[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 4 ควิกซ์แคสท์
“ชื่อของผมคือปากาล เคลเลอร์ จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุมสอบนักเวทให้กับทุกๆ ท่านในครั้งนี้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะกลับไปยืนตรงตามเดิม
สำเนียงดอยซ์ต่ำ
‘มาจากทางเหนือ…’
“นายรู้ได้ไงว่าเขามาจากทางเหนือ” เด็กสาวที่เหมือนจะได้ยินประโยคเมื่อกี้ถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยทำให้ต้องละสายตาจากภาพเบื้องหน้าเพื่อหันกลับไปมอง
“สำเนียงไง คนคนนั้นพูดติดสำเนียงดอยซ์ต่ำออกมา”
แต่ถึงจะตอบกลับไปแบบนั้นเด็กสาวก็ยังคงแสดงใบหน้าอันเป็นไปด้วยความสงสัยให้เห็นอยู่
ถามจริง? ตระกูลของเด็กคนนี้สอนแต่ภาษาดอยซ์มาตรฐานรึยังไง?
“ไม่รู้จักดอยซ์ต่ำเหรอ?”
แล้วคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าให้เบาๆ ทำเอารู้สึกสิ้นหวังไปชั่วขณะ
“แล้วดอยซ์สูงล่ะ?”
ถ้าในเมื่ออยู่ที่เบียวา ทาร์ซ่าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินดอยซ์สูงมาบ้าง ถึงอาจจะเห็นไม่บ่อยนักในตัวเมืองแต่แถบหมู่บ้านนับว่าพูดกันแทบจะเป็นภาษาหลักมากกว่าดอยซ์มาตรฐานซะอีก
เด็กสาวยังส่ายหน้าให้อีกครั้งพร้อมกับใบหน้าที่แปลเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความสับสน
“พึ่งเคยได้ยินทั้งคู่เนี่ยแหละ…”
เอาจริง?!…. เป็นคำตอบที่ได้ยินแล้วแทบอยากจะกุมขมับชะมัดพร้อมกับตั้งคำถามว่าแกล้งโง่อยู่รึยังไง? แม้แต่เด็กรุ่นเดียวกันในสำนักยังรู้จักไม่ต่ำกว่าสี่ภาษาเลย แถมพูดคล่องกันทุกคนอีกต่างหาก
“ภาษาที่พวกเราคุยกันอยู่เนี่ยคือดอยซ์มาตรฐาน มีสัดส่วนของภาษาดอยซ์สูงมากกว่าดอยซ์ต่ำและผสมกับภาษาจากอดีตประเทศใกล้เคียงอีกราวสามภาษา ภาษาดอยซ์ต่ำนิยมใช้กันทางตอนเหนือส่วนดอยซ์สูงนิยมใช้กันทางตอนใต้ของเขตไวมาร์กับเบลเทมไฮล์ม จะเรียกว่าเป็นภาษาถิ่นแบบเดียวกับพวกภาษาโรมานโซที่นิยมใช้แถวอิตาเลียก็ไม่ผิด”
เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ดะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายพึ่งบอกว่าดอยซ์ต่ำใช้กันทางตอนเหนือแล้วดอยซ์สูงนิยมใช้กันทางตอนใต้ถูกมั้ย?”
“อืม”
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย… อย่าบอกนะว่าแยกด้วยระบบชนชั้นจากสมัยก่อน”
ได้ยินครั้งแรกแล้วมีปฏิกิริยาแบบนั้นก็นับว่าปกติแหละนะ เพราะใครมันจะไปคิดล่ะว่าเกณฑ์ที่ใช้แยกมันดันลึกล้ำแต่ก็ง่ายในเวลาเดียวกันชนิดได้ยินครั้งแรกยังแอบหลุดขำในใจ
“น่ายินดีที่ไม่ใช้แบบนั้นเพราะเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งแยกมันคือลักษณะทางภูมิศาสตร์โดยเทียบความสูงต่ำของพื้นที่กับระดับน้ำทะเลเอ-”
“ไม่ทราบว่าผู้เข้าสอบทั้งสองท่านมีปัญหาอะไรกันรึเปล่าครับ?” เสียงสงบนิ่งกึ่งตำหนิของชายหนุ่มมุ่งเน้นมายังทิศทางนี้เป็นพิเศษ ต่อให้ไม่หันไปมองก็สัมผัสได้เลยว่ากำลังมองมาทางนี้อยู่
ร่างของเด็กสาวตัวแข็งทื่อในทันตาผิดกับก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วิที่ยังคงแสดงอารมณ์หลากหลายออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กที่ทนรับต่อแรงกดดันได้ไม่ดีนะเนี่ย
แบบนี้คงต้องออกหน้าให้แทนงั้นสินะ
“แค่ปัญหาเล็กน้อยน่ะครับ ขออภัยที่รบกวนครับ”
แม้จะค้อมศีรษะให้เล็กน้อยควบคู่กับคำพูดแล้ว แต่ดวงตาสีอำพันก็ยังคงจ้องมาอยู่จนกระทั่งดวงตาของพวกเราสบกันชายคนนั้นจึงละสายตากลับไปมองภาพโดยรวมอึกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้นผมจะเริ่มอธิบายรายละเอียดการสอบเลยก็แล้วกัน”
‘ขอบคุณมาก’ พอหันกลับไปนั่งท่าปกติเด็กสาวก็กล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบาคล้ายจะกระซิบ
“ไม่ชินเหรอ?”
เด็กสาวเอียงคอสงสัยก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
“อืม… ค่อนข้างน่ะ…”
“งั้นเหรอ”
“แล้วนายล่ะ…ไม่รู้สึกว่าเมื่อกี้มันน่ากลัวเหรอ?”
“ก็ไม่นะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชินอ่ะนะ”
เพราะถ้าน้ำเสียงแบบนั้นออกมาจากปากของพ่อ แม่ วินซ์หรือไม่ก็พี่ลิซาก็คงมีขนหัวลุกอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นคนอื่นมันก็ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวขนาดนั้น ยิ่งแสดงออกแบบนั้นก็จะยิ่งเสียเปรียบด้วย นอกซะจากว่าต้องการแสดงละคร
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรเพิ่มและปิดปากเงียบทำให้สามารถรวบรวมสมาธิในการฟังรายละเอียดการสอบที่หัวหน้าผู้คุมสอบกำลังอธิบายได้ง่ายขึ้น หลักๆ แล้วก็มีการสอบที่ไม่ต่างจากการสอบระดับอนุศึกษาภาคบังคับเท่าไหร่ แค่ทดสอบสมรรถภาพร่างกายและไหวพริบ สอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับเวทศาสตร์ แล้วก็การสอบแบบพิเศษที่จะแตกต่างกันตามแต่ละเขตพื้นที่ รวมๆ แล้วก็เป็นการสอบที่ไม่น่าจะใช้เวลาถึงสองวันด้วยซ้ำแต่ก็ดันใช้ระยะเวลาตั้งสองวันเนี่ยแหละ
“รายละเอียดทั้งหมดก็ประมาณนี้ครับ ส่วนรายละเอียดยิบย่อยจะมีการอธิบายเพิ่มเติมก่อนเริ่มการสอบแต่ละบท เพื่อไม่ให้ผู้เข้าสอบต้องจดจำข้อมูลที่มากเกินไป” พูดจบเขาก็กวาดสายตามองไปรอบข้างอยู่สักพักก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังกลับเข้าไปในแถว
หญิงสาวอีกคนเดินขึ้นมาแทน เธอมีใบหน้าอ่อนโยนให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับฤดูร้อน มีเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ยาวถึงสะบัก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยความเถรตรง แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำตัดกับสีเงินและผูกเนกไทสีคราม เดาไม่ออกเลยว่ามาจากหน่วยงานไหนแต่ดูจากตราหัวแกะตัวผู้ที่ติดตรงปกเสื้อสูทแล้วน่าจะเกี่ยวกับฝ่ายนิติศาสตร์
“หลังจากนี้จะทำการประกาศรายชื่อผู้เข้าสอบที่ต้องสอบด้วยวิธีจำเพาะ คนที่ถูกเรียกชื่อให้เดินมารับป้ายหลายเลขผู้เข้าสอบและเดินผ่านประตูบานขวามือไปเลยค่ะ หากตกหล่นใครไปกรุณาแจ้งโดยทันทีด้วยนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ยกกระดานเอกสารขึ้นมาไล่ประกาศชื่อเด็กคนอื่นๆ อย่างไม่รีรอ
ในการสอบ นักเวทถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือนักเวทธาตุกับนักเวทพิเศษ นักเวทธาตุคือกลุ่มคนที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่นการควบคุมสายลม ไฟ น้ำ ดิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับโครงสร้างภายนอกได้ แต่ละคนก็มีขอบเขตความสามารถในการควบคุมที่แตกต่างกันและไม่มีกฎตายตัวให้เข้าใจได้มากขนาดนั้น ส่วนนักเวทพิเศษก็จะแยกอีกเป็นสองกลุ่มย่อย ได้แก่ นักเวทกายภาพคือนักเวทที่ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เห็นภายนอกได้แต่มันจะแสดงผลลัพธ์ภายในแทนเช่นการที่สามารถมองทะลุผ่านวัตถุได้ การสะกดจิต การเข้าใจความคิดของสัตว์ หรือการเพิ่มศักยภาพทางร่างกายให้แข็งแรงขึ้นแบบทวีคูณ และนักเวทเฉพาะทางคือนักเวทที่ยังไม่สามารถจำแนกประเภทออกมาได้เหมือนกับนักเวทกลุ่มอื่นเนื่องจากขอบเขตความรู้ของเวทยาการในปัจจุบันยังไม่สามารถหาหลักการเบื้องหลังมาอธิบายปรากฏการณ์เวทของนักเวทกลุ่มนี้ได้ ขอบเขตของนักเวทพิเศษมีไม่แน่นอนมากกว่านักเวทธาตุมากจึงจำเป็นต้องได้รับการทดสอบแบบจำเพาะในการสอบภาคปฏิบัติหลายบท
ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีอยู่เก้าคนจากผู้เข้าสอบทั้งหมดสี่สิบคน หลังจากที่ตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วว่าไม่มีใครตกหล่นผู้คุมสอบสาวก็มุ่งความสนใจมาที่ผู้เข้าสอบที่เหลืออยู่ในพื้นที่รับรองอีกสามสิบเอ็ดคน
“ถ้าไม่มีใครทักท้วงอะไรแล้วจะขอดำเนินการต่อเลยนะคะ ผู้ที่ถูกเรียกชื่อหลังจากนี้ช่วยออกมารับป้ายหมายเลขผู้เข้าสอบและรออยู่ในพื้นที่รับรองต่อไปด้วยค่ะ” หญิงสาวพลิกหน้ากระดาษและเริ่มประกาศชื่ออีกครั้ง
“โลล่า ลูน่าไชน์” เด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถูกเรียกชื่อเป็นลำดับที่ห้า
“นาคาซ บลูทอัลเก” ชื่อนั้นถูกขานขึ้นเป็นลำดับที่สิบ
ป้ายที่ได้รับมาเป็นเข็มกลัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากไม้สีดำเคลือบด้วยสารที่ทำให้มันเงา มีกรอบและตัวเลขเป็นสีทองเหลืองค่อนข้างหรูหราจนน่าชมว่าคนออกแบบมีรสนิยมที่ไม่เลวแม้มันจะดูเกร่อไปหน่อยก็ตาม
แม้ว่าหลายคนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลยทำให้การรับป้ายหมายเลขดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วไม่มีติดขัด
“ป้ายที่แจกให้ผู้เข้าสอบจะติดที่บริเวณไหนก็ได้ตามความสะดวกหรือจะพกติดตัวไว้ก็ไม่มีปัญหาเช่นกันค่ะ แต่ขอเตือนว่าห้ามทำหายโดยเด็ดขาดนะคะ” ผู้คุมสอบสาวประกาศหลังจากเด็กคนสุดท้ายรับป้ายและกลับไปนั่งที่เดิม
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่รับรองอีกครั้งในขณะที่เด็กหลายคนกำลังง่วนอยู่กับการติดป้ายหมายเลข ส่วนฉันที่ไม่คิดจะติดอยู่แล้วก็แค่เอาใส่ไว้ในกระเป๋ารัดต้นขา
“ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วขอเชิญเดินตามมาได้เลยค่ะ ส่วนสัมภาระขอให้ทิ้งไว้ที่นี่เดี๋ยวทางเราจะเป็นฝ่ายขนย้ายให้เองค่ะ”
◇
หลังจากเดินตามพวกผู้คุมสอบและนายทหารนำทางไม่นานก็มาถึงลานอเนกประสงค์ที่อยู่ไม่ห่างจากตึกลงทะเบียนมากนัก รอบลานถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และไม้พุ่มสลับกับเก้าอี้หินอ่อนทรงสมัยใหม่ พื้นที่วงนอกถูกปูด้วยหินสีขาวสะอาดตามีความกว้างมากพอให้คนสามคนวิ่งควบกันได้โดยไม่เบียด ส่วนพื้นที่แกนกลางมีความกว้างมากพอให้เล่นกีฬาประเภททีมสิบสองคนได้ถูกปกคลุมด้วยคอนกรีตสีขาวที่ถูกเส้นสีดำตีกรอบเป็นสนามสำหรับเล่นกีฬาได้ไม่ต่ำกว่าสามชนิด แต่ละมุมมีโต๊ะไม้ทรงกลมประจำอยู่สี่มุมพร้อมกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป
ทุกคนต่างยืนเรียงกันเป็นระเบียบแบ่งเป็นหกแถว แถวละห้าคนและแถวสุดท้ายมีจำนวนหกคน ข้างหน้าแต่ละแถวมีผู้คุมสอบที่ยืนเรียงกันตามจำนวนแถว ข้างหลังของพวกเขาคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่ยืนอยู่บนบางอย่างที่ทำให้เขาสูงโดดกว่าคนอื่นๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
“ถัดจากนี้จะเริ่มทำการสอบสมรรถภาพทางกายอันประกอบด้วยการวิ่งหนึ่งร้อยเมตร ดันพื้น ลุกนั่ง งอตัว ยกน้ำหนัก และกระโดดสูง โดยจะแบ่งเป็นจำนวนสี่กลุ่ม กลุ่มละหกคนและกลุ่มเจ็ดคนหนึ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะเวียนกันทดสอบสมรรถภาพแต่ละบทไปเรื่อยๆ จนครบโดยไม่ชนกัน และในการสอบบทนี้ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบใช้เวทมนตร์ช่วยในการเสริมสมรรถนะใดๆ เป็นอันขาด หากตรวจพบเราจะขอปรับตกในทันที หากท่านใดมีคำถามอะไรขอให้ถามภายในสิบวินาทีนี้นะครับ” พูดจบหัวหน้าผู้คุมสอบก็ชูกำปั้นขวาขึ้นมาขนานลำตัวแล้วค่อยๆ ชี้นิ้วเพิ่มขึ้นทีละนิ้วตามจำนวนวินาทีที่ผ่านไป
นับได้เสถียรสุดๆ เลยนะเนี่ย เพราะถ้าไม่ได้ฝึกมาดีพอจะทำให้ความถี่ของแต่ละวิที่นับไม่เท่ากัน
แปด… เก้า… สิบ
เมื่อนิ้วมือถูกชูขึ้นมาครบห้านิ้วเป็นครั้งที่สองหัวหน้าผู้คุมสอบก็ปรบมือหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่าครบสิบวิแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอทำการแยกกลุ่มเลยนะครับ ให้ทุกคนเดินตามผู้คุมสอบที่อยู่ข้างหน้าแถวของตนเพื่อไปยังจุดทดสอบด้วยนะครับ”
นอกจากแถวแรกที่อยู่บริเวณรอบนอกแล้วแถวที่เหลือก็กระจายกันออกไปตามมุมต่างๆ ภายในสนาม ดูเหมือนว่าการทดสอบแรกที่ได้จะเป็นดันพื้น ลุกนั่งและงอตัวอย่างละสามสิบวินาทีโดยการจับเวลาด้วยนาฬิกาทรายโดยสอบแบบเป็นคนๆ ไป เพราะแบบนั้นในฐานะที่เป็นคนสุดท้ายของแถวเลยมีเวลายืดเส้นยืดสายมากกว่าคนอื่นอยู่พอสมควร
‘อึ่ก…’
ยังรู้สึกเจ็บซีกซ้ายอยู่เลยแฮะ…แต่น่าจะไหวอยู่
“หมายเลขสิบ นาคาซ บลูทอัลเก”
“ครับ”
พอผู้คุมสอบขานชื่อก็ทำท่าเตรียมพร้อมรอบนเสื่อรอง ร่างกายนอนขนานเป็นแนวระนาบในขณะที่แขนทั้งสองข้างคว่ำลงสัมผัสพื้น
“ถ้าพร้อมแล้ว…เริ่ม!”
เมื่อเสียงนาฬิกาทรายเคาะกับโต๊ะดังขึ้นก็ใช้แขนทั้งสองข้างยกร่างของตนขึ้นลงตามจังหวะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่พอนับได้สี่สิบสองครั้งผู้คุมสอบก็บอกให้หยุดแล้ว
“สี่สิบสองครั้ง… หน่วยก้านดีเกินวัยเลยนะเนี่ย” เขาพูดพลางก้มหน้าใช้ปากกาหัวแร้งเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษที่แนบอยู่กับกระดาน “จะพักสักหน่อยหรือจะสอบลุกนั่งต่อเลยล่ะ”
“งั้นขอพักสักหน่อยก็แล้วกันครับ”
พูดจบผู้คุมสอบก็พลิกนาฬิกาทรายอีกรอบ
“สามสิบวินะ”
“ขอบคุณครับ”
ในระหว่างที่หันหน้าออกไปเพื่อยืดเส้นอีกรอบก็ดูเหมือนจะถึงคิววิ่งหนึ่งร้อยเมตรของลูน่าไชน์พอดี หลังจากยืดเส้นเสร็จเด็กสาวก็ค้อมตัวลงวางมือทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้นในขณะที่ขาเหยียดตรงเป็นท่าเตรียมวิ่งอันเป็นท่ามาตรฐาน และเมื่อผู้คุมสอบสาวให้สัญญาณพร้อมกับกดนาฬิกาจับเวลาเธอก็วิ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าสนใจจนทีเดียว
สิบจุดสี่วิ…
เด็กสาววิ่งถึงเส้นชัยภายในระยะเวลาเพียงแค่สิบจุดสี่วิ เร็วพอๆ กับคนอื่นๆ ในสำนัก มากพอที่ทำให้มีความคิดว่าเด็กคนนั้นใช้เวทลดแรงเสียดทานเข้าช่วยรึเปล่าแต่ก็ต้องปัดตกความคิดนั้นไปเพราะได้ยินว่าเด็กคนนั้นเป็นนักเวทสายไฮโดรคิเนซิสซึ่งสามารถใช้ได้แค่สมการเวทที่เกี่ยวกับน้ำเท่านั้น
“วี้ว~ เด็กปีนี้เอาเรื่องนะเนี่ย” เสียงผิวปากดังมาจากผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ข้างหลัง “พร้อมรึยังหนุ่มน้อย”
“ครับ”
หลังจากนั้นผลงานทั้งลุกนั่งและการยืดตัวก็ออกมาในระดับดีเยี่ยมตามที่ใจต้องการคือห้าสิบสามครั้งและสิบห้าจุดหนึ่งเซนติเมตรตามลำดับ ถัดไปก็เป็นการยกน้ำหนักซึ่งสนามส่วนนี้มีแผ่นยางลดแรงกระแทกมารองไว้และบนแผ่นรองนั้นก็คือคานเหล็กสำหรับการยกน้ำหนัก ถึงแม้จะมีโอกาสมากถึงสามครั้งแต่เด็กหลายๆ คนเหมือนจะไปได้ไกลสุดที่เจ็ดหรือแปดกิโลเท่านั้น พอเห็นแบบนี้ก็แอบผิดหวังอยู่หน่อยๆ เพราะที่สำนักแปดกิโลนี่ถือเป็นน้ำหนักพื้นฐานสำหรับทุกคน
“ต่อไป…หมายเลขสิบ นาคาซ บลูทอัลเก”
“ครับ”
พอถูกเรียกชื่อก็เดินไปยืนข้างหน้าคานเหล็ก ควักผงแป้งกันลื่นมาทาทั่วฝ่ามือ ฝั่งซ้ายคือนายทหารนายหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแผ่นเหล็กทั้งสองข้างให้กับผู้เข้าสอบ
“จะเริ่มที่กี่กิโลก่อนดีหนูน้อย”
“อืม…งั้นสักแปดกิโลก็แล้วกันครับ”
เริ่มที่แปดแล้วก็เพิ่มทีละหกกิโลครั้งที่สามก็จะถึงยี่สิบกิโลอันเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่การสอบอนุญาตให้ทำได้พอดี
“ไหวแน่นะ?” นายทหารเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยเสียงเป็นกังวลขณะถือแผ่นเหล็กทรงโดนัทไว้ในมือทั้งสองข้าง
พอพยักหน้าให้เขาก็นำแผ่นเหล็กหนักสี่กิโลกรัมมาใส่ที่ปลายคานทั้งสองข้าง เมื่อใส่เสร็จก็ย่อตัวลงไปพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับคานเหล็กไว้แน่น
“ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลย”
“ฮึบ!”
ทันทีที่ได้รับสัญญาณก็ยกคานขึ้นมาอยู่ระดับหัวไหล่พร้อมกับเหยียดตัวตรง เมื่อจับจังหวะได้แล้วจึงเหยียดแขนตึงขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากค้างอยู่ท่านี้ได้ห้าวิผู้คุมสอบก็ให้ปล่อยคานลง
“เหลืออีกสองครั้ง จะไปต่อหรือพอแค่นี้”
“เพิ่มอีกหกกิโลครับ”
มีเสียงดัง ‘ฮ๊ะ?’ลอดออกมาจากภายใต้หมวกเหล็กของนายทหารแต่สุดท้ายเขาก็ยกแผ่นเหล็กสามกิโลมาใส่เพิ่มให้ทั้งสองฝั่ง
กระบวนการเดียวกับรอบแรกเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากบอกว่าจะเพิ่มอีกหกกิโลแล้วนายทหารก็ถอดแผ่นเหล็กทั้งหมดออกและแทนที่ด้วยแผ่นเหล็กหนักสิบกิโลทั้งสองฝั่งของปลายคาน ผู้คุมสอบเองก็เตรียมให้สัญญาณอีกรอบ
“ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่ม”
“ฮึ่บ!”
ครั้งนี้ยกขึ้นด้วยท่าสแนทช์ เป็นการยกคานขึ้นเหนือศีรษะภายในหนึ่งจังหวะพร้อมกับย่อตัวลงคล้ายท่าสควอทก่อนจะเหยียดขาตรงแล้วค้างท่านั้นให้ได้นานที่สุด แต่พอค้างอยู่ท่านี้ได้เพียงแค่สามวิผู้คุมสอบก็บอกให้พอเลยปล่อยมือออกจากคานให้มันร่วงลงไปตามแนวดิ่ง
“ฟี้ว~”
จริงๆ สภาพตอนนี้จะเพิ่มอีกสักสิบกิโลก็ไม่มีปัญหานะเนี่ย
‘หีม?…’ พอหันไปมองข้างหลังตามที่สัมผัสได้ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ก็พบว่าภายในแววตาของเด็กคนอื่นๆ ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายมีตั้งแต่ชื่นชม ตื่นเต้นไปจนถึงหวาดกลัว ขณะเดียวกันผู้คุมสอบก็เหมือนว่าจะใช้สัญญาณมือสื่อสารกับผูเคุมสอบบทอื่นเสร็จพอดี
“ดูเหมือนฝั่งกระโดดสูงจะสอบกันเสร็จพอดีเลย งั้นตามมาเลยนะเด็กๆ ”
ต่อไปเป็นการสอบกระโดดสูง วิธีการสอบนั้นก็ง่ายๆ แค่วิ่งเป็นรูปตัวอักษรยอทท์ด้วยความเร็วคงที่และกระโดดข้ามไม้พาดไปด้วยท่วงท่าที่ถนัด จะท่ากระโดดกรรไกรก็ดีหรือท่าฟอสบิวรีก็ดี แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นหรอกเพราะดูเหมือนว่าไม้ที่พาดมันจะเตี้ยไปหน่อยเลยทำให้เหมือนกระโดดสูงกว่าเด็กคนอื่นๆ อยู่ระดับนึงเลย
’สิบสี่เซนโดยประมาณ’ ผู้คุมสอบพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราบเรียบขณะบันทึกผลลงกระดาษ
“ต่อไปวิ่งหนึ่งร้อยเมตร”
วิ่งหนึ่งร้อยเมตรจะวิ่งเป็นรายบุคคลและแตกต่างจากการทดสอบอื่นที่ใช้นาฬิกาจับเวลาในการนับแทนนาฬิกาทราย อย่างว่าแหละในแง่ความแม่นยำแล้วเจ้านี่มันย่อมแม่นยำกว่าระดับเดซิวินาที แต่เวลาเห็นของเทือกนี้ทีไรก็ดันนึกถึงตอนที่พ่อบอกให้รื้อแล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่นี่แหละ การต้องมานั่งประกอบกลไกภายในที่ไม่ใช่แค่ความซับซ้อน แต่หลายส่วนมีขนาดเล็กมากจนถ้าหายทีมีบันเทิงนี่ก็ทำเกือบจะกลายเป็นพวกแมดไปหลายรอบเหมือนกัน
แหม นึกแล้วก็อดรู้สึกขอบคุณตัวเองไม่ได้ที่สามารถอดทนรอดพ้นมันมาโดยที่สติยังอยู่ครบถ้วน
หลังจากเสยผมไปข้างหลังและตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วผู้คุมสอบก็ให้สัญญาณในการเตรียมตัว ที่อีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้าคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่กำลังถือนาฬิกาจับเวลาไว้อยู่
“เตรียมตัว….ไป!!!”
หลังจากสับขาออกไปเพียงแค่ห้าก้าวก็รู้สึกได้ว่าสรรพสิ่งรอบข้างช้าลงในฉับพลัน ทัศนียภาพถูกยืดออกราวกับอากาศบิดพลิ้ว เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวรู้ตัวอีกทีก็วิ่งเลยปลายทางมาไกลเกือบหกเมตร
“เก้าจุดสองวินาที ไม่ธรรมดาเลยนะเรา”
พอเดินย้อนกลับไปหัวหน้าผู้คุมสอบเขาก็พลิกฝ่ามือมาแสดงหน้าปัดนาฬิกาให้ดู
“ขอบคุณ..ครับ..”
ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ก็ทำให้รู้สึกหอบไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของพ่อกับวินซ์ที่ใช้เวลาแค่ห้าวิเศษแล้วยังนับว่าอ่อนหัดอยู่ดี
หลังจากนั่งพักรอแถวม้านั่งพลางรอกลุ่มที่เหลือสอบเสร็จทุกคนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เด็กหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายคล้ายจะตายแต่บางคนเช่นนาคาซนั้นช่างดูเฉยเมย ไม่มีกระทั่งร่องรอยของคราบเหงื่อที่ไหลริน ขณะที่เหล่าผู้เข้าสอบทั้งหมดนั่งกันอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่ฝั่งเดียวกันหัวหน้าผู้คุมสอบหนุ่มก็เดินมายืนอยู่เบื้องหน้าในจุดที่มั่นใจว่าเด็กทุกคนจะได้ยินเสียงป่าวประกาศ และเพื่อดึงความสนใจจากทุกๆ เสียงปรบมือดังกึกก้องครอบคลุมทั้งพื้นที่จึงดังขึ้นหนึ่งครั้ง
เสียงพูดคุยเงียบลงในฉับพลัน ทุกสายตาหันไปมองยังต้นเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง
“ถัดไปจะเป็นการสอบภาคปฏิบัติ’ควิกซ์แคสท์’ กติกาง่ายๆ แค่ใครสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้ก่อนจะถือเป็นผู้ชนะและห้ามใช้คาถาที่มีความอันตรายเกินกว่าระดับสอง ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกคุณทุกคนคือพวกเราเหล่าผู้คุมสอบ การสอบเป็นการประชันกันตัวต่อตัวพวกคุณมีเวลาในการเตรียมตัวสิบห้านาที ขอให้ใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มค่าครับ”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกไปจากจุดดึงดูดสายตา ขณะเดียวกันอุปกรณ์ในการสอบหัวข้อก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็กำลังถูกเก็บกวาดโดยเหล่าทหารและผู้คุมสอบที่เข้าไปช่วยทุ่นแรง
‘ควิกซ์แคสท์’ เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของกีฬาชิงไหวชิงพริบสำหรับเหล่านักเวท ถูกคิดค้นขึ้นบนเกาะวิคตอเรียซึ่งเดิมทีมันเป็นเพียงธรรมเนียมสำหรับการตัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างนักเวทด้วยกัน แต่ภายหลังที่เริ่มมีการแพร่หลายมากขึ้นมันก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นกีฬาในท้ายที่สุด
กติกานั้นไม่ซับซ้อนอะไรมากเพียงแค่ฝ่ายไหนใช้เวทมนตร์โจมตีคู่แข่งได้ก่อนฝ่ายนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ แต่ในการแข่งขันระดับมืออาชีพนั้นก็จะมีกติกาที่ซับซ้อนขึ้นตามความสามารถของนักเวท โดยการแข่งขันที่ขึ้นชื่อว่าดุเดือดที่สุดคือการแข่งขันชิงเหรียญแพลเทียมระหว่างอัศวินแห่งแสงจากวิคตอเรียกับจอมเวทนิลกาฬจากดอยซ์ลันด์ในงานกีฬานานาชาติ “โอลิมเปีย” ครั้งที่แปด การประชันกันครั้งนั้นยังคงถูกเล่าขานมาโดยตลอดจากสายตาผู้ที่ได้รับชมว่าราวกับทุกการปะทะจะสามารถฉีกกระชากความเป็นจริงออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่สำหรับนาคาซแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่ว่าจะฟังกี่รอบก็ให้ความรู้สึกว่าออกจะเกินจริงมากไป เพราะมนุษย์นั้นชอบเติมแต่งเรื่องราวให้เกินจริงเสมอมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม
“ฉันเห็นแอบเห็นตอนนายวิ่งด้วยล่ะ วิ่งเร็วสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไง” เด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทาเดินมานั่งข้างๆ นาคาซพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
“หรอ… แต่สำหรับฉันมันยังเร็วไม่พอหรอก”
เธอหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของเด็กชายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความไม่พอใจในตนเองอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาให้อยากตั้งคำถามว่าผลลัพธ์ออกมาดีขนาดนี้แล้วยังมีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่พออีกงั้นหรอ?
ไม่พอ? ความเร็วระดับนั้นในอายุเท่านี้ไม่ใช่อะไรที่จะทำกันได้ง่ายๆ เธอเคยวาดฝันไว้ว่าบุตรชายของมหาจอมเวทคนนี้คงเก่งกว่าเธอเพียงแค่เล็กน้อย แต่ในระหว่างการทดสอบสมรรถภาพทั้งหมดเธอแอบดูทุกการกระทำของเขาและได้คำตอบแน่ชัดว่า นาคาซ บลูทอัลเก นั้นมีทักษะที่เหนือกว่าเด็กทุกคนในที่แห่งนี้มากแบบไม่เห็นฝุ่น หรือบางทีก็อาจจะเหนือกว่าผู้คุ้มกันระดับแนวหน้าในตระกูลของตนไปเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นจึงน่าตั้งคำถามว่าอะไรที่เขายังคงไม่พอใจ?
คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะพ่อแม่ของตนสามารถทำได้ดีกว่านั้น
เพียงแค่คิดเช่นนั้นกำแพงของคำว่า’มหาจอมเวท’ที่เธอใฝ่ฝันว่าอยากจะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งจากเดิมก็สูงมากอยู่แล้วมันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีกจนแทบเทียมฟ้า ในทางนั้นยังคงอีกยาวไกลและบางทีมันก็คงจะมากกว่าที่ตนจินตนาการไว้
“แล้วควิกซ์แคสท์ล่ะนายคิดว่าจะไหวมั้ย?”
“คิดว่าไหว แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นจีโอคิเนซิสก็คงงานหยาบหน่อย” เด็กชายพูดกลางเหยียดแขนออกไปข้างหน้าชูสองนิ้วขึ้นมาในระดับสายตาราวกับเป็นเป้าเล็งไปยังผู้คุมสอบคนหนึ่งที่เขาจ้องมองมาสักพักหนึ่ง
สำหรับการแข่งที่ถูกกำหนดเพดานระดับของเวทมนตร์ที่สามารถใช้ได้นั้นเรื่องความหนาแน่นของมวลถือว่ามีผลอย่างมากและนักเวทสายจีโอคิเนซิสที่สามารถควบคุมหินดินทรายได้นั้นนับว่ามีแต้มต่อที่ดีกว่าในการสร้างความเสียหายที่ชัดเจนอีกทั้งยังสามารถป้องกันการโจมตีจากนักเวทสายอื่นได้ดีกว่าในด้วยเวทมนตร์ที่มีระดับต่ำ นับว่าเป็นอะไรที่ยุ่งยากไม่ว่าจะกับนักเวทธาตุสายไหนก็ตาม โดยเฉพาะกับแอโรคิเนซิสที่จัดว่ามีมวลเบาที่สุด และความเสียหายระดับไม่เกินสองของเวทมนตร์สายนี้มันก็บางเบาไม่ต่างจากสายลมที่กำลังพัดอยู่ ณ ขณะนี้
ความสงบนิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวของนาคาซนั้นมีมากจนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เด็กสาวไม่กล้าพูดคุยอะไรด้วยนัก สายตาประเมินค่าจับจ้องไปยังว่าที่คู่ต่อสู้ของตนอย่างเหล่าผู้คุมสอบจนกระทั่งเวลาสิบห้านาทีล่วงเลยผ่านไปจนหมดสิ้น
“ครบเวลาที่กำหนดสิบห้านาทีแล้วเพราะฉะนั้นจะขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เราจะทำการสอบทีละห้าคู่ไล่ตามลำดับตัวเลขที่พวกท่านได้รับไปก่อนหน้านี้ แต่ละคู่จะมีอาณาเขตการปะทะของตัวเองโดยให้สังเกตจากขีดเส้นสีแดงที่อยู่บนพื้นสนาม หากคาถาที่ท่านใช้ลุกล้ำหรือส่งผลกระทบถึงเขตปะทะอื่นจะถือว่าสิ้นสุดการทดสอบทันทีเพราะฉะนั้นกรุณาเลือกใช้คาถาอย่างระมัดระวังด้วยนะครับ” หัวหน้าผู้คุมสอบที่เดินมายืนอธิบายที่จุดเดิมหลังจากทำการจัดการสนามสอบได้ปรบมือหนึ่งครั้ง “ถ้าเข้าใจแล้วก็ขอเริ่มการสอบควิกซ์แคสท์ ณ บัดนี้ เริ่มจากผู้เข้าสอบหมายเลขหนึ่งถึงห้าเชิญเลือกผู้คุมสอบที่พวกคุณอยากปะทะด้วยได้เลยครับ”
แบบนี้กลุ่มที่สอบถัดไปก็จะได้เปรียบเพราะรู้ว่าผู้คุมสอบแต่ละคนเป็นนักเวทสายไหน ในทางกลับกันกลุ่มแรกก็กลายเป็นนกคีรีบูนไปโดยปริยายงั้นสินะ…หรือว่าพวกผู้คุมสอบคิดว่าต่อให้ตัวเองจะถูกรู้ว่าตนเป็นนักเวทสายไหนก็มั่นใจว่าจะชนะได้งั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดูถูกกันเกินไปหน่อยมั้ง
ความคิดนั้นก็ทำเอานาคาซรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อยเขาจึงบ่ายเบี่ยงและเริ่มคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ใหม่
ขณะเดียวกันเด็กสาวผู้เป็นผู้เข้าสอบหมายเลขห้าก็เดินไปยังลานกว้างที่ซึ่งมีผู้คุมสอบยืนประจำการอยู่ห้าคนด้วยท่าระเบียบพัก เด็กหลายคนยังคงยืนลังเลอยู่ส่วนเธอก็เดินตรงไปยังฝั่งขวาสุดอย่างไร้ซึ่งความลังเล เพราะเธอมองว่าการมัวกังวลกับสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันรู้หากไม่สัมผัสนั้นเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์และมีแต่จะทำให้เสียเวลาเปล่า
หลังจากเดินไปยืนในเส้นสีแดงที่ถูกตีไว้ให้มีขนาดหนึ่งร้อยยี่สิบตารางเมตรแล้ว ผู้คุมสอบคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกก็เดินมาหาพร้อมกับถังไม้ที่บรรจุน้ำไว้เต็มอัตรา มันเป็นข้อเสียอย่างนึงสำหรับนักเวทสายไฮโดรคิเนซิสที่ถ้าจะใช้เวทก็จำเป็นต้องมีน้ำอยู่ด้วย ถ้าหากเธอใช้น้ำในถังนี้จนหมดก็เหมือนเป็นการแพ้กลายๆ
“ถ้าผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมแล้ว….เริ่ม!!!”
ทันทีที่สัญญาณดังขึ้นดวงตาสีครามชวนพิศวงของเด็กสาวก็เปล่งประกายพร้อมกับน้ำในถังที่ลอยเป็นสายขึ้นมาวนรอบร่างกายในลักษณะเป็นเกลียวคล้ายสปริง ขณะเดียวกันก็มีลูกไฟพุ่งทะยานมาหาเธอ
เกลียวน้ำที่ลอยอยู่รอบแผ่ขยายตัวออกคล้ายกำแพงน้ำทำให้ลูกไฟที่พุ่งมากระทบมอดดับลง ทิ้งไว้เพียงแค่ไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปในอากาศ
ไพโรสินะ
คิดแล้วเด็กสาวก็แสยะยิ้มกว้างดั่งผู้มีชัย ทั้งดูงดงามและอำมหิตต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นเด็กสาวเรียบร้อยดั่งผ่าพับ
การสอบรอบแรกเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่นาน ผลที่ออกคือมีผู้เข้าสอบที่ชนะสองคนและคนที่ถูกจับตามากที่สุดก็คือเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินอมเทา เวทมนตร์ของเธอไม่ใช่แค่การควบคุมน้ำได้เพียงอย่างเดียวแต่ยังสามารถเปลี่ยนสถานะของมันให้กลายเป็นน้ำแข็งที่มีความคงทนสูงได้อีกด้วย ทักษะการหลอกล่อและประยุกต์ใช้เวทมนตร์นั้นนับว่าน่าสนใจจนนาคาซที่เฝ้าสังเกตสลับไปมาระหว่างเด็กสาวและหัวหน้าผู้คุมสอบรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น
“ต่อไปหมายเลขหกถึงหมายเลขสิบ”
เมื่อถูกเรียกตัวเด็กชายก็ลุกขึ้นเดินไปหาเป้าหมายทันที ไม่สนว่าใครจะมัวลังเลหรือสับสน เป้าหมายของเขาคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุดของสนาม
เด็กชายผู้สวมแว่นปรี่เดินมาหาเขาด้วยท่วงท่าที่ไร้ซึ่งความลังเล กิริยาท่าทางประหนึ่งทหารกรำศึก ดวงตาสีทองอำพันอัดแน่นไปด้วยวิธีการเอาชนะคู่ต่อสู้ มองไปนานเข้าก็รู้สึกเหมือนประสาทรับรู้ของตนจะเริ่มผิดเพี้ยนเพราะความขัดแย้งระหว่างบรรยากาศและรูปลักษณ์ภายนอกของเด็กคนนี้
ไม่ทันไรก็เจอของยากแล้วไม่ใช่รึไง….
ในระหว่างการสอบสมรรถภาพ ไม่ว่าใครถ้าหากมีโอกาสก็คงแอบจับจ้องไปยังเด็กชายคนนี้ เขาแสดงความโดดเด่นทางด้านกายภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนน่าทึ่ง
นาคาซ บลูทอัลเก ถ้าประเมินแค่เรื่องกายภาพอนาคตคงเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่เก่งกาจได้แน่นอน แต่แล้วเรื่องเวทมนตร์ล่ะ?
ชายหนุ่มตั้งคำถามภายในใจขณะมองร่างของเด็กชายที่เตี้ยกว่าเขาเกือบครึ่งลำตัว
“ถ้าผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมแล้ว….เริ่ม!!!”
ทันทีที่ได้รับสัญญาณเขาก็กางมือขวาออกไปด้านข้างพร้อมกับความร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากปลายนิ้วซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นแต่ที่ทำก็เพราะต้องต่อให้ ลูกไฟกำลังก่อตัวขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่แล้วอยู่ๆ ความร้อนที่กระจุกอยู่บริเวณปลายนิ้วก็แตกกระเซ็นออก เมื่อเหลือบไปมองเขาจึงเห็นว่าลูกไฟไม่ได้อยู่ในสภาพเป็นก้อนกลมดั่งปรารถนาแล้ว
อินเตอชิเป!?
แต่ไม่ทันที่จะได้ค้นหาคำตอบเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าภาพตกค้างจากตอนสอบสมรรถภาพ
เด็กชายพุ่งเข้ามาประชิดพร้อมกับหมัดทั้งสองข้างที่กำไว้แน่น ทันทีที่รู้ตัวอุณหภูมิรอบข้างก็ร้อนขึ้นในฉับพลัน กำแพงเพลิงพวยพุ่งทายานขึ้นสู่ท้องนภาขวางกั้นทั้งสองร่างไว้ ชายหนุ่มกระโดดถอยร่นไปเกือบสุดขอบสนาม พร้อมกันนาคาซที่ถูกฝึกมาจนชินชาต่อเพลิงอัคคีแล้วก็ออกหมัดตรงต่อยกำแพงเพลิงให้สลายไปด้วยหมัดเสริมเวทมนตร์สายลม ร่างกายที่สูงเพียงแค่ร้อยสามสิบเซนกำลังยืนกำหมัดแน่นด้วยท่วงท่าแข็งกร้าวด้วยแววตาตั้งแง่
เพราะอะไรถึงไม่ใช้โอกาสนี้เข้ามาโจมตี? ชายหนุ่มได้แต่สงสัยและค้นพบคำตอบทันทีว่าเด็กชายกำลังท้าทายเขาอยู่ นับว่าเป็นเด็กที่อวดดีไม่เบา
นี่กำลังต่อให้อยู่หรอ? ไอท่วงท่าสุดน่าอายเมื่อกี้มันอะไร? อย่างกับเด็กเวลาจินตนาการว่าเป็นตัวเอกในนิทานเลยไม่ใช่รึไง?
โดยทั่วไปนักเวทอาจจะใช้อุปกรณ์หรือนิ้วในการช่วยเล็งเพื่อให้เวทมนตร์สามารถแสดงผลได้แม่นยำมากขึ้น แต่หากชำนาญมากแล้วเรื่องนั้นก็ไม่จำเป็นขนาดนั้นเพราะมันจะทำให้ศัตรูจับจุดได้ ถึงจะเข้าใจว่าอาจจะมีอ่อนข้อให้บ้าง ทว่าการกระทำเมื่อกี้ก็ยังคงนับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์เกินกว่าจะหาสาระสำคัญได้
การที่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับคนที่อ่อนข้อให้ตนนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเดียดฉันท์ ตลอดสองปีกับการต่อสู้กับผู้เป็นแม่รวมห้าสิบสามครั้งชัยชนะที่ได้รับมาตลอดคือศูนย์ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกแม่เต็มที่กับเขาทุกครั้งอย่างไร้เมตตาซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่าการปราชัยให้กับพวกมีความตั้งใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ กว่ามาก เพราะแบบนั้นตอนนี้จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เด็กชายตั้งท่าแล้วพุ่งทะยานไปหาศัตรูทันที หัวหน้าผู้คุมสอบที่เห็นเช่นนั้นจึงปล่อยเปลวเพลิงออกมาจากปลายนิ้วทันทีโดยไร้ซึ่งท่วงท่าที่เปล่าประโยชน์เหมือนครั้งก่อนหน้า ทว่านาคาซก็ยังคงสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วประหนึ่งร่างกายไร้ซึ่งแรงดึงดูดสู่ผืนดิน
เมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ประเภทต่อต้านบุคคลใช้ไม่ได้ผลชายหนุ่มก็กำมือแน่น แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือเจ็บใจ ดวงตาอำพันเปล่งประกายแสงสีเหลืองอร่าม สะเก็ดเปลวเพลิงกระเด็นกระดอนออกมาก่อนจากกำปั้นก่อนจะถูกปาออกมาเป็นลักษณะของห่าฝนลูกไฟอันเป็นเวทมนตร์ที่เน้นพลังทำลายล้างออกไป
ถึงแม้มันจะดูรุนแรงเกินกติกากำหนดไปสักหน่อย แต่ถ้าสามารถควบคุมระดับความเสียหายให้ไม่เกินระดับสองได้มันก็ยังไม่นับว่าผิด ขอเพียงแค่มีเปลวเพลิงสักลูกร่วงลงไปสัมผัสกับร่างนั้นก็นับว่าได้รับชัยชนะ
ทว่าความพึงปรารถนานั้นก็ต้องพังทลายเมื่อเปลวเพลิงที่ร่วงลงไปตกกระทบกับร่างของเด็กชายกลับไหลร่วงลงไปกองกับพื้นราวหยดน้ำค้างที่ไหลผ่านใบไม้ในยามสนธยา ไม่แม้แต่จะทิ้งร่องรอยของการถูกเผาไหม้เลยแม้เพียงนิด
นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!?
เพียงแค่ชั่วพริบตานาคาซก็เข้ามาประชิดตัวชายหนุ่มพร้อมกับวาดลูกเตะอันหนักแน่นผ่านหน้าผู้คุมสอบที่เอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิวด้วยการตอบสนองฉับพลันตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งก็มีลูกเตะกำลังลอยมาหาอีกหนภายในระยะเวลาอันสั้นเกินกว่าที่จะไหวตัวได้ทัน ทำได้แค่ยกแขนขึ้นมาป้องกันสีข้างไว้
“อึ่ก!”
ลูกเตะอันเปี่ยมไปด้วยความเร็วและความแรงสุดแสนหนักแน่นจากการใช้เวทลดแรงเสียดทานทำให้ชายหนุ่มถึงกับเซและทรุดลงไปในทันที
ลูกเตะที่กาปาลหลบเมื่อกี้เป็นเพียงลูกเตะหลอกที่แค่ยกแข้งขึ้นมากวาดแล้วเก็บกลับลงไปก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงลูกเตะของจริงไปหา เป็นท่วงท่าที่ทั้งน่าอัศจรรย์และรุนแรง หากว่านาคาซสูงกว่านี้อีกสักนิดเขาคงเล็งไปที่ศีรษะแทนที่จะเป็นสีข้าง
“พอ” ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่นอกสนามกล่าวพร้อมยกมือขวาขึ้นเป็นการบ่งบอกว่านาคาซเป็นผู้ชนะ
เด็กชายถอยหลังไปสองก้าวแล้วยื่นมือไปหาหัวหน้าผู้คุมสอบเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ ชายหนุ่มรับน้ำใจนั้นไว้พลางลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครับ” เด็กชายค้อมตัวให้เขาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกจากสนามไปนั่งที่เดิม
ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มได้แต่สงสัยว่าเขาชี้แนะอะไรไปหรือบางทีมันก็คงเป็นมารยาทที่เขาแค่ไม่รู้จัก
เมื่อเดินกลับมาถึงที่นั่งเดิมนาคาซก็พบกับเด็กสาวที่ปรบมือให้เขาเบาๆ แบบไร้ซึ่งเสียงกระทบของฝ่ามือ
“นายนี่มันเหนือมนุษย์จริงๆ ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“เฮอะ นี่กะกวนประสาทกันรึไง” เด็กชายตอบกลับไปพลางนั่งลงข้างเด็กสาว
“ฉันพูดจากใจจริงเลยนะ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่เอาชนะผู้คุมสอบได้ง่ายแบบนั้น”
“กะอีแค่เตะให้โดนมันไม่ได้ยากนักหนาเลย แค่ว่าคนที่มัวแต่พึ่งพาแต่การโจมตีที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีประสิทธิภาพมันมีจำนวนมากกว่าก็เท่านั้นเอง”
การหวังพึ่งแต่จะให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายโดยการปาอะไรใส่ทั้งๆ ที่มวลของวัตถุเช่นลมหรือน้ำที่แทบจะไม่สามารถทำให้รู้สึกระแคะระคายได้ถือเป็นเรื่องงี่เง่าโดยเฉพาะกับเวทมนตร์สายแอโรระดับไม่เกินสองที่มีความเสถียรในด้านการสร้างความเสียหายอยู่ในระดับเลวร้ายชนิดไม่ใช้ยังดีกว่า เรียกว่าแค่ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักได้ก็นับว่าดีมากโขแล้ว ส่วนเวทที่สร้างความเสียหายแบบเป็นชิ้นเป็นอันได้มันก็ดันสร้างความเสียหายระดับบาดเจ็บสาหัสจึงถูกจัดให้เป็นคาถาระดับสามขึ้นไปแทบทั้งหมด ฉะนั้นแล้วแค่ใช้เวทให้พอเป็นพิธีแล้วอาศัยพลังงานจลน์กับมวลกล้ามเนื้ออัดเข้าไปที่ร่างกายอีกฝ่ายตรงๆ ถือเป็นเรื่องที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาของไม่ได้การพรรค์นั้นเป็นไหนๆ
“พูดแบบนี้เหมือนดูถูกฉันเลยนะ”
“งั้นเหรอ? เธอชนะด้วยการปาก้อนน้ำอัดใส่ผู้คุมสอบจนเขาบาดเจ็บหรอ? ถ้าคิดว่าตัวเองชนะได้ด้วยวิธีนั้นจริงๆ ก็เรื่องของเธอเถอะ”
เด็กสาวหลุบตาหนีและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จริงอยู่ที่ชัยชนะของเธอได้มาจากการสาดน้ำใส่ผู้คุมสอบ แต่การควบคุมให้น้ำเหล่านั้นแข็งตัวเป็นน้ำแข็งจนกัดกินแขนของผู้คุมสอบแบบนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะทำได้ เพราะฉะนั้นหากมองจากบรรทัดฐานดังกล่าวแล้วมันจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะได้ด้วยวิธีการไร้ประสิทธิภาพแต่อย่างใด
หลังจากการสอบควิกซ์แคสท์จบลงก็เป็นเวลาสิบสี่นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาสำหรับการรับประทานอาหารเบา ผู้เข้าสอบทุกคนถูกนำทางกลับมายังอาคารหลังเดิมที่ลงทะเบียนสอบไปในตอนเช้า ห้องที่ผู้เข้าสอบทั้งสี่สิบคนกำลังนั่งอยู่นั้นคือห้องประชุมอเนกประสงค์ที่ถูกตกแต่งให้สวยงามแบบพอเป็นพิธีด้วยสุนทรียภาพแบบสมัยใหม่ มีพื้นที่ไม่กว้างมากนักแต่ก็เพียงพอให้วางโต๊ะสิบตัวและเก้าอี้ยี่สิบคู่ได้ บริเวณตรงกลางห้องคือโต๊ะขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาไปด้วยจานของหวานเลิศรสสดใหม่หลากชนิดที่ผู้เข้าสอบสามารถเลือกกินกันได้ตามอัธยาศัย
ณ มุมหนึ่งของห้องซึ่งบนโต๊ะถูกเรียงรายไปด้วยจานของหวานที่ทั้งหมดมีส่วนประกอบของช็อกโกแลต เด็กชายกำลังนั่งรับประทานพวกมันด้วยท่วงท่านิ่งสงบแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขานั้นค่อนข้างตะกละตะกลามอยู่อย่างน่าประหลาด
“นายเนี่ย…ไม่กินเยอะเกินไปหน่อยเหรอ?….” เด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยความเหนื่อยใจเล็กน้อย
บนจานของเธอส่วนใหญ่เป็นขนมกินเล่นที่มีชิ้นใหญ่พอดีคำ ตรงกลางที่ขวางกั้นทั้งสองไว้คือภูเขาจานที่ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ อันเกิดจากนาคาซที่กินของหวานอย่างต่อเนื่องไม่มีพักมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว
แน่นอนว่าท่วงท่าที่เขากินนั้นดูสุขุมละมุนสมกับเป็นว่าที่สุภาพบุรุษแต่การกินต่อเนื่องแบบแทบไม่มีจังหวะเว้นว่างเลยมันก็ชวนให้รู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย
“ก่อนมาสอบฉันโดนซ้อมไปเยอะน่ะ” หลังจากวางมีดและส้อมลงนาคาซก็ชูแขนซ้ายขึ้นพร้อมถกแขนเสื้อลงให้เด็กสาวดู ทั่วทั้งแขนมีแต่แผลฟกช้ำสีม่วงและเขียวที่ทั้งเข้มและจางกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ราวกับมีบางสิ่งชอนไขอยู่ใต้ผิวหนัง ทำเอาเด็กสาวได้แต่แสดงใบหน้าสะอิดสะเอียนและสงสัยว่าเขายังสามารถทนสอบด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ได้ยังไง
“นี่โดน…อะไรมาเนี่ย…”
“หลักๆ ก็ไปกระแทกต้นไม้กับโดนกดให้ไถกับหน้าดินมา ทั้งร่างแหลกแทบไม่เหลือชิ้นดีเลย เพราะงั้นเลยต้องการพลังงานปริมาณมากมาช่วยฟื้นตัวแต่ถึงเมื่อเช้าจะกินอะไรๆ ไปเยอะแล้วก็เถอะแต่มันก็แค่พอให้ฟื้นฟูร่างกายได้โดยไม่ต้องจำศีลเท่านั้นแหละ” พูดจบเด็กชายก็ถกแขนเสื้อลง หยิบส้อมมาจิ้มเค้กช็อกโกแลตขนาดพอดีคำที่ตัดทิ้งไว้ใส่ปาก
‘เพราะงั้นก็เลยกินของหวานหมดนี่เพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปกับการฟื้นฟูสินะ…’ เด็กสาวพึมพำเบาๆ ขณะพยายามทำความเข้าใจกับธรรมชาติอันแปลกประหลาดของอสรพิษที่อยู่เบื้องหน้า