Diablo: The Sin War - Book 1 (BIRTHRIGHT) - ตอนที่ 1.3
ขณะที่ถูกจ้องมอง สตรีนางนั้นเริ่มชำเลืองมาทางอัลดีสเซี่ยน เซเรนเทียก็พรวดคว้าแขนของเขา “ท่านน่าจะเข้ามาดูข้างในด้วยตัวเองนะ อีลดีสเซี่ยน”(เซเรนเทียน่าจะไม่เห็นสตรีนางนั้น)
Just as the arresting figure began to glance in Uldyssian’s direction, Serenthia abruptly took him by the arm. “You should come inside and see for yourself, Uldyssian.”
ขณะที่นาง(เซเรนเทีย)จูงมือเขาไปที่ประตูไม้บานคู่ ชาวไร่หนุ่มก็หันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็ไม่เห็นวี่แววของสตรีผู้สูงศักดิ์เลย. เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนไม่มีทางเพ้อฝันอะไรที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ อัลดีสเซี่ยนเกือบจะคิดไปเองว่านางคงจะเป็นแค่ผลจากจินตนาการของตัวเขาเอง.
As She steered him toward the twin wooden doors, the farmer took a quick look back, but of the noblewoman he saw no Sign. Had he not known himself to be incapable of such elaborate fancies, Uldyssian would have almost believed her to be a product of his imagination.
เซเรนเทียเอาแต่ดึงแขนเขาเข้าไปข้างใน บุตรสาวของไซราสปิดประตูตามหลังพวกเขาอย่างรุนแรง. ข้างในนั้น พ่อของนางก็เงยหน้าขึ้นจากการสนทนากับพ่อค้าที่สวมหน้ากาก. ชายชราสองคนที่ดูเหมือนกำลังต่อล้อต่อเถียงกันเรื่องห่อผ้าสีม่วงซึ่งชาวไร่หนุ่มคิดว่ามันค่อนข้าจะหรูหรา.
Serenthia all but pulled him inside, Cyrus’s daughter shutting the doors behind them particularly hard. Inside, her father glanced up from a conversation with a cowled merchant. The two older men appeared to be haggling over a bundle of what the farmer thought rather luxurious purple cloth.
“โอ้! ดีเลย อัลดีสเซี่ยน!” พ่อค้า(ไซราส)เรียกด้วยชื่อของทุกคนเพื่อถนอมถ่อยคำแก่ครอบครัวของเขา เป็นสิ่งที่ทำให้อัลดีสเซี่ยนยิ้มได้อยู่เสมอ(*ดำล้วนๆ). ไซราสเหมือนจะไม่ได้สังเกตุว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“Aah! Good Uldyssian!” The trader prefaced everyone’s name save those of his family with the word, something that always made Uldyssian smile. Cyrus did not even seem to notice that he did it.
“เจ้าและก็น้อยชาย เป็นยังกันบ้างล่ะ?”
“How fare you and your brother?”
“เรา…พวกเราสบายดีครับ ท่านไซราส”
“We…we’re fine, Master Cyrus.”
“ดีๆ” แล้วจากนั้นไซราสก็กลับไปทำงานของเขา. ไซราสเป็นคนมีทรงผมสีเงินเป็นวงแหวนรอบกบาลที่สะอาดเกลี้ยงเกลากว่าส่วนอื่นของเขาและดวงตาที่เฉียบแหลมของเขา ในสายตาของชาวไร่หนุ่ม(อัลดีสเซี่ยน)ไซราสดูเหมือนนักบุญมากกว่าคนที่สวมเสื้อคลุมจำพวกนั้นเสียอีก. ในความเป็นจริง อัลดีสเซี่ยนเคยได้ฟังคำพูดที่สมเหตุสมผลมากกว่าของชายผู้นี้. เขาให้ความนับถือไซราสอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นพ่อค้าซึ่งมีการศึกษามากกว่าผู้คนส่วนใหญ่ในเซราม และได้นำเมนเดลน์มาอยู่ในความอุปถัมภ์.
“Good, good.” And with that, the trader went back to his business. With but a ring of silvering hair around his otherwise clean pate and his scholarly eyes, Cyrus looked more like a cleric to the farmer than any of those wearing such robes. In fact, Uldyssian had heard far more sensible words from the man. He respected Cyrus greatly, in part because of how the trader, more educated than most in Seram, had taken Mendeln under his wing.
พอนึกถึงน้องชายของเขาที่ใช้เวลาอยู่ในอาคารนี้มากกว่าที่สวนไร่ อัลดีสเซี่ยนก็เหลือบมองไปรอบๆ. แม้ว่าเมนเดลน์จะสวมเสื้อผ้าคล้ายพี่ชายของเขา—เสื้อคลุมผ้ายาวเหมือนกระโปงสั้นและสวมรองเท้าบูท—ดูคลับคล้ายกับผู้ชายของเขาอยู่บ้างจากนัยน์ตาและจมูกที่กว้าง มองแวบแรกใครๆต่างก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่าเขานั้นเป็นชาวสวนชาวไร่อะไรงั้นหรือป่าว. จริงอยู่ที่ว่า แม้เขาจะช่วยงานในฟาร์ม เห็นได้ชัดว่าการทำงานในที่ดินนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเมนเดลน์. เขานั้นสนในที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นพวกแมลงที่ขุดโพรงอยู่ในดินหรือถ่อยคำในม้วนกระดาษบางเล่มที่เขาได้ยืมมาจากไซราส
Thinking of his brother, who Spent more time in this very building than he did at the farm, Uldyssian glanced around. Although Mendeln would have been clad in garments akin to his brother’s—cloth tunic, kilt, and boots—and resembled his brother somewhat in the eyes and broad nose, one look at him by anyone would raise the question of whether he was actually a farmer. In truth, although he did help out at the farm, working the land was clearly not Mendeln’s calling. He was always interested in studying things, be they bugs burrowing in the ground or words in some parchment loaned him by Cyrus.
อัลดีสเซี่ยนสามารถอ่านและเขียนได้ และเขายังความภูมิใจในความสามารถนั้น ทว่าเขามองเห็นแต่ในแง่ที่เป็นประโยชน์ของสิ่งนี้เท่านั้น. มีอยู่หลายครั้งที่ต้องทำสนธิสัญญาซึ่งจำเป็นต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรต่างๆนาๆลงไป และจากนั้นก็ตรวจสอบให้แน่ใจในสิ่งที่พวกเขาทำข้อตกลงกัน. นั้นคือสิ่งที่พี่ชายที่แก่กว่าเข้าใจ. เพียงแค่อ่านเพื่อประโยชน์ในการอ่านหรือศึกษาเพียงเพื่อเรียนรู้บางสิ่งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใดในชีวิตประจำวัน…ความต้องการเช่นนี้ทำให้เขาทำตัวหลีกห่าง
Uldyssian could read and write, too, and was proud of that achievement, but he saw only the practical aspects of such a thing. There were times when pacts had to be made that required writing things down and then making certain that they said what they were supposed to. That, the older brother understood. Simply reading for reading’s sake or studying merely to learn something of no use in their daily tasks…such a desire evaded Uldyssian.
เขาไม่เห็นน้องชายตนเอง ที่คราวนี้ควรจะนั้งรถม้ามากับเขา(ไซราส) ทว่าว่ามีสิ่งบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาเข้า ภาพที่ทำให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมบอร์แฮดแบบเต็มๆและเจ็บปวด. ครั้นมองแวบแรก ตัวตนนั้นเป็นสหายของผู้เผยคำสอนที่เขาเคยกล่าวหา แต่ถัดมาเป็นหญิงสาวที่หันมามอบเขามากที่สุด ชาวไร่หนุ่มเห็นนางสวมชุดคลุมที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง. (*ถัดจากตรงนี้แปลยากนิดๆครับกระผมจึงขอข้าม แต่คาดว่าพวกเขาแต่ตัวคล้ายเหล่า Cultist ในเกมภาค 3)
He did not see his brother, who had this time ridden in with him, but something else caught his attention, a sight that brought back to him fully and painfully the memory of what had happened in the Boar’s Head. At first glimpse, he thought the figure a companion of the missionary he had accosted, but then, as the young woman turned more in his direction, the farmer saw that she wore an entirely different set of robes. These were of a deep azure and had upon the breast a golden, stylized ram with great curled horns. Below the ram was an iridescent triangle whose tip jutted up just below the animal’s hooves.
ผมของนางเสยยาวถึงใหล่ ใบหน้าที่จัดปอยผมนั้นกลมโต ดูอ่อนเยาว์ และมีเสน่ห์อย่างมาก. แต่ในใจของอัลดีสเซี่ยน บางสิ่งที่ขาดหายซึ่งเขาไม่ต้องการให้นางเป็น. มันคือสิ่งราวกับว่านางเป็นเปลือกที่กลวงเปล่า ไม่ใช่คนเต็มเต็ง.
Her hair had been shorn to shoulder length and the face that the tresses framed was round, full of youth, and highly attractive. Yet there was, in Uldyssian’s mind, something missing that removed for him any desire for her. It was as if she was an empty shell, not a whole person.
เขาเคยเห็นคนเช่นนางมาก่อน. กระตือรือร้น เชื่อมั่นในศรัทธาอันแน่วแน่. เขาเคยเห็นชุดคลุมเช่นนั้นมาก่อนอีกด้วย และความจริงที่ว่านางเพียงคนเดียวทำให้เขามองมองบรรยากาศห้องไปด้วยความหวาดกลัว. พวกเขาไม่เคยเดินทางกันตามลำพัง มักจะไปกันสามคนอยู่เสมอ. หนึ่งคนของแต่ละสำนักของพวกเขานับถือ…
He had seen her like before. Zealous, an absolute believer in her faith. He had also seen the robes before, and the fact that she was alone made him suddenly eye the room with dread. They never traveled alone, always in threes. One for each of their order…
เซเรนเทียพยายามที่จะให้เขาชมเครื่องประดับเล็กๆน้อยของสตรี ทว่าอัลดีสเซี่ยนทำเป็นได้ยินเสียงนาง แต่ไม่ได้ฟังในสิ่งที่นางพูด. เขาคิดพยายามที่จะออกจากห้องมา.
Serenthia was trying to show him some feminine bauble, but Uldyssian heard only her voice, not her words. He considered trying to back out of the Chamber.
จากนั้นก็มีอีกบุคคลที่เข้ามาก่อนแต่แรก ชายผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงและรูปประพันธ์เหมือนผู้ดี มีคางที่แหว่งและคิ้วหน้า จนดูน่าดึงดูดแม้กระทั้งกับเพศเดียวกันมากพอ เฉกเช่นที่สตรีมีต่อบุรุษ. เขาสวมเสื้อคลุมสีทองรัดรูปและห้อยเครื่องรางสามเหลี่ยม ทว่าเวลานี้ด้านบนเป็นผืนสีเขียว(*งงในงง)
Then another figure joined the first, this one a middle-aged man of Strong bearing and patrician features who, with his cleft chin and strong brow, would have appealed to the fairer sex as much as the girl would have the males. He wore a tight—collared golden robe that also bore the triangle, but this time above it was a green leaf.
สาขาที่สามของพวกเขานั้นไม่มีที่ใดให้พบเห็น ทว่าอัลดีสเซี่ยนก็รู้ว่าเขาหรือนางนั้นอยู่ไม่ไกลนัก. บริวารของโบสถ์แห่งไทร์อูนไม่ได้แยกกระจายตัวกัน. ในขณะที่นักเผยแพร่จากวิหาร(Catherdal of light)มักทำงานกันตามลำพัง แต่สำหรับสานุศิษย์ของไทร์อูนจะผสานงานซึ่งกันและกัน. พวกเขาชี้แนะหนทางของสามดวงวิญญาณแห่งการนำทาง—บาลา(Bala), ดีอาโลน(Dialon) และเมฟิส(Mefis)—เหล่านี้คือดวงจิตซึ่งคอยเฝ้ามองดูมวลมนุษย์เหมือนบิดามารดาอันเป็นที่รักหรือครูบาอาจารย์ที่จริงใจ. ดีอาโลนคือดวงวิญญาณแห่งการเด็ดเดี่ยวที่ชักจูงแกะผู้ดื้อรั้น(สัญลักษณ์เขาแกะ). บาลาหมายถึงการสร้างสรรค์เมฟิส ซึ่งเป็นตัวแทนของใบไม้(สัญลักษณ์ใบไม้). เมฟิสของเหล่าบริวารที่โหยหาอันเป็นบุคคลอันเป็นที่รัก(น่าจะเป็นวงกลมตรงกลาง). เหล่าสานุศิษย์ของสำนักนั้นจะสลักวงกลมสีแดงตรงอกของพวกเขา ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ใช้สื่อถึงหัวใจที่ใช้กันโดยทั่วไปในเคห์จาน
The third of their band was nowhere to be seen, but Uldyssian knew that he or she could not be far away. The servants of the Temple of the Triune did not stay separated long. While a missionary from the Cathedral often worked alone, the Triune’s acolytes acted in concert with one another. They preached the way of the Three, the guiding spirits— Bala, Dialon, and Mefis —who supposedly watched over a mortal like loving parents or kindly teachers. Dialon was the spirit of Determination, hence the stubborn ram. Bala stood for Creation, represented by the leaf. Mefis, whose servant was missing, was Love. The acolytes of that order bore upon their breast a red circle, the common Kehjan emblem for the heart.
ด้วยความที่เคยได้ยินคำเทศนาของลัทธิ์ทั้งสามมาก่อนและไม่อยากที่จะเสี่ยงหวนถึงเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมซ้ำรอยอีก อัลดีสเซี่ยนจึงพยายามหลบเข้าไปอยู่ในเงามืด. เซเรนเทียก็ตระหนักได้ในที่สุดว่าอัลดีสเซี่ยนไม่ได้ฟังฟังนางแล้ว. นางจึงเอามือวางบนสะโพกและจ้องมองเขา ครั้งเมื่อนางยังเด็ก ก็เคยทำให้เขายอมจำนนต่อวิธีการนี้ของนาง
Having heard the preachings of all three orders before and not wanting to risk a repeat of the debacle in the tavern, Uldyssian tried to shift into the shadows. Serenthia had finally realized that Uldyssian no longer listened to her. She put her hands on her hips and gave him the stare that, when she had been a child, had made him give in to her way.
“อัลดีสเซี่ยน! ข้าคิดว่าท่านต้องดูนี่นะ—”
“Uldyssian! I thought you wanted to see—”
เขาบอกปัดนาง. “เซอร์รี่ ข้าคงต้องไปแล้ว. พวกพี่ๆของเจ้าได้รวบรวมของที่ข้าขอไปก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง?”
He cut her off. “Serry, I’ve got to be going. Did your brothers gather what I asked for earlier?”
นางเม้มริมฝีปากในขณะที่นางคิด. อัลดีสเซี่ยนมองไปเห็นนักเผยแพร่ศาสนาซึ่งดูกำลังสาละวนกับการพูดคุยกันอยู่. ทั้งคู่ดูสับสนอย่างประหลาด ราวกับว่ามีบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้
She pursed her lips as she thought. Uldyssian eyed the two missionaries, who seemed engrossed in some conversation. Both looked oddly disoriented, as if something had not gone as they had assumed it would.
“ธีลไม่ได้บอกอะไรข้าเลย ไม่งั้นข้าคงรู้แล้วว่าท่านยังอยู่ในเซรามก่อนหน้า. ให้ข้าไปหาเขาและถามดูล่ะกัน”
“Thiel said nothing to me or else I’d have known you were in Seram before. Let me go find him and ask.”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” อะไรก็ตามที่พอจะหลีกเลี่ยงจากพวกสุนัขรับใช้ของไทร์อูน. โบสถ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาก่อนวิหารแห่งแสงหลายปี ทว่าเพลานี้ทั้งสองดูเหมือนจะมีอิทธิผลเท่าเทียมกันไม่มากก็น้อย. ว่ากันว่าตุลาการสูงของเคห์จานเคยเป็นผู้ย้ายมาเลื่อมใสในอดีต ในขณะที่มีข่าวลือหนาหูว่าท่านแม่ทัพของกองกำลังผู้พิทักษ์เคห์จานเป็นสมาชิกในภายหลัง. ความระส่ำระส่ายภายในกลุ่มผู้วิเศษ—ซึ่งมักจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นในช่วงหลัง—หลายๆคนหันเหไปรับขวัญจากคำสอนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง.
“I’ll come with you.” Anything to avoid the dogs of the Triune. The Temple had been established some years before the Cathedral, but now the two appeared more or less even in their influence. It was said that the High Magistrate of Kehjan was now a convert of the former, While the Lord General of the Kehjan Guard was rumored to be a member of the latter. The disarray Within the mage clans— often bordering on war of late—had turned many to the comfort of one message or another.
แต่ก่อนที่เซเรนเทียจะเดินนำพวกเขาเข้าไปข้างหลัง ไซราสก็เรียกหาลูกสาวของเขาเสียก่อน. นางมองอัลดัสเซียนด้วยท่าทางเหมือนบอกกล่าวขอโทษ
But before Serenthia could lead them into the back, Cyrus called for his daughter. She gave Uldyssian an apologetic look.
“รออยู่นี่แหละ. ข้าไปไม่นานหรอก”
“Wait here. I won’t be long.”
“ข้าเองก็จะไปหาธีลด้วย” เขาเสนอตัว
“I’ll go look for Thiel myself,” he suggested.
เซเรนเทียชำเหลือบไปเห็นนักเผยแพร่ศาสนาอย่างรวดเร็ว. สีหน้าของนางก็แสดงท่าทางติเตียนขึ้นมาอย่างรุนแรง “อีลดีสเซี่ยน ไม่เอาอีกแล้วน่า”
Serenthia must have caught his quick glance at the missionaries. Her expression grew reproving. “Uldyssian, not again.”
“เซอร์รี่—”
“Serry—”
“อัลดีสเซี่ยน พวกคนเหล่านั้นเป็นผู้ส่งสาส์นขององค์กรศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ! พวกเขามิได้จะทำร้ายท่านเสียหน่อย! หากเพียงท่านเปิดใจรับฟังพวกเขา! ข้ามิได้จะแนะให้ท่านเข้าร่วมหรืออะไรหรอก แต่คำสอนของทั้งสองควรค่าแก่ความสนใจของท่านนะ”
“Uldyssian, those people are messengers of holy orders! They mean you no harm! If you would just open yourself up to hearing them! I’m not suggesting you join one or the other, but the messages both preach are worthy of your attention.”
นางเคยติเตียนเขาเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาลุกขึ้นยืนในโรงเตี๊ยมภายหลังจากการมาเยือนของล่าสุดของผู้เผยคำสอนจากไทร์อูนและกล่าวลามไปถึงเรื่องการขาดแคลนสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตของคนทั่งไปที่ยากลำบาก. แล้วเหล่าสานุศิษย์ได้หยิบยื่นช่วยเหลือที่จะส่งมอบขนแกะหรือพืชพันธุ์มาให้ไหม? พวกเขาได้ช่วยชะล้างโคลน—เสื้อผ้าที่เปียกหรือช่วยซ่อมแซมรั้วให้ไหม? ก็หาไม่. อัลดีสเซี่ยนได้ชี้ให้เห็นเช่นเดียวกับที่เขาเคยพูดกับคนอื่นๆในครั้งก่อนๆมา ว่าสิ่งที่พวกเขาทำก็แค่กระซิบกระซาบข้างหูผู้คนว่านิกายของพวกเขาดีกว่าเหนือกว่านิกายอื่น. สิ่งนี้มันผู้คนที่แทบจะไม่เข้าใจถึงแนวคิดเรื่องเทวดาและปิศาจ แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อเรื่องพวกนี้มากนัก.(จมน้ำดำลึกเลย)
She had reprimanded him like this before, just after he had stood up in the tavern after the last visit by missionaries from the Triune and gone on at length about the lack of need for any of their ilk in the lives of the common folk. Did the acolytes offer to help shear the sheep or bring in the crops? Did they help wash the mud—soaked clothes or lend their hands fixing the fences? No. Uldyssian had pointed out then, as he had on other occasions, that all they came to do was whisper in the ears of people that their sect was better than the other sect. This to people who barely understood the concept of angels and demons, much less believed in them.
“พวกเขาเอาแต่พูดคำกล่าวที่สวยหรูตามที่พวกเขาอยาก เซอร์รี่ แต่ทั้งหมดที่ข้าเห็นคือพวกเขาแข่งขันกันเอง โดยมีคนโง่ไม่รู้มากมายตั้งเท่าไหร่ที่พวกเขาตีตราว่าเป็นผู้ชนะ”
“They can say all the pretty words they want, Serry, but all I see is them contesting against one another, with how many fools they can brand as their own as what decides the winner.”
“เซเรนเทีย!” ไซราสเรียกอีกครั้ง. “มานี่หน่อย ยัยหนู!”