[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 11 Schatten der Schlange
ในช่วงเย็นวันที่สองของการสอบนักเวท เมื่อการสอบสิ้นสุดลงเหล่าผู้ปกครองหรือตัวแทนผู้ปกครองก็จะได้รับอนุญาตให้สามารถเข้ามารอรับลูกหลานของตนกลับบ้านได้ สำหรับส่วนใหญ่ที่เป็นครอบครัวปกติก็จะเป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติพี่น้องคนสนิทมารับ ส่วนสำหรับครอบครัวที่พอมีฐานะก็อาจจะไหว้วานให้คนใช้มาแทน เฉกเช่นเดียวกับสาวใช้ส่วนตัวของเด็กสาวโลล่า ลูน่าไชน์
เธอเป็นหญิงสาววัยยี่สิบห้าปีในชุดกระโปรงสีขาวดำแบบกอลเมดตามมาตรฐานสาวใช้ในยุคปัจจุบัน มีเรือนผมสีทองถูกถักเป็นเปียทรงมงกุฎ นัยน์ตาสีครามกวาดมองดูภาพบรรยากาศโดยรอบอย่างถี่ถ้วนแลนิ่งสงบ ใบหูสดับฟังเสียงการสนทนาของเหล่าผู้ปกครองที่รายล้อมกันอยู่ภายในพื้นที่รับรองของอาคารหลังหนึ่งภายในกองบัญชาการเสนาธิการทัพภาคตะวันออก
การเป็นสาวใช้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นสาวใช้ส่วนตัว หน้าที่ในส่วนการดูแลบ้านเรือนจะถูกลดน้อยลงและแทนที่ด้วยการคอยปรนนิบัติผู้เป็นนาย หนึ่งในนั้นก็รวมถึงการรวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากทั้งการพูดคุยโดยตรงและคอยสอดหูแอบฟังเพื่อไปรายงานสถานการณ์บ้านเมืองสำคัญๆ ให้แก่ผู้เป็นนายได้รับรู้ และเมื่อทำติดต่อไปนานๆ เข้าหลายปีจากหน้าที่ก็ได้กลายเป็นนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นไปโดยปริยาย
การสนทนาภายในห้องนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องทั่วไปที่สามารถหาฟังจากที่ไหนก็ได้จึงสามารถเรียกได้ว่าไม่มีความสำคัญอะไรมากให้ต้องใส่ใจอย่างเสียแรงเปล่า แต่ในขณะที่ค่อยๆ กรองข้อมูลไปเรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบภายในมุมหนึ่งของห้องรับรองตัวเธอก็เริ่มได้ยินภาษาซึ่งตนไม่อาจจะเข้าใจ
สหพันธรัฐดอยซ์ลันด์เป็นรัฐหลากชาติพันธุ์เพราะเกิดขึ้นจากการรวมตัวของหลากหลายชนชาติและหลากหลายรัฐอีกทั้งในระหว่างนั้นก็มีผู้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาแสวงหาโอกาสอยู่มากมายจึงไม่แปลกที่จะมีการสนทนาด้วยภาษาอื่นนอกจากภาษาดอยซ์กลางอันเป็นภาษาราชการอยู่บ้าง แต่มีเพียงแค่ภาษานี้เท่านั้นที่ตนไม่เคยได้ยินมาก่อนและไม่อาจทำความเข้าใจได้
เมื่อเลื่อนสายตาเพื่อมองไปยังต้นเสียงทางทิศสองนาฬิกาของตน เธอก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างประดุจพญาหมาป่าจำแลงกายในชุดกึ่งทางการคุมโทนสีเทาดำ ดวงตาสีอำพันประดุจทองนั้นดูเฉียบคมดั่งพญาอินทรี บรรยากาศโดยรอบดูน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องพยายามปอปั้น ส่วนอีกฝั่งผู้เป็นคู่สนทนาก็เป็นชายฉกรรจ์ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าสด ไว้หนวดเครายาวดกจนยากจะระบุอายุแท้จริง สวมผ้าโพกหัวและนุ่งห่มกายด้วยผ้าไหมสีขาว สวมชุดคลุมสีน้ำเงินปักดิ้นทองลวดลายสวยงามประณีตน่าจับจอง เพียงดูอยู่ห่างๆ ก็พอระบุได้ว่าเป็นพ่อค้าเชื้อชาติอาราบีอุนที่มีฐานะทางการเงินดีพอตัว
แม้จะดูมีบรรยากาศชวนกดดันแต่ทั้งคู่ก็ดูจะสนทนากันได้อย่างเข้าคอเป็นอย่างดี จากประสบการณ์ส่วนตัวก็อาจจะพูดได้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยธุรกิจกันอยู่และอีกไม่นานก็คงได้ข้อสรุป ซึ่งมันก็นับว่าไม่แปลกนักหากจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะว่าเหล่านักค้าขายมักจะหาโอกาสขยายกิจการของตนอยู่เสมอ ทั้งหมดเพียงแค่ต้องเข้าหาให้เป็นและรู้จักใช้วาทศิลป์เพื่อดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย
อ๊ะ จับมือกันแล้ว
ทั้งคู่ยื่นมือออกไปรับน้ำใจของอีกฝ่าย
“อัสซะลามุอะลัยกุม”
“วะอะลัยกุมุสซะลาม”
สิ้นเสียงคำพูดทั้งสองฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง หายกลืนเข้าไปในฝูงชนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่รับรอง
มีเพียงแค่สองประโยคหลังนั้นเท่านั้นที่ฟังแล้วเข้าใจว่ามันเป็นภาษาอาราบีอุนและมักจะถูกใช้สำหรับกล่าวทักทายกับจากลา เพราะแบบนั้นมันจึงยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าแล้วที่ผ่านมาทั้งคู่คุยกันด้วยภาษาอะไร เพราะแม้โดยสำเนียงจะคล้ายคลึงกับภาษาอาราบีอุนแต่คำศัพท์หลายคำล้วนไม่เคยได้ยินผ่านหู หรือต่อให้จะเป็นคำที่พอรู้อยู่บ้างแต่เมื่อนำไปเทียบกับบริบทก็ชวนให้รู้สึกว่ามันอยู่ไม่ถูกที่อยู่ดี หรือไม่แน่บางทีมันก็อาจจะเป็นแค่คำพ้องเสียงเฉยๆ พอตนที่มีความรู้ภาษาอาราบีอุนแค่ในระดับพื้นฐานมาแอบฟังมันก็เลยรู้สึกแปลกๆ ก็เป็นได้
ในระหว่างที่กำลังคิดหาข้อสรุปอยู่นั้นเอง เธอก็เริ่มสัมผัสได้ถึงเงาที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เงาของบางสิ่งที่อันตรายจนต้องชักมีดพกที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมาเตรียมรอไว้พร้อมกับสงวนท่าทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนรู้ตัวแล้ว
“Verisimile est te esse servum familiae Lunashine.”
(คุณคงจะเป็นคนของตระกูลล่าไชน์สินะครับ)
เสียงหนึ่งดังมาจากท่ามกลางฝูงชน และเมื่อหันไปมองยังต้นเสียงนั้นก็พบกับชายหนุ่มคนเดิมทว่าในครั้งนี้เขาปิดบังใบหน้าของตนด้วยผืนผ้าสีดำยาวถึงลำคอ ปักลวดลายด้วยดิ้นทองเป็นรูปดวงตาตั้งในแนวตั้งอยู่ตรงกลางผืนผ้า ภาพที่คาดไม่ถึงนั้นทำให้เธอชะงักงันอยู่ชั่วครู่สั้นๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปเพราะความเคยชิน
“Recte est.”
(ใช่ค่ะ)
ตระกูลลูน่าไชน์ใช้ภาษาโรมานโซโบราณเป็นภาษาหลักในการสื่อสารสำหรับเรื่องสำคัญหรือเรื่องที่ต้องปิดเป็นความลับมาตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยสาเหตุว่ามีคนรู้จักภาษานี้น้อยและยังเป็นการย้ำเตือนว่าตระกูลตนมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนใดเพราะฉะนั้นมันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ๆ นอกจากจะเป็นคนนอกตระกูลแล้วยังเป็นคนที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าคร่าตากันมาก่อนจะมาเริ่มทักทายด้วยภาษานี้อย่างหน้าตาเฉย
เพราะแบบนั้นเธอจึงกระชับมีดภายในมือไว้แน่น ดวงตาสีครามฉายแววมาดร้ายอย่างไม่พยายามจะปิดบัง
“Suadeo ut gladium illum recondas. Ego tantum venio ut epistolam ad dominum tuum transmittere.”
(ขอแนะนำให้เก็บมีดนั่นกลับไปเถอะ ผมแค่ต้องการจะมาฝากส่งจดหมายไปถึงเจ้านายของคุณเฉยๆ )
เพียงเขาพลิกฝ่ามือซองจดหมายสีดำก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าราวกับเป็นการเล่นกล ซองจดหมายสีดำสนิทยิ่งกว่าถ่าน ถูกปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งสีแดงเข้มดุจเค้นเลือดมนุษย์ออกมาผสม
เมื่อสังเกตตราสัญลักษณ์ที่ใช้ประทับลงปิดท้ายมันก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ใบหน้าแทบจะซีดเผือด ร่างกายอ่อนแรงราวกับขาดเลือดฉับพลันเพราะหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
สัญลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตลำตัวยาวไร้ซึ่งแขนขาจำนวนแปดตัวกำลังพันรอบคาตานะเล่มหนึ่ง มันคือตราประจำตระกูลของผู้ถูกขนานนามว่าอันตรายที่สุด ตระกูลที่ไม่ว่าใครที่รู้จักต่างก็คาดหวังว่าอย่าได้พบเจอกับตัวเพราะการปรากฏของพวกเขาไม่เคยมาพร้อมกับเรื่องดีจนถูกขนานในนามของฝันร้ายแห่งดอยซ์ลันด์
“โคคุจา”
ดวงตาสีครามเลื่อนขึ้นไปมองใบหน้าซึ่งถูกปิดบังด้วยผืนผ้าอีกครั้งก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทิ้มออกไปรับซองจดหมายคลุ้งกลิ่นอัปมงคลฉบับนั้น
“Et dicito ei quod foedus sanguinis violatum est. Ille homo verisimile intelliget.”
(แล้วก็ฝากบอกเขาด้วยว่าสัญญาเลือดได้ถูกละเมิด คนคนนั้นน่าจะพอเข้าใจ)
“Ita…. licet….”
(ค่ะ….ได้ค่ะ….)
“Gratias tibi ago”
(ขอบคุณ)
ชายผู้นั้นพยักหน้าอย่างเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในฝูงชน เหลือเพียงภาพของสาวใช้ชาติพันธุ์เยอร์แมนิกผู้ยืนอ้ำอึ้งราวกับถูกคำสาปแห่งกอร์กอนอยู่ ณ มุมหนึ่งของพื้นที่รับรอง
◇
ทั้งมืดมิดแลหนักอึ้ง ความรู้สึกในยามต้องจำศีลนั้นไม่เคยรู้สึกดี ราวกับกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศและขณะเดียวกันก็รู้สึกหนักอึ้งดุจถูกหินทุกก้อนกดทับ บริเวณท้องรู้สึกคันจนแทบคลั่งแต่ก็ไม่สามารถขยับมือไปเกาได้ราวกับไม่มีพวกมันอยู่ ไม่สามารถมองเห็นภาพความฝัน ดำดิ่งลงสู่ปราสาทความทรงจำ หรือกระทั่งจะคิดคำนวณเรื่องที่มีความซับซ้อนได้เพราะจัดเป็นการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น
ถ้าจะหาคำนิยามนี่คงเป็นรูปธรรมของสิ่งที่ถูกเรียกว่าฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะเมื่อรู้ตัวแล้วก็ไม่สามารถหลับต่อให้สนิทได้ แต่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้เช่นกัน
แน่นอนว่าสมองของสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ล้วนเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์เสมอ ไม่ว่าจะสัตว์เดรัจฉานที่ใช้สัญชาตญาณเป็นหลักหรือมนุษย์ที่มีโครงสร้างสมองอันแสนซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการได้ ทุกการกระทำของร่างกายไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่มันก็ล้วนมีเหตุและผลรองรับ และทุกครั้งที่ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้มันก็ชวนให้ขบคิดเสมอว่าไอ้การตื่นแบบครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้มันมีประโยชน์อะไร? แล้วเหตุใดที่ทำให้สมองเลือกที่จะให้สามารถคิดอ่านในระดับต่ำสุดได้ทั้งที่ร่างกายยังต้องปันส่วนพลังงานปริมาณมากไปกับการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายอยู่?
แม้จะพยายามหาคำตอบมาเนิ่นนานแล้ว แต่ในทุกครั้งก็จำต้องตั้งข้อสรุปว่าไม่อาจทราบได้เนื่องจากยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานเชิงลึกของสมองอยู่ก็คงตอบได้แค่ว่าอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญชาตญาณ แต่ใดๆ ก็ตามอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าอีกราวๆ สองถึงสามชั่วโมงข้างหน้าก็น่าจะเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว
อ๊าาา….พอตื่นไปคงมีแต่วุ่นวายชวนให้ประสาทจับรออยู่แหง พอคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั่นแล้วก็ไม่อยากตื่นเลยให้ตายเถอะ ขี้เกียจมานั่งหาคำอธิบายชะมัด ลำพังแค่จะนิยามว่าไอ้ตัวตนนั่นมันคืออะไรก็จะบ้าอยู่แล้วแท้ๆ
.
.
.
.
.
.
“…อืม….”
พอลืมตาขึ้นก็เห็นเพดานสีขาวเรียบเนียนอันแสนคุ้นเคย เพดานห้องนอนที่ไม่ได้เห็นมาตั้งสอง…ไม่สิ สามวันถ้านับวันที่ต้องไปเดินป่าด้วย ถึงจะรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ยังไม่มีแรงขยับร่างกายอยู่ดีแฮะ
พอเหลือบตาไปมองตรงท่อนแขนก็เห็นสายระยางต่อตรงจากถุงบรรจุของเหลวจำนวนสี่ถุงซึ่งกำลังห้อยอยู่บนเสาเข้ามายังแขน มันคือถุงบรรจุสารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการฟื้นฟูร่างกายในกรณีที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมารับสารอาหารทางปากได้ ส่วนตรงบริเวณข้างเตียงก็เป็นร่างของเด็กสาวเรือนผมสีดำยาวกำลังนอนฟุบหน้าอยู่อย่างไม่รู้เรื่อง
ครั้งล่าสุดที่ลอเรนติน่ามาที่นี่ก็เมื่อสองปีก่อนในตอนที่พี่ลิซาต้องออกไปทำภารกิจเร่งด่วน ในตอนนั้นเพราะยังมีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงมากพอ พอรู้ว่าอยู่ๆ พี่ลิซาก็หายไปก็แทบจะสติแตกจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ก็เพราะเธอคนนี้ยอมสละเวลาเพื่อมาคอยหาทางออกให้ตั้งหลายสัปดาห์โดยไม่คิดจะท้อถอยเลยผ่านความรู้สึกว่างเปล่านั้นไปได้และเติบโตมาได้จนเป็นแบบในปัจจุบัน
ว่าตรงๆ เลยถ้าตอนนั้นลอเรนติน่าไม่มาที่นี่ก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าตัวเองจะเป็นยังไง บางทีพอถึงจุดนึงก็อาจจะผ่านมันมาได้เพราะพ่อกับแม่ก็คอยช่วยสนับสนุนทุกอย่างมาตลอด แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเติบโตมาเป็นเด็กร่าเริงสดใสเท่าไหร่อยู่ดีเพราะระหว่างพวกเรามันเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นที่เรียกว่าความต่างทางอายุคอยกั้นอยู่ทำให้เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถกล้าที่จะระบายออกมาได้เต็มปากเท่าการระบายให้คนรุ่นเดียวกันฟัง
พอมานึกย้อนแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าตลอดช่วงหนึ่งปีที่ง่วนอยู่กับการทำแผนที่อย่างเอาเป็นเอาตายนี่ตัวเองเย็นชากับเจ้าตัวเกินไปรึเปล่านะ? เพราะทั้งที่ฝั่งนั้นก็เอาใจใส่เรามาตลอดแท้ๆ แถมก็นับเป็นคนสำคัญคนนึง แต่นอกจากเวลาที่เรียนด้วยกันก็แทบจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์หรือแสดงความเอาใจใส่มากเท่าที่ควรเลย
งั้นถ้าจะสรุปว่ายังสอบตกเรื่องการบริหารความสัมพันธ์นี่ก็คงไม่เกินความเป็นจริงสักเท่าไหร่ หลังจากนี้ก็คงต้องหาโอกาสพูดคุยกับเจ้าตัวให้บ่อยขึ้นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“อึก…อืม….”
ร่างนั้นชันตัวขึ้นมาเป็นท่านั่ง นิ้วโป้งและนิ้วชี้ข้างขวายีหัวตาทั้งสองข้างช้าๆ ใบหน้านั้นมองมาโดยไม่แม้กระทั่งลืมตา ราวกับรู้ว่าทางนี้ตื่นแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“กูเทน มอร์แ-ไม่สิ กูเทน ทาก นาคาซ” เสียงนั้นปนไปด้วยความงัวเงียเล็กน้อย
“ฉันทำให้เธอตื่นเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ในเชิงการกระทำหรอก….ฉันแค่รู้ว่านายตื่นแล้วก็เท่านั้นเอง” กล่าวพลางรวบผมสีดำยาวสลวยไปไว้ข้างหลังแล้วเกล้ามันอย่างช่ำชอง แล้วขัดมวยเพื่อให้ผมอยู่ทรงด้วยปิ่นปักผมหยกขาวลวดลายดอกซากุระที่แม่เป็นคนมอบให้
“อยากฟังเรื่องอะไรก่อนล่ะ?”
เมื่อเบิกดวงตาสีดำคู่นั้นขึ้นแล้วจัดการเครื่องแต่งกายให้เรียบเนียนอีกครั้ง น้ำเสียงงัวเงียก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศพึ่งพาได้ดั่งเช่นทุกครั้ง
“พูดมาเลย ฉันยังไม่ค่อยมีแรง”
ยิ่งกว่าคำว่าแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่หรือแค่มองตาก็รู้ใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเธอคนนี้รู้หมดว่าเรากำลังคิดอะไร ตลอดที่ผ่านมามันก็เหมือนเป็นแค่การคุยกันตามมารยาทหรือแค่ไม่ทำให้มันดูแปลกเกินไป แต่รอบนี้อาการมันค่อนข้างหนักจนกระทั่งแม้แต่จะพูดก็รู้สึกไม่ค่อยมีแรงพอให้พูดประโยคยาวๆ ได้อยู่ดี
“งั้นอย่างแรก” นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางถูกชูขึ้นมา “นายหลับไปสามวันกับอีกสี่ชั่วโมง” สิ้นประโยคนิ้วกลางถูกหุบลงไป “อย่างที่สอง เซท์น พังค์ทถูกยกเลิกทันทีที่ตรวจพบการกระทำอันเกิดกว่าเหตุของลูน่าไชน์ ตอนนี้อาจารย์ไอแซกเลยต้องสอบสวนเรื่องนั้นยาวจนมาถึงตอนนี้ในฐานะผู้ตรวจการสอบของส่วนกลาง รวมถึงสืบหาเบาะแสของภูตที่เข้ามาเกาะแกะนายด้วย” นิ้วชี้ถูกหุบลงไปเหลือเพียงนิ้วโป้ง “อย่างสุดท้าย นอกจากนายที่อาการสาหัสสุดจนอาจารย์วินเซนต์ต้องลงมือผ่าตัดก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนักอะไร ส่วนลูกสาวตระกูลลูน่าไชน์ตอนนี้ก็ถูกกักบริเวณอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลภายใต้สายตาของกลุ่มคนที่เราไม่ควรจะเอ่ยถึงสักเท่าไหร่ ขาดตกตรงไหนมั้ย?”
“ไม่มี สำหรับตอนนี้น่ะนะ”
เพราะสมองยังตื้อๆ อยู่เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่แค่ข้อมูลที่ได้รับมาก็นับว่ามากพอที่จะทำให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้ค่อนข้างชัดเจนในระดับนึงแล้ว สรุปง่ายๆ คือมันกลายเป็นคดีพยายามฆ่าดีๆ นี่เอง คงต้องเตรียมใจเรื่องเก็บกวาดเรื่องหลังจากนี้ด้วยสินะ
“แล้วตอนนี้อยากได้อะไรมั้ย? เครื่องดื่ม อาหาร ของหวาน หรือผลไม้ดี?”
“เอาเป็นแอปเปิลก็แล้วกัน”
หลังจากพยักหน้ารับลอเรนติน่าก็แวะไปแง้มหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายนอกไหลเวียนเข้ามาแล้วค่อยเดินออกจากห้องไปผ่านทางประตู
สายลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดพาเข้ามาพร้อมกับกลิ่นบริสุทธิ์ช่วยทำให้รู้สึกจรรโลงใจอย่างน่าเหลือเชื่อ สมองที่ก่อนหน้านี้ยังคงมืดทึบถูกชำระล้าง ร่างกายอันหนักอึ้งรู้สึกเบาหวิวขึ้นมาในฉับพลัน พอรู้สึกเหมือนมีเรี่ยวแรงขึ้นมานิดหน่อยก็เลยใช้โอกาสนี้เปลี่ยนจากท่านอนไปเป็นการนั่งหลังพิงหมอน บาดแผลตรงหน้าท้องก็สมานตัวกันจนเกือบจะเรียบสนิทเลยสามารถขยับเขยื้อนตัวได้สะดวกโดยไม่ต้องกังวลว่าแผลจะฉีก เรียกว่าเป็นการเย็บแผลที่เนี้ยบเสมอต้นเสมอปลายสมกับเป็นฝีมือผ่าตัดของวินซ์จริงๆ
นั่งชมทิวทัศน์ธรรมชาตินอกหน้าต่างรอไม่ถึงสิบนาทีลอเรนติน่าก็กลับมาพร้อมกับถือโต๊ะเตี้ย ข้างบนตกแต่งไปด้วยบรรจุภัณฑ์สีเขียวแก่ที่ส่งกลิ่นหอมโชยของใบชาเขียวจากเกาะยามาโตะ มาคู่กับแอปเปิลจานใหญ่และเอเธนส์โยเกิร์ตผสมธัญพืชอีกหนึ่งถ้วยกลางอันเป็นหนึ่งในเมนูของว่างที่กินค่อนข้างบ่อยเพราะทั้งอร่อยและทำง่ายอีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูง ส่วนเครื่องดื่ม
“บางทีก็แอบคิดนะว่าเธอชักจะรู้ดีเกินไปแล้วน่ะ”
“ก็ถ้าเรื่องแค่นี้ยังคิดไม่ได้ก็ไม่มีทางเอาชนะนายได้หรอก” เสียงเนิบหนืดเล็กน้อยถูกเปล่งออกมาระหว่างวางโต๊ะเตี้ยไว้บนเตียง
“คิดจะอ่านใจกันเป็นอ่านหนังสือเลยรึไง”
“ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ไง อีกอย่าง อย่างนายนี่ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นหนังสือแต่ควรเรียกว่าหอสมุดเดินได้น่าจะเหมาะกว่ามั้ง คนบ้าอะไรจำเนื้อหาของกระดาษที่อ่านได้ทุกหน้า”
“อย่างเธ- อึ่ก…..”
อ้าปากไม่ทันจะเต็มที่ก็จำต้องกลืนน้ำลายแล้วเก็บความอยากเถียงกลับลงไป เพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะวูบฉับพลัน
“ก็เพราะเป็นซะแบบนี้ไงแค่แอปเปิลอย่างเดียวถึงได้ไม่พอ”
พอเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้งในมือของลอเรนติน่าก็ถือแอปเปิลหั่นซีกชุบด้วยโยเกิร์ตรอเรียบร้อยแล้ว
“อ้าปาก” น้ำเสียงเรียบเฉยปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ ทว่าแฝงไปด้วยแรงกดดันมากล้นไม่ต่างจากแม่เวลาโมโห
“ไม่เอาน่า ฉันไม่ได้พิการน-”
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!”
ในจังหวะที่ยืนมือออกไปจะจับแอปเปิลชิ้นนั้นฝ่ามือของอีกข้างของลอเรนติน่าก็ยกขึ้นมาตบอย่างแรงพร้อมกับชักมือข้างที่ถือแอปเปิลกลับเข้าหาตัว
“ทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“แค่พูดยังจะไม่มีแรงแล้วยังคิดจะฝืนทำอะไรด้วยตัวเองอีก มนุษย์น่ะเป็นสัตว์สังคมนะนาคาซแล้วนายก็ไม่ได้ตัวคนเดียวด้วย เพราะฉะนั้นก็หัดขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างไม่ใช่เอะอะอะไรก็แบกรับไว้คนเดียวไปหมดทุกอย่าง”
ขณะกำลังพูดดวงตาสีดำขลิบทองก็เลื่อนลงมามองแผลตรงหน้าทองอย่างไม่ละสายตา น้ำเสียงเจือไปด้วยความขุ่นเคือง
ดูจากอาการคงโกรธสะสมมาตั้งแต่ตอนสอบแหง ขืนเถียงกลับไปว่ามันเป็นเพราะทัศนคติส่วนตัวคงได้มีหัวหลุดออกจากบ่าแน่
“เฮ้อ…เข้าใจแล้วๆ งั้นก็ช่วยป้อนให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน ลอเรล”
ด้วยเหตุนั้นก็เลยไปจบที่ลอเรนติน่านั่งป้อนแอปเปิลกับโยเกิร์ตให้จนหมดลามไปยันกระทั่งเช็ดปากให้เสร็จสรรพประหนึ่งเป็นคนใช้ประจำตัวมิปาน
ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจก็เถอะแต่ในเมื่อถ้ามันทำให้เจ้าตัวสบายใจขึ้นก็มีแต่ต้องยอมๆ ไปนั่นแหละ
“ทีนี้บอกฉันได้รึยังว่าทำไมถึงห้ามฉัน แล้วสรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น”
ทันทีที่เดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากเอาโต๊ะเตี้ยไปเก็บ คำถามนั้นก็ถูกเอ่ยออกมาพร้อมด้วยน้ำเสียงจริงจังในแบบที่หาได้ยากยิ่งจากเธอคนนี้
ก็คิดไว้อยู่หรอกว่ายังไงก็คงถามคำถามนี้ แต่ไม่คิดว่าจะถามแบบไม่อ้อมค้อมแบบนี้เพราะปกติลอเรนติน่าจะค่อยๆ พูดตะล่อมไปทีละนิดมากกว่า
ดูท่าแล้วคงโกรธมากกว่าที่คิดไว้โขเลยแฮะ
“เพราะทั้งหมดนั่นมันไม่ได้เกิดจากเจตจำนงของเด็กคนนั้นเองไงล่ะ แล้วถ้าในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตจำนงของเด็กคนนั้นเอง การจะจัดการทิ้งฉันก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควรหากมองตามมุมมองทางด้านมนุษยธรรม แล้วฉันก็ไม่เห็นว่าการจัดการเด็กคนนั้นทิ้งมันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีมากพอสำหรับทุกฝ่ายด้วย”
ถ้าไม่ห้ามไว้ ต่อให้จะจัดการว่าที่ตัวปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ แต่ต้องแลกมากับการมีปัญหากับตระกูลลูน่าไชน์นี่มองยังไงก็ไม่คุ้มเสีย เพราะมันอาจจะกลายเป็นการสั่นคลอนอำนาจตระกูลของตัวเองภายในทวีปกลางที่อุตส่าห์ฟูมฟักมาเกือบสามศตวรรษซะเปล่า อย่างเลวร้ายสุดเท่าที่จินตนาการออกก็คงเป็นการได้เห็นภาพสงครามกลางเมือง ถ้าไปถึงจุดนั้นต่อให้จะเป็นฝ่ายชนะแต่โดยภาพรวมแล้วก็คงเจ็บหนักแถมนอกจากอำนาจของตระกูลจะอ่อนแอลงแล้วมันก็จะมีเรื่องอำนาจของประเทศที่อ่อนแอลงด้วย แบบนั้นก็ไม่ต่างจากการทำให้ความพยายามทั้งหมดของรุ่นที่หนึ่งกลายเป็นเรื่องศูนย์เปล่าเลย
“แล้วอะไรทำให้นายคิดว่าการกระทำทั้งหมดนั่นมันไม่ได้มาจากเจตจำนงเสรีของเด็กคนนั้นล่ะ?”
“เพราะพฤติกรรมหลายอย่างบ่งบอกว่าเป็นแบบนั้น แถมก่อนจะพลาดท่าฉันก็เห็นภาพเหมือนเด็กคนนั้นถูกกักขังอยู่ในร่างของตัวเองแบบตรงตามตัวอักษรเป๊ะๆ ด้วย”
“โห~ นายกำลังจะบอกฉันว่าลูกสาวของตระกูลลูน่าไชน์เป็นโรคดีไอดีงั้นสินะ”
“ประมาณนั้น แต่ถ้าให้ใกล้เคียงกว่าฉันคิดว่าเด็กคนนั้นน่าจะเป็นคนทรงของตัวตนบางตัวตนมากกว่า”
ในอดีตก็พอมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนักเวทที่เป็นโรคหลายบุคลิกแล้วสามารถใช้เวทมนตร์ได้มากกว่าหนึ่งธาตุอยู่บ้าง แต่โดยสาระแล้วแม้ต่อให้จะสามารถใช้เวทมนตร์ธาตุอื่นต่างจากบุคลิกปกติแต่ปฏิกิริยาเวทมนตร์ที่สำแดงออกมาก็ไม่ได้ระดับต่างกันมาก นั่นคือถ้าตัวตนปกติคำนวณเวทมนตร์ได้สูงสุดถึงระดับสี่ อีกตัวตนนึงก็จะคำนวณได้ถึงแค่ระดับสี่เท่ากันแม้ว่าธาตุที่ใช้จะต่างกันก็ตาม แต่ในกรณีของ โลล่า ลูน่าไชน์ นั้นมันคือการทวีความสามารถทางเวทมนตร์ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มผู้ผูกพันธะหรือไม่ก็พวกคนทรงที่หยิบยืมเวทมนตร์จากตัวตนภายนอกมาใช้เท่านั้น และที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นคนทรงแน่ๆ ก็เป็นเพราะพฤติกรรมหลายอย่างเอนเอียงไปในทิศทางนั้นมากกว่ากลุ่มแรก
“งั้นถ้าคิดตามสมมุติฐานนั้นแล้วตัวตนที่ว่านั่นจะเป็นตัวตนไหนล่ะ?”
“อนุมานไว้ว่าอาจจะเป็นนารีแห่งนีฟล์ไฮม์ เพราะหนึ่งในเวทมนตร์ที่เด็กคนนั้นใช้คือน้ำแข็งนิลกาฬซึ่งเป็นเวทมนตร์ลักษณะเดียวกันกับที่มีการบันทึกไว้ในรักนาร็อกที่ถูกเขียนโดยมิเมียร์เพียงเล่มเดียว แต่อีกใจนึงฉันก็แอบคิดว่าน่าจะไม่ใช่ แต่นอกเหนือจากความรู้สึกกับข้อมูลเพียงน้อยนิดแล้วมันก็ยังไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนมากพอ”
สาเหตุจริงๆ ก็เป็นเพราะคำว่า “แมลงประดิษฐ์” นั่นคำเดียว มันเป็นศัพท์ใหม่ที่พึ่งเคยรับรู้มาก่อนและไม่น่าใช่สรรพนามใช้เรียกซินมาร่าด้วย เพราะนารีแห่งนีฟล์ไฮม์ผู้นั้นไม่ได้มีลักษณะใดคล้ายคลึงกับแมลงเลยหากยึดตามคำกล่าวอ้างของมิเมียร์ อีกทั้งคำว่า ‘ประดิษฐ์’ นั่นมันก็บ่งบอกชัดเจนว่าย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวบุคคลหาใช่โดยธรรมชาติ
ลอเรนติน่าพยักหน้าให้น้อยๆ เหมือนสื่อว่าเข้าใจแล้ว
“เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ ทีนี้ช่วยบอกฉันทีว่าถ้ายัยนั่นเกิดอาละวาดขึ้นมาอีกรอบนายจะรับมือยังไง? อย่าบอกนะว่าจะยืมมือภูตนั่นอีก?” คำพูดนั้นแอบแฝงไปด้วยความไม่พอใจน้อยๆ แต่นั่นก็นับว่าหายากมากพอแล้วสำหรับลอเรนติน่าที่ไม่ค่อยแสดงด้านนี้ออกมามากนัก
“ฉันมองว่าไม่จำเป็น เพราะเอลนั่นหลุดปากบอกวิธีจัดการมาอยู่ ถ้าแค่ทำความเข้าใจว่าประจุไฟฟ้าภายในร่างกายหมายถึงอะไรฉันก็น่าจะพอหาวิธีเลียนแบบได้อยู่”
เพราะหากคิดตามสมมุติฐานในหนังสือของพ่อว่าพวกเอลจะเข้าหาเฉพาะมนุษย์ที่มีความเข้ากันได้ดีทางด้านเวทมนตร์กับตัวเองสูงเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าพวกเราทั้งคู่มีความสามารถทางด้านเวทมนตร์ที่ใกล้เคียงกันมาก เพราะฉะนั้นแม้จะไม่รู้สมการที่ใช้เลยก็ตามก็น่าจะพอหาวิธีเลียนแบบได้อยู่ หรืออย่างเลวเลยก็อาจจะต้องใช้รีฟอร์จสร้างปรากฏการณ์พิสดารเข้าช่วยหน่อย ไม่สิ ถ้าถึงขั้นต้องใช้รีฟอร์จสร้างปรากฏการณ์พิสดารจริงๆ ณ จุดนั้นก็มีทางเลือกที่ดีกว่าอีกนับไม่ถ้วนเลยไม่ใช่รึไง เช่นควบแน่นแสงอาทิตย์ให้มีความร้อนสูงพอจะละลายน้ำแข็งนิรันดร์นั่นหรือไม่ก็แทรกแซงโครงสร้างภายในแทน
แย่ล่ะ พอไม่เลือกวิธีการความคิดมันก็ไหลไม่หยุดเลยแฮะ
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นแล้ว พอเงยหน้าขึ้นไปสบตาแววตาของลอเรนติน่าก็ยังแฝงไปด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ดี
อ๊ะ…ดูท่าน่าจะพลาดอย่างแรงเลยแฮะ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่สัมผัสได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้นแน่ๆ
“เฮ้อ….ก็รู้อยู่แล้วว่าผลสุดท้ายมันต้องออกมาทำนองนี้” แววตาไม่สบอารมณ์พลันเลือนหายไปในจังหวะที่ลอเรนติน่ายกมือขึ้นมาชันคาง บรรยากาศมาดร้ายอันแฝงไปด้วยโทสะแผ่ซ่านออกมาแต่เป้าหมายหาใช่ตนแต่เป็นใครสักคนที่เธอกำลังนึกถึง
“ถ้านายว่าแบบนั้นฉันก็จะไม่ขัดศรัทธา แต่ก็จะบอกให้รู้ไว้เหมือนกันว่าถ้ามันเกินจุดที่ยอมรับได้ฉันจะจัดการยัยนั่นทิ้งทันที รวมถึงปัญหาหลังจากนั้นทั้งหมดด้วย”
สรุปง่ายๆ ก็คือถ้าถึงจุดนึงก็อย่ามาห้ามกัน ส่วนตัวไม่กังขาเรื่องความสามารถหรอกว่าจะทำตามที่พูดไม่ได้ แต่ก็เพราะแบบนั้นจึงไม่อาจมองข้ามได้ว่ามันเป็นการกระทำอันเกินกว่าเหตุ
“แบบนั้นฉันว่ามันน่าจะเกินกว่าเหตุเกินไป สมดุลอำนาจมันจะเสียเอานะ”
“ตาชั่งมีตั้งสิบสองคาน ถ้าคานนึงหักแล้วสมดุลมันเสียหมดก็ปล่อยให้มันล่มจมไปเถอะ นาคาซ ชีวิตนายมีค่ามากกว่าไอ้พวกนั้นรวมกันทั้งหมดอีก” น้ำเสียงเข้มข้นขึ้นทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา แม้ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนักแต่ภาษากายมันกำลังบ่งบอกว่าลอเรนติน่ารู้สึกไม่สบอารมณ์มากขนาดไหน
“ลอเรล อารมณ์เธอพุ่งแรงเกินไปแล้วนะ”
จริงอยู่ว่าพวกเรามีความเชื่อว่าคุณค่าของปัจเจกบุคคลจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการกระทำและความสามารถของบุคคลนั้นๆ อย่างเช่นนักโทษคดีอาญาจะไม่มีทางมีคุณค่าเทียบเท่ากับนักวิจัยที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ หรือคนรวยที่ไร้ทักษะก็จะไม่มีคุณค่ามากไปกว่าชนชั้นกรรมาชีพที่มีทักษะ แต่การเอาคนคนเดียวของตระกูลเดียวไปเทียบกับอีกสิบเอ็ดตระกูลที่เหลือทั้งหมดแล้วป่าวประกาศว่าคนคนนั้นมีคุณค่ากว่าแบบนี้มันเป็นหลักการที่ไม่สมเหตุสมผลเกินไป ตัวเธอเองก็น่าจะรู้เรื่องนั้นดีและนั่นก็นับเป็นการตอกย้ำว่าเธอกำลังใช้อารมณ์นำทาง
ลอเรนติน่ายกขาข้างขวาขึ้นไปทับขาซ้ายเป็นท่าไขว่ห้าง
“นายเกือบตายนะนาคาซ! คิดว่าฉันจะยังเก็บอารมณ์อยู่ได้ยังไง รู้มั้ยว่าไอ้น้ำแข็งเวรนั่นมันกัดกินร่างกายนายไปมากขนาดไหนแล้วอาจารย์วินเซนต์กับอาจารย์ไอแซกต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะผ่าตัดเอาพวกมันออกได้หมดน่ะ การที่นายฟื้นตัวได้เร็วกว่ามนุษย์ทั่วไปมันไม่ได้หมายความว่านายจะตายไม่ได้นะ! ช่วยให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองมากกว่านี้หน่อยเถอะ…”
‘ขอร้องล่ะ…..’ น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตานิลกาฬ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสั่นเครือ
ถ้าถึงขนาดแม้แต่ลอเรนติน่าที่น่าจะชินชากับเรื่องทำนองนี้ยังเอ่ยคำว่าขอร้องออกมาให้ได้ยินเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักกันมันก็พอจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วว่าระหว่างที่ตนไม่ได้สติอาการน่าจะหนักขนาดไหน
ทนมองภาพอันชวนให้รู้สึกชิงชังในความเห็นแก่ตัวนั้นได้ไม่นานสุดท้ายก็เลยเอื้อมมือออกไปปาดน้ำตาบนแก้มทั้งสองข้างนั้นออกจากใบหน้าที่เหมาะกับรอยยิ้มแฝงเล่ห์กลมากกว่าน้ำตาแห่งความเศร้าโศก
“ขอบคุณที่คอยเป็นห่วงฉันมาตลอดนะ ลอเรล”
มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากุมมือของทางนี้ไว้พร้อมผลิรอยยิ้มอ่อน ใบหน้าอันนุ่มนวลค่อยๆ ถูขึ้นลงอย่างช้าๆ ราวกับการทำแบบนั้นมันช่วยให้จิตใจของเธอสงบลงได้
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่นานๆ ทีได้เห็นลอเรนติน่าในมุมนี้มันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกดีสุดๆ จนพอรู้ตัวอีกทีตัวเองก็กำลังใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากล่างของเธอ งั้นเพื่อเป็นการตอบแทนก็คงต้องตามใจเจ้าตัวอีกสักหน่อย
“นี่ ลอเรล ช่วยป้อนชาให้ฉันหน่อยสิ”
เธอดึงมือที่กำลังจับแก้มนั้นออกก่อนจะประทับริมฝีปากอันนุ่มนวลลงไปบนหลังมือ
“Ja, mein Herr.”