Devil's love ทิ้งรักของนายปีศาจไป - ตอนที่ 265 เธอไม่เชื่อ
ติงหน่วนไปหาเจี่ยนถงอีกครั้ง คราวนี้ตรงไปหาที่ตึกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป
ในตอนที่เจี่ยนถงได้รับสายจากพนักงานเคาน์เตอร์ ก็นิ่งอึ้ง
เร็วอะไรขนาดนี้?
ติงหน่วน…….ตัดสินได้ใจง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?
เธอบอกให้พนักงานเคาน์เตอร์ปล่อยให้ติงหน่วนขึ้นมา
ในตอนที่ใบรับรองของเจี่ยวสือโอวถูกยื่นมาตรงหน้าเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็นิ่งเงียบ
ติงหน่วนไปโรงพยาบาลจริงๆด้วย
เพียงแต่ว่า เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมา “ไปตรวจอีกครั้ง” เธอไม่ค่อยไว้ใจติงหน่วน ไม่มีพยานรู้เห็นแบบนี้ อาจจะปลอมแปลงเอกสารขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้
สีหน้าของติงหน่วนเปลี่ยนไป โชคดีที่เธอไหวตัวทัน “ได้สิ” คิดอะไรอยู่สักพัก ก็พูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณต้องสงสัย งั้นไปตรวจอีกครั้งก็ได้ จริงๆแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมคุณถึงสงสัย แต่คุณเชื่อใจฉันได้ ถึงฉันจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ฉันก็เป็นแม่คนหนึ่ง ฉันเห็นแก่ตัวก็เพียงแค่เพื่อเสี่ยวโอว ความเห็นแก่ตัวของฉัน มันก็มาจากความเป็นห่วงที่มีต่อร่างกายของเสี่ยวโอวเหมือนกัน แต่ว่า เสี่ยวโอวกับโม่ป๋ายเป็นพี่น้องกัน ถ้าหากอวัยวะของเสี่ยวโอวจับคู่กับโม่ป๋ายได้จริงๆ ต่อให้ฉันจะไม่เต็มใจแค่ไหน ฉันก็ทนเห็นพี่ชายของเสี่ยวโอวจากโลกไปทั้งที่ยังหนุ่มๆแบบนี้ไม่ได้หรอก”
เจี่ยนถงพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ชีวิตมักจะสอนให้คนเราใช้สติและรู้จักนิ่ง ทั้งยังฝึกให้อดทนกับแผลที่ถูกฉีกจนเลือดไหล
คุณหญิงเจี่ยนเองก็เป็นแม่คน ไม่ใช่เหรอ?
เธอยิ้ม ยิ้มออกมาเพียงบางเบา ซ้ำยังดูห่างเหิน “งั้นก็ไปตรวจใหม่อีกครั้ง”
เธอยกมองนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ ฉันจะไปรับลูกคุณที่โรงเรียนด้วย จะได้ไปโรงพยาบาลพร้อมกันเลย”
ติงหน่วนหน้าซีดเผือด เริ่มลนลาน แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ตั้งสติ “คงไม่ดีมั้งคะ ตอนนี้เสี่ยวโอวคงกำลังเรียนอยู่……..”
ยังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนถงก็ไม่ให้ช่องว่างใดๆแก่เธอ
“อ่อค่ะ จะไม่ไปก็ได้นะ” เธอยิ้มอย่างหมางเมิน “แต่ว่าเจี่ยวสือโอวมีโอกาสครั้งนี้แค่ครั้งเดียว”
ติงหน่วนอ้าปากค้าง เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เจี่ยนถงจะรับมือยากขนาดนี้
ไอ้แก่เจี่ยนเจิ้นตงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ลูกสาวของเขาใจอ่อนง่ายที่สุด มักจะให้โอกาสคนอื่นเสมอ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง
กับผีน่ะสิ!
เธอไม่มีทางได้เห็นเลยว่า ใบหน้าของเธอตอนนี้คล้ำเครียดแค่ไหน
ทางด้านเจี่ยนถง ไม่ได้เร่งรัดอะไร
มาถึงตรงนี้แล้ว ในใจเธอรู้ดีว่ากระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นของปลอม
ดวงตาของติงหน่วนทอแววมาดร้าย “ได้”
คำว่า “ได้”ของเธอ กลับทำให้เจี่ยนถงนิ่งไป ติงหน่วนไม่กลัวว่าลูกชายตัวเองต้องบริจาคอวัยวะเหรอ?
เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เหยียดตัวขึ้น แล้วต่อสายหาวิเวียน “ลงไปชั้นใต้ดิน แล้วขับรถไปรอฉันที่ประตูใหญ่ เดี๋ยวฉันตามไป”
วิเวียนคือลูกน้องคนเก่าคนแก่ของเธอ ย้ายมาจาก”กองทุนดวงหัวใจ” ช่วงนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีแต่ปัญหา เพื่อเป็นการดูแลปัญหาภายในกำจัดปัญหาภายนอก เธอจึงไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น นอกจากคนของเธอเอง
เธอนึกถึงเรื่องที่ทำในช่วงสองสามวันนี้ ทั้งยังนึกไปถึงผู้ชายคนนั้น ช่วงนี้เขาดูแปลกๆ จะให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยให้ได้
แถมยังมาหาเธอที่ออฟฟิศเวลาเที่ยงตรงเป๊ะๆ เพื่อพาเธอออกไปทานข้าวกลางวัน แค่เธอแสดงออกว่าไม่เต็มใจเพียงเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นก็หลุดท่าทีแกมบังคับออกมาทันที ซึ่งจุดนี้กลับเหมือนนิสัยของเขามาก
แต่ว่า เสิ่นซิวจิ่นว่างขนาดนี้เลยเหรอ?
ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ มาเฝ้าเธอเวลาเที่ยงทุกวัน เพียงเพื่ออาหารมื้อเดียวเนี่ยนะ?
นอกจากเรื่องข้าวกลางวันแล้ว ก็ยังมีเรื่องแปลกๆอย่างอื่นอีก
อย่างเช่นมื้อเย็น
บางครั้งก็ลากเธอไปดูหนัง แค่พูดถึงโรงหนัง หน้าของเจี่ยนถงก็ดำทะมึนแล้ว คนคนนี้ป่วยหรือไง มาเคาะประตูห้องเธอตอนสี่ทุ่ม จากนั้นก็หยิบเสื้อโค้ตออกมา คลุมลงบนตัวเธอเหมือนกำลังเล่นมายากล แล้วโอบไหล่เธอเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ กึ่งลากกึ่งดึงยัดเธอเข้าไปในรถ สตาร์ทรถขับออกไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เมื่อจอดรถ ถึงได้พบว่า หนังที่เขาพามาดู…..เป็นหนังผี
ประสาท
นี่คือคำนิยามที่เจี่ยนถงใช้เรียกการกระทำแปลกๆของเสิ่นซิวจิ่นในช่วงนี้
ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง จู่ๆเสิ่นซิวจิ่นก็นึกอยากช็อปปิ้ง มันน่าเชื่อไหมล่ะ?
เจี่ยนถงรู้สึกแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ได้
เพียงแค่ต้องระแวงและระวัง
เธอก็มนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจ ยังคงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีๆของคนอื่น
เธอรู้สึกได้ว่าเขาดีกับเธอมาก
มันดีก็จริง แต่เธอกลับกลัว
“ความดี”ของเสิ่นซิวจิ่น ต้องชดเชยให้อดีตของเธอหลายร้อยพันเท่า และกลายเป็นประสบการณ์ที่ให้บทเรียนแก่เธอ
เธอกลัว การที่เสิ่นซิวจิ่นทำตัวแปลกๆแบบนี้เธอก็ยิ่งกลัว เหมือนเขากำลังวางแผนอะไรในใจ
ต่อจาก “หนีเอาตัวรอดจากคุก” “ถูกคลุมถุงชน” คราวนี้ ละครเรื่องต่อไปชื่อว่าอะไรล่ะ?
เป็นละครรักหรือเปล่า?
ฮ่าๆๆ
เมื่อเจี่ยนถงคิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
จนวิเวียนที่นั่งอยู่ในรถ เอ่ยถามว่า “ประธานเจี่ยน ขำอะไรคะ?”
“ฉันขำชีวิตตัวเองน่ะ อย่างกับฉากในละครแหนะ แต่เป็นละครของคนอื่น”
“ความดี” เหล่านั้น น่ากลัวเกินไป