Diablo: The Sin War - Book 1 (BIRTHRIGHT) - ตอนที่ 1.1
เงาได้พาดผ่านโต๊ะของอัลดีเซี่ยน อัล-ดีโอเมเดส บดบังไปจนถึงมือของเขาและเหล้าเอลที่เขายังไม่ได้ดื่ม. ชาวไร่ผมสีทรายหาต้องแหงนหน้ามองผู้ที่กำลังขัดจังหวะช่วงเวลาพักพ่อนอันสั้นๆจากการทำงานในแต่ละวันของเขาไม่. เขา(อัลดีเซี่ยน)ได้ยินผู้มาใหม่ คุยกับคนอื่นๆในบอร์เฮด(Boar’s Head เศียรหมู่ป่า)ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมแห่งเดียวในหมู่บ้านเซราม(Seram)อันห่างไกล—อัลดีเซี่ยนได้ยินและสวดอ้อนวอนอยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่ได้เก่งกล้าพอจะทำให้ชายคนนั้นไม่มาที่โต๊ะของอัลดีสเซี่ยนได้
The shadow fell across Uldyssian ul-Diomed’s table, enveloping not only much of it, but also his hand and his as-of—yet-undrunk ale. The sandy-haired farmer did not have to look up to know who interrupted his brief respite from his day’s labors. He had heard the newcomer speaking to others in the Boar’s Head—the only tavern in the remote village of Seram—heard him speaking and prayed silently but vehemently that he would not come to Uldyssian’s table.
เป็นอะไรที่ขบขันยิ่งนักที่บุตรของดีโอเมเดสภาวนาให้คนแปลกหน้าไปไกลๆ เพราะสิ่งที่อัลดีเซี่ยนเห็นหาใช่ใครอื่นใดไม่นอกจากผู้เผยแพร่คำสอนจากวิหารแห่งแสง(Cathedral of Light). ดูน่านับถือด้วยกับชุดคลุมสีขาวเงิน—ดูมีภูมิฐานด้วยกับแหวนแห่งเซราเมี่ยนซึ่งทำมาจากโคลน—ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาทำให้ชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้านที่อัลดีสเซี่ยนอาศัยอยู่เลื่อมใสในตัวเขา. อย่างไรก็ตาม การแสดงตัวของเขามิได้ช่วยอันใดเลย ดีแต่จะขุดคุ้ยความทรงจำอันเลวร้ายของชาวไร่หนุ่ม(อัลดีสเซี่ยน) ที่กำลังหักห้ามความโกรธในขณะที่กำลังจ้องมองไปยังเหยือกของตน.
It was ironic that the son of Diomedes prayed for the stranger to keep away, for what stood waiting for Uldyssian to look up was none other than a missionary from the Cathedral of Light. Resplendent in his collared silver-white robes—resplendent save for the ring of Seramian mud at the bottom—he no doubt awed many a fellow villager of Uldyssian’s. However, his presence did nothing but dredge up terrible memories for the farmer, who now angrily fought to keep his Stare fixed on the mug.
“เจ้าเห็นถึง แสงสว่าง หรือไม่ น้องชาย?” ในที่สุดเผยแพร่คำสอนหันมาถามซึ่งมันก็เป็นอันชัดเจนแล้วว่าการเรียกร้องให้เข้ามานับถือในศาสนาของคนผู้นี้เปลี่ยนเป้าหมายมายังอัลดีสเซี่ยนต่อแทนที่จะเมินเฉยเขา (*ตรงนี้งงมาก ไม่รู้จะแปลยังไง) “พระวจนะของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ได้สัมพัสไปถึงจิตวิญญาณของท่านหรือไม่?”
“Have you seen the Light, my brother?” the figure finally asked when it was clear that his potential convert planned to continue to ignore him. “Has the Word of the great Prophet touched your soul?”
“ไปหาคนอื่นเถอะไป๊” อัลดีเซี่ยนบ่นพึมพำ มือข้างที่ว่างของเขากำหมัดแน่นโดยมิได้ตั้งใจ. ท้ายที่สุดเขาก็กระดกเบียร์ด้วยความหวังว่าคำพูดของเขานั้นจะยุติบทสนทนาที่ไม่ได้ตั้งใจนี้. อย่างไรก็ตามแต่ ผู้เผยแพร่คำสอนก็มิได้ล้มเลิกความพยายาม
“Find someone else,” Uldyssian muttered, his free hand involuntarily tightening into a fist. He finally took a gulp of his ale, hoping that his remark would end the unwanted conversation. However, the missionary was not to be put off.
นักเผยแพร่คำสอนวางมือลงบนท่อนแขนของชาวไร่หนุ่ม—แล้วกันไม่ได้เหล้าเอลเข้าแตะริมฝีปากของอัลดีเซี่ยน —ผู้เผยคำสอนหนุ่มผิวซีดก็เอ่ยขึ้นว่า “ตัวเจ้าไม่มิได้โดดเดี่ยวดอก คิดถึงคนที่เจ้ารักสิ! เจ้าจะทอดทิ้งดวงวิญญาณของพวกเขาที่—“
Setting a hand on the farmer’s forearm—and thereby keeping the ale from again touching Uldyssian’s lips—the pale young man said, “If not yourself alone, think of your loved ones! Would you forsake their souls as—”
ชาวไร่หนุ่ม(อัลดีเซี่ยน)แหกปากร้องลั่น ใบหน้าของเขาแดงฉานไปด้วยความโกรธที่มิอาจควบคุมได้. อัลดีเซี่ยนก็กระโจนเข้าใส่และจับคอเสื้อของผู้เผยคำสอนที่กำลังตกใจในชั่วอึดใจ. จนทำให้โต๊ะหงายคว่ำ เหล้าเอลตกกระเซ็นบนพึ้นไม้กระดานโดยคนที่ดื่มเมื่อครู่ในขณะที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตุเห็น. รอบๆห้อง ต่างมีผู้เข้ามาแวะเวียน รวมไปถึงนักเดินทางที่ยากจะเจอไม่กี่คนที่ผ่านทางมา มองดูการเผชิญหน้านี้ด้วยความกังวลและความสนอกสนใจ…และจากประสบการณ์จึงเลือกที่จะหลีกห่าง. ผู้คนในท้องที่บางคนต่างก็รู้จักบุตรของดีโอเมเดสเป็นอย่างดี พวกเขาต่างส่ายหัวหรือพึมพำกันเองถึงผู้ที่มาใหม่คนนี้(ผู้เผยแพร่คำสอน)เลือกเป่าหมายได้ไม่ดีนัก
The farmer roared, his face red with a rage no longer held in check. In a single motion, Uldyssian leapt up and seized the startled missionary by the collar. As the table tipped over, the ale fell and splattered on the planked floor, unnoticed by its former drinker. Around the room, other patrons, including a few rare travelers passing through, eyed the confrontation with concern and interest…and from experience chose to keep out of it. Some of the locals, who knew the son of Diomedes well, shook their heads or muttered to one another at the newcomer’s poor choice of subjects.
ผู้สอนศาสนาคนนี้สูงกว่าอัลดีเซี่ยนหนึ่งช่วงฝ่ามือ ไม่มีผู้ชายคนใดเลยแม้แต่คนเดียวที่จะสูงกว่าถึงหกฟุต(1.8 ม.) ทว่าชาวไร่หนุ่ม(อัลดีสเซี่ยน)ที่ไหล่กว้างกลับมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าเขาถึงครึ่งนึงด้วยซ้ำไป และกล้ามเนื้อทั้งหมดนั้นมาจากการไถพรวนดินวันแล้ววันเล่าหรือการเฝ้าเลี้ยงสัตว์. อัลดีเซี่ยนเป็นชายกรามเหลี่ยม มีหนวดเครา ลักษณะดูหยาบกร้านตามแบบฉบับของภูมิภาคทางตะวันตกของเคห์จาน(Kehjan)อันเป็นมหานครแคว้นอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นดั่ง “อัญมณี” แห่งซีกโลกตะวันตก. นัยย์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูแผดเผาจ้องมองไปยังบุคคลที่ดูซีดเซียวยิ่งกว่าผอมแห่ง—และดูอ่อนเยาว์อย่างน่าประหลาด—อันเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนมานับในตัวศาสานาของวิหาร.
The missionary was a hand taller than Uldyssian, no small man himself at just over six feet, but the broad-shouldered farmer outweighed him by half again as much and all of that muscle from day after day of tilling the soil or seeing to the animals. Uldyssian was a square-jawed man with the bearded, rough-hewn features typical of the region west of the great city-state of Kehjan, the “jewel” of the eastern half of the world. Deep-brown eyes burned into the more pale ones of the gaunt—and surprisingly young—features of the Cathedral’s proselytizer.
“ดวงวิญญาณของครอบครัวส่วนใหญ่ของข้าอยู่นอกเหนือการรวบรวมของท่านศาสดา สหาย! พวกเขาก็ตายจากไปด้วยโรคระบาดเมื่อเกือบสิบปีก่อน”
“The souls of most of my family are beyond the Prophet’s gathering, brother! They died nearly ten years ago, all to plague!”
“ข้าจะสะ-สวด อ้อนวอน หะ-ให้… พวกเขา—”
“I shall s-say a prayer for. . .for them—”
คำพูดของนักเผยแพร่คำสอนมีแต่จะทำให้อัลดีเซี่ยนโกรธเคือง ซึ่งตัวเขาก็เคยสวดอ้อนวอนให้กับบิดามารดาของเขา พี่ชายของเขาและน้องสาวฝาแฝดของตลอดเวลาหลายเดือนที่พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาน. กลางวันและกลางคืน เขามักจะนอนไม่หลับในระหว่างนั้น เมื่อเขาเริ่มสวดอ้อนวอน เขาขอให้พลังใดๆก็ตามที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่ขอให้รักษาครอบครัวของพวกเขา แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีซึ่งความหวังอีกต่อไป ความตายค่อยๆพรากพวกเขาไปอย่างรวดเร็วและไร้ความเจ็บปวด.
His words only served to infuriate Uldyssian, who had himself prayed for his parents, his elder brother, and his two sisters constantly over the months through which they had suffered. Day and night—often with no sleep in between—he had first prayed to whatever power watched over them that they recover, then, when that no longer seemed a hope, that their deaths would be swift and painless.
และแล้วคำอ้อนวอนเหล่านั้นก็ไม่ได้รับการตอบแทนแก่เขาเช่นกัน. อัลดีเซี่ยนว้าวุ่นและหมดซึ่งหนทาง เฝ้ามองพวกเขาตายไปทีละทีละคนด้วยความปวดร้าว. มีเพียงเขาและเมนเดลน์(Mendeln)น้องชายคนสุดท้องเท่านั้นที่รอด และช่วยกันฝังคนที่เหลือ.
And that prayer, too, had gone unanswered. Uldyssian, distraught and helpless, had watched as, one by one, they died in anguish. Only he and his youngest brother, Mendeln, had survived to bury the rest.
ถึงกระนั้น มันก็เคยมีผู้เผยแพร่ศาสนาพูดคุยถึงเรื่องวิญญาณของครอบของเขา(อัลดีสเซี่ยน) และเจาะจงว่านิกายของพวกเขานั้นคือคำตอบของทุกๆสิ่ง. ซึ่งครั้งนั้น พวกเขาให้คำมั่นสัญญากับอัลดีสเซี่ยนไว้ว่า หากเขาดำเนินตามแนวทางของพวกเขา(วิหาร) เขาจะค้นพบหนทางแห่งความสงบจากการที่เขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก.
Even then there had been missionaries and even then they had talked of the souls of his family and how their particular sects had the answers to everything. To a one, they had promised Uldyssian that, if he followed their particular path, he would find peace over his loved ones’ losses.
แต่อัลดีสเซี่ยน ซึ่งครั่งหนึ่งเคยเป็นผู้แคร่งในศรัทธาอย่างแรงกล้า ได้กล่าวโทษประนามพวกเขาแต่ละคนด้วยถ่อยคำที่รุนแรง. คำพูดของพวกเขากลวงเปล่าและการปฎิเสธของเขาดูเหมือนจะมีเหตุผลเมื่อคนของนิยายต่างจากไปเฉกเช่นฤดูกาลที่พัดผ่านไปในฟาร์ม
But Uldyssian, once a devout believer, had very vocally denounced each and every one of them. Their words rang hollow and his refusals seemed later justified when the missionaries’ sects faded away as surely as each season on the farm.
แต่นั่นหาใช่ทั้งหมด. วิหารแห่งแสง แม้จะเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่นาน ทว่ากลับมีพลังอำนาจมากกว่าลัทธิอื่นๆในรุ่นก่อนๆ. แท้จริงแล้ว วิหารแห่งนี้และโบสถ์แห่งไทร์อูน(Temple of the Triune)ที่ถูกก่อตั้งมาก่อนหน้ายาวนานกว่านั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นสองขั่วอำนาจใหญ่อย่างรวดเร็วเพื่อเสาะแสวงหาจิตใจของผู้คนในเคห์จาน. สำหรับอัลดีสเซี่ยน ความกระตือรือร้นอันแรงกล้าที่ทั้งสองฝ่ายเสาะแสวงหาผู้ศรัทธาใหม่บนการแก่นแย่งชิงที่รุนแรงขัดแย้งกับสาส์นแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอย่างมาก
But not all. The Cathedral of Light, though only of recent origin, seemed far stronger than most of its predecessors. Indeed, it and the longer-established Temple of the Triune seemed to be quickly becoming the two dominant forces seeking the souls of Kehjan’s people. To Uldyssian, the fervent enthusiasm with which both sought out new converts bordered on a strenuous competition much in conflict with their spiritual messages.
และนั้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อัลดีสเซี่ยนจะไม่มีส่วนร่วมข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีกด้วย
And that was yet another reason Uldyssian would have no part of either.
“แกสวดให้ตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องมาให้กับข้าหรือครอบครัวข้าเลย” เขาโห่ร้องลั่น. ดวงตาของผู้สอนศาสนาปูดเหลือกเมื่ออัลดีเซี่ยนยกคอเสื้อของเขาขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย
“Pray for yourself, not for me and mine,” he growled. The missionary’s eyes bulged as Uldyssian easily hefted him by the collar off the floor.