัง?”
หลังจากที่หลิงหยุนดูดซับพลังชีวิตเข้าไปได้ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็เริ่มสอบถามตี้เสี่ยวอู๋
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลิงหยุนได้จัดการปลุกเสกยันต์นับหลายพันแผ่นในคราวเดียว วัสดุอย่างกระดาษยันต์ ชาด และสมุนไพรต่างๆก็เริ่มหมดแล้ว เขาจึงได้สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ให้ปจัดการหาซื้อมาเพิ่มเป็นสองเท่า
ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้ม “ฉันซื้อมาทิ้งไว้ตั้งแต่วันจันทร์แล้วล่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องเก็บของ!”
หลิงหยุนสั่งตี้เสี่ยวอู๋ให้ไปนำของทั้งหมดออกมา และเริ่มทำหมึก ทั้งสามคนวุ่นกันจนถึงบายสามโมงครึ่ง หลิงหยุนจึงเริ่มเขียนลงมือเขียนยันต์
หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้พู่กันขนหมาป่าเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีใครบาดเจ็บ หากเขียนยันต์บำบัดก็ไม่รู้ว่าจะนำไปทดลองกับใครได้ หลิงหยุนจึงเขียนยันต์อัคนีแทน
หลังจากใช้พู่กันขนหมาป่าปลุกเสกยันต์อัคนีเสร็จแล้ว หลิงหยุนก็เรียกยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิออกมาจากแหวนพื้นที่
ในมือของเขาถือยันต์ไว้ข้างละแผ่น จากนั้นก็จัดการโยนออกไปข้างนอกพร้อมกัน และร้องในใจ
“โอ้โห!!”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นลูกไฟที่กำลังลุกโขนเผาผลาญไปพร้อมๆกัน
หลิงหยุนมองยันต์อัคนีที่เขียนขึ้นด้วยความตกตะลึง และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น!