Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร - ตอนที่ 1308 : เริ่มงานชุมนุม
เวลานี้หลิงหยุนกับทุกคนต่างก็เริ่มออกเดินทางไปยังหุบเขาหลงเฟิงผู้ที่สามารถเหาะได้ก็จะเหาะไปเอง ส่วนผู้ที่เหาะไม่ได้ก็จะให้เหล่าแวมไพร์ทั้งห้าที่กลายร่างพาบินขึ้นไป
“ทุกคนหยุดอยู่ที่นี่ก่อน!”
หลิงหยุนสั่งให้ทุกคนและค่อยๆร่อนลงพื้นที่เรียบแห่งหนึ่ง
“เซียนเอ๋อเจ้าจัดการสร้างค่ายกลลวงตาซ่อนที่นี่ไว้ และให้ทุกคนหลบอยู่บริเวณนี้เสียก่อน ข้ากับซิงเฉินจะขึ้นไปดูด้านบนก่อน และอาจจะเข้าไปในหุบเขาก่อน หลังจากนั้นจะบอกพวกเจ้าอีกทีว่าต้องทำเช่นใด”
“พอลเจสเตอร์ เพียร์ซ จอยซ์ พวกเจ้าสี่คนไม่ต้องหลบซ่อนตรงนี้ แต่ให้แยกย้ายกันบินเป็นสี่ทิศมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหลงเฟิง และคอยเฝ้าสังหารผู้ที่หลบออกจากหุบเขาทิ้งให้หมด!” “เอ็ดเวิร์ดกับหวังชงเซียวพวกเจ้าสองคนมีหน้าที่คุ้มครองข้าเมื่ออยู่ในหุบเขา หากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งกล้าวิ่งหนี ข้าจะจัดการกับพวกเจ้าเอง!”
หลิงหยุนจัดการสั่งการให้เรียบร้อยคนของเขามีจำนวนไม่น้อย และแข็งแกร่งอย่างมาก หากบุกเข้าไปในหุบเขาหลงเฟิงพร้อมๆกัน แน่นอนว่าย่อมสังหารยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติได้ แต่นั่นจะทำให้เหล่ายอดฝีมือต่ำต้อยรู้ตัว และชิงหลบหนีกันไปเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นคงจุโกลาหลวุ่นวายจนเกินที่จะควบคุมได้
ในงานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้อาจเรียกได้ว่าพวกเขาจัดขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ที่จะสังหารหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินเลยก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมที่สุด!
ครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะไม่รู้จักหลิงหยุนหรืออ้างความเข้าใจผิดได้ เพราะตลอดเวลามากกว่าหนึ่งเดือนที่เขาอาศัยอยู่ปักกิ่งนั้น เขาประมือกับผู้คนมากมาย อีกทั้งยังนำพาตระกูลหลิงกลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้ง ข่าวคราวเหล่านี้ล้วนแพร่สะพรัดไปทั่วยุทธภพ หากไม่ใช่ศัตรูที่ต้องการสังหารเขาจริงๆแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางมาร่วมงานชาวยุทธที่อันตรายอย่างมากในครั้งนี้เป็นแน่
“คุณชายหลิงได้โปรดเชื่อใจ!”
“เจ้านายที่เคารพมั่นใจได้!”
หวังชงเซียวและเหล่าแวมไพร์ทั้งห้าต่างก็ตอบรับคำสั่งของหลิงหยุนในทันทีจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำตามคำสั่ง
แม้ที่นี่จะอยู่ห่างจากหุบเขาหลงเฟยเพียงแค่สามกิโลเมตรแต่รอบๆหุบเขาหลงเฟิงล้วนมีเขาใหญ่ล้อมรอบอยู่ อีกทั้งทางด้านทิศเหนือยังมีหน้าผาสูงชัน แม้แต่หลิงหยุนเองหากไม่เปิดจิตหยั่งรู้ออกขั้นสุด แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดอยู่ภายในหุบเขาได้
หรือพูดง่ายๆก็คือว่าหากจิตหยั่งรู้ของผู้ใดไม่แข็งแกร่งเท่ากับจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็คงยากที่จะสำรวจพบว่าไป๋เซียนเอ๋อซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ และต่อให้ยอดฝีมือที่เก่งกาจล้ำเลิศเจาะจงเปิดจิตหยั่งรู้ออกค้นหา ก็ยังมีค่ายกลลวงตาของไป๋เซียนเอ๋อบดบังไว้อีกที จึงมั่นใจได้ว่าทุกคนในที่นี้จะต้องปลอดภัยไม่ถูกศัตรูจู่โจมอย่างแน่นอน
และเมื่อเป็นเช่นนี้หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก!
หลังจากที่หลิงหยุนร้องตะโกนให้บุกได้ทุกคนต่างก็มุ่งหน้าไปยังหุบเขาหลงเฟิงโดยที่ไม่มีผู้ใดคิดที่จะล่าถอยเลยแม้แต่คนเดียว!
หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินเหาะไปยังหุบเขาหลงเฟิงและบินอยู่เหนือพื้นดินราวสี่กิโลเมตรเพื่อทำการสังเกตการณ์เหตุการณ์ด้านล่าง
ด้วยจิตหยั่งรู้ที่แหลมคมและทรงอานุภาพของคนทั้งคู่แม้จะอยู่สูงเช่นนั้น แต่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหุบเขาหลงเฟิงได้ราวกับเห็นด้วยตาเลยทีเดียว
หลิงหยุนอยากจะรู้ว่าเหล่าชาวยุทธด้านล่างนั้นกำลังพูดถึงเขาและเย่ซิงเฉินเช่นใดบ้าง
“อืมม..ผู้คนมากมายเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนจะมากกว่างานประมูลเมื่อคืนนี้เล็กน้อย!”
หลิงหยุนที่เหาะอยู่ข้างเย่ซิงเฉินเป็นฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่สำรวจลงไปยังหุบเขาด้านล่าง
“ดูเหมือนจะมีทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าอย่างน้อยสองร้อยคนก็เป็นคนหน้าเดิมๆ ส่วนอีกสองร้อยคนดูเหมือนจะเพิ่งมาเพื่องานชุมนุมในคืนนี้โดยเฉพาะ!”
เย่ซิงเฉินเอ่ยออกมายิ้มๆหลังจากที่เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจที่พื้นดินด้านล่าง..
งานประมูลชาวยุทธบนหุบเขาหลงเฟิงเมื่อคืนนี้นั้นมีชาวยุทธเข้าร่วมราวหกร้อยคน แต่ดูเหมือนบางคนก็มาเพียงเพื่อประมูลสินค้าเท่านั้น หลังงานประมูลสิ้นสุดจึงเหลือจำนวนชาวยุทธอยู่ไม่มาก ในขณะเดียวกันก็มียอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก และศิษย์สำนักต่างๆเข้ามาสมทบใหม่อีกมากมายในคืนนี้
“เท่าที่สังเกตดูมียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติอยู่มากกว่าร้อยคนเลยทีเดียว ดูท่างานชุมนุมชาวยุทธคืนนี้ศัตรูของพวกเราสองคนคงพากันมาที่นี่หมดเป็นแน่!”
หลิงหยุนยังคงไม่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) แต่จิตหยั่งรู้ของเขาเวลานี้กลับมีรัศมีครอบคลุมเกือบสี่กิโลเมตรแล้ว และได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุปกปิดมิให้ผู้อื่นใช้จิตหยั่งรู้สำรวจพบพวกตนสองคนด้วย
หลิงหยุนจำได้ว่ายอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติร้อยกว่าคนนี้หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในคืนประมูล เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือเหล่านี้มาเพื่อจัดการกับพวกเขาสองคนโดยเฉพาะ
จากนั้น..หลิงหยุนจึงหันไปพูดกับเย่ซิงเฉินยิ้มๆ “ตัวละครเอกในงานชุมนุมคืนนี้ไม่ใช่คนพวกนั้น แต่เป็นข้ากับเจ้าแล้วก็เซียนเอ๋อต่างหาก”
เย่ซิงเฉินหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“เช่นนั้นแล้วพวกเราสองคนรวมกันก็คงจะกลายเป็นจอมมารคู่สินะ!”
หลิงหยุนนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครั้งที่เขากับเย่ซิงเฉินพบกันครั้งแรกนั้นนางได้บอกกับเขาว่าเหล่าชาวยุทธต่างเรียกขานนางว่านางมารน้อย เขาจึงได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“ข้าเป็นถึงเทพแห่งมารส่วนเจ้าก็เป็นนางมาร มิหนำซ้ำยังมีปีศาจจิ้งจอกอีก คืนนี้คงต้องเรียกว่าจอมมารถล่มหุบเขาหลงเฟิงน่าจะถูกต้องกว่า!”
เย่ซิงเฉินเห็นหลิงหยุนไม่ปฏิเสธในการเป็นมารเช่นนี้จึงรู้สึกมีความสุขยิ่งนักและรีบหันไปถามหลิงหยุนว่า
“นี่เจ้ายังจะคอยอะไรอยู่อีกเหตุใดยังไม่เหาะลงไปด้านล่างอีกเล่า?”
“พวกเราซุ่มดูอยู่ด้านบนนี้ก่อนหากรีบเหาะลงไปเช่นนั้นจะมีคนตกใจจนหนีเอาตัวรอด ถึงตอนนั้นก็จะโกลาหลวุ่นวายน่าดู”
“พวกเรารอดูอีกสัหน่อยแล้วค่อยลงไปจะดีกว่า!” ……
ภายในหุบเขาหลงเฟิงเวลานี้มียอดฝีมือรวมตัวกันอยู่มากกว่าหกร้อยคนเลยทีเดียว แต่ละคนดูเหมือนมีวรยุทธสูงส่งและแข็งแกร่งมากทั้งนั้น
งานชุมนุมชาวยุทธคืนนี้นำโดยสำนักเขาหลงหู่วัดเส้าหลิน สำนักกระบี่คุนหลุน และยังมีสำนักกระบี่เทียนซานกับสำนักดาบสวรรค์ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีสำนักหัวซาน อารามจิ้งซิน ตระกูลหลิว และอีกมากมาย
ในบรรดาชาวยุทธมากกว่าหกร้อยคนเวลานี้ยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติราวหนึ่งร้อยกว่าคนคือผู้ที่อยู่มาตั้งแต่คืนวันประมูล หลายคนเป็นยอดฝีมือด่านสุดท้ายขั้นเซียงเทียน หลายคนยังอยู่ในด่านกลางขั้นเซียงเทียน
ภาพที่เหล่าชาวยุทธมารวมตัวกันอย่างมากมายล้นหลามเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน อาจพูดได้ว่าหากไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์ที่จะสังหารหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉิน คงยากที่จะพบเห็นภาพเช่นนี้ได้!
ดูเหมือนหลายคนจะรอคอยงานนี้อย่างใจจดใจจ่อเพราะเพียงแค่สามทุ่มตรง งานชุมนุมชาวยุทธก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว!
โม่วู๋เตากับเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นยังไม่มีวี่แววที่จะพัฒนาสู่ขั้นที่สูงขึ้นในเวลานี้หลิงหยุนจึงสั่งให้ทั้งคู่เดินทางมาที่หุบเขาหลงเฟิงก่อน เพื่อสืบดูความเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรู ดังคำพูดว่ารู้เขารู้เราย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่เริ่มต้นงานชุมนุมขึ้นเท่านั้นโม่วู๋เตาก็ได้ฟังคำพูดมากมายที่ทำให้ตนเองถึงกับทนต่อไปไม่ได้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของสำนักเขาหลงหู่!
งานชุมนุมชาวยุทธในครั้งนี้ผู้ที่เป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมนี้ขึ้นก็คือหัวหน้าระดับอาวุโสของสำนักเขาหลงหู่ที่มีชื่อว่าจางจวิ้นเจิงนั่นเอง และเวลานี้ก็กำลังยืนโดดเด่นประกาศกร้าวพูดถึงหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินอย่างยะโสโอหัง “พี่น้องชาวยุทธทั้งหลายทุกท่านต่างก็ทราบดีแล้วว่า หลิงหยุนเป็นผู้ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ ทั่วทั้งยุทธภพต่างก็รู้ว่าผู้ใดมีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ มันผู้นั้นก็คือเทพแห่งมาร!”
“พี่น้องของสำนักเขาหลงหู่เราเคยประมือกับหลิงหยุนมาแล้วแต่แม้ต้องพลีชีพพวกเขาก็ไม่ยอมจำนนต่อกระบี่โลหิตแดนใต้ หลิงหยุนเพียงคนเดียว แต่กลับสังหารยอดฝีมือจากสำนักต่างๆตายไปมากกว่าสามสิบคน และหนึ่งในนั้นก็คือสำนักเขาหลงหู่ของเรา นอกจากนี้ยังมีมือกระบี่ของสำนักกระบี่คุนหลุน และสำนักดาบเทวะด้วย รวมทั้งหลิวซุ่ยเฟิงคนของตระกูลหลิวก็ถูกมันสังหารเช่นกัน หลิงหยุนมันโอหังแล้วก็ทำเกินไปแล้ว!”
“ทุกท่านในที่นี้ต่างก็รู้กันดีว่ากัวเสี่ยวเทียนแห่งสำนักดาบสวรรค์นั้นเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งมากเพียงใด หากคนผู้นั้นไม่เลวทรามต่ำช้าจริง เขาจะไม่ลงมือสังหารเลย แต่ครั้งนี้คนมีคุณธรรมสูงส่งเช่นกัวเสี่ยวเทียน กลับต้องถูกหลิงหยุนสังหารตายอย่างอเนจอนาจ!”
“ส่วนคุณชายหลิวซุ่ยเฟิงแห่งตระกูลหลิวนั้นก็ได้เข้าฝึกฝนเพลงดาบกับสำนักดาบสวรรค์มาตั้งแต่เยาว์วัย ในชีวิตของเขาลงเขามาเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือการไปแจ้งเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธให้กับฉินตงเฉี่วยรู้ และครั้งที่สองคือการตามกัวเสี่ยวเทียนไปจัดการกับมารร้ายหลิงหยุนบนเขาหลงเหมิน แต่ผลสุดท้ายเขากลับถูกหลิงหยุนสังหารตายเช่นกัน!”
“หึ!ยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึงพี่น้องสำนักเขาหลงหู่ของข้า พวกเราล้วนเป็นนักบวช และหน้าที่ของพวกเราคือปราบมารทำลายปีศาจ พี่น้องของข้าไม่ว่าจะเป็นชางซงหรือคนอื่นๆ ต่างก็พากันลงเขาไปเพื่อช่วยกันปราบมารร้ายหลิงหยุน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะถูกสังหารตายจนเกือบหมด ส่วนน้องชายของข้าอีกคนก็หายตัวไป จนกระทั่งเวลานี้ยังไม่รู้ชะตากรรม..” “ยังมีเส้าหลินแล้วก็สำนักกระบี่คุนหลุน…”
“หลิงหยุนมารน้อยชั่วช้าอายุยังยังน้อยนักแต่กลับอำมหิตฆ่าคนไม่เว้นเช่นนี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้จางจวิ้นเจิงก็ร้องตะโกนออกไปเสียงดัง “ทุกท่าน.. มารร้ายเป็นภัยต่อชาวยุทธเช่นนี้ พวกเราสมควรที่จะทำลายวรยุทธของมันหรือไม่”
“แล้วความแค้นใหญ่หลวงของสำนักเขาหลงหู่สำนักกระบี่คุนหลุน สำนักดาบสวรรค์ และคนอื่นๆเล่า พวกเราจะไม่สังหารมารน้อยตนนี้เพื่อแก้แค้นให้กับผู้ที่ตายไปหรอกหรือ”
คำกล่าวของจางจวิ้นเจิงนั้นล้วนแล้วแต่ทำให้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะถึงกับนิ่งอึ้งไปและทำให้ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังถึงกับเคียดแค้นในความโหดเหี้ยมของหลิงหยุนอย่างมาก ทุกคนต่างพากันร้องตะโกนออกมาเสียงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งหุบเขา!
“ถูกต้อง!พวกเราต้องสังหารมันทิ้งซะ!” “ใช่แล้ว!ต้องช่วยกันกำจัดมารร้ายของยุทธภพให้สิ้นซาก!”
“ต้องกำจัดหลิงหยุนให้ได้ไม่เช่นนั้นยุทธภพคงจะต้องปั่นป่วนหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่!”
……
เวลานี้เหล่าชาวยุทธต่างมีสีหน้ากระเหี้ยนกระหืออยากจะฆ่าหลิงหยุนให้ได้สีหน้าของทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น และพากันร้องตะโกนสาปแช่งหลิงหยุนไม่หยุด!
และนี่คือภาพที่จางจวิ้นเจิงแห่งสำนักเขาหลงหู่ต้องการให้เกิดขึ้นหลังจากที่พูดจายั่วยุให้ทุกคนเกิดความเคียดแค้นได้แล้ว เขาจึงพูดต่อว่า
“นอกจากหลิงหยุนแล้วยังมีนางมารเย่ซิงเฉินแห่งพรรคมารอีกด้วย!”
“หลังจากที่ได้สืบมาจนแน่ใจแล้วปรากฏว่าเหตุการนองเลือดในยุทธภพหลายครั้งเมื่อสี่ถึงห้าเดือนก่อนหน้านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของนางมารน้อยผู้นี้!”
“ทุกท่านในที่นี้ต่างก็ทราบดีแล้วว่าเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นหลิงเสี่ยวแห่งตระกูลหลิงได้สร้างคลื่นความวุ่นวายขึ้นในยุทธภพ ด้วยการอยู่กินกับนางมารหยินชิงเฉวียน จนถูกเหล่าชาวยุทธทำลายวรยุทธทิ้งไป..”
“แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเวลานี้หลิงเสี่ยวกลับสามารถฟื้นฟูจุตันเถียนของตนเองได้และตอนนี้ก็เข้าสู่ขั้นเพลังเหนือธรรมชาติแล้ว..”
“ส่วนนางมารหยินชิงเฉวียนนั้นก็ได้ส่งศิษย์ของตนซึ่งก็คือเย่ซิงเฉินผู้นี้ ออกมาสร้างความโกลาหลปั่นป่วนให้กับยุทธภพอีกครั้ง เพื่อหมายสะสางความแค้นเมื่อสิบแปดปีก่อนให้กับนาง!”
“เช่นนี้แล้ว..ทุกท่านที่ยืนอยู่ในที่แห่งนี้ได้โปรดตอบข้าทีว่า พวกเราสมควรต้องสังหารนางมารเย่ซิงเฉินนี้ด้วยหรือไม่”
จางจวิ้นเจิงยืนนิ่งอยู่บนก้อนหินใหญ่พร้อมกับร้องตะโกนถามความเห็นของเหล่าชาวยุทธ
“สมควรยิ่งนัก!สังหารนางทิ้งซะ!”
“ถูกต้อง!สังหารนางมาร แล้วถล่มพรรคมารให้ราบคาบ!”
��