[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 12 Summun Voti
ช่วงเวลาหนึ่งหรือสองปีนั้นสำหรับวาซิลิซาแล้วมันไม่เคยเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเลย โดยเฉพาะกับสมัยที่ยังคงร่ำเรียนอยู่ เพียงแค่เรียน ทำงานส่ง และสอบไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เรียนจบออกมาด้วยคะแนนสูงลิ่วแถมไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็สามารถสอบบรรจุเป็นจอมเวทระดับสี่ซึ่งเป็นระดับที่เกือบสูงสุดเป็นรองเพียงแค่จอมเวทระดับห้าได้อย่างไม่ยากเย็น
สำหรับเธอแล้วทุกๆ อย่างมันทั้งง่ายดายและรวดเร็วในการที่จะยื่นมือออกไปไขว่คว้ามา อาจจะเพราะด้วยเหตุนั้นจึงไม่เคยมีแรงจูงใจอะไรในชีวิตเลยนอกจากการทำตามปณิธานดั้งเดิมอย่างการเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ให้กับตระกูลที่ช่วยเหลือให้ครอบครัวของเธอยังคงอยู่กันอย่างพร้อมหน้าหลังจากเหตุการณ์ที่นอร์ทวินด์
ด้วยความสามารถที่มีอยู่อย่างรอบด้านและไปจนสุดทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นงานแบบไหนเธอก็พร้อมที่จะทำให้มันลุล่วงทั้งหมดได้เพียงแค่ออกคำสั่ง งานส่วนใหญ่ที่มักจะได้รับก็คือการเป็นลูกมือให้กับลีเวียผู้เป็นอาจารย์ในการทำวิจัยหรือจัดการงานเอกสารจิปาถะต่างๆ อย่างการตรวจสอบบัญชีบริษัทที่อยู่ภายใต้นามของตระกูลบลูทอัลเก แน่นอนว่าถึงแม้ในช่วงแรกงานเหล่านั้นจะยุ่งยากชวนปวดหัวอยู่บ้าง แต่เพียงแค่หาทางออกที่ทั้งสะดวกที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดเจอทุกๆ อย่างมันก็กลับไปง่ายดายอีกครั้ง
และในระหว่างที่เธอคิดว่าตนคงใช้ชีวิตเรื่อยๆ แบบนี้ต่อไปจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในคำสั่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับก็ถูกถ่ายทอดมาให้หลังจากมหาจอมเวทลีเวียธาน โคคุจาให้กำเนิดบุตรชายได้เป็นเวลาหนึ่งปี
“ลิซา ช่วยพวกฉันเลี้ยงนาคาซสักเดือนสองเดือนได้รึเปล่า”
คำสั่งนั้นถึงกับทำให้วาซิลิซาที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้ามากนักถึงกับทำตากลมด้วยความประหลาดใจ แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ ณ ตอนนั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายมากนัก เพราะในช่วงเวลานั้นทั้งไอแซกและลีเวียต่างก็ต้องสังเวยเวลากว่าห้าในหกส่วนของวันไปกับการจัดการงานเอกสารที่คนนอกอย่างเธอไม่สามารถช่วยดูแลให้ได้ เวลาส่วนใหญ่ควรที่จะมอบให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจึงได้หดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
เนื่องจากไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องปฏิเสธเธอจึงตอบรับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย การดูแลนาคาซเองก็ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากหรือชวนปวดหัวมากนักเพราะเด็กคนนั้นมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันตรงที่เขาไม่ค่อยงอแงและสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการใช้เหตุผล สิ่งที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดนั่นคือการที่ดวงตาของนาคาซที่มักจะจ้องมองสิ่งต่างๆ ด้วยแววตาแฝงนัยสงสัยพร้อมตั้งคำถามอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแทบทุกสิ่งที่สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด
แม้หลายต่อหลายครั้งจะยากลำบากในการให้คำตอบที่ทั้งเข้าใจง่ายและตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด แต่ปฏิกิริยาของเด็กคนนั้นในทุกๆ ครั้งที่ได้รับคำตอบมันก็ชวนให้เธอรู้สึกอิ่มเอมใจได้เสมอ รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์และแววตาที่ส่องประกาย สิ่งเหล่านั้นมากพอที่จะทำให้เด็กสาวผู้ไร้ซึ่งแรงจูงใจใดๆ ในชีวิตจ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง ราวกับว่าชีวิตได้รับการเติมเต็มบางอย่าง
ความปรารถนาสูงสุดไม่ได้มีเพียงแค่การรับใช้ตระกูลโคคุจาอีกต่อไป
เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกจุดประกายขึ้นมานี้มันคืออะไร รู้เพียงว่าตนต้องการจะทำหน้าที่นี้ต่อไปเพื่อที่จะได้อยู่ข้างกายของนาคาซ เช่นนั้นเธอจึงเอ่ยความปรารถนาให้ลีเวียฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ผู้เป็นอาจารย์จะแสดงใบหน้าประหลาดใจออกมาไม่น้อยให้กับคำขอนั้น แต่ท้ายที่สุดความปรารถนานั้นก็ได้รับการตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอันงดงามดั่งรูปปั้นของหญิงงามในอุดมคติ
ไม่รู้ว่าเพราะตนสืบเชื้อสายมาจากชาวโยทันที่มีอายุขัยเฉลี่ยยาวนานกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบปีหรือเป็นเพราะห้วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นเสมอดั่งคำกล่าวในบทกวี ช่วงเวลาห้าปีที่เธอทำหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและอาจารย์ในหลายๆ เรื่องเปลี่ยนให้เด็กชายที่พึ่งจะหัดเดินได้ไม่นานเติบใหญ่กลายเป็นคนที่มีบุคลิกพึ่งพาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ใช่ผลงานของเธอทั้งหมดที่หล่อหลอมให้นาคาซเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าส่วนสำคัญที่เป็นชนวนให้อสรพิษตัวน้อยพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะมีเธออยู่ ต้นแบบที่สมบูรณ์กว่าใคร ‘วาซิลิซา วัลฮีรอฟ’ ทั้งมีช่วงอายุที่ไม่ห่างกันเกินไป มีความรู้ความเข้าใจที่แตกฉานในศาสตร์หลากหลายแขนงอีกทั้งยังสามารถอธิบายออกมาให้เข้าใจได้ง่าย และสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือความเอาใจใส่ที่แม้จะมากเกินไปสักหน่อยแต่ก็เปรียบได้ดั่งยารักษาที่คอยฟื้นฟูจิตใจอันอ่อนล้าจากการร่ำเรียนอย่างหนักของนาคาซได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นเดียวกันจิตใจของวาซิลิซาก็ได้รับการเติมเต็มด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ตอนนี้ก็ไม่ยังคงไม่สามารถอธิบายได้
ช่วงเวลาล้ำค่าที่สุดของเธอคือการส่งนาคาซเข้านอนไม่ว่จะเป็นการนอนกลางวันหรือกลางคืน โดยเฉพาะการส่งนอนยามดึก หน้าที่ตกมาถึงมือของเธอไม่บ่อยนักเพราะส่วนใหญ่จะตกเป็นของไอแซกและลีเวียที่แก่งแย่งกันยิ่งกว่าอะไรดี แต่ก็มีบางครั้งที่ทั้งสองหมกมุ่นอยู่กับงานมากเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น แม้ทั้งคู่จะมองว่าการผลักภาระนี้ไปให้กับคนอื่นจะเป็นการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบแต่สำหรับวาซิลิซาแล้วเธอยินดีที่จะตอบรับความต้องการเสมอ นั่นก็เพราะเธอชื่นชอบเวลาที่ได้จ้องมองใบหน้าอันปราศจากซึ่งความกังวลของนาคาซในยามหลับใหลยิ่งกว่าใครๆ
ซึมซับทุกไออุ่นที่แผ่ซ่านมายังต้นขา ปลายนิ้วเรียวยาวไซร้ไปตามใบหน้าขาวใสจนเห็นเส้นเลือดที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังอย่างอ่อนโยน สูดดมกลิ่นสมุนไพรที่ผมสีดำหยักศกโอบอุ้มไว้ ขณะที่ดื่มด่ำกับความงดงามเบื้องหน้าด้วยความเคลิ้มเคลิ้มมึนเมาใบหน้าก็เคลื่อนเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกบางอย่างที่เก็บงำมาอย่างยาวนานค่อยๆ เดือดพล่านขึ้นทุกครั้งที่จ้องมองไปยังริมฝีปากอันแสนน่าเอ็นดูนั้น แม้รู้ว่าหากทำไปคงนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจที่จะเก็บงำความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าใจนี้ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
อย่างน้อยๆ… อย่างน้อยๆ ก็ขอระบายความรู้สึกนี้ออกไปสักนิดก็ยังดี
“ตอนแรกฉันแค่วางแผนให้การช่วยเลี้ยงนาคาซเป็นตัวช่วยในการพัฒนาเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของเธอ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเลยเถิดมาได้ไกลถึงขนาดนี้” เจ้าของเสียงเรียบเฉยตรงข้ามกับประโยคที่พูดออกมาคือผู้เป็นมารดาของอสรพิษตัวน้อย
หญิงสาวผู้ครอบครองนัยน์ตาสีโลหิตนั่งมือเท้าคางข้างเดียวพลางจ้องมองไปยังเด็กสาวลูกครึ่งนอร์ทวินด์-อัมบราผู้เป็นศิษย์รักของตนด้วยแววตานิ่งสงบ ราวกับไม่ตื่นตระหนกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนซึ่งเธอได้รับรายงานมาจาก’เพื่อนบ้าน’ที่แสนดี
“ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดมาขนาดนี้…ถ้าฉันแค่สังเกตดีๆ กว่านี้มันคงไม่-” ชายชราร่างยักษ์ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าอมทุกข์ปนสิ้นหวังที่แม้แต่ผู้เป็นวาซิลิซายังไม่เคยพบเห็นมาก่อนปรากฏออกมาอย่างชัดเจน แม้แต่ในยามยากที่สุดอย่างตอนที่ต้องเอาชีวิตรอดออกมาจากนอร์ทวินด์หรือแม้แต่ตอนที่ผู้เป็นแม่จากไปพ่อก็ไม่เคยแสดงสีสันแบบนั้นออกมาให้เห็นมาก่อน
“ฉันขอโทษจริงๆ…..”
แม้ตัวแทนของเจ้าทุกข์อย่าลีเวียและไอแซกจะไม่แสดงท่าทีถือสาอะไร แต่มันกลับให้บรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจยิ่งกว่าสิ่งใด
เพียงแค่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นพ่อ ปากของเด็กสาวผมสีขาวที่กำลังจะถูกอ้าก็หุบลงอย่างสำเหนียกตน
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาขอโทษขอโพยกันหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ใครจะคาดคิดกันได้ถึงขนาดนั้น อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มกล่าวพลางชงเครื่องดื่มสีดำที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวให้กับภรรยา ก่อนจะส่งสายตาให้อีกฝ่ายพูดต่อพร้อมยื่นแก้วนั้นไปให้
อสรพิษสาวรับแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มสีดำเต็มแก้วมายกกระดกหมดแก้วในครั้งเดียว
“ก็นะ ในแง่นึงแล้วมันก็ช่วยลดความยุ่งยากในหลายๆ เรื่องไปได้มากอย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้นถ้าเป็นเธอจริงๆ สำหรับพวกฉันแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว ทั้งคุ้นหน้ากันและไว้ใจได้ ดีกว่าใครที่ไหนก็ไม่รู้เป็นไหนๆ แต่” ทันทีที่แก้วเครื่องดื่มถูกวางบนจานรองเกิดเป็นเสียงกระทบเฉพาะตัวบรรยากาศน่าหวาดหวั่นก็แผ่ออกมาจากตัวของหญิงสาวที่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นั่นมันคือในมุมมองในฐานะของโคคุจา ในฐานะแม่แล้วฉันทำใจแทบไม่ได้… มันล้ำเส้นเกินไปลิซา… มันล้ำเส้นเกินไปมากกว่าที่จะมองข้ามหรือยอมรับได้…..”
แม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางน้ำเสียงมากนักแต่วาซิลิซาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเดือดดาลที่ถูกปกปิดไว้ภายใต้ใบหน้าสงบเยือกเย็น ราวกับกระแสธารที่ดูนิ่งสงบแต่ลึกๆ แล้วกำลังไหลหลากอย่างบ้าคลั่ง ยากที่จะจินตนาการได้ว่าหากก้าวขาลงไปในสายธารนั้นแล้วจะถูกพัดพาไปยังแห่งหนใดหรือว่าจะถูกบดขยี้เสียก่อน
อสรพิษสาวหลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกมาอย่างช้าๆ ราวกับเป็นการหล่อเย็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านใกล้ปะทุลง
“ฉันจะถามเธอแค่ข้อเดียวนะลิซา”
คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตามาตลอดเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความกระตือรือร้นเหมือนกับทุกๆ ครั้ง
“ลองจินตนาการว่าถ้านาคาซสนิทกับเด็กผู้หญิงคนอื่นแบบที่สนิทกับเธอ เธอจะยอมรับได้มั้ย?”
“ไม่ค่ะ!… หนูยอมรับไม่ได้….”
ไม่มีแม้กระทั่งท่าทีลังเลหรือแม้กระทั่งร่องรอยของความหวาดกลัวที่ยังคงอยู่จนกระทั่งเมื่อครู่ เด็กสาวปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ดวงตาสีครามฉายแววโกรธาดุจดั่งท้องนภาที่ลุกเป็นไฟ
เพียงแค่จินตนาการภาพนั้นก็รู้สึกเหมือนกับหัวใจถูกบีบรัด มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เธอยอมรับไม่ได้
“ลิซา!!”
ชายชราดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ในฉับพลัน สองเท้าก้าวเดินไปหาลูกสาวด้วยใบหน้าเหยเกเปี่ยมโทสะแต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นก็ถูกขัดขวางโดยมิตรสหายต่างวัยผู้ถือครองดวงเนตรอำพัน พร้อมกันลีเวียก็ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อสื่อเป็นสัญญะแห่งการห้ามปราม
“แม้ว่านั่นจะเป็นความต้องการของฉันน่ะหรอ?”
สำหรับโคคุจาแล้วหากปรารถนาในสิ่งใดจริงๆ ก็สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ราวกับจอมปราชญ์ที่สามารถควบคุมลมฝนได้ดั่งใจนึก การคิดต่อต้านความปรารถนานั้นก็ไม่ต่างจากการแล่นเรือเล็กเข้าไปกลางพายุคลั่งของทะเลเหนือตามสุภาษิตของชาวอัมบรา
แม้จะมีเพียงแค่ชั่วสั้นๆ ที่นัยน์ตาสีครามฉายแววลังเลออกมาเล็กน้อย แต่ชั่ววินาทีต่อมาดวงตานั้นก็ปราศจากซึ่งความหวาดกลัวใดๆ เป็นภาพที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจจะเคยนึกจินตนาการถึงมาก่อนว่าจะมีผู้กล้าต่อต้านปรารถนาของอสรพิษ แม้แต่กับผู้มองเห็นสิบทิศอย่างลีเวียก็เช่นกัน
“ใช่ค่ะ”
นัยน์ตาสีโลหิตส่องประกายขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลมที่ยาวกว่าของคนปกติเล็กน้อย
“โห~ ถ้าถึงขนาดนั้นแล้วก็คงช่วยไม่ได้”
เพียงแค่อสรพิษสาวเคาะนิ้วไปบนโต๊ะเบาๆ ลิ้นชักใต้โต๊ะก็เลื่อนออกมาพร้อมด้วยเอกสารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ ลอยขึ้นไปเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ เอกสารทุกซองล้วนเป็นสีน้ำตาลเรียบง่ายที่ใช่กันอย่างสามัญแม้กระทั่งซองเอกสารที่ลอยมาแนบกับพื้นโต๊ะ
เรียบง่ายและดูไร้ซึ่งความลึกลับใดๆ
“ฉันจะยอมเปิดทางให้เธอก็ได้ลิซา แต่ทุกอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่าย”
‘คงรู้เรื่องนั้นดีใช่มั้ย?’ อสรพิษสาวกล่าวพลางเคาะนิ้วไปบนซองเอกสารนั้นอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะคงที่
น้ำเสียงยังคงนิ่งสงบทว่ากลับรับรู้ได้ถึงการคุกคามเชิงอำนาจ
เธอไม่มีทางเลือกตั้งแต่แรกแล้ว หรือต่อให้มีผลสุดท้ายมันก็จะนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าแน่นอน ไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านั้นวาซิลิซาก็เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์จะสื่อได้อย่างดี นั่นก็เพราะเธอทำงานให้กับคนคนนี้มายาวนานมากพอที่จะเข้าใจชุดความคิดนั้น
เด็กสาวคว้าซองเอกสารนั้นมาไว้กับตัวอย่างว่าง่ายแต่ยังคงใช้ดวงตาสีครามจับจ้องมันด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ
อสรพิษสาวเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับยกขาขวาขึ้นมาทบขาซ้ายเป็นท่าไขว่ห้าง
“งานนี้ทุกๆ อย่างขึ้นอยู่กับเวลา ลิซา ยิ่งกาลเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ต้นไม้ก็จะยิ่งงอกกิ่งก้านมากขึ้นเท่านั้น นี่คือบทลงโทษที่เธอได้รับจากการกระทำครั้งนี้” ซองเอกสารที่เหลือลอยกลับเข้าไปในลิ้นชักที่ต่อมาก็เลื่อนกลับเข้าไปในตำแหน่งเดิม “รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในซองนั่นหมดแล้ว ฉันไม่มีอะไรอยากจะพูดกับเธอแล้ว ไปซะแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกจนกว่าจะทำภารกิจเสร็จ”
ตลอดห้วงเวลาสองปีกับอีกสามเดือนห้าชั่วโมงยี่สิบสามนาทีกับอีกสิบหก…สิบเจ็ดวินาที นับเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าทุกๆ วินาทีที่ไหลผ่านมันช่างยาวนานราวกับศตวรรษ ต้องเดินทางไปในแทบทุกผืนทวีป แวะเวียนไปตามนครต่างๆ แก้ปัญหาสารพัดที่ถูกโยนมาให้จากพี่ลีเวีย ไหนจะต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อไม่ให้มันมีอะไรก็ไม่รู้งอกเพิ่มขึ้นมาพันแข้งพันขาอีก
พูดอย่างตรงไปตรงมา แทนที่จะเรียกว่าเป็นงานหรือภารกิจน่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าบททดสอบหรือเกมประลองเชาว์อะไรทำนองนั้นซะมากกว่า เพราะว่าทุกๆ อย่างทุกๆ การกระทำล้วนขึ้นอยู่กับเวลาที่ไหลผ่านไป ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะหญิงสาวนาม ลีเวียธาน โคคุจา นั้นเป็นผู้ศรัทธาในหลักการประสิทธิภาพนิยมที่ชื่นชอบการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะกับทรัพยากรที่ทุกคนล้วนตระหนักรู้ดีว่าล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดอย่างข้อมูลและกาลเวลา สองสิ่งนั้นจะถูกรีดประสิทธิภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาในรูปของแผนการจำนวนมากมายที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมกับดำเนินการควบคู่กันไปเสมอ และที่เลวร้ายที่สุดนั่นก็คือการที่แผนการพวกนั้นมักจะถูกต่อยอดกลายเป็นการแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นแผนการย่อยๆ อีกจำนวนหลายแผนการ
กลายเป็นต้นไม้ที่ไม่มีวันหยุดโต ยิ่งปล่อยไว้นานแค่ไหนก็ยิ่งต้องถอยห่างออกมาเรื่อยๆ เพื่อมองภาพรวมให้ทั่วถึงมากขึ้น สุดท้ายถ้าปล่อยไว้นานเกินไปก็จะไม่สามารถเข้าใกล้ลำต้นนั้นได้ในท้ายที่สุด เพราะแบบนั้นเป้าหมายหลักของงานชิ้นนี้เลยเขียนกำกับไว้เพียงแค่อย่างเดียว ‘โค่นต้นไม้ต้นนี้ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้’ หรือก็คือการขัดขวางทุกแผนการที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะให้หมด นับว่าเป็นบททดสอบที่ชวนประสาทจับไม่เว้นวันมาตลอดสองปี แม้กระทั่งตอนนี้เองที่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าจัดการไปหมดทุกอย่างแล้วก็ยังต้องระแวดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้โดนเหลี่ยมอีกต่างหาก
ช่างเป็นคนที่นิสัยเสียจริงๆ… แต่ถึงไม่พูดออกไปยังไงเจ้าตัวก็คงรู้ตัวอยู่แล้วนั่นแหละ
ทันทีที่หลุดพ้นออกมาจากอุโมงค์ลอดภูเขาที่มีความยาวมากที่สุดในดอยซ์ลันด์ ดวงตาสีครามอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้สืบสายเลือดนอร์ทวินด์ก็มองทอดออกไปทางหน้าต่าง จ้องไปยังกลุ่มก้อนของอาคารที่ถูกออกแบบผังเมืองมาอย่างเป็นระเบียบซึ่งห่างออกไปสิบห้ากิโลเมตร แม้ในจุดนี้มันจะดูเล็กมากแต่การที่สามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ไกลขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าเมืองเบลเทมไฮล์มมีขนาดใหญ่พอตัว หรืออาจจะใหญ่กว่าที่เธอจดจำได้จากเมื่อสองปีก่อนเสียด้วยซ้ำ
สาเหตุที่เมืองนั้นขยายตัวได้เร็วขนาดนี้ก็คงหนีไม่พ้นการมาถึงของพาหนะที่สามารถปฏิวัติวงการคมนาคมทางบกไปโดยสิ้นเชิงอย่างขบวนจักรไอน้ำที่เธอกำลังโดยสารอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าความเร็วสูงสุดของมันจะอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งช้ากว่าความเร็วเฉลี่ยของม้าที่วิ่งเต็มกำลังอยู่พอสมควร แต่ก็แลกมากับกำลังที่มากกว่าและความไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันไม่จำเป็นต้องพักเป็นชั่วโมงเพื่อพักฟื้นร่างกาย ไม่จำเป็นต้องใช้แรงจำนวนมากเพื่อขนของที่มีน้ำหนักหลายตันซึ่งทำให้ต้นทุนการขนส่งโดยรวมถูกกว่า ด้วยเหตุผลเหล่านั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองท่าต่างๆ จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสิบปี โดยเฉพาะกับเมืองเบลเทมไฮล์มที่ถูกเลือกให้สถานีกลางประจำเขตอีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับมหานครเบียวา ทาร์ช่าที่เดิมทีที่นั่นก็มีประชากรอัดแน่นอยู่จำนวนหลักแสนชีวิต
หากพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่างแล้วการจะพูดว่าอีกไม่นานเมืองนี้ก็จะเจริญเติบโตกว่าเบียวา ทาร์ช่าซึ่งเป็นเมืองที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่ไม่อาจพังทลายได้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงไปแม้แต่น้อย
“เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขบวนจักรของเราจะเข้าเทียบท่าที่สถานีเบลเทมไฮล์มในอีกห้านาที ในระหว่างโปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านให้ครบถ้วนด้วยค่ะ” เสียงนุ่มละมุนหูถูกประกาศผ่านทางท่อส่งข้อความที่ติดอยู่เหนือประตูห้องโดยสารส่วนตัวขนาดสีที่นั่งที่เธอจ่ายเหมามา
ได้ยินเช่นนั้นวาซิลิซาก็คว้าเสื้อนอกสีดำแบบเดียวกับเขาที่มีลักษณะคล้ายช่อมงกุฎใบกระวานของตนมาสวมทับ เก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนที่กองอยู่บนโต๊ะเข้ากระเป๋าหิ้วเพื่อเตรียมตัวตามกฎห้านาทีตามแบบทหารที่ได้รับการปลูกฝังมาจากผู้เป็นพ่อ
แม้ทหารและนักธุรกิจจะมองโลกด้วยทัศนะที่ต่างกันมากจนแทบจะไปด้วยกันไม่ได้แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดนั่นก็คือเวลา สำหรับทหารระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาทีก็มีความหมายถึงการคงอยู่ของชีวิต เช่นเดียวกันสำหรับนักธุรกิจ ทุกวินาทีก็คือจำนวนเงิน คือปริมาณรายรับและรายจ่ายที่พวกเขาจะได้จากการทำธุรกิจ
แต่ต่อให้จะคลุกคลีอยู่กับบุคลากรที่ทำงานอยู่ในทั้งสองสายงานนั้นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยและตระหนักรู้ความสำคัญนั้น เธอก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นทั้งนักธุรกิจหรือทหาร ไม่แม้กระทั่งมีทัศนะที่ใกล้เคียงกันเพราะทุกวินาทีของเธอได้อุทิศไปให้กับผู้อื่นแล้ว
“นาคาซ….”
ดวงตาสีครามหลุบมองไปยังหน้าปัดนาฬิกาพกสีเงินที่กำลังถืออยู่ในมือด้วยความจดจ่อ เพียงแค่คิดว่าอีกห้านาทีข้างหน้าบทลงโทษนี้จะจบลงอย่างที่หวังไว้หรือดำเนินการต่อเพราะเล่ห์เหลี่ยมที่ตนอาจเผลอมองข้ามไปมันก็ทำให้ร่างกายสูงใหญ่สั่นเทิ้มอ่อนๆ
ทำได้เพียงแค่เอนตัวลงบนพนักพิงหลังแล้วทำจิตใจให้สงบ หลับตานับเวลาวินาทีต่อวินาทีด้วยความแม่นยำพร้อมกับวางแผนรับมือนับร้อยวิธีเผื่อสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อก้าวลงจากขบวนจักรคันนี้
ทันทีที่สัมผัสได้ว่าความเร็วของขบวนจักรกำลังชะลอตัวลงดวงตาสีครามก็เบิกขึ้นอีกครั้ง มองออกไปยังฝูงชนภายนอกที่ยืนอยู่บนชานชาลาที่กำลังจะเข้าเทียบท่าอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า สถานีเบลเทมไฮล์มเป็นสถานีสุดท้ายของขบวนจักรสายแบรนเดนเบิร์ก-เบลเทมไฮล์มเพราะฉะนั้นผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้นจะมีเพียงแค่คนที่มารอรับผู้โดยสารหรือเจ้าหน้าที่ของกรมการคมนาคมแห่งดอยซ์ลันด์เท่านั้น
ไม่มีร่องรอยของคนจากโคคุจา…
ปกติแล้วคนจากโคคุจาที่ปรากฏตัวมาให้เห็นมักจะแฝงตัวอยู่ในฝูงชนอย่างกลมกลืนกับสภาพสังคมอย่างแนบเนียนแม้ขนาดว่าผ่านมาสองปีแล้วก็ยังจับสังเกตได้ยากอยู่ดี แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะสังเกตไม่ได้ซะทีเดียวเพราะว่าทุกคนล้วนมีสิ่งหนึ่งที่มีพฤติกรรมเหมือนกันนั่นคือการประดับตราสัญลักษณ์ดวงตามีปีกไว้เป็นในลักษณะของเครื่องประดับที่สังเกตได้ค่อนข้างง่าย
แต่ในครั้งนี้กลับไม่เจอบุคคลที่ประดับตราสัญลักษณ์นั้นแฝงตัวอยู่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่ควรวางใจว่าทุกอย่างมันจบแล้วจริงๆ จนกว่าคำคำนั้นจะถูกเอ่ยออกมาจากปากของพี่ลีเวีย
ระหว่างที่กำลังจะลุกออกจากที่นั่งหางตาอันเฉียบแหลมก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย หากแต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอมองหาในตอนแรก
“นาคาซ!”
หญิงสาวหันขวับไปมองภายนอกหน้าต่าง ยื่นฝ่ามือออกไปสัมผัสบานกระจกด้วยความอาวรณ์โดยไม่รู้ตัว
ทุกความคิดถูกสะกดไว้โดยภาพของเด็กชายผมสีดำผู้สวมหน้าปิดบังดวงตากำลังนั่งหันมองซ้ายขวาอย่างจดจ่อเคียงคู่กับชายชราร่างยักษ์ผู้มีเรือนผมสีขาวถูกมัดรวบเป็นทรงหางม้าสั้นๆ ไว้ นัยน์ตาสีครามเช่นเดียวกับสีตาของเธอกวาดมองโดยรอบอย่างเร็วๆ ด้วยความสุขุมตามแบบฉบับนายทหารชำนาญศึก
ทันทีที่สัมผัสได้ว่าขบวนจักรหยุดนิ่งลงอย่างสมบูรณ์วาซิลิซาก็ไม่รอช้าที่จะคว้ากระเป๋าถือของตนขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องโดยสารเพื่อไปหาผู้ที่ตนอุทิศชีวิตให้อย่างไม่รีรอ
พร้อมกันเด็กชายที่จับสังเกตได้ถึงบางสิ่งก็รีบลุกแล้วปรี่ตัวไปยังทิศทางของประตูตู้โดยสารอย่างสุดกำลัง
“เดี๋ยวก่อนสินาคาซ!” ชายชราร่างยักษ์ที่ไม่อาจคว้าแขนของเด็กชายไว้ได้ทันทำได้เพียงแค่ยิ่งตามหลังอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
“พี่ลิซาา!!”
นาคาซวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของหญิงสาวที่ตนคุ้นเคยด้วยใบหน้าเริงร่าสมวัย แสยะยิ้มอันเป็นมิตรในแบบที่แม้แต่ผู้ให้กำเนิดก็ได้เห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้งพร้อมกับชูสองนิ้วขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง
“พีช~! พีช~!”
“พีช~ พีช~” ทั้งคู่ชนปลายจมูกกันพร้อมกับส่ายไปมาเบาๆ
ดูเหมือนว่านาคาซจะยังคงจดจำคำทักทายเฉพาะตัวของพวกเธอไว้ได้อย่างแม่นยำ แบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้มจนอยากจะทำมากกว่าเพียงแค่ชนปลายจมูก แต่ถ้าทำแบบนั้นอีกก็มีหวังที่จะจบไม่สวยไม่ต่างจากที่ตนต้องทนทุกข์ทรมานมายาวนานถึงสองปีแบบนี้ เพราะฉะนั้นจึงเก็บความต้องการนั้นไว้แล้วอุ้มร่างของเด็กชายขึ้นอย่างง่ายดาย
แม้น้ำหนักกับรูปร่างภายนอกจะเติบโตขึ้นจากเมื่อสองปีก่อนมาก แต่ทั้งกลิ่น เสียงและอุณหภูมิร่างกายยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังคงเป็นนาคาซคนนั้นที่ทำให้เธอมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตเพียงแค่การทำตามปณิธานดั้งเดิม
“ยินดีต้อนรับสู่ดอยซ์ลันด์ ลิซา” ขณะกำลังดอมดมกลิ่นเรือนร่างที่ตนหลงใหล ชายชราผู้มีร่างกายสูงกว่าเธอสิบเซนติเมตรก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบพร้อมแสยะยิ้มให้แม้รอยยิ้มนั้นจะมองไม่ค่อยชัดเพราะหนวดเคราที่ถูกดัดแต่งอย่างดีกลบหมด แต่เธอก็สังเกตเห็นลักยิ้มที่โผล่ออกมา
“หนูก็ดีใจเหมือนกันค่ะที่สองคนแรกที่ได้เห็นหน้าเป็นพ่อกับนาคาซ”
สื่อในอีกความหมายคือการที่ไม่มีคนของโคคุจามารอแต่กลับเป็นสองบุคคลที่มีความสำคัญต่อชีวิตมากที่สุดมาปรากฏตรงหน้าแบบนี้ก็หมายความว่าทุกๆ อย่างมันจบลงแล้ว บทลงโทษนี้จบลงแล้วและเธอก็จะได้อยู่ชิดใกล้กับผู้ที่ตนถวิลหาอีกครั้ง
“งั้นก็รีบกลับกันเถอะ ลีเวียกำลังรอลูกอยู่”
ผู้เป็นพ่อก็เดินมาคว้ากระเป๋าหิ้วไปแล้วเดินนำไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ตรงบริเวณลานจอดสำหรับรับส่งผู้โดยสารข้างหน้าสถานี
แม้จะเป็นรถม้าแบบมาตรฐานที่สามารถหาได้ทั่วไปแต่ความต่างของมันคือความนิ่มนวลขณะเคลื่อนที่อันเป็นผลมาจากการติดตั้งอุปกรณ์ที่ได้ข่าวว่าพึ่งจะสามารถผลิตจำนวนมากได้สำเร็จอย่างสปริงที่คอยทำหน้าที่คอยรองรับน้ำหนักจากการกระแทกและตัวหน่วงการสั่นสะเทือนที่คอยลดการสั่นสะเทือนของสปริงไปตรงบริเวณแขนที่เชื่อมต่อระหว่างล้อและตัวรถ ผลที่ได้ก็คือความนุ่มนวลในการโดยสาร นั่งเป็นระยะเวลายาวนานได้โดยที่รู้สึกเมื่อยหรืออ่อนล้าน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะทำการติดตั้ง การที่นาคาซผล็อยหลับขณะหนุนตักของเธอได้โดยที่แทบไม่ขยับตัวเลยคือตัวยืนยันชั้นดี
“หลับไปซะแล้ว…”
จนถึงก่อนหน้านี้ไม่นานยังจนถึงก่อนหน้านี้ไม่นานยังเล่าเรื่องต่างๆ อย่างสนุกสนาน แต่ตอนนี้กลับหลับสนิทด้วยใบหน้าที่ปราศจากความหวาดระแวงไม่ต่างจากเมื่อสองแม้ก่อนแม้แต่น้อย
แบบนี้มันขี้โกงกันเกินไปแล้ว
“เจ้าตัวบอกว่านอนไม่หลับแทบทั้งคืน ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกมั้ง”
ในขณะที่ผู้เป็นพ่อพูดเช่นนั้นหญิงสาวก็ค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปที่ใบหน้านั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม
งั้นเหรอ
‘รอมาตลอดเลยสินะ…’
ในขณะที่ค่อยๆ ก้มลงไปมองใบหน้าที่ตนหลงใหลใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็มีเสียงกระแอมทุ้มต่ำดังมาจากฝั่งตรงข้ามของตนมายั้งไว้
“ลิซา” เสียงลุ่มลึกของชายชราทำให้ลิซากลับมาได้สติอีกครั้ง “จะทำอะไรช่วยนึกถึงผลที่ตามมาหน่อย พ่อไม่อยากเห็นทั้งแกหรือนาคาซต้องทำหน้าอมทุกข์อีกรอบหรอกนะ”
‘หรืออย่างน้อยๆ ถ้าไม่นึกถึงตัวเองก็ช่วยนึกถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้หน่อยเถอะ….’ ดวงตาสีครามเหลือบมองร่างของเด็กชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอ่อนล้า
“รับทราบค่ะ…”
หลังออกมาจากตัวเมืองไปได้สองชั่วโมงในที่สุดรถม้าก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาภายในกำแพงชั้นสองของเมืองเบียวา ทาร์ช่าได้สำเร็จ เบียวา ทาช่าเป็นเมืองที่ถูกออกแบบผังเมืองมาดีเป็นอันดับต้นๆ ของดอยซ์ลันด์ แต่เพราะมีกำแพงขาวที่มีความแข็งเทียมเพชรจึงเป็นการยากเกินกว่าจะรื้อถอนเพื่อขยายตัวเมืองออกไปภายนอก อาคารส่วนใหญ่จึงถูกสร้างขึ้นมาโดยเน้นการขยายขึ้นตามแนวแกนตั้งกลายเป็นอาคารสูงสี่ถึงห้าชั้นคล้ายคลึงกับอินซูล่าภายในเมืองโรมา แต่ต่างกันตรงที่ในปัจจุบันมีระบบสาธารณูปโภคที่ดีกว่ามาก แต่นั่นก็เฉพาะในพื้นที่ที่มีประชากรอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากอย่างบริเวณใจกลางเมือง พอออกมาจนถึงบริเวณชานเมืองก็มีความหนาแน่นของสิ่งปลูกสร้างน้อยลงและถูกแทนที่ด้วยสีสันของธรรมชาติอันชวนหดหู่ในช่วงปลายสารทฤดูแทน
ในจังหวะที่กำลังเข้าใกล้บ้านของตนร่างกายของเด็กชายที่นิ่งสนิทมาตลอดก็เริ่มขยับอีกครั้งพร้อมกับดวงตาสีโลหิตที่เบิกขึ้นอย่างงัวเงีย
“ใกล้ถึงแล้วเหรอครับ…” เด็กชายขยี้ตาพลางอ้าปากหาว คงจะมีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เขาดูไร้พิษภัยสมกับเด็กวัยแปดขวบมากที่สุด
“ใช่ มาหาฉันก่อนมะ เดี๋ยวลิซาต้องไปหาแม่แกก่อน”
ได้ยินแบบนั้นเด็กชายก็เดินไปนั่งที่นั่งซบแขนของชายชราดย่างว่าง่ายก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้งโดยที่แทบไม่มีใครรู้ตัวจนกระทั่งรถม้าจอดลงตรงบริเวณหน้าสถาปัตยกรรมสีขาวความสูงสองชั้นทรงสมัยใหม่ พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมด้วยหญ้าสั้นเตียนที่โตตามธรรมชาติ ถัดออกไปคือดงพงไพรสูงหลักสิบเมตร ให้บรรยากาศราวกับบ้านของแม่มดในป่าเขาตามเรื่องเล่าปรัมปรา หากพูดถึงความต่างจากเรื่องเล่าพวกนั้นคงหนีไม่พ้นความสะอาดตากับบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจราวกับถูกจ้องมองโดยบางสิ่งตลอดเวลาที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจระบุตัวตนของมันได้นอกจากเจ้าของที่ดินแห่งนี้
ทันทีที่สองพ่อลูกตระกูลวัลฮีรอฟเดินไปถึงหน้าประตูมันก็แง้มออกเอง เผยให้เห็นภายในที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายดูสะอาดตา
“ลิซา มานี่” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านดังมาจากห้องฝั่งขวาอันเป็นห้องรับแขก
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นลิซาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะหากเป็นเรื่องงานแล้วผู้เป็นอาจารย์ของตนย่อมเรียกให้ไปคุยภายในห้องทำงาน แต่ครั้งนี้กลับเป็นห้องรับแขกแทน ความไม่รู้นั้นทำให้ความหวาดกลัวก่อขึ้นเล็กน้อยแต่ท้ายที่สุดเธอก็เดินไปตามเสียงนั้นอย่างว่าง่าย ขณะเดียวกันชายชราก็นำร่างของเด็กชายที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทราขึ้นไปนอนที่ห้องนอนของนาคาซเอง
ห้องรับแขกตั้งอยู่ที่ห้องแรกของทางฝั่งขวามือ เพราะฉะนั้นเพียงแค่เดินจากประตูบ้านไม่ถึงห้าก้าวเท้าก็แตะธรณีประตูของห้องนั้น
ผู้ที่กำลังนั่งไขว่ห้างพลางจิบเครื่องดื่มสีดำอันมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอยู่ที่เก้าอี้เดี่ยวบริเวณหัวโต๊ะคือหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำยาวดุจผืนราตรีไร้แสง ดวงเนตรโลหิตที่มีรูม่านตาแนวตั้งคล้ายกับสัตว์นักล่ากำลังจ้องมองมาที่เธอขณะที่นั่งมือเท้าคางด้วยท่าทีสบายอารมณ์แตกต่างจากครั้งล่าสุดที่ได้พบเจอกัน
“นั่งก่อนสิ” ท่อนแขนที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสนิทผายออกไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของตน
“ขออนุญาตค่ะ”
หลังจากเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกฝ่ายก็รินเครื่องดื่มสีดำแบบเดียวกันลงในแก้วใบใหม่แล้วเลื่อนมามาให้กับเธอ
อ่านเจตนาแทบไม่ออกเลย….
“ตลอดสองปีมานี้เธอคิดมาเยอะแล้วลิซา พักผ่อนสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่อยากเห็นตีนกาขึ้นหน้าเธอหรอกนะ ไม่ว่าจะตอนอายุเท่าไหร่ก็เถอะ”
ในเมื่ออ่านเจตนาไม่ออกก็ทำได้เพียงแค่ตามน้ำไปก่อน หญิงสาวผมขาวเอื้อมไปหยิบแก้วเครื่องดื่มที่ได้รับมาดอมดมก่อนจะจิบเล็กน้อยเพื่อวิเคราะห์สายพันธุ์
ถึงจะมีกลิ่นที่แรงกว่าและมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าเมื่อก่อนพอสมควรแต่มันก็ยังคงเป็นสิ่งเดิมที่คนคนนี้เสพติดไม่ผิดแน่นอน
“สายพันธุ์โรบัสแบบคั่วเข้มเหรอคะ? เหมือนรสสัมผัสจะต่างจากเมื่อก่อนไปเยอะเลยนะคะ”
พูดให้ถูกคือรสชาติมันเข้มข้นเกินกว่าที่คนปกติจะดื่มได้แล้ว ขืนมีใครดื่มไปซักอึกหนึ่งมีหวังไม่ต้องหลับต้องนอนไปสามวันเจ็ดวันแล้วพอรู้ตัวอีกทีค่อยไปตื่นบนเตียงโรงรักษาเลยในกรณีที่ยังพอมีโชคอยู่บ้าง
“เพราะยิ่งดื่มบ่อยๆ เข้าก็ยิ่งไม่รู้สึกพอจนพักหลังมานี้ต้องหาทางสกัดให้มันเข้มข้นขึ้นแหละนะ ตอนนี้ฉันก็กำลังหาทางตัดแต่งพันธุกรรมของมันอยู่ ไม่งั้นฉันคงต้องสกัดเมล็ดคัฟฟ่าเป็นกิโลเพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นพอจะกระตุ้นประสาทได้สักหยดแน่”
“เรื่องนี้พ่อก็เคยเตือนพี่ลีเวียแล้วนี่คะ”
เรียกว่าเตือนตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มแสดงอาการเสพติดเลยก็ว่าได้ ตลอดช่วงเวลาที่รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยก็พยายามควบคุมปริมาณคัฟฟ่าที่เจ้าตัวควรจะได้รับต่อวันมาตลอด แต่หลังจากช่วงที่ได้รับคำสั่งให้ไปดูแลนาคาซแทนก็ดูเหมือนว่าพี่ลีเวียจะดื่มมันบ่อยยิ่งกว่าน้ำเปล่าซะอีก และด้วยความสามารถในการปรับตัวระดับอภิมนุษย์ของผู้สืบสายเลือดอสรพิษก็จะยิ่งทำให้ต้องใช้สารกระตุ้นประสาทจากเมล็ดคัฟฟ่าในปริมาณที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แบบแทบไม่มีเพดานกั้น
ณ จุดนี้คงไม่มีใครห้ามเจ้าตัวได้นอกจากเจตนารมณ์ของเจ้าตัวเองแล้วล่ะ อีกเรื่องยังทำได้ก็คือพยายามอย่าให้นาคาซได้ดื่มของพรรค์นี้เลยจะดีกว่า
“ถ้าของแบบนี้มันเลิกง่ายขนาดนั้นยาเสพติดมันคงไม่ระบาดทั่วเขตเรจจิโอ คาลาเบเรียโน่แบบในปัจจุบันหรอก”
“มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเอามาสร้างความชอบธรรมในการไม่เลิกเสพมันอยู่ดีนี่คะ อีกอย่างการที่ยาเสพติดมันระบาดขนาดนั้นก็เพราะความสามารถของทั้งองค์กรปราบปรามอาชญากรรมกับองค์กรฝั่งโลกมืดในพื้นที่นั้นมันต่ำเอง ต้องรอให้มันลามเข้ามาเหยียบถิ่นถึงฟลอเรนเซียก่อนรึไงคะถึงจะเริ่มจัดการอย่างจริงจังกัน?” ลิซากล่าวพลางวางแก้วเครื่องดื่มลงบนจานรอง
เพราะเป็นพื้นที่ที่พึ่งถูกผนวกเข้ามาด้วยการซื้ออาณานิคมมาจากสหภาพไอบีเรียได้ไม่ถึงยี่สิบปี โครงสร้างเก่าที่ติดมาด้วยหลายอย่างจึงมีความจำเป็นต้องรื้อทิ้งแล้ววางรากฐานขึ้นมาใหม่ ความแข็งแรงขององค์กรหลายแห่งจึงยังไม่มั่นคงเท่าที่ควรจะเป็น ช่องโหว่มากมายที่ยังไม่ถูกอุดดีกลายเป็นการรูโหว่เปิดโอกาสให้พวกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ามาเฟียเริ่มสร้างอิทธิพลเหนือพื้นที่เรจจิโอ คาลาเบเรียโน่ขึ้น จนสุดท้ายก็กำเนิดเป็นกลุ่มอาชญากรที่ไม่ก้มหัวให้ใครหรือแม้แต่ยอมอยู่ภายใต้กฎระเบียบของโลกใต้ดิน แต่จะจัดการเลยก็ไม่สามารถทำได้เพราะตอนนี้พวกมันมีชื่อเสียงมากเกินกว่าที่โลกมืดจะลงมือโดยที่ยังสามารถปิดบังตัวตนอยู่ได้
รัฐบาลสมัยปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นหุ่นเชิดให้กับตระกูลเหมือนกับทุกครั้งก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะใส่ใจจนน่าสงสัยว่ามีพวกแอบกินใต้โต๊ะอยู่รึเปล่าหรือต้องให้เมืองฟลอเรนเซียอันเป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจสำคัญโดนครอบงำก่อนถึงจะเริ่มกระเตื้องกัน หรือจะให้เลวร้ายขั้นสุดเลยก็คงต้องให้สรรพากรลงพื้นที่ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็การันตีได้เลยว่าคงได้เห็นเขตเรจจิโอ คาลาเบเรียโน่ลุกเป็นไฟแน่
“เธอนี่น้า~ อุตส่าห์บอกว่าไม่ต้องคิดเยอะแต่ก็ยังจะพูดถึงเรื่องพรรค์นั้นอีก…” หญิงสาววางแก้วเครื่องดื่มลงบนจานรองที่มือซ้ายถืออยู่ราวกับตระหนักรู้ได้ถึงบางสิ่ง “ไม่สิ ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนนี่นะ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
พฤติกรรมของพี่ดูแปลกผิดวิสัยเกินไป คนอย่างพี่ลีเวียจะไม่น่าจะยอมเสียเวลาไปเปล่าๆ กับการสนทนาที่หาสาระแทบไม่ได้พรรค์นี้ แต่จะมองหาเบื้องลึกเบื้องหลังตอนนี้ก็แทบไม่มีเบาะแสอะไรให้สังเกตได้เลย
“มีอะไรอยากจะถามฉันรึเปล่า?” อสรพิษสาวเอ่ยถามราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร
“จุดประสงค์ของการสนทนานี้คืออะไรงั้นเหรอคะ?”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก ฉันก็แค่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการคุยกับน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันตั้งสองปีก็เท่านั้นเอง”
‘ถึงจะเป็นแค่ในแง่ความรู้สึกก็เถอะ’ เธอยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะจิบเครื่องดื่มสีดำต่อ
แค่ในแง่ความรู้สึก? หมายความว่าระหว่างนี้มีแผนการอื่นกำลังถูกดำเนินอยู่เฉยๆ เหมือนกับทุกครั้งหรือหมายความว่าตอนนี้เรากำลังโดนทดสอบบางอย่างอยู่โดยที่ยังไม่รู้ตัวกันแน่?
ให้ตายเถอะ แต่ละอย่างยิ่งคิดมากยิ่งชวนประสาทจับ
“เลิกดื้อแล้วทำตามที่ฉันแนะนำตั้งแต่แรกเถอะลิซา ผลงานตลอดสองปีของเธอมันเพียงพอที่จะทำให้ฉันพอใจแล้ว ที่นี่ไม่มีบททดสอบอะไรให้เธอต้องทำ แค่นั่งแล้วคุยกับฉันตามภาษาคนทั่วไปแต่โดยดีซะเถอะ”
แม้จะกล่าวเสียงเรีบแต่ความกดดันแรงกล้ากลับแผ่ซ่านออกมาจากตัวอสรพิษนิลกาฬผู้กำลังสูดดมกลิ่นจากแก้วเครื่องดื่มอย่างดาษดื่น แม้จะหลับตาอยู่แต่ก็สัมผัสได้ว่าดวงตาสีโลหิตคู่นั้นกำลังเปล่งแสงสีแดงฉานออกมาราวกับต้องการบอกว่าหากพยายามฝืนอยู่ถัดจากนี้จะไม่ใช่แค่แรงกดดันในเชิงนามธรรมอีกต่อไป
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจที่อยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแค่จำนนแล้วตอบสนองความต้องการนั้นแต่โดยดี
“งั้นก็เริ่มจากเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสองปีมานี้ดีกว่า ฉันอยากจะรู้จริงๆ เลยว่าเธอใช้กระบวนการคิดแบบไหนในการเอาชนะเกมกระดานนี้”
“แต่หนูว่าพี่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่คะ”
“สุดท้ายมันก็แค่การคาดเดา ลิซา สิ่งที่ฉันต้องการคือการได้ยินมันออกจากปากของเธอเอง”
ยักษาร่างขาวสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกอย่างช้าๆ เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนต้องพบเจอในช่วงสองปีแล้วเริ่มเล่าให้ผู้เป็นอาจารย์ฟัง
เช่นเดียวกันกับการทำงานอื่นๆ แม้ในช่วงแรกจะติดขัดอยู่บ้างแต่พอเริ่มจับความต้องการที่อีกฝ่ายอยากจะสดับฟังได้ก็ทำให้ช่วงเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งกว่าจะรู้ตัวแสงอรุณก็เคลื่อนที่ไปอยู่ทิศตรงข้ามกับยามดุจทิวากรเสียแล้ว
คัฟฟ่าที่ถูกเตรียมไว้ในเหยือกหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้เพียงหยด ดวงตาสีโลหิตจ้องมองไปยังแสงที่บัดนี้เปล่งสีส้มแห่งอัสดงคตบนท้องนภาพลางสดับฟังองค์สุดท้ายเกี่ยวกับการผจญภัยของผู้ที่ตนมองเป็นน้องสาว เมื่อเรื่องราวจบลงมือสีดำสนิทคล้ายถ่านกึ่งมันวาวทั้งสองข้างก็เคลื่อนที่เข้าตีกันเบาๆ เกิดเป็นเสียงดังเล็กน้อยเพื่อแสดงความชื่นชม
“ถึงจะได้อ่านรายงานมาตลอดแต่พอได้ฟังจากปากเธอจริงๆ ก็แทบจะเป็นคนละเรื่อง เธอทำให้ฉันพอใจมากเลย ลิซา”
ได้ยินเช่นนั้นเธอก็พยักหน้ารับคำชมนั้นเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นก็หมดธุระเท่านี้แหละ ที่เหลือก็ทำตัวตามสบายเหมือนเมื่อก่อนไม่จำเป็นต้องคิดมากแต่ไม่ใช่ว่าไม่คิดเลย เข้าใจนะ?” เสียงกดต่ำเล็กน้อยย้ำเตือนถึงความผิดพลาดที่พึ่งจะถูกล้างมลทินไปไม่ถึงครึ่งวันสมบูรณ์
“หนูเข้าใจดีค่ะ”
“ดี” อสรพิษสาวพยักหน้ารับฟังคำพูดนั้น มือขวาอันปกคลุมไปด้วยสีดำผายไปทางประตูห้องรับแขก
ได้รับสัญญาณนั้นลิซาก็ไม่รีรอ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมุ่งตรงไปยังประตู แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องร่างอันสูงใหญ่ก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมาหาลีเวียด้วยความสงสัย
“พี่ลีเวียคะ”
“ว่า?”
“ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพี่ต้องการให้มันเกิดขึ้นรึเปล่าคะ?”
ใบหน้าอันงดงามดั่งหลุดออกมาจากภาพเขียนของหญิงงามในอุดมคติส่ายไปมาอย่างเชื่องช้าพร้อมปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ไร้ความนัยแฝง
“น่าเสียดายที่ไม่ เธอมาถึงตรงนี้ได้มันก็ด้วยความสามารถของตัวเธอเอง ลิซา จงยืดอกภูมิใจกับมันอย่างเต็มที่ซะเถอะว่าครั้งหนึ่งเธอเคยชนะฉัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ใบหน้าอ่อนโยนอันเปี่ยมไปด้วยความสบายใจก็แสดงออกมา ลิซาก้าวออกจากห้องรับแขกแล้วมุ่งตรงไปยังบันไดขึ้นชั้นสองเพื่อไปหาใครก็คงไม่ต้องคาดเดาให้วุ่นวาย
มากความสามารถแต่ก็ยึดติดกับเพียงแค่สิ่งเดียว หลงใหลอย่างไร้เงื่อนไขราวกับต้องมนต์สะกด แต่ถึงกระนั้นต่อให้จะเผชิญอะไรมามากแล้วก็ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองอีกอยู่ดี บางทีเด็กคนนั้นก็คงจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนั้นในตอนนั้น
หรือไม่การสอนให้ใช้เหตุผลเกินไปมันคงไปกดสมองส่วนการควบคุมอารมณ์ ทำให้เวลาแสดงพฤติกรรมบางอย่างโดยใช้อารมณ์หรือความรู้สึกเป็นตัวนำมันเลยออกมารุนแรงมากกว่าคนปกติจนขาดความยับยั้งชั่งใจ…
ไอประโยคที่ว่ากว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้วนี่ไม่ว่ากี่ครั้งมันก็ชวนเจ็บใจจริงๆ ไม่ว่าจะเมื่อสองปีก่อน หรือว่าครึ่งปีก่อนก็ตาม
ใช่ ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้วก็ทำได้เพียงแค่ทำใจยอมรับแล้วปรับปรุงไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นมันเกิดขึ้นอีก อย่างน้อยๆ สำหรับตอนนี้อะไรที่นาคาซรับรู้แล้วยอมรับก็จะปล่อยไปก็แล้วกัน ตราบใดที่มันยังไม่ล้ำเส้นมากเกินงามน่ะนะ