[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 9 ierD etknuP nheZ
ณ อีกฟากของเขาวงกตมีเสียงปะทะกันระหว่างวัตถุหลายชิ้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ด้านหนึ่งคือเด็กชายผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีเดียวกันฉายแววมุ่งมั่นขณะควงดาบไม้คู่รุกไล่คู่ต่อสู้ย่างชำนิชำนาญด้วยกระบวนดาบกาลีอันเป็นศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของชาวฟิลิปินาส กดดันอีกฝ่ายด้วยความเร็วดุจลมกรดและแรงกายมากล้นอันเป็นผลจากการใช้เวทมนตร์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ในระดับเหมาะสมแก่การหลั่งสารกระตุ้นประสาทอย่างไร้ขีดจำกัด
ในทางตรงข้ามเด็กสาวผู้มีใบหน้าอันสวยงามประดุจรูปแกะสลักกลับเริ่มแสดงความอ่อนล้าออกมาอย่างไม่อาจปกปิดได้ เพราะแม้จะมีเนตรนิมิตที่ช่วยให้สามารถมองเห็นอนาคตในระยะสั้นๆ ได้ แต่เพราะถูกถาโถมอย่างต่อเนื่องระดับไม่มีช่องโหว่ให้สามารถสวนกลับได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่หลบหลีกพร้อมกับควบคุมโล่บักเลอร์น้ำแข็งที่โคจรอยู่รอบกายให้คอยมาปัดป้องการโจมตีอันแสนหนักแน่นและว่องไวไว้
ทำได้เพียงแค่ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยหอบในช่วงเวลาไม่กี่นาทีข้างหน้า
ทว่าความหวังนั้นก็ดูน่าจะเป็นไปได้ยากเพราะแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมานานถึงขนาดนี้แล้วเด็กชายผู้เป็นคู่ต่อสู้ก็ยังไม่แสดงท่าทีอิดโรย ต่างจากตนที่อ่อนล้าเต็มทนจากการคงสถานะโล่น้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากการบีบอัดแปรสภาพน้ำให้มีโครงสร้างและความหนาแน่นแข็งแรงเทียบเทียมแร่ลูนาเรียมมาเป็นระยะเวลานาน
สำหรับนักเวทค่าใช้จ่ายในการใช้เวทมนตร์คือการพลังงานสำหรับการคำนวณ ยิ่งเวทมนตร์ไหนมีสมการซับซ้อนมากมันก็จะยิ่งสร้างภาระสะสมให้แก่สมองมาก และหากฝืนตัวเองมากเกินกว่าจุดปลอดภัยร่างกายก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะ “นูลลาซานิทาส” ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการตอบสนองความสามารถในการตัดสินใจและการคิดอ่านจะเชื่องช้าลง ประสิทธิภาพของสมองส่วนการประมวลผลจะเริ่มถดถอย และในท้ายที่สุดก็จะสลบเหมือดไปในทันทีราวกับภาพตัด
เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตนกำลังจะเข้าสู่สภาวะนูลลาซานิทาสก็มีทางเลือกเหลืออยู่ไม่มากนัก หนึ่งในนั้นก็คือการทุ่มหมดหน้าตักเพื่อรีบปิดฉากหรือยกเลิกเวทมนตร์ทุกสมการแล้วใช้พลังดิบเข้าสู้แทน สำหรับกรณีนี้ที่เสียเปรียบในเรื่องนั้นตั้งแต่ต้นคำตอบของการแก้ปัญหาจึงเหลือเพียงแค่อย่างเดียวตั้งแต่ต้น
นัยน์ตาดุจห้วงลึกทอประกายแสงสีพิศวง โล่น้ำแข็งแปรสภาพกลับเป็นของเหลวในจังหวะที่เด็กชายดาบของเด็กชายกำลังจะกระแทกอัดเข้ามาส่งผลให้กระบวนดาบสูญเสียจังหวะความต่อเนื่อง โลล่ารีบคว้าโอกาสนั้นโหมกระหน่ำกระบวนหอกประสานกับการควบคุมแส้วารี บีบอัดมวลน้ำให้หนาแน่นพอจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่อีกฝ่ายได้
แต่ถึงแม้จะลงทุนไปมากขนาดนั้นก็เหมือนจะช่วงชิงความได้เปรียบกลับมาได้เพียงแค่การรักษาระยะห่างออกไปเพราะโฮโรฮานยังคงสามารถหลบหลีกแส้วารีพร้อมกับปัดป้องการโจมตีได้ด้วยกระบวนยุทธตรีเอกภาพอันเป็นการกวัดแกว่งดาบคู่ในลักษณะของสามเหลี่ยมด้านเท่า
จุดแข็งของกระบวนหอกผสานแซ่วารีคือการกดดันอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วงด้วยหอกและหาโอกาสใช้แซ่พันธนาการแล้วทำการแช่แข็งเพื่อเปิดโอกาสสำหรับการโจมตีปิดฉาก ทว่าราวกับรู้เรื่องนั้นดีตั้งแต่แรก เด็กชายผู้อยู่เบื้องหน้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำมาโดยตลอด แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ทำได้แค่เฉียดผิวหนังเพียงเล็กน้อย การพยายามฝืนใช้กระบวนผสมนี้ต่อไปจึงแทบไร้ความหมาย
ไม่ไหว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังถูกบีบกลับไปอยู่จุดเดิมแน่
แซ่วารีส่วนหนึ่งแปรสภาพกลายเป็นแท่งน้ำแข็งตันจำนวนมากและส่วนที่เหลือถูกแปรสภาพกลายเป็นหัวง้าวรันเซอร์ไร้คมพร้อมกับการเปลี่ยนรูปแบบกระบวนยุทธอย่างฉับพลันและไหลลื่น เหล่าค้อนเยือกแข็งเคลื่อนไหวไปตามวิถีการกวัดแกว่งประดุจระบำง้าว หลอกล่อสายตาด้วยจำนวนอันมากล้นแล้วฉวยโอกาสควบคุมน้ำบางส่วนที่แอบซ่อนไว้ให้ไปพันธนาการและแช่แข็งขาของโฮโรฮานไว้ช่วงที่เขากำลังสับสน
จบสักที!
โลล่าเหวี่ยงง้าวน้ำแข็งเข้าไปประชิดใบหน้าของเด็กชายอย่างเต็มแรง ทว่าในจังหวะที่หัวน้ำแข็งควรจะได้สัมผัสเข้ากับเนื้อหนัง สิ่งที่มันสัมผัสได้มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเนื่องจากโฮโรฮานสามารถเอี้ยวตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิวด้วยท่าสะพานโค้ง ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างขึ้นชี้ฟ้าแล้วเตะค้อนน้ำแข็งให้แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษซากที่กระเด็นกระดอนไปคนละทิศทางด้วยการเคลื่อนไหวอันเกือบจะพิสดารและคล่องแคล่ว
ภาพเบื้องหน้าทำให้โลล่าชะงักงัน ก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เด็กชายพลิกตัวกลับมายืนสองขาแบบปกติพลางปัดเศษเศษน้ำแข็งชิ้นใหญ่ออก ส่วนชิ้นที่มีขนาดเล็กนั้นละลายและละเหยไปอย่างรวดเร็วทันทีที่พวกมันสัมผัสกับร่างกายของเขา
“ได้ยังไง…กัน….”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขาถูกแช่งแข็งอยู่มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเคลื่อนไหวโต้ตอบได้อย่างสมบูรณ์พร้อมเท่าเมื่อกี้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนจึงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเกินกว่าที่สมองจะคิดตามได้ทัน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบลงไปมองขาขวาของตนตามสายตาของเด็กสาว แสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันพร้อมส่งเสียงขึ้นจมูก
“นี่น่ะหรอ?” กล่าวพลางใช้ดาบไม้เขี่ยเศษน้ำแข็งที่ยังคงเกาะติดกับขากางเกงขายาวอยู่ “ดูเหมือนมันจะเปราะกว่าก่อนหน้านี้มากพอดูเลยนะ”
เพราะเป็นการสร้างขึ้นมาอย่าลวกๆ เพื่อสร้างโอกาสเพียงไม่กี่วิให้ตนและเพื่อรักษาสมดุลสมองให้เพียงพอต่อการไม่เข้าสู่สภาวะนูลลาซานิทาสจึงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความแข็งแรงมากนัก แต่ถึงกระนั้นมันก็คือก้อนน้ำแข็งหนาติดลบหลายองศาที่ยังไงก็ต้องใช้เวลาระดับหนึ่งในการหลุดพ้นพันธนาการ ไม่ใช่เพียงแค่ยกขาขึ้นก็เป็นอิสระได้ง่ายๆ แบบเมื่อกี้นี้
“ไม่ใช่เรื่องนั้น…”
เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของโลล่า แต่ไม่นานเขาก็แสดงท่าทีเหมือนเข้าใจความหมายนั้น
“อ้อ~ แบบนี้นี่เอง” เขาไขว้ดาบไม้ของตนเป็นรูปกากบาทก่อนจะรูดพวกมันไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ก่อกำเนิดเป็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงท่วมดาบคู่ดุจดวงสุริยันแฝดยอแสง แผ่กระจายไอความร้อนออกมาไกลถึงขนาดสัมผัสได้แม้จะยืนอยู่ห่างกันเกือบสี่เมตรก็ตาม “เวทมตร์ของฉันคือการควบคุมอุณหภูมิของสิ่งที่ถูกสัมผัส กับอีแค่ก้อนน้ำแข็งเปราะๆ แบบนั้นมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ ลูน่าไชน์”
อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในฉับพลันค่อยๆ ละลายหัวง้าวน้ำแข็งทีละน้อยให้หยดลงไปบนพื้นหญ้าอย่างสูญเปล่า เช่นเดียวกับเหงื่อกาฬที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่ามันกำลังไหลเพราะความร้อนหรือเพราะความวิตกกังวล
ถ้าไม่ติดว่าไม่รู้จักคำสบถนี่ก็อยากจะสบถออกมาแรงๆ สักครั้งจริงๆ เลย…. คนอะไรมันจะช่างหนังเหนียวได้ขนาดนี้กัน…. แต่ดูท่าทางนั้นก็คงจะเต็มทนแล้วเหมือนกันถึงได้พึ่งงัดของแบบนั้นออกมาใช้เอาป่านนี้
โลล่ายกมือซ้ายขึ้นมาจูบสันนิ้วโป้งเบาๆ แทนการจูบสร้อยคอลูนาเรียมที่มักจะสวมใส่เป็นประจำ
ทนต่อไปอีกนิดนึงโลล่า เธอยังไหวอยู่…
ปริมาณน้ำที่ได้รับมาในตอนเริ่มต้นคือสามลิตร นำออกมาใช้สองลิตรและหลุดจากการควบคุมเพราะถูกเตะกระเด็นเมื่อกี้ไปหนึ่งจุดห้าลิตร เท่ากับว่าในปัจจุบันยังคงเหลือน้ำให้พอใช้ได้อีกครึ่งหนึ่ง หากเป็นช่วงก่อนหน้านี้ก็คงพูดได้เต็มปากว่าเหลือๆ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงร้อนระอุมันก็ชัดเจนว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
หัวง้าวน้ำแข็งแปรสถานะกลับไปเป็นของเหลวเคลือบบริเวณหัวหอกเพื่อลดภาระการคำนวณและหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์จากการละลาย
เพียงช่วงเสี้ยววินาที ในจังหวะที่อีกฝ่ายตั้งท่าเตรียมจะปรี่ตัวเข้ามาประชิดตัว ดวงตาสีพิศวงก็สามารถอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวก่อนหน้าได้จากการขยับของกล้ามเนื้อ
โลล่าแทงหอกออกไปหวังดักทางไว้ล่วงหน้าเพื่อชดเชยข้อเสียเปรียบทั้งในแง่พละกำลังและความเร็วพร้อมกับรักษาระยะห่างอันเป็นข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียว ทว่าความเร็วที่ลดลงจากก่อนหน้านี้มากของอีกฝ่ายมันกลับทำให้การโจมตีนั้นสูญสิ้นความหมาย เพราะนอกจากจะไม่โดนจุดที่เล็งไว้แล้วมันกลับกลายเป็นช่องว่างให้อีกฝ่ายสามารถบุกประชิดเข้ามาใกล้ในระยะที่ไม่สามารถใช้กระบวนหอกตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ชิ!”
เมื่อเป็นเช่นนั้นโลล่าจึงผละมือออกจากหอก ชักดาบไม้ออกมาพร้อมกับดึงน้ำที่เคลือบหอกให้มาห่อหุ้มใบดาบไม้ หลีกเลี่ยงและปัดป้องกระบวนมีดคู่อันแสนพร้อมเพรียง สอดประสานเป็นอย่างดีปราศจากซึ่งช่องโหว่ ทว่าทั้งพละกำลังและความเร็วที่ตกลงมาจากก่อนหน้านี้มากมันกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้เธอสามารถโต้ตอบกลับไปได้บ้างเป็นระยะ แม้จะไม่ได้มีเชิงดาบที่ดีมากนักแต่ด้วยความสามารถในการเห็นภาพอนาคตช่วงสั้นๆ มันก็ช่วยทดแทนในจุดนั้นได้ในระดับหนึ่ง
เหมือนจะลดการเสริมทักษะทางกายภาพแล้วแบ่งการคำนวณส่วนใหญ่ไปยังการควบคุมอุณหภูมิมีดคู่นั้นแทน คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้กันนะ
หากมีประโยชน์แค่เอาไว้ข่มก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าไร้ค่าอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่หากไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็น่าสนใจไม่น้อยว่าอาวุธที่ค่อยๆ เผาทำลายตัวเองในทุกวินาทีเช่นนี้มันจะสามารถทำอะไรได้
ในขณะที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างยันต้านแรงอีกฝ่าย อยู่ๆ บริเวณมือซ้ายซึ่งกำลังจับปลายดาบไว้แน่นก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ไม่น่าจะแผ่มาถึง ความรู้สึกประหนึ่งกำลังถูกน้ำอุ่นๆ ลวกพุ่งผ่านปลายประสาทส่งตรงไปยังสมอง พร้อมกัน ก็ราวกับดวงตาเห็นโครงสร้างพันธะของน้ำที่ห่อหุ้มใบดาบไม้กำลังค่อยๆ ระเหยกลายเป็นไอ
มาถึงจุดนี้ถึงพึ่งได้เข้าใจว่าเป้าหมายของเด็กชายผู้อยู่เบื้องหน้าคือสิ่งใด เขาต้องการเผาผลาญจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี เพราะหากไร้ซึ่งน้ำเธอก็จะไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นเพียงแค่เด็กสาวผู้มีทักษะทางกายภาพสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อยและมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดแค่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่มีแรงมากพอจะต่อกรอะไรกับเด็กผู้ชายเฉกเช่นเขาผู้นี้
แสบนักนะ!
ร่างกายของอีกฝ่ายเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ แม้องค์ประกอบจะไม่ได้เหมือนกับน้ำบริสุทธิ์จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานและเวลาในการคำนวณมากกว่าปกติแต่มันก็ทำให้คิดอะไรดีๆ ออก
โลล่าผ่อนแรงต้านอย่างฉับพลันทำให้อีกฝ่ายเสียหลักเอนตัวเซเข้ามาหา เธอรีบเบี่ยงตัวออกไปทางด้านข้างแล้วเตะขาพับอีกฝ่ายให้ล้มลง ปันส่วนน้ำภายใต้การควบคุมหนึ่งในสามส่วนให้ไปชโลมร่างแล้วใช้มือขว้าจับศีรษะของเด็กชายไว้อย่างแม่นยำ เข้นแรงเฮือกใหญ่ในการกดร่างนั้นไม่ให้ลุกขึ้นยืน
แสงสีพิศวงเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง ของเหลวบนผิวหนังของโฮโรฮานทุกอณูถูกควบแน่นให้กลายเป็นน้ำแข็ง โดยเฉพาะส่วนหัวซึ่งเปียกชุ่มมากเป็นพิเศษ
“อ๊ากก———!!!” เสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดดังลั่นออกมาจากปากของเด็กชาย ร่างกายชักเกร็งจากอุณหภูมิที่ดิ่งลงฉับพลัน มือทั้งสองข้างหงิกงอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและสติจะกำมีดต่อ
ท้ายที่สุด เมื่อปล่อยมือออก ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตรซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยก้อนและเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากก็ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น เปลวเพลิงบนใบมีดคู่นั้นมอดดับลงเช่นเดียวกับสติสัมปชัญะของเด็กชายโฮโรฮาน
“เฮ้อ~”
สิ้นเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกร่างกายของโลล่าก็แทบจะล้มเข่าทรุดลงไปตามเพราะความอ่อนล้าสะสม
ที่ผ่านมาได้ก็เพียงเพราะอีกฝ่ายประมาทหลงคิดว่าตนชนะแล้วเพียงเท่านั้น หากเปลี่ยนจากเด็กชายคนนี้ไปเป็นนาคาซผู้เป็นเป้าหมายหลักก็ไม่อาจจินตนาการภาพออกได้เลยว่าตนจะสามารถมีชัยเหนือกว่าได้ยังไง เพราะเด็กคนนั้นคงไม่มีทางประมาทในการต่อสู้ อีกทั้งยังมีทักษะทางกายภาพเหนือกว่าเด็กคนนี้ แถมในด้านเวทมนตร์เอง แม้จะพูดได้ว่าแพ้ทางทางด้านมวล แต่ก็คงถูกแทนที่ด้วยความชำนาญทางประสบการณ์ที่เหนือกว่า
“เฮอะ…”
ขนาดแค่นี้ยังรากเลือดยังจะมีหน้าปากดีไปท้าเขาอีกเรา…ดูเหมือนว่าเส้นทางสู่การเป็นมหาจอมเวทได้เหมือนคนคนนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
แต่เพราะแบบนั้นจึงมีคุณค่าให้ไขว่คว้าถวิลหา อย่างน้อยๆ ก็อยากจะได้สัมผัสถึงเศษเสี้ยวความสูงของยอดเขาที่ตนมั่นหมายว่าจะปีนป่ายขึ้นไป
‘ต้องเติมน้ำตาล…’
ว่าแล้วก็หยิบกระบอกเก็บลูกอมคาราเมลออกมาจากกระเป๋าคาดเอว ใช้นิ้วโป้งดีดฝาออกแล้วเทลูกอมทั้งหมดกรอกปาก ฟันกรามขบเขี้ยวก้อนน้ำตาลเคี้ยวจนละเอียดก่อนจะกลืนทั้งหมดลงไปตามด้วยการดื่มน้ำที่ยังเหลืออยู่เป็นการล้างคอ
เพราะทั้งพกพาสะดวกและเผาผลาญได้ง่ายน้ำตาลจึงเป็นแหล่งพลังงานที่ขาดไม่ได้สำหรับนักเวทที่ต้องเผชิญกับศึกต่อเนื่อง แต่กระนั้นกว่าร่างกายจะเริ่มดูดซึมก็ต้องใช้เวลาอีกหลักสิบนาที ในระหว่างนี้จึงจำต้องหลีกเลี่ยงการปะทะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าจำไม่ผิดแค่เก็บป้ายแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้แบบนี้แล้วเดี๋ยวพวกผู้คุมสอบก็จะมากู้ร่างออกไปสินะ ถ้างั้นขอถือวิสาสะค้นตัวหน่อยก็แล้วกัน
‘หืม?…’
ระหว่างกำลังค้นตัวเพื่อหาป้ายหมายเลขกับอะไรก็ได้ที่ช่วยเพิ่มพลังงานได้ก็สัมผัสได้ถึงดวงตาจากที่ไหนสักแห่งกำลังจ้องมองมาทางตน ไม่รู้ว่าทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ที่รู้ชัดๆ คือมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคู่แน่นอน แต่จะมากขนาดไหนนั้นด้วยความชำนาญอันน้อยนิดนี้คงไม่อาจระบุได้
ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนก่อนหน้านี้ เด็กชายผู้พึ่งจะปราชัยแก่ตน หรือว่าเด็กสองคนผู้อยู่เบื้องหน้า มันช่างน่าละเหี่ยใจเพราะไม่ว่าจะหน้าไหนๆ ก็พร้อมจะฉาบฉวยโอกาสเพื่อรุดเข้ามาปะทะโดยไม่คิดจะพูดคุยหรือเจรจาประหนึ่งคนเถื่อน ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นเป้าหมายของตัวหรือไม่
ในแง่หนึ่งก็จริงอยู่ว่าคนในพื้นที่ของดอยซ์ลันด์ส่วนใหญ่ล้วนสืบเชื้อสายมาจากอนารยชนชาติพันธุ์เยอร์แมนิกซึ่งเคยถูกนับเป็นคนเถื่อนในสายตาของจักรวรรดิอ็อกตาวินุสมาก่อน แต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านมาไม่ต่ำกว่าแปดร้อยปีแล้วที่ชาวเยอร์แมนิกเริ่มพัฒนาขึ้นมาจนเป็นอารยชนเต็มตัว เพราะแบบนั้นมันจึงน่าละเหี่ยใจว่าทั้งที่พัฒนากันมาตั้งมากแต่พอเป็นสถานการณ์แบบนี้ก็กลับทำตัวเหมือนวิวัฒนาการย้อนกลับ ไร้ซึ่งการแสดงออกถึงความเป็นปัญญาชน
แม้ภายในจะรู้สึกไม่พอใจและได้แต่โทษดวงว่าทำไมถึงได้ซวยเจอแต่คนแบบนี้แต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงมากพอจะต่อกรกับใครแล้ว โดยเฉพาะหากอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคน
งั้นก็ทำตัวปกติไปก่อนก็แล้วกัน เพราะอีกฝ่ายก็ยังไม่น่าจะรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว…. ไม่น่าพลาดรีบแสดงความอ่อนล้าออกมาเลยเรา….
นึกตัดพ้อเช่นนั้นก็เก็บน้ำเข้ากระติกคาดเอว เก็บดาบไม้ใส่ซองหนัง หยิบหอกขึ้นมาถือไว้มั่น แล้วเดินไปยังทิศที่ตนสัมผัสได้ถึงแหล่งน้ำอย่างเงียบๆ เฝ้ารอว่าผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามือลดจะปรากฏตัวออกมาเมื่อใด
แต่ไม่ทันจะได้เดินพ้นโค้งที่สอง อยู่ๆ สายตาเหล่านั้นก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยการปรากฏตัวของสองร่างจากทั้งเบื้องหน้าซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงและเบื้องหลังซึ่งเป็นเด็กผู้ชาย ทั้งสองถือดาบไม้ไว้คนละหนึ่งด้ามเท่านั้น
ช่างน่าฉงนใจว่าพื้นที่ก็มีแค่นี้แต่ทำไมสองคนนี้ถึงสามารถซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนขนาดกวาดตามองหาอยู่ตลอดก็ไม่เจอแม้กระทั่งร่องรอย แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นตัวอันตรายแน่นอน
ถ้าจำไม่ผิดผู้ชายที่อยู่ข้างหลังน่าจะเป็นนักเวทธาตุ แต่ที่อยู่ข้างหน้านี่หน้าไม่คุ้นเลย นักเวทพิเศษเหรอ?
“พวกเราจะเตือนเธอแค่ครั้งเดียว ส่งป้ายหมายเลขห้าของเธอมาซะแล้วทุกอย่างจะได้จบโดยไม่มีใครเจ็บตัว” นัยน์ตาแดงฉานเหลือบแสดของเด็กสาวฉายแววแน่วแน่ ดูเข้ากับน้ำเสียงและวิธีการพูดอันห้าวหาญ
มันน่าแปลกที่สองในสามของคนที่แสดงท่าทีเป็นศัตรูกลับพูดออกมาในทำนองเดียวกัน ทั้งที่เราไม่ใช่เป้าหมายหลักแท้ๆ แต่กลับเจาะจงแถมยังรู้อีกว่าเราถือครองหมายเลขห้า เพราะอะไรกันนะ?
สาเหตุสำหรับการสนับสนุนข้อสันนิษฐานนั้นก็คือกระบอกเก็บหมายเลขของเด็กคนเมื่อกี้ ภายในนั้นมีกระดาษเขียนว่าหมายเลขห้าอย่างชัดเจน การจดจำเป้าหมายเจ้าของหมายเลขไว้จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่กับอีกสองกรณีที่เหลือนี่ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้และเจาะจงมากขนาดนั้นทั้งที่ถ้าได้ไปมันก็แค่สองจุดห้าแต้ม
หรือว่าเห็นเราเป็นลูน่าไชน์ก็เลยอยากลองของงั้นเหรอ? ไม่น่าใช่เรื่องนั้น…
“ฉันว่าเธอน่าจะเข้าใจผิดนะ หมายเลขของฉันคือสิบสามต่างหาก” กล่าวพร้อมกับควักป้ายหมายเลขของเด็กคนแรกที่เพลี่ยงพล้ำแก่ตนออกมาจากกระเป๋าคาดเอวให้ดูเป็นการตบตา
ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าให้ช้าๆ เหมือนสังเวชใจ
“ไนน์ ไนน์ เธอคือ โลล่า ลูน่าไชน์ ผู้เข้าสอบหมายเลขห้า เด็กผู้หญิงผมสีน้ำเงินอมเทาดูเด่นสะดุดตา พวกฉันได้รับข้อมูลมาละเอียดพอ”
ได้รับข้อมูล? จากใครกัน?
“หมายความว่ายังไง”
ในจังหวะที่เด็กสาวผู้ครอบครองนัยน์ตาสีชาดเหลือบแสดกำลังจะเอ่ยต่อก็มีเสียงของเด็กชายดังแทรกขึ้นมายั้งปากไว้
“เคอร์ซ่า อย่าพูดมาก”
“เอาน่า ยังไงเดี๋ยวเด็กคนนี้ก็-”
“เงียบ” แม้จะกล่าวด้วยเสียงดังเชิงตำหนิแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าทำไมทั้งคู่ถึงจับคู่กัน เพราะอีกคนหนึ่งต้องคอยห้ามปรามอีกคนเฉกเช่นกรณีนี้
“ชิ”
“เธอมีสิทธิ์แค่ยอมหรือจะสู้ นอกเหนือจากสองคำตอบนั้นพวกเราจะไม่บอกอะไรทั้งนั้น”
มีสิทธิ์แค่หนึ่งหรือสองงั้นเหรอ? ช่างเป็นคำพูดอันตีกรอบสิทธิเสรีภาพของคนอื่นซะจริง คิดว่าฉันเป็นใครกัน? นักโทษคดีอาญารึไงถึงได้มาลิดรอนสิทธิ์กันหน้าด้านๆ แบบนี้
“เฮ้อ~….ก็ได้ ฉันยอม” โลล่าหยิบป้ายหมายเลขของตนออกมา “แต่ถ้าอยากได้นักก็ไปคาบเอาเอง!!” สิ้นเสียงคำพูดก็ขว้างออกไปทางข้างหน้าอย่างสุดแรง
ในระหว่างที่ทั้งสองยังอึ้งกับการกระทำอันคาดไม่ถึงก็ฉวยโอกาสออกวิ่งพร้อมกับควบคุมน้ำบางส่วนให้มาห่อหุ้มรองเท้าแล้วแปลงสถานะให้กลายเป็นน้ำแข็ง ไถลผ่านหน้าเด็กสาวผู้มีนามว่าเคอร์ซ่าไปอย่างรวดเร็วพลางใช้หอกเป็นตัวช่วยควบคุมทิศทางในการหักเลี้ยวฉับพลัน ยื่นมือออกไปคว้าป้ายกลับมาแล้วมุ่งตรงไปยังจุดหมายอันเป็นความหวังเดียว
สัมผัสได้ว่าอีกไม่ไกลจะมีแหล่งน้ำให้เติม ขอแค่อย่างน้อยๆ มีน้ำให้ควบคุมเพิ่มบ้างก็น่าจะพอพลิกสถานการณ์ให้ได้เปรียบขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน
แต่กระนั้น แม้จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่อนข้างสูงแล้วก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่างอีกฝ่ายก็ยังคงสามารถไล่ตามมาได้ติดๆ ด้วยการหายตัวไปมาพร้อมกับก่อกวนด้วยการยกดินขึ้นมาดักทางเป็นระยะ
สเปเทียลมูฟเมนท์กับจีโอคิเนซิส!? ยุ่งยากชะมัด!
“เคอร์ซ่า ส่งฉันไปดักข้างหน้าได้รึเปล่า?”
“ก็ถ้าฝั่งนั้นไม่วิ่งเร็วขนาดนั้นกับถ้าฉันไม่โดนจำกัดระยะเคลื่อนย้ายก็คงทำให้ได้อยู่หรอก!” เด็กสาวกล่าวพลางพาคู่หูกระโดดข้ามห้วงมิติและปริภูมิเวลาเพื่อไปปรากฏยังเบื้องหน้าอันห่างออกไปเพียงแค่ห้าเมตร
นักเวทสายพิเศษส่วนใหญ่จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้เพียงสมการเดียวและในบางครั้งความสามารถสูงสุดของเวทมนตร์นั้นก็อาจจะเกินกว่าระดับที่กำหนด ในการสอบเช่นครั้งนี้หลายคนจึงถูกจำกัดความสามารถเพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมของการสอบ เฉกเช่นเคอร์ซ่าผู้สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุได้ไกลสุดถึงห้าสิบเมตร แต่กลับถูกจำกัดให้สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลสุดเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนจากปกติ เพราะเหตุนั้นเธอจึงต้องเคลื่อนย้ายตนและคู่หูถี่ๆ แทนการเคลื่อนย้ายไปดักหน้าในคราวเดียว
อีกฝ่ายนั่นก็ช่างวิ่งเร็วปานลมกรด ทุกครั้งที่ขยับเข้าไปใกล้ก็มักจะถูกทิ้งห่างโดยง่ายจนแอบรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นก็นับว่ายังเร็วกว่าสับเท้าวิ่งไล่ตามเองอยู่ดี
“งั้นก็ช่วยไม่ได้!”
เด็กชายผละมือออก นัยน์ตาสีธรณีทอประกายแสง เขากระทืบเท้าพร้อมออกท่าทางประกอบเล็กน้อย ในฉับพลันพื้นดินก็เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าเป็นเกลียวคลื่นธรณี ซัดร่างของโลล่าให้ลอยขึ้นไปเหนือพื้น ขณะเดียวกันเคอร์ซ่าก็กระโดดขึ้นไปอยู่กลางอากาศแล้วเคลื่อนย้ายต่อเนื่องไปจนกระทั่งสามารถไล่ตามฝั่งนั้นได้ทัน
รีบยื่นมือออกไปสัมผัสปลายนิ้วกับปลายผมหางม้าของอีกฝ่ายแล้วเคลื่อนย้ายร่างนั้นเข้าไปยังโลงดินที่ถูกสร้างขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
“ ‘ไปคาบมาเอง’ งั้นสินะ”
ดวงตาสีธรณีจ้องมองผลงานของตนอย่างเยาะเย้ย แสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เพียงเท่านี้รางวัลใหญ่ก็จะตกเป็นของพวกตน
“แล้วพวกเราจะเอาป้ายมายังไง?” หลังจากเคลื่อนย้ายลงมายืนข้างกายเด็กสาวก็หันไปถามเช่นนั้น
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละ เธอไปหาสองคนนั้นให้มาจัดการกันเอาเองก็แล้วกัน พวกเราจะไม่ยอมเสี่ยงไปมากกว่านี้แล้ว”
เผลอเป็นไม่ได้ขนาดนี้ ขืนเปิดโลงออกมาจัดการกันเองมีหวังได้บันเทิงกันอีกรอบพอดี ลำพังแค่เวทที่ใช้สองสมการนี่ก็ค่อนข้างหมิ่นเหม่ว่าจะเป็นระดับสามแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ควบคุมระดับความเสียหายดีๆ เพราะงั้นสู้ลดความเสี่ยงด้วยการให้สองคนนั้นมาจัดการกันเองยังไงก็ปลอดภัยกว่าในแง่ของผลลัพธ์
ครืดดดด
ไม่ทันจะได้หันหลังกลับ อยู่ๆ บริเวณใต้เท้าของทั้งคู่ก็ปรากฏหนามน้ำแข็งจำนวนมากแทงขึ้นมาครอบคลุมทั่วบริเวณโดยไร้ซึ่งสัญญาณใดๆ พร้อมกับการพังทลายลงของโลงดิน แต่เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเคอร์ซ่า เพียงแค่ชั่ววินาทีก่อนหน้าเธอก็รีบแตะตัวแล้วเคลื่อนย้ายเด็กชายไปพร้อมกันทำให้สามารถหลบการโจมตีนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
“นี่กะเอาตายกันเลยรึไง!”
หากช้าไปอีกเพียงเสี้ยววินาทีเดียว การจะได้เห็นภาพจำลองทางเข้าเมืองวาลลาเชียภายใต้การปกครองของวลาดที่สามคงไม่เป็นเรื่องเกินจริง
ว่าแต่เอาน้ำจากไหนมาเยอะแยะขนาดนั้นกัน?
แม้เวทนี้จะจะรุนแรงมากอาจจะถึงขั้นระดับสี่ แต่การจะใช้ได้ก็จำเป็นต้องมีน้ำในปริมาณที่มากพอจะเอื้ออำนวยถึงขนาดนั้น ต่อให้จะบอกว่าแอบซ่อนที่เหลือไว้ก็ตามแต่แท่งน้ำแข็งหนาๆ สูงเกือบเมตรเพียงแท่งเดียวก็ต้องใช้น้ำปริมาณหลายลิตรแล้ว แต่นี่แค่กวาดตาดูผ่านๆ ก็มากกว่ายี่สิบแท่งแล้ว
ขณะกำลังคำนวณถึงเรื่องนั้นหนามน้ำแข็งก็ยุบตัวลงกลายเป็นผืนน้ำแข็งเรียบเงาทอดตัวยาวครอบคลุมทางเดินเบื้องหน้า โลล่าพุ่งตัวออกมาจากรูโหว่ของโลงดิน ไถลเท้าทั้งสองข้างไปบนผืนน้ำแข็งด้วยความเร็วดุจลมกรดแล้วมุ่งตรงไปยังที่ไหนสักแห่งซึ่งทั้งคู่ไม่อาจไล่ตามหรือขัดขวางได้ทันไม่ว่าจะด้วยเวทมนตร์ของใครก็ตาม
“Scheiße! จะแหกกฎก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”
เมื่อไล่ตามร่องรอยคราบน้ำแข็งไปจนสุดทางด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย ณ สุดปลายทางของทั้งสองก็คือทางเข้าสู่สายหมอกมืดทึบไม่ชวนอภิรมย์ใจ
“จะเอาไงดี?….” ดวงตาสีดุจท้องนภาทองแสงยามสายันต์เหลือบมองไปยังคู่หูของตน น้ำเสียงเจือไปด้วยความลังเลในแบบที่ยากจะได้พบเจอ
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะความมืดบอดนับเป็นศัตรูตัวฉกาจของนักเวทสายสเปเทียลมูฟเมนท์ เนื่องจากการเคลื่อนย้ายในแต่ละครั้งจำเป็นต้องมองเห็นภาพของจุดหมายปลายทาง การยอมตามเข้าไปในสายหมอกหนาทึบนี้จึงไม่ต่างจากการยอมมัดแข้งขาของตัวเองเลย หนำซ้ำยิ่งเป็นพื้นที่ความชื้นสูงแบบนี้ยังไงก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าเสียเปรียบเต็มๆ
“ประเด็นคือพวกเรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้วน่ะสิ…”
ทุ่มสุดตัวเพื่อป้ายหมายเลขเพียงป้ายเดียวซึ่งไม่ใช่กระทั่งเป้าหมายของคนใดคนหนึ่ง หากมองจากมุมของคนนอกมันคงเหมือนเป็นการกระทำอันโง่เง่า แต่เพราะเด็กคนนั้นสัญญาพร้อมกับแสดงให้เห็นแล้วว่าจะมอบป้ายหมายให้พวกตนถึงสี่ป้ายเพื่อแลกกับหมายเลขห้าเพียงป้ายเดียว
ถึงแม้อยากจะถอยมากแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ทางเลือกตอนนี้มีเพียงไปให้สุดแล้วได้หรือเสียอย่างเต็มภูมิหรือยอมถอยแต่โดยดี ซึ่งแน่นอนว่าปลอดภัยแน่นอนแต่ก็เหมือนเป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ จะตายก็ไม่ตาย จะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี เป็นแค่พวกครึ่งๆ กลางๆ ขาดซึ่งความเด็ดเดี่ยว
“จำตรงนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกันเผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นจะได้กระโดดออกมาได้เลย”
“อืม…”
ตัดสินใจได้ดังนั้นทั้งคู่จึงกำอาวุธแน่นแล้วจูงมือกันเดินเข้าไปสู่สายหมอกดำทะมึน มุ่งสู่เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์หรือหายนะอันไม่อาจมีใครตอบได้นอกจากพวกเขาในอนาคต