[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 6 Zehn Punkte
เช้าแล้วแฮะ
ในขณะที่กำลังนั่งวิเคราะห์เนื้อหาภายในหนังสือพกที่ได้รับมาอยู่บนเตียง รู้ตัวอีกห้องพักที่ควรจะถูกอาบย้อมด้วยแสงสีขาวนวลของห้วงราตรีก็ถูกแทนที่ด้วยสีม่วงปนแสดแห่งสนธยากาล
เสียงขับร้องประสานเสียงดุจละครอุปรากรที่มีวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่นามว่าธรรมชาติเป็นผู้อำนวยบทบรรเลงได้ดึงดูดได้ดึงดูดประสาทการรับฟังและดวงตาสีโลหิตของเด็กชายให้จับจ้องออกไปยังภายนอกหน้าต่าง รูปร่างของเหล่าวิหคและเสียงเพลงที่กำลังถูกบรรเลงล้วนย้ำเตือนถึงตัวตนที่ตนไม่คาดฝันที่พึ่งได้พบเจอเมื่อยามอัสดงก่อน
แม้ว่าจะได้เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือพกที่มีความหนาเพียงแค่ห้าสิบหน้าปลายๆ ทว่าภายในอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาอันเป็นประโยชน์มากกว่าหนังสือที่อ้างตนว่าเกี่ยวกับภูตทว่าภายในมีแต่น้ำประหนึ่งยกมหาสมุทรมาเย็บเล่มเป็นหนังสือทุกเล่มรวมกันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลายคำถามที่มิอาจหาคำตอบได้ด้วยหนังสือเล่มนี้อยู่ อย่างเช่นเรื่องที่ทำไมอยู่ๆ ความทรงจำก็เหมือนขาดช่วงไปอย่างน่าสนเท่ห์และเมื่อนำเบาะแสที่พอมีมารวมกันก็มีแต่ทำให้สับสนขึ้นกว่าเดิม
โคตรเกลียดเลยเวลาขาดเบาะแสแค่ชิ้นเดียวก็จะทำให้ทุกอย่างมันสมเหตุสมผลได้แบบนี้เนี่ย
เพียงแค่อะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่มีอยู่แต่ไม่อาจจะไขว่คว้ามาได้ อะไรสักอย่างที่หากได้มาสมมุติฐานทั้งหมดก็จะหลุดพ้นจากทฤษฎีไม่มีมูลไปสู่คำอธิบายที่มีเหตุผลมารองรับทุกคำถาม เพียงแค่อะไรสักอย่างนั่นที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคืออะไรแต่ไม่อาจพูดออกมาได้จนกว่าจะได้พิสูจน์ว่ามันคือเรื่องจริง
นาคาซทำได้เพียงแค่นำนิ้วชี้ทั้งสองข้างมานวดสันจมูกช้าๆ เพื่อผ่อนปรนความคิดฟุ้งซ่านอันเอ่อล้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อจิตใจสงบลงแล้วก็เอื้อมไปหยิบนาฬิกาพกที่ห้อยอยู่ตรงปลายเตียงมายืนยันเวลาให้แน่ชัดว่าตรงกับในใจของตนมากแค่ไหน
พอมีเวลาอีกชั่วโมงนึงก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้า
ในเมื่อพอมีเวลาเหลืออยู่บ้างนาคาซก็คว้าเสื้อคอปกสีขาวของตนมาสวมร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาจากกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำชาย
เมื่อเดินเข้ามาแล้วก็พบว่าภายในห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหน้าถูกทำไว้เป็นพื้นที่สำหรับเปลี่ยนชุดโดยมีชั้นวางไว้ให้เป็นส่วนๆ สำหรับวางเสื้อผ้า ลึกเข้าไปข้างในก็เป็นส่วนสำหรับอาบน้ำซึ่งมีฝักบัวติดอยู่กับกำแพงเหมือนกับดอกไม้ที่บานลงดิน ตามกำแพงทั่วทั้งห้องนี้มีแสงสลัวส่องออกมาจากตะเกียงไฟที่ถูกวางไว้ในช่องที่มีบานกระจกกั้นไว้คอยให้ความสว่าง บนสุดของกำแพงมีหน้าต่างบานยาวติดมุ้งกันแมลงกินพื้นที่ตลอดแนวถูกเปิดไว้เพื่อระบายอากาศ
ทั้งห้องไร้ซึ่งร่องรอยของคนอื่นๆ หรือการใช้งานก่อนหน้า อาจจะเพราะอากาศที่เริ่มเย็นจึงไม่ค่อยมีคนนิยมอาบน้ำในช่วงนี้มากนัก แต่สำหรับผู้เสพติดการอาบน้ำเข้าไส้เช่นนาคาซแล้ว ไม่ว่าจะอากาศแบบไหนก็ไม่สำคัญเพราะการอาบน้ำเปรียบได้ดั่งการชำระล้างอารมณ์และจิตใจฟุ้งซ่าน ปล่อยให้สายน้ำอันเย็นเฉียบพัดพาสิ่งไม่จำเป็นออกไป เหลือไว้เพียงผลึกความคิดอันเที่ยงแท้ที่จะสะท้อนภาพของสิ่งที่จำเป็น
“กะ…กล้ามแน่นเป็นบ้า” เสียงตกตะลึงของเด็กชายผู้หนึ่งดังขึ้นมาทลายความเงียบสงบของห้องอาบน้ำ
นาคาซเสยผมของตนขึ้นเพื่อที่จะได้มองอีกฝ่ายชัดๆ
เบื้องหน้าของเขาคือเด็กผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งผู้ครอบครองเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวปิดบังดวงตาทั้งสองข้างไปบางส่วน มีส่วนสูงที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ห่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตร และมีร่างกายค่อนข้างผอมเพรียวพอมีกล้ามเนื้อให้เห็นแม้จะไม่ได้เด่นชัดมากนัก
“หมายถึงฉันงั้นเหรอ?” นาคาซถามเพื่อย้ำความแน่ใจ
“แน่นอนสิ ทั้งห้องก็มีแค่พวกเราสองคน”
“งั้นเหรอ…”
ได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายนาคาซก็ก้มลงไปมองดูร่างกายตัวเองด้วยแววตาสงสัย ร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อทั่วทุกส่วน แทบจะปราศจากร่องรอยไขมันส่วนเกินแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่เขามองว่าพิเศษมากนักเพราะมันเป็นผลจากการเผาผลาญพลังงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อนำมาฟื้นฟูร่างกายอยู่บ่อยครั้งจึงเป็นเรื่องยากที่จะพอมีพลังงานหรือสารอาหารหลงเหลือมากเพียงพอต่อการแปรรูปมาสะสมเป็นไขมัน อีกทั้งโครงสร้างร่างกายในลักษณะนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นจากคนในรอบตัวตัวตั้งแต่เล็กจนรู้สึกชินชาและมองว่าเรื่องปกติ
เด็กชายผู้มีผมสีน้ำตาลเดินเข้ามาวนดูร่างของนาคาซอย่างชื่นชม สายน้ำจากฝักบัวที่ไหลลงมาอาบชโลมร่างกายไหลผ่านร่องกล้ามเนื้อมากมายทำให้มีชั่วครู่หนึ่งที่เด็กชายผู้นั้นเกือบพลั้งมือไปลูบร่างกายดุจดั่งทหารกรำศึกทว่าไร้ซึ่งรอยแผลเป็น
“สุดยอดเลยแฮะ… นายใช้เวลากี่ปีกว่าจะได้แบบนี้เนี่ย”
“ก็สามปีได้” นาคาซตอบกลับไปขณะถูตัวด้วยน้ำเปล่าต่อไปอย่างไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมากนัก
“สามปี!? ส่วนฉันพึ่งจะเริ่มได้แค่ครึ่งปีเอง เส้นทางยังอีกไกลสินะเนี่ยฮ่าๆ ” เด็กชายผู้นั้นเดินไปหมุนลูกบิดฝักบัวอันที่อยู่ติดกัน
สายน้ำไหลทะลักออกจากรูเล็กๆ จำนวนมากมายลงมาชโลมทั่วทั้งร่างนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ เขาเสยหน้าม้าชุ่มน้ำขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมซึ่งกำลังสะท้อนภาพของตะเกียงไฟที่อยู่เบื้องหน้า
“ฉันชื่อโฮโรฮาน…โฮโรฮาน โลเวนเฮิร์ซ จะเรียกยังไงก็ได้ตามสะดวกเลย” กล่าวพลางใช้มือทั้งสองข้างนวดศีรษะของตน
“ส่วนฉันนาคาซ บลูทอัลเก จะเรียกชื่อหรือนามสกุลก็ได้ไม่ต่างกัน”
“งั้นฉันขอเรียกนายว่าบลูทอัลเกก็แล้วกันนะ”
มีเพียงแค่เสียงสายน้ำตกกระทบกับพื้นที่ตอบกลับไป เพราะตราบใดที่การเรียกนั้นยังคงอยู่ในขอบเขตของคำว่ามารยาทและระดับความสนิทสนมนาคาซก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าจะถูกเรียกอย่างไร แต่หากเป็นพวกบ้านไม่ต้มหนังสือมารยาทพื้นฐานให้ซดน้ำกินก็ยินดีจะเป็นคนสอนมารยาทขั้นพื้นฐานนั้นให้โดยแลกกับค่าใช้จ่ายเล็กน้อย
จะว่าไปสำเนียงการออกเสียงค่อนข้างน่าสนใจเลยนะ ฟังดูสักพักก็พอรับรู้ได้ว่าไม่ได้พูดดอยซ์เป็นภาษาหลัก รูปประพันธ์โดยรวมก็มีบางส่วนที่แตกต่างจากชาวทวีปกลางเช่นส่วนโครงหน้าที่ออกไปทางชาวตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า
“นายมาจากไหนงั้นเหรอ?”
เด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีน้ำตาลหันไปมองนาคาซที่อยู่ๆ ก็โพล่งถามมาอย่างไม่มีที่มา
“หมายความว่ายังไง? ฉันสอบที่นี่ก็ต้องอยู่ที่เบียวา ทาร์ช่าอยู่แล้วสิ” น้ำเสียงปนไปด้วยความหวาดระแวงเล็กน้อย
นาคาซส่ายหัวให้กับคำตอบนั้นเล็กน้อย
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น พูดให้ชัดอีกนิดคือบ้านนายมาจากไหนล่ะมั้ง?”
เด็กชายผู้นั้นหยุดทุกการกระทำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงหันไปมองร่างของอีกฝ่ายอย่างตั้งแง่ราวกับพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อ ทว่าในทางกลับกันนาคาซยังคงลูบไล้ร่างกายด้วยน้ำเปล่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้จะเหยียดหรือจะล้อสักหน่อย ที่ถามก็เพราะฉันเองก็มีเพื่อนที่มีโครงหน้าคล้ายกับนายเฉยๆ หมอนั่นเก่งเรื่องการใช้มีดแถมยังพูดติดสำเนียงคล้ายๆ กันก็เลยอดคิดไม่ได้ว่ามาจากที่เดียวกันรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”
หรือพูดอย่างเจาะจงบรรพบุรุษของทั้งคู่น่าจะมาจากถิ่นเดียวกันอย่างพื้นที่ที่ถูกเรียกว่าหมู่เกาะฟิลิปินาสอันเป็นดินแดนที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวนมากซึ่งเคยถูกรุกรานโดยไอบีเรียเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อสามสิบสองปีก่อนได้มีชาวฟิลิปินาสจำนวนหนึ่งล่องทะเลมาปักหลักที่สหพันธรัฐดอยซ์ลันด์แห่งนี้ ด้วยเหตุนั้นนาคาซจึงลองคาดเดาดูเพื่อทดสอบความสามารถในการสังเกตและอนุมานของตนว่ามีความแม่นยำมากน้อยแค่ไหน
ทว่าแม้จะพูดไปแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายก็ยังคงไม่วางท่าทีหวาดระแวงลง
ช่างน่าเศร้าแม้ว่าประเทศนี้จะมีโทษทางกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงและเชิดชูความสามารถเหนือสิ่งอื่นใด ทว่ามนุษย์นั้นก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ สำหรับผู้ที่มีตัวตนอยู่ในผืนแผ่นดินนี้มาอย่างยาวนานพวกเขาย่อมมีความหวาดระแวงต่อคนนอกอยู่ในใจและมักแสดงออกมาในลักษณะที่มีเพียงแค่คนนอกเท่านั้นที่จะรับรู้ได้ถึงการกีดกันนั้น โดยเฉพาะกับในเด็กวัยนี้จะแสดงออกถึงการกีดกันนั้นออกมาอย่างชัดเจนในรูปแบบของการรังแกกัน เพราะแบบนั้นการที่ลูกหลานของเหล่าคนที่พึ่งจะย้ายถิ่นฐานมาอย่างเด็กชายที่ชื่อว่าเลออนนี้จะเคยถูกกลั่นแกล้งมาก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้แต่อย่างใด
นาคาซเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดเพื่อปิดน้ำก่อนจะใช้นิ้วเคาะไปตรงบริเวณใต้ตาเบาๆ
“ฉันเองก็สืบสายเลือดมาจากทางตะวันออกเหมือนกับนายนั่นแหละ”
อาจจะต่างกันเล็กน้อยตรงที่ตระกูลตนปักหลักในดินแดนแห่งนี้มาอย่างยาวนานกระทั่งกลมกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชาวพื้นถิ่นไปแล้ว
นาคาซเดินไปยังพื้นที่แต่งตัว คว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาซับร่างกายให้แห้ง ห่อหุ้มร่างกายด้วยชุดที่สวมใส่มาตลอดตั้งแต่เมื่อวานด้วยความเงียบงัน บรรยากาศตึงเครียดไม่ได้ถูกผ่อนคลายลงแต่อย่างใดและเขาก็ไม่คิดพยายามที่จะทำมัน
“งั้นฉันขอถามหน่อย… เพื่อนในความหมายของนายหมายความว่าอะไร?”
เป็นคำถามเรียบง่ายทว่าค่อนข้างยากที่จะอธิบาย สำหรับนาคาซแล้วคำว่าเพื่อนไม่ได้มีรูปธรรมหรือนิยามชัดเจนและไม่เคยคำนึงถึงความหมายมาก่อน คิดเพียงว่าแค่รู้จักกันมากพอให้คุยกันอย่างเป็นธรรมชาติได้โดยไม่ต้องคำนึงอะไรมากนักก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว
แต่หากมองในบริบทของอีกฝ่ายแล้ว คำว่า’เพื่อน’ในที่นี้คงเคยถูกคนอื่นเอาไปใช้ในทางอื่นมาก่อน บวกกับการที่ตนกล่าวถึงเด็กผู้มีรูปพรรณใกล้เคียงกันแล้วคงถามเพื่อความแน่ใจว่าฝั่งนี้ไม่ได้ใช้คำนั้นในการแอบอ้างสร้างผลประโยชน์แก่ตัวเอง
“คนที่กินอาหารบนโต๊ะเดียวกันได้ล่ะมั้ง?”
คำตอบจึงออกมาในลักษณะนั้น แต่พอพูดออกไปแล้วก็ดันทำให้หวนนึกถึงลูน่าไชน์ที่ตนรู้สึกว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติทว่าก็ยังนั่งกินอาหารบนโต๊ะเดียวกันแบบงงๆ ถึงสามมื้อ
พลาดแล้วแฮะ ดันสร้างคำนิยามที่ขัดแย้งกับการกระทำซะได้
ไม่นานหลังจากกลับไปแต่งตัวด้วยชุดใหม่สำหรับวันที่สองก็ถึงเวลาอาหารมื้อแรกของวัน สำหรับเช้านี้เป็นสารพัดไส้กรอกตามแบบฉบับสหพันธรัฐอันประกอบด้วย ไส้กรอกบราท ไส้กรอกไวสส์ ไส้กรอกเบรเกิน และไส้กรอกคนัคเอาไว้กินคู่กับอาหารและเครื่องเคียงอื่นๆ แบบเติมไม่อั้นเช่นเดียวกับทุกครั้ง
สำหรับมื้อนี้นาคาซเริ่มต้นที่ไส้กรอกไวสส์กับหอมหัวใหญ่ผัดบัลซามิก ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่เมนูที่มีรสชาติไม่จัดจ้านมากแต่มีรสชาติถูกปาก ความเข้ากันระหว่างกลิ่นหอมอันเย้ายวนของไส้กรอกรมควันและรสชาติสุดแสนจะกลมกล่อมพอดีปากของหัวหอมผัดนับว่าเป็นการเริ่มต้นวันอย่างเป็นทางการที่ยอดเยี่ยม ถัดไปเป็นสลัดไส้กรอกสดกับสมุนไพร รสชาติจัดจ้านเข้มข้นของไส้กรอกอิตาเลียที่ถูกรูดเนื้อออกและนำมาทอดมีความเข้ากับน้ำสลัดผสมมัสตาร์ดอย่างลงตัว เมื่อนำมากินคู่กับผักสดหลากชนิดแล้วผลลัพธ์ที่ได้จึงอร่อยตรงตามรสชาติในอุดมคติ
ขณะที่กำลังรับประทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลินก็เริ่มมีผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ทยอยเข้ามารับประทานอาหารเช้าเพิ่มขึ้นและเพื่อน(?)ร่วมโต๊ะก็ยังคงเป็นเด็กสาวผู้แต่งตัวด้วยชุดคล้ายเด็กผู้ชายคนเดิม
“ถ้าไม่กินผักก็ทำไมไม่กินเมนูที่มันไม่มีผักเอาเล่า” หลังจากทนดูอีกฝ่ายนั่งเขี่ยผักออกอยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกไป
อย่างเมื่อวานยังพอเข้าใจได้ว่าไม่มีตัวเลือกอื่นให้กิน แต่กับวันนี้มันนับว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย อยากจะกินแบบไหนก็มีให้เลือกเต็มที่แต่ก็ยังจะหยิบของที่รู้ว่ายังไงตัวเองก็เอามาเขี่ยทิ้งขว้างอยู่ดีแบบนี้มันนับว่าเป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือยและไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง
ไอที่เขี่ยๆ อยู่นั่นภาษีประชาชนทั้งนั้น
“ก็ตอนแรกฉันว่าจะลองกินดู…แต่พอลองแล้วก็ถึงรู้ว่าไม่ไหว…” เด็กสาวกล่าวพลางเขี่ยชิ้นผักไปมา ดวงตาจับจ้องแต่สิ่งที่อยู่ในจาน
นาคาซนำส้อมของตนไปสกัดการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความรำคาญใจ ดวงตาสีครามชวนพิศวงดุจก้นสมุทรเลื่อนขึ้นมามองด้วยความฉงน
“ในเมื่อเลือกที่จะเอามากินแล้วก็ต้องรับผิดชอบด้วยการกินให้หมด ไม่ใช่มาเขี่ยภาษีของคนทั้งประเทศเล่นแบบนี้”
ถึงแม้งบภาคการศึกษาจะได้มากเป็นอันดับหนึ่งก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ทิ้งใช้ขว้างได้โดยอำเพลินใจ เพราะฉะนั้นทุกๆ ฟรังก์ที่ถูกจับจ่ายจึงควรจะถูกรีดประสิทธิภาพให้ออกมาได้มากที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“นั่นหมายความว่าในจานนี้ก็มีเงินของตระกูลฉันอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะทำยังไงกับมันก็ได้”
“นั่นก็เงินของบ้านฉันเหมือนกันเพราะฉะนั้นฉันก็มีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเงินภาษีพวกนี้ถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนกัน”
แม้ว่าจะจ้องตาประชันกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดแล้วคนที่ยอมถอยส้อมออกก่อนก็เป็นฝั่งเด็กสาว เธอใช้ส้อมจิ้มผักที่กองอยู่บริเวณขอบจานแล้วกล้ำกลืนฝืนทนค่อยๆ กินพวกมันจนหมดด้วยใบหน้าเหยเกปานจะสำรอกออกมา
“พอใจนายรึยัง?”
เด็กชายปรบมือเบาๆ เป็นจังหวะต่อเนื่องด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ก็แค่นั้น” ไม่ได้แสดงออกถึงความยินดียินร้ายใดๆ เพราะมันคือสิ่งที่ควรจะเป็นตั้งแต่ต้น
ขณะที่กำลังใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดคราบน้ำสลัดออกจากริมฝีปากอยู่ ประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกอย่างอล่างฉ่างพร้อมกับการปรากฏตัวของเหล่าผู้คุมสอบที่เดินเข้ามาพร้อมกับถือกล่องไม้เปลือยรูปทรงเรียบง่ายไร้รอยต่อมาด้วยหนึ่งใบ
เวลาอาหารเริ่มตั้งแต่สิบถึงสิบเอ็ดนาฬิกา การที่พวกเขาปรากฏตัวมาอย่างทันท่วงทีเป็นเหมือนดั่งสัญญาณว่าหมดเวลารับประทานอาหารเช้าแล้ว
บรรยากาศครึกครื้นเปี่ยมไปด้วยความครื้นเครงของเด็กวัยแปดปีถูกตัดทอนในฉับพลันราวกับมีบางสิ่งทำให้ทุกคนเป็นใบ้ ทุกสายตาล้วนมุ่งตรงไปหาเหล่าผู้คุมสอบที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า
“อรุณสวัสดิ์เหล่าผู้เข้าสอบทุกท่าน แม้ความสุขนั้นช่างแสนสั้นและความทุกข์ใจย่อมยาวนานกว่าเสมอ แต่มันก็เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ฉะนั้นพวกเราก็จะขอดำเนินการสอบขั้นต่อไปเลยก็แล้วกัน” ผู้คุมสอบสาวป่าวประกาศด้วยท่วงท่าสื่ออารมณ์และรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ “แต่ก่อนอื่นเราจะขอเรียกชื่อผู้เข้าสอบแต่ละท่านให้เดินมาข้างหน้านี้และใช้มือล้วงลงไปภายในช่องด้านบนกล่อง” พูดจบเธอก็เอามือล้วงลงไปภายในกล่องก่อนจะดึงกลับขึ้นมาพร้อมกับมีกระบอกขนาดเท่านิ้วชี้ติดมือมาด้วย “หลังจากหยิบเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาแล้วให้พวกท่านเปิดฝาออกและดูเนื้อหาภายในกระดาษที่อยู่ในกระบอกพวกนี้ แสดงให้ผู้คุมสอบเห็นและนำไปเก็บไว้กับตัวเอง เป็นไปได้ก็ขอแนะนำว่าอย่าบอกเนื้อหาภายในแก่ผู้เข้าสอบท่านอื่นๆ จะดีที่สุดนะ” เธอเก็บกระบอกนั้นกลับเข้าไปในกล่องและถอยหลังกลับไป
ผู้คุมสอบอีกคนก้าวเท่าขึ้นมาแทนพร้อมกับกระดานแนบเอกสารก่อนจะเริ่มขานชื่อผู้เข้าสอบ
การสอบในวันนี้คือ “เซท์น พังค์ท” หรือหากเรียกกันภาษาชาวบ้านคือ “ค็อพฟ์เกลด์ยักด์” อันเป็นกีฬาเลื่องชื่อของนครเบียวา ทาร์ซ่าแห่งนี้ที่ไม่ว่าใครก็คงได้เคยสัมผัส
กติกาของการแข่งนั้นแสนจะเรียบง่ายก็แค่ทุกคนจับหมายเลขขึ้นมาหนึ่งหมายเลข เจ้าของหมายเลขที่จับได้คือเหยื่อที่ต้องไปชิงป้ายหมายเลขมาขณะเดียวกันตนเองก็จะโดนตามล่าโดยใครสักคนหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยป้ายเลขของตัวเองและของเป้าหมายจะมีค่าป้ายละห้าแต้ม ส่วนของคนอื่นๆ นอกจากนั้นจะมีค่าเพียงแค่สองจุดห้าแต้มหรือในกรณีที่เป็นการแข่งระดับอาชีพเลยป้ายของคนอื่นจะมีค่าเหลือแค่หนึ่งจุดหกเจ็ดแต้มเท่านั้น เป็นวิธีการแข่งที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง แค่ว่าถ้าจะเอาป้ายอื่นนอกเหนือจากนั้นก็จะเหนื่อยหน่อยทั้งในแง่ของการไล่ล่าและหลบหนี ส่วนวิธีชนะนั้นก็แค่เก็บป้ายรวมให้ได้สิบแต้มและอยู่รอดจนครบกำหนดเวลาก็จะนับว่าเป็นผู้ชนะเพราะเหตุนั้นการแข่งนี้จึงถูกขนานนามว่า เซท์น พังค์ท(สิบคะแนน)
ที่สำนักบลูทอัลเกเองก็มีการแข่งขันในลักษณะนี้จัดขึ้นฤดูกาลละหนึ่งครั้ง ทว่าความแตกต่างคือป้ายนั้นไม่ได้มีมูลค่าเป็นเพียงแค่คะแนน แต่มันหมายถึงเงินรางวัลที่จะได้รับหลังจากจบการแข่งขัน ก่อนเริ่มทุกคนจะได้รับเป้าหมายหลักจากการสุ่มจับหมายเลข โดยเป้าหมายหลักจะมีมูลค่าของค่าหัวเป็นสองเท่าจากปกติ และเป้าหมายรองจะมีค่าหัวแตกต่างกันตั้งไปขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน
ยิ่งมีความโดดเด่นมากค่าหัวก็ยิ่งสูงมาก พอค่าหัวสูงมากก็ย่อมโดนเพ่งเล็งมากด้วยเช่นกัน เพราะแบบนั้นเหล่าเป้าหมายระดับลูกอมห้าเม็ดอย่างนาคาซหรือลอเรนติน่าจึงมักจะถูกเพ่งเล็งและบีบคั้นให้ต้องรีดเค้นศักยภาพที่มีทั้งหมดเพื่อให้อยู่รอดภายในการแข่งขันนี้ให้ได้ไปจนจบ เพราะการจะได้เงินรางวัลนั้นผู้เข้าแข่งขันจำเป็นต้องรักษาป้ายหมายเลขของตัวเองไว้กับตัวเองได้หรือไม่ก็ต้องถือครองป้ายหมายเลขที่รวมมูลค่าแล้วเท่ากับค่าหัวของตน และผู้ที่รับได้เงินรางวัลก้อนใหญ่ไปแล้วจะไม่มีสิทธิ์แข่งไปอีกสองฤดูกาลเพื่อเปิดโอกาสให้กับคนอื่นๆ ได้สร้างผลงาน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหล่อหลอมเหล่าผู้ที่จะถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะ
“นาคาซ บลูทอัลเก”
เมื่อถูกเรียกตัวเขาก็ลุกขึ้นเดินไปล้วงหยิบกระบอกขึ้นมาจากกล่องตามขั้นตอน
‘สามสิบเก้า’
เสร็จแล้วก็แสดงกระดาษที่มีหมายเลขเขียนอยู่ให้ผู้คุมสอบดูและเก็บลงไปในกระเป๋ารัดต้นขา
หมายเลขสามสิบเก้า… เมื่อวานตอนแจกป้ายเราได้ป้ายหมายเลขสิบหลังจากมีการเรียกชื่อไปแล้วเก้าครั้ง นั่นหมายความว่าหมายเลขหนึ่งถูกเริ่มนับจากนักเวทธาตุคนแรกและคนสุดท้ายจะได้หมายเลขที่สามสิบเอ็ด แสดงว่าเลขที่เกินจากนี้ต้องเป็นนักเวทที่เข้ารับการสอบแบบพิเศษ คนที่ถูกขานชื่อเป็นอันดับแปด ‘วิษา ชานติ’
น่าเสียดายที่เมื่อวานมัวอ่านแต่หนังสือจนไม่ได้ดูสีหน้าคร่าตาว่าใครเป็นชนใครเลยจึงไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ถ้าประกาศชื่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่นานก็จะได้เห็นเอง
“นายได้เลขอะไร”
พอกลับมานั่งที่เดิมเด็กสาวเพื่อนร่วมโต๊ะที่ได้ไปจับหมายเลขก่อนแล้วห้าอันดับก็ถามเช่นนั้นในทันที
“ไม่ใช่เธอ แค่นั้นแหละ”
“แต่ฉันใช่” เด็กสาวยื่นม้วนกระดาษที่ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบอยู่มาให้
เมื่อรับมาและคลี่ออกดู ดวงตาสีทองอำพันของเด็กชายก็เบิกโพลงขึ้นชั่วขณะด้วยความตื่นใจเล็กน้อย
หมายเลขสิบ นอกจากมันจะอยู่บนกระดาษใบนี้แล้วมันก็ยังอยู่บนป้ายของตนด้วย นั่นหมายความง่ายๆ ว่าตนคือเป้าหมายที่จะโดนเด็กสาวผู้นี้ไล่ล่า
“ถ้าคิดว่ามาเอาได้ก็มาเลย”
แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ภายในหัวกำลังคำนวณหาวิธีรับมือกับหนึ่งในบุคคลที่ตนมองว่ายุ่งยากที่สุดอยู่อย่างคิดไม่ตก
เด็กสาวรับม้วนกระดาษนั้นกลับไปแต่ยังคงกระดิกนิ้วคล้ายจะกวนประสาทกัน
“อะไร?”
“ของนายไง ฉันให้นายดูของฉันแล้วทีนี้ฉันขอดูของนายมั้งสิ”
“เฮอะ ประทานโทษครับเมื่อกี้ผมถือว่าทางนั้นเป็นการให้ด้วยความพิศวาส เราไม่ได้มีข้อตกลงกันว่าจะแลกเปลี่ยนกันดูข้อมูลของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
กล่าวโดยสรุปคือไม่มีพยานหลักฐานอะไรใดๆ ที่ยืนยันการทำสัญญาแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น อีกทั้งหากเด็กคนนี้รู้ว่าเป้าหมายคือใครแล้วทุกๆ อย่างมันจะยุ่งยากกว่าเดิม ในกรณีเลวร้ายสุดคือการโดนตัดหน้าและถูกบีบให้ต้องสู้กันหรือเจรจาอย่างเสียเปรียบเพื่อที่จะเอาป้ายหมายเลขสามสิบเก้ามาครอบครอง
จริงอยู่ที่ต่อให้รู้เลขไปก็ไม่รู้ว่าหน้าตาของเป้าหมายเป็นยังไงแต่มันก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้แถมเป็นความเสี่ยงที่เลี่ยงได้ตั้งแต่ต้นอีกต่างหาก พวกที่รู้แบบนี้แล้วยังจะเสี่ยงอยู่ก็น่าจะมีแค่พวกสมองกลับเท่านั้นแหละ
“ชิ” เด็กสาวจิ๊ปากแล้วเก็บมือกลับไปอย่างว่าง่ายผิดคาด
แต่ความว่าง่ายทั้งที่ทำตัวหัวรั้นมาตลอดนี่แหละคือสิ่งที่ไม่ควรไว้วางใจมากที่สุด เพราะมีโอกาสสูงที่อาจจะอาศัยการสังเกตจากปฏิกิริยาที่มีต่อเหยื่อของเราในการระบุตัวเป้าหมายได้ ฉะนั้นก็ควรแสดงท่าทีสนใจทุกๆ คนที่เดินออกไปจับหมายเลขเพื่อกลบจุดนั้นด้วยดีกว่า
หลังจากการขานชื่อดำเนินต่อไปอีกยี่สิบแปดครั้ง ท้ายที่สุดชื่อของผู้เข้าสอบลำดับที่สามสิบเก้าก็ถูกป่าวประกาศ
“วิษา ชานติ”
เด็กสาวผู้หนึ่งลุกขึ้นและเดินตรงไปที่เบื้องหน้าของผู้คุมสอบ เธอเป็นเด็กสาวผู้มีผิวกายสีน้ำผึ้ง สวมชุดซัลวาคามิสสีแดงเข้มประดับด้วยลวดลายปักสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบวัฒนธรรมอโศก คลุมไหล่ซ้ายด้วยผ้าดูแพตตาสีเดียวกับชุดที่สวมใส่ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมวยต่ำเพื่อความคล่องตัว หากดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเด็กสาวร่างผอมบางตามมาตรฐาน แต่มีช่วงจังหวะหนึ่งที่แขนเสื้อไหลลงไปกองบริเวณข้อพับทำให้ดวงตาสีทองอำพันสามารถสังเกตเห็นมวลกล้ามเนื้อบริเวณปลายแขนได้อย่างชัดเจน และสิ่งที่ชวนสะดุดตาเหนือกว่าสีอันฉูดฉาดของเครื่องนุ่งห่มก็คือกระดิ่งสลักลวดลายสื่อนัยที่ผูกไว้บริเวณข้อมือและข้อเท้าทั้งสี่
ลูกหลานคนค้าผ้า…งานหยาบแล้วไง ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นแค่ลูกหลานชาวอโศกธรรมดาๆ ที่ไหนได้ดันเป็นลูกหลานของฮัชชาชียะห์
หรือในอีกนามคือเหล่าฮัซซาสซิน กลุ่มหัวก้าวหน้าที่มีแนวคิดและธรรมเนียมแตกต่างจากชาวซาลาดินส่วนใหญ่จึงแยกตัวออกมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินทวีปกลางในฐานะของผู้คุมกฎแห่งโลกใต้ดินตั้งแต่ก่อนที่สหพันธรัฐจะรวมตัวเป็นเอกภาพ ในช่วงแรกเหล่าฮัชชาชียะห์มักจะแฝงตัวไปตามเมืองต่างๆ ในฐานะของคนค้าผ้าเป็นหลัก ทว่าเบื้องหลังกลับเป็นเครือข่ายข่าวกรองขนาดใหญ่ที่สามารถทำงานสกปรกได้ทุกรูปแบบและมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้าผู้ปกครองแห่งนครรัฐฟลอเรนเซีย ในภายหลังเมื่อสหพันธรัฐดอยซ์ลันด์ถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์บทบาทของเหล่าฮัชชาชียะห์ก็พัฒนากลายเป็นสายลับที่แฝงตัวอยู่ในทุกๆ องค์กรเพื่อคอยทำงานสกปรกให้แก่ประเทศที่เปิดโอกาสให้กับแนวคิดของพวกตน
การมีอยู่ของพวกเขาในยุคสมัยปัจจุบันถือเป็นความลับขั้นสูงสุด มีเพียงแค่เจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในองค์กรภาครัฐและบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของประเทศเท่านั้นที่มีสิทธิ์รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่
“น่ารักจังเลยเนอะ” เจ้าของเสียงที่กล่าวประโยคนั้นคือเด็กสาวผู้สวมชุดคล้ายเด็กผู้ชาย
คำถามคือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ แฝงตัว? หรือมาสืบเกี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่าง? ที่แน่ๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเอลตนเมื่อวานแน่ๆ เพราะเรื่องพึ่งเกิดไปไม่ถึงวันและไม่ได้อยู่ในขอบเขตการปฏิบัติงานของพวกฮัชชาชียะห์ แต่ไม่ว่าอย่างไหนการการที่คนจากโลกใต้ดินปรากฏตัวมาแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่แม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีอายุเท่ากันหรือไล่เลี่ยกันก็ตาม
แต่ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ ก็คงมีข่าวแว่วมาให้ได้ยินตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เอาเถอะเดี๋ยวดูท่าทีต่อๆ ไปก็รู้เองนั่นแหละ
“นี่ นายไม่คิดแบบนั้นมั้งเหรอ?”
นิ้วทั้งห้ายื่นออกไปจับแก้วน้ำ ประทับขอบเข้ากับริมฝีปากแล้วดื่มน้ำทั้งแก้วไปจนหมดภายในคราวเดียวเพื่อบรรเทาความคิดอันแสนพลุ่งพล่านให้สงบลง
“คิดว่าชุดสวยดี ทำจากผ้าฝ้ายหนาเป็นหลักส่วนผ้าคลุมไหล่นั่นก็เป็นผ้าขนสัตว์ ดูๆ แล้วน่าจะเป็นขนแกะ รวมมูลค่าทั้งหมดก็น่าจะประมาณร้อยยี่สิบถึงร้อยสี่สิบฟรังก์ไม่รวมภาษี”
“นี่อย่าบอกนะว่านายมองคนอื่นด้วยความคิดแบบนั้นตลอดเลยน่ะ?” เด็กสาวหันมามองแรงใส่เด็กชายที่ยังคงแสดงท่าทีเฉยเมย แม้ว่าจริงๆ แล้วในหัวจะอลหม่านราวกับศึกตะลุมบอนก็มิปานก็ตาม
นาคาซทำเพียงแค่ยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วกระดกน้ำที่พึ่งจะเติมใหม่ไปจนหมดอีกครั้ง ในแง่นึงแล้วสิ่งที่เด็กสาวพูดมันก็เป็นความจริงแต่เพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะสาเหตุที่มองแบบนั้นหลักๆ ก็เพื่อทำความรู้จักอีกฝ่ายผ่านลักษณะการแต่งกาย เพราะมนุษย์ชอบแสดงออกถึงความมั่งคั่ง นิสัย รสนิยม และพฤติกรรมส่วนหนึ่งของตนออกมาผ่านการแต่งกาย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากพฤติกรรมแปลกๆ ที่ตนอาจจะแสดงออกหรือไม่แสดงออกไปอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากเด็กสาวผู้นั้นกลับไปนั่งที่เดิมผู้คุมสอบก็ขานชื่อผู้เข้าสอบคนสุดท้าย เมื่อทุกคนรู้หมายเลขที่จับได้หมดทุกคนแล้วผู้คุมสอบก็เริ่มประกาศกติกาต่างๆ สำหรับการสอบ เซท์น พังค์ท กล่าวโดยสรุปแล้วก็ไม่มีส่วนไหนแตกต่างจากมาตรฐานนอกจากการอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ได้แค่เฉพาะระดับสองลงไป นั่นคืออยู่ในขอบเขตที่สามารถทำให้บาดเจ็บได้แต่ไม่ถึงไม่ถึงขั้นสาหัส
กฎเกณฑ์ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้ออำนวยต่อการแข่งขันระหว่างนักเวทด้วยกันโดยเฉพาะเลยทำให้รู้สึกสะดวกมากกว่าตอนแข่งกันในสำนักที่ต้องใช้เพียงแค่ความสามารถทางกายภาพกับมันสมองเป็นหลัก… เดิมทีแค่แข่งแบบไม่ใช้เวทมนตร์ก็ค่อนข้างวายป่วงอยู่แล้ว พอใช้ได้แบบนี้แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยแฮะว่าภาพรวมจะออกมาแบบไหน แต่ที่แน่ๆ คงจะน่าสนุกไม่น้อยเลย
เนื่องจาก เซนท์น พังค์ท นั้นต้องการพื้นที่อย่างมากเพื่อรองรับผู้เข้าสอบทั้งหมดสี่สิบคนจึงจำเป็นต้องขนย้ายไปยังอีกฟากหนึ่งของกองบัญชาการเสนาธิการภาคตะวันออก
ขบวนรถม้าทั้งหกคันหยุดลง เหล่าผู้คุมสอบและผู้เข้าสอบทั้งหมดลงมายืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเบื้องหน้ากำแพงพุ่มไม้สูงใหญ่สีเขียวสดความสูงสามเมตร เหนือขึ้นไปคือระเบียงเหล็กที่ทอดยาวไปตามแนวของกำแพง
ข้างหน้าแต่ละแถวมีโต๊ะไม้และชั้นวางอาวุธเรียงรายอยู่พร้อมแยกประเภทของอาวุธชัดเจน แต่สิ่งที่ดูจะดึงดูดสายตาของผู้เข้าสอบแทบทุกคนคือเหล่าทหารสวมหมวกเหล็กปิดใบหน้ามิดในชุดเทรซโค้ชสีเหล็กยืนระเบียบพักอยู่ข้างหน้าทางเข้าทั้งหมดสิบสี่คน พวกเขาสวมถุงมือและรองเท้าบูตหนังแทนการสวมเกราะเหล็กเหมือนดั่งทหารหน่วยอื่นๆ บริเวณไหล่ติดสัญลักษณ์ตีนตุ๊กแกรูปหัวนกฮูก บริเวณเอวคาดแตรเขาสัตว์กับคาตานะปลอกดำตัดด้วยเส้นสีเงินสองแถบ
ทั้งสถานที่และผู้คนนาคาซทั้งเคยเห็นและรู้จักดีในระดับหนึ่ง เพราะช่วงหนึ่งเดือนก่อนที่จะออกไปปฏิบัติการบริเวณแถบชายแดน ทั้งเขาและหน่วยแอลเบียนฟัลค์จำเป็นต้องมาฝึกยุทธวิธีที่นี่เพื่อปรับตัวร่วมกับทหารหน่วยอื่นๆ ภายใต้การประเมินของเหล่านายทหารสังเกตการณ์ผู้คอยทำหน้าที่คอยสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมของผู้เข้ารับการฝึก แต่เพราะเคยที่สนามเขาวงกตแห่งนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นจึงทำให้แผนที่ภายในหัวของเขาอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์อยู่หลายส่วน
“งั้นจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย” หัวหน้าผู้คุมสอบก้าวเดินไปยืนข้างหน้าแถวของหน่วยสังเกตการณ์ “เนื่องจากสนามสอบในรอบนี้มีขนาดที่ใหญ่มากพวกเราจึงได้ไปขอความร่วมมือจากผู้ที่มีประสบการณ์ในการสังเกตการณ์ในการสอบภาคปฏิบัติให้มาช่วยคุมสอบในครั้งนี้ด้วย พวกเขาเหล่านี้คือหน่วยฝึกสอนแห่งกองทัพภาคตะวันออก”
ทันทีที่หัวหน้าผู้คุมสอบหลีกทางให้ นายทหารสังเกตการณ์ผู้ติดยศอาวุโสที่สุดก็ก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างองอาจพร้อมทำท่าวันทยหัตถ์ให้กับหัวหน้าผู้คุมสอบ
“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทางกระทรวงเวทมนตร์มากที่ไว้ใจให้พวกเรามาช่วยในการคุมสอบแสนสำคัญครั้งนี้ครับ” เขาเอามือลงและหันไปทางผู้เข้าสอบที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมทำท่าระเบียบพัก “ถ้างั้นขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ พวกเราคือหน่วยสังเกตการณ์การฝึกภาคปฏิบัติประจำกองบัญชาการทหารภาคตะวันออกแห่งสหพันธรัฐดอยซ์ลันด์ จะมารับผิดชอบในส่วนของการช่วยสังเกตการณ์การสอบภาคปฏิบัติในหัวข้อ เซท์น พังค์ท ของทุกท่านและมาช่วยอธิบายกฎต่างๆ เพิ่มเติมโดยละเอียดหลังจากนี้ครับ”
เช่นนั้นรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ที่ผู้คุมสอบไม่ได้บอกก่อนหน้านี้ก็ถูกนำเสนอออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ชัดถ้อยชัดคำไร้ซึ่งการสะดุดหรือตกหล่นเนื้อหาใดๆ
สรุปสั้นๆ คือระยะเวลาของการสอบในหัวข้อนี้คือเจ็ดชั่วโมง ในระยะเวลานั้นผู้เข้าสอบจะไม่สามารถออกจากเขาวงกตที่เป็นพื้นที่สอบได้ นอกจากเกิดเหตุจำเป็นอย่างผู้สังเกตการณ์ประเมินแล้วว่าผู้เข้าสอบบาดเจ็บเกินกว่าที่จะสามารถดำเนินการสอบต่อไปได้ หรือผู้เข้าสอบขอถอนตัวซึ่งจะนับว่าเป็นการสละสิทธิ์สอบ หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่จำเป็นต้องหยุดการสอบกะทันหันซึ่งจะนับว่าการสอบทั้งหมดเป็นโมฆะ ทั้งหมดนี้นับว่าการตัดสินใจของผู้สังเกตการณ์ถือเป็นอำนาจเด็ดขาด
ส่วนเรื่องของการพกพาอาวุธนั้น ผู้เข้าสอบได้รับอนุญาตให้พกติดตัวไปได้สูงสุดสองชิ้นและสามารถเลือกที่จะสวมชุดเกราะหนังที่มีการจัดเตรียมไว้ให้ได้ตามสะดวก ในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะหนังแล้วบาดเจ็บสาหัสจะถือเป็นความรับผิดชอบและความประมาทของผู้เข้าสอบเอง
“กติกาทั้งหมดมีเท่านี้ หากใครมีคำถามอะไรขอให้รีบถามภายในเวลาสิบวินาทีหลังจากนี้” หัวหน้าหน่วยสังเกตการณ์ชูกำปั้นขึ้นมาขนานศีรษะและเริ่มชูนิ้วขึ้นตามทุกวินาทีที่เลยผ่านไป เมื่อชูทั้งห้านิ้วขึ้นครบสองรอบแล้วเขาก็เก็บมือกลับไปในท่าระเบียบพักดังเดิม “ถ้าเช่นนั้นจะขอเริ่มการแจกจ่ายอาวุธ ขอเชิญให้ผู้เข้าสอบทุกท่านเดินเลือกอาวุธได้ตามอัธยาศัยได้เลย”
เหล่าทหารสังเกตการณ์ที่อยู่ข้างหลังหลีกทางออก เผยให้เห็นอาวุธที่เรียงรายอยู่บนชั้นวางและโต๊ะเบื้องหลังพวกเขา พร้อมกันเหล่าผู้เข้าสอบก็เดินไปหยิบอาวุธกันอย่างเป็นระเบียบ บ้างก็ยืนพิจารณาอยู่นาน บ้างก็คว้าอาวุธที่ตนถนัดมาอย่างไม่ลังเล ทว่าไม่ว่าจะมองไปที่อาวุธชิ้นไหนในสายตาของนาคาซทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่ท่อนไม้หรืออย่างดีก็กระบองไม้ที่มีรูปลักษณ์และจุดศูนย์ถ่วงที่เลียนแบบอาวุธของจริงเพียงเท่านั้น
สำหรับผู้ที่ถูกฝึกมาให้มีความชำนาญในศิลปะการต่อสู้หลากหลายด้านแล้ว ไม่ว่าจะกวาดตามองไปยังอาวุธชิ้นไหนก็มั่นใจว่าจะสามารถใช้พวกมันคว้าชัยชนะมาได้ แต่หากกล่าวถึงอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก็ย่อมต้องเป็นสิ่งนั้น
อาวุธที่ผ่านการพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์มาแล้วผ่านความเกรียงไกรอันแสนยาวนานของจักรวรรดิอ็อกตาวินุส หรือหากมองใกล้กว่านั้นอีกนิดก็อย่างความปราชัยที่มีต่อชาวอัลฟาร์ของทั้งราชวงศ์แฮพส์บวร์คและราชรัฐบูร์กอญอันแสนเกรียงไกรของดยุกชาร์ลผู้อาจหาญ
อเนกประสงค์เกือบที่สุด ฝึกฝนให้ชำนาญได้ง่าย แถมต้นทุนในการสร้างก็แสนถูก แตกต่างอาวุธที่แทบหาประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้เช่นดาบที่ทั้งหนัก ดูแลยาก ประสิทธิภาพการรบต่ำ ต้นทุนในแง่ทรัพยากรและราคาก็สูงเพราะองค์ประกอบมากกว่าร้อยละเจ็ดสอบเป็นเหล็กตัน แต่ถึงแม้จะคิดแค่ในกรอบของอาวุธที่เป็นไม้ล้วนเช่นในสถานการณ์นี้ อาวุธชิ้นนี้ก็ยังคงทรงประสิทธิภาพที่สุดอยู่ดี
ฝ่ามือทั้งสองข้างยื่นออกไปคว้ากระบองไม้ที่มีหน้าตาคล้ายหอกมาพร้อมกับมีดไม้ เพียงเท่านี้ก็สามารถตอบสนองต่อการต่อสู้ระยะประชิดได้อย่างยืดหยุ่น แต่ก็อดเสียดายไม่ได้จริงๆ ที่ไม่มีอาวุธยาวลักษณะเหมาะสมกับการสู้แบบตัวต่อตัวมากกว่านี้อย่างพวกง้าวหรือทวน
นึกเสียดายเช่นนั้นจบแล้วนัยน์ตาสีทองอำพันจึงกวาดดูอาวุธภายในมือของคนอื่นๆ ในขณะที่เดินกลับไปยังแถวของตน
หลายคนเลือกที่จะหยิบดาบกันไปมากกว่าอย่างนาตั้งคำถามว่าเพราะอะไร ส่วนลูน่าไชน์เลือกที่จะหยิบหอกไป และวิษา ชานติเห็นหยิบไปเพียงแค่มีดยาว แต่หากพิจารณาถึงรูปแบบการต่อสู้ของฮัชชาชียะห์แล้ว ก็คงจะแอบหยิบมีดสั้นไปด้วยโดยที่ไม่มีใครเห็น ที่ทำแบบนั้นคงหวังเพื่อให้ผู้ล่าที่คอยแอบสังเกตอยู่ชะล่าใจว่าตนพกไปเพียงแค่ชิ้นเดียว
เล่นกันตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยนะ
“ถ้าหากเตรียมตัวเสร็จแล้วเราจะขอเริ่มดำเนินขั้นตอนต่อไป ถัดไปพวกเราทั้งหน่วยสังเกตการณ์และผู้คุมสอบจะขออนุญาตนำผ้าปิดตาของผู้เข้าสอบทุกท่านเพื่อนำตัวไปปล่อยภายในสนามสอบ ในระหว่างกระบวนการขอให้ทุกท่านอย่างตื่นตระหนกเพื่อความสะดวกต่อการดำเนินการในภาพรวมด้วยครับ”
กล่าวจบทั้งทหารสังเกตการณ์และผู้คุมสอบก็เดินไปใช้ผ้าปิดตาของเหล่าผู้เข้าสอบที่ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ