Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 93 : Blurred Duty
“เฮ้อ~ กลับมาถึงบ้านสักที~”
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น หลังจากที่เอริกะแยกกับเอริซาเบธที่ด้านหน้าห้องของท่านผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนรีมินัสแล้ว เธอก็ได้เดินทางกลับมาถึงบ้านของตัวเองและพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อเธอเปิดประตูห้องออฟฟิศของตัวเองและได้พบเจอกับกล่องเก็บซากอุปกรณ์จำนวนมากของเธอที่ยังคงอัดแน่นกันอยู่เต็มห้องถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาถึงสามสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่ห้องเก็บอุปกรณ์ของเธอไปแล้วก็ตาม
ซึ่งเอริกะก็เลือกที่จะเมินพวกมันไปก่อนและเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานก่อนจะหย่อนตัวลงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดของตัวเองและหมุนมันเล่นสองสามรอบ ซึ่งการกระทำของเธอก็ทำให้เธอได้หันกลับมาพบกับเซซิเรียที่ยืนกอดอกพิงตู้เก็บของอยู่ตั้งแต่เมื่อตอนไหนก็ไม่ทราบ ทั้งๆ ที่เมื่อตอนที่เอริกะเดินเข้ามาข้างในห้องก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาวผมเขียวคนนี้เลยก็ตามที
“อ่ะ— ว่าไงเซริเรีย นี่วันนี้ฉันนัดอะไรเธอเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย?”
“เรื่องนั้นไม่มีหรอก พอดีว่าวันนี้ฉันกลับมารับทีเอร่าที่รีมินัสนี่ก็เลยถือโอกาสแวะมาหาเธอก่อนจะออกเดินทางไปแพนเทร่ากันน่ะ”
“หืมมม? อย่างเธอน่ะหรอจะแค่แวะมาหากันเฉยๆ น่ะ ท่าทางว่าจะมีเรื่องอะไรมารายงานฉันซะมากกว่าล่ะสิท่า”
“จะว่ามีมันก็มีนั่นแหล่ะ… แล้วเธออยากรู้เรื่องไหนก่อนล่ะ?”
“เอาเรื่องที่ฟังแล้วจะปวดหัวน้อยที่สุดมาก่อน หรือไม่ก็เอาเรื่องที่พอฟังแล้วจะสะดุ้งตื่นเต็มตามาก่อนเลยก็ดีนะ~”
เอริกะพูดตอบเซซิเรียกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเธอแกล้งทำเป็นงัวเงีย แต่ว่าเมื่อเซซิเรียได้เหลือบสายตาไปมองทางเอริกะแล้วเธอก็ได้พบว่าเพื่อนนักประดิษฐ์ตัวแสบของเธอนั้นมีขอบตาที่ดำคล้ำจนแทบจะมองเห็นทะลุผ่านเครื่องสำอางที่อีกฝ่ายโปะเอาไว้เพื่อปกปิดมัน ซึ่งสภาพของเอริกะที่ดูแล้วเหมือนว่าจะต่อชีวิตตัวเองด้วยกาแฟมาได้สักหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ทำให้เซริเรียได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ… เรื่องปัญหาหมอกปริศนาที่แพนเทร่าที่ก่อนหน้านี้พวกเราคาดกันว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพอากาศนั่นเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่อากาศเย็นตัวลงธรรมดาๆ อย่างที่พวกเราคิดกัน ฉันก็เลยวางแผนว่าจะพาทีเอร่าไปลองสืบดูที่นั่นน่ะ”
“งั้นหรอ ถ้ายังไงเธอก็บอกให้ทีเอร่าจังเขาระวังตัวด้วยละกัน”
“คราวก่อนที่ทีเอร่ารีบวิ่งเข้าไปคนเดียวแล้วเจอแบบนั้นก็น่าจะเข็ดแล้วล่ะมั้ง… แล้วทางด้านเธอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
“ถ้าเธอหมายถึงที่เมืองรีมินัสนี่ พวกเขาก็มีความเคลื่อนไหวแค่ว่าคิดจะวางแผนจับกุมตัวคนร้ายที่แอบเข้ามาวางระเบิดห้องเก็บผลงานของฉันหรือว่าอะไรสักอย่างนั่นล่ะ”
“ระเบิดห้องเก็บผลงาน? ไม่ใช่ว่าเธอบอกพวกนั้นไปว่ามันเป็นฝีมือของเจ้าหนูรีวิซนั่นหรือไง?”
“ก็ไม่ผิด… แต่เห็นพวกนั้นบอกว่าเพื่อความสงบสุขและความสบายใจของประชาชนก็เลยต้องมีการจับกุมบ้าบออะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกนั้นเหมือนกันก็เลยไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร่น่ะ”
“หึ… เพื่อความสงบสุขงั้นหรอ…”
เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะพูดอธิบายออกมาได้แต่หัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะพูดถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวันนี้ขึ้นมา
“แล้วนี่อาการของนิลิมกับมีอาเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นว่าเมื่อตอนกลางวันเกิดเรื่องขึ้นมาจนเธอต้องส่งยัยเด็กใหม่นั่นไปเลยไม่ใช่หรือไง?”
“ถ้าเป็นสองคนนั้นล่ะก็ฉันพาไปส่งที่คลินิกของอารอนตั้งแต่ตอนที่เพิ่งจะกลับมาถึงแล้วล่ะ แต่ว่าก็มีแค่มีอาล่ะนะที่ยอมให้คุณพยาบาลของอารอนดูอาการให้น่ะ ส่วนนิลิมที่เมารถจนแทบจะสลบเหมือดนั่นดันทำตัวเป็นเด็กดื้อไม่ยอมให้คุณพยาบาลเขาตรวจ แล้วก็ยืนกรานว่าจะรอให้อารอนเป็นคนตรวจหลังจากที่เขากลับมาจากโรงเรียนแล้วน่ะ”
“แล้วยัยเด็กใหม่นั่นล่ะ?”
“อลิซที่เธอเรียกว่าเด็กใหม่นั่นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรหรอก แต่เหมือนว่าเธอจะเจ็บแผลเก่าขึ้นมานิดหน่อยก็เลยโดนอารอนเขาตามตัวไปตั้งแต่กลับไปถึงที่โรงเรียนแล้วล่ะ”
“เฮ้อ… สรุปง่ายๆ ก็คือว่าปลอดภัยกันหมดงั้นสินะ…”
เซซิเรียที่ได้ยินว่าทุกคนปลอดภัยดีได้ถอนหายใจออกมาและพูดขึ้นมาด้วยความโล่งอก ในขณะที่ทางด้านเอริกะก็ได้เอื้อมมือไปคว้าถ้วยกาแฟที่มีของเหลวสีดำเหลืออยู่ก้นถ้วยขึ้นมาส่องๆ ดูด้วยท่าทีสองจิตสองใจว่าเธอจะกระดกกาแฟที่เหลืออยู่นี่เข้าไปดีหรือไม่ เพราะว่าเธอจำไม่ได้ซะด้วยซ้ำว่าเทมันทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
ซึ่งในขณะที่เอริกะกำลังคิดไม่ตกว่าจะหยุดขี้เกียจและลุกขึ้นไปเทกาแฟถ้วยใหม่ดีหรือว่าจะดื่มของเก่าที่เหลืออยู่เข้าไปดีนั้น ทางด้านเซซิเรียก็ได้หันไปมามองดูสภาพห้องออฟฟิศของเอริกะที่เต็มไปด้วยซากสิ่งประดิษฐ์ เศษเหล็ก และเศษชิ้นส่วนหน้าตาประหลาดๆ อัดแน่นกันอยู่เต็มห้องอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาให้เธอได้ยินอีกครั้งหนึ่ง
“อุแหวะ…”
เอริกะที่เหมือนว่าจะพ่ายแพ้ให้กับความขี้เกียจจนตัดสินใจที่จะกระดกกาแฟค้างคืนในมือเข้าไปนั้นกำลังแลบลิ้นออกมาด้วยสีหน้าแหยงๆ และรีบวางถ้วยกาแฟของเธอลงไปที่เดิมในทันที ก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะหันไปคุยกับเซซิเรียต่อเพื่อแก้อาการง่วงแทน
“แล้วทางด้านเธอเป็นยังไงบ้างล่ะเซซิเรีย ได้รับบาดเจ็บอะไรมาจากตอนที่ไปเจอเธอคนนั้นมาที่กราวิทัสหรือเปล่า?”
“ได้มาแค่แผลถลอกจากตอนที่พาทีเอร่ากระโดดหนีออกมาจากหน้าต่างแค่นั้นแหล่ะ แต่แค่นั้นมันไม่นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บหรอกมั้ง”
“งั้นหรอ… อย่างน้อยในช่วงเวลาแบบนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ล่ะนะ ทั้งเรื่องที่เธอยังปลอดภัยดีอยู่หลังจากที่ไปเจอกับเธอคนนั้นมาตั้งสองครั้ง ทั้งเรื่องอุปกรณ์ของฉันที่มีอากับนิลิมไปเอากลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วไหนจะยังมีเรื่องที่อลิซมาช่วยรับงานสอนพวกเด็กๆ เกี่ยวกับยูนิตให้แทนฉันอีก”
“พูดถึงยัยเด็กใหม่นั่น… เธอแน่ใจขนาดไหนว่าพวกเราจะสามารถไว้ใจยัยนั่นได้น่ะ ไหนตอนแรกเธอบอกว่าหาข้อมูลเกี่ยวกับยัยนั่นไม่ได้เลยไม่ใช่หรือไง?”
เซซิเรียที่ได้ยินเอริกะนำเรื่องของอลิซขึ้นมาพูดอีกครั้งได้รีบใช้จังหวะนี้ในการเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่เธอสงสัยอยู่ขึ้นมาในทันที ซึ่งคำถามของเซซิเรียก็ได้ทำให้เอริกะนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะพูดตอบอีกฝ่ายกลับไป
“เรื่องของอลิซเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เพราะถึงจะเห็นแบบนั้นแต่ว่าอลิซเขาก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างพอๆ กับพวกเรานั่นล่ะ”
“พอๆ กับพวกเรา…? นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมาน่ะ…”
“ถึงฉันจะง่วงก็เถอะ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ง่วงจนเบลอขนาดนั้นนะรู้มั้ย~”
“ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะง่วงงั้นเธอก็อดนอนจนเสียสติไปแล้วล่ะมั้งเอริกะ!! ถ้าเกิดว่ายัยนั่นรู้เรื่องทุกอย่างพอๆ กับเรามันก็หมายความว่ายัยนั่นควรจะเป็นตัวอันตรายที่ต้องเฝ้าระวังไม่ใช่หร—-”
“เธอเชื่อฉันเถอะเซซิเรีย อลิซเขาไม่ใช่ศัตรูของพวกเราแน่นอน”
“…..”
คำพูดที่เอริกะพูดขัดขึ้นมานั้นได้ทำให้เซซิเรียชะงักไปในทันทีและจ้องมองตรงไปยังดวงตาของเอริกะที่กำลังปรากฏแววตาจริงจังแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยๆ จากนักประดิษฐ์สาวคนนี้อยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะลองพูดถามถึงเหตุผลที่ทำให้เอริกะพูดจาปกป้องอลิซที่ควรจะถูกนับเป็นตัวอันตรายสำหรับกลุ่มของพวกเธอขึ้นมา
“เหตุผลล่ะ….?”
“ยังบอกไม่ได้จ้ะ~”
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่าเธอว่าอย่างงั้นก็เอาตามนั้นละกัน เพราะยังไงเรื่องพวกนี้เธอก็เป็นคนจัดการเป็นหลักอยู่แล้วล่ะนะ…”
เซซิเรียที่ได้รับคำตอบทีเล่นทีจริงกลับมาจากเอริกะได้แต่ยอมปล่อยให้เพื่อนของเธอทำตามใจต่อไปถึงแม้ว่าเธอจะยังข้องใจเรื่องของอลิซอยู่บ้างก็ตามทีก่อนที่เธอจะเปลี่ยนไปพูดสอบถามเรื่องอื่นขึ้นมาแทนเพราะดูท่าทางแล้วว่าเอริกะคงจะไม่ยอมปริปากถึงสาเหตุที่เธอไว้ใจอลิซขนาดนี้ขึ้นมาในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
“แล้วสถานการณ์ที่แพนเทร่าเป็นยังไงบ้างล่ะ? มีข่าวอะไรที่ฉันควรจะต้องรู้เอาไว้ก่อนจะไปถึงหรือเปล่า?”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็…”
เอริกะที่เห็นว่าเซซิเรียยอมพูดเปลี่ยนเรื่องแต่โดยดีได้หยิบเอาภาพถ่ายสีออกมาจากด้านในเสื้อโค๊ทของเธอสองสามใบและโยนมันลงไปบนโต๊ะของเธอ ซึ่งภาพในรูปถ่ายเหล่านั้นก็คือภาพของตัวเมืองแพนเทร่าที่ดูเหมือนว่าจะถูกถ่ายมาจากด้านบนกำแพงเมืองที่กำลังถูกซ่อมแซมอยู่ แต่ว่าภาพที่ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายทั้งสามภาพนั้นก็กลับเต็มไปด้วยหมอกควันสีเทาหนาทึบจนมองแทบไม่เห็นอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“รูปนี้เป็นของเมื่อวานนี้ ถ่ายเอาไว้สักประมาณช่วงสิบโมงเช้าได้ ส่วนใบนี้เป็นของเมื่อสองสัปดาห์ก่อนตอนช่วงแปดโมง แล้วก็ใบสุดท้ายนี้เป็นของเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนตอนที่หมอกเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาใหม่ๆ ในช่วงเช้า… สักหกโมงไม่ก็เจ็ดโมงได้ล่ะมั้ง”
“นี่มัน… จะเรียกว่าแย่ลงก็ได้งั้นสินะ”
“ถ้าเกิดเธอคิดว่าการที่หมอกควันหนาขึ้นทุกๆ วันเป็นเรื่องแย่มันก็ใช่ล่ะมั้ง แต่ว่านอกจากเรื่องที่หมอกควันมันหนาขึ้นแล้วก็อยู่นานขึ้นทุกวันๆ มันก็ไม่มีผลกระทบอะไรอย่างอื่นเลยนี่น่ะสิ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าแย่ลงได้หรือเปล่า…”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นเอาเป็นว่าถ้าฉันมีเวลาว่างตอนอยู่ที่นั่นฉันจะลองหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมดูให้ละกัน”
เซซิเรียพูดขึ้นมาพร้อมกับวางรูปถ่ายทั้งสามใบกลับลงไปบนโต๊ะของเอริกะก่อนที่เธอจะก้าวเดินไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเจ้าของห้องพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดมันออกเหมือนกับครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งทางด้านเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้รีบพูดถามขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไปในทันที
“เออ ว่าแต่นี่เธอรู้เรื่องที่กราวิทัสบ้างหรือเปล่าน่ะ เห็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างของฉันที่อยู่ด้านในนั้นบอกว่าอยากจะออกไปที่ทะเลมรกตแต่ว่าทางเมืองสั่งห้ามคนเข้าออกน่ะ”
“ถ้าเป็นที่กราวิทัสล่ะก็หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมาพวกนั้นก็สั่งปิดเมืองแล้วก็ตรวจคนที่ต้องการเข้าออกเมืองอย่างเข้มงวดน่ะ จะมียกเว้นก็แค่คนที่ได้รับอนุญาตจากทางวังหลวงหรือว่าเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองเมื่อตอนที่เกิดเรื่องล่ะมั้ง”
“เฮ้อ… ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเอาไว้สักเท่าไหร่ล่ะมั้ง… เล่นฆ่าขุนนางของพวกเขาไปตั้งสองคนนี่นะ…”
เอริกะถอนหายใจออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะว่าการที่เมืองกราวิทัสทำแบบนั้นมันจะทำให้แผนการของเธอดำเนินการล่าช้าลงไปอย่างแน่นอน
“แล้วนี่เธอยังเหลือคนที่จะเข้าไปด้านในเมืองกราวิทัสได้อีกอยู่หรือเปล่าน่ะเซซิเรีย ถ้าเกิดว่ายังมีเหลืออยู่ก็พาพวกเขามาหาฉันหน่อยละกันฉันจะได้จัดทำเอกสารให้พวกเขาเร็วๆ เลย เพราะดูท่าแล้วว่าเธอกับทีเอร่าที่ไปก่อเรื่องมาในนั้นจะเข้าไปในเมืองไม่ได้อีกยาวเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ถ้าเป็นคนในกลุ่มของฉันน่าจะเหลือแค่คนเดียวล่ะมั้งที่ยังเข้าเมืองกราวิทัสได้แล้วก็อยู่ใกล้พอจะเรียกมาได้เร็วๆ นี้น่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะพาเขามาหาเธอภายในวันพรุ่งนี้ละกัน… แล้วก็อย่าลืมเตรียมเรื่องการเดินทางเอาไว้ให้เขาด้วยล่ะ ถ้าเกิดว่าเขามารายงานฉันว่าเธอแกล้งให้เขาเดินไปเองเพื่อเป็นการเอาคืนล่ะก็พวกเราได้มีเรื่องต้องคุยกันแน่”
“เห~ แต่ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เธอเป็นคนบอกฉันว่าอย่าเตรียมรถม้าให้นิลิมเองไม่ใช่หรอ~ อ่ะ… หรือว่าเธอไม่ได้หมายถึงนิลิมแต่ว่าเป็นเขาคนนั้นกันน่ะ…”
เอริกะที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงอ้อยอิ่งพูดคุยกับเธออยู่โดยไม่ได้มีท่าทีเศร้าๆ เหมือนกับครั้งก่อนที่พวกเธอได้พบเจอกันก็ได้พูดจาหยอกล้อเซซิเรียไปด้วยท่าทางอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดเตือนเพื่อนร่วมงานผมสีเขียวของเธอขึ้นมา
“เอาเถอะ… ถ้ายังไงฉันก็ฝากเรื่องหมอกที่แพนเทร่าเอาไว้กับเธอด้วยนะเซซิเรีย แล้วก็ถ้าเป็นไปได้พวกเธอก็อย่าไปสนใจเรื่องที่ทางวังหลวงของรีมินัสนี่พยายามจะจับตัวคนร้ายอะไรของมันนั่นเลย เพราะว่าพวกเราไม่ได้มีเวลาว่างขนาดจะไปช่วยเหลือคนได้ทุกคนหรอกนะ”
“อ่า… ถึงฉันจะไม่ชอบใจที่เจ้าพวกนั้นกำลังใช้กำลังคนโดยเปล่าประโยชน์อยู่ก็เถอะ แต่ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็คงจะต้องบอกว่าพวกนั้นมันหาเรื่องใส่ตัวกันเองแล้วล่ะ”
เซซิเรียพูดตอบเอริกะกลับไปพร้อมกับปีนข้ามออกไปยังสวนด้านนอกก่อนที่เธอจะกระโดดหายขึ้นไปด้านบนกำแพงกั้นเมืองชั้นในที่อยู่ติดกับหลังบ้านของเอริกะเหมือนกับทุกๆ ครั้ง
และเมื่อเอริกะเห็นว่าเพื่อนของตนได้จากไปแล้ว เธอก็ได้เอื้อมมือไปดึงบานหน้าต่างให้กลับมาปิดตามเดิมและยื่นมือไปคว้าเอาซากอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมาส่องดูเพื่อคิดหาวิธีซ่อมมัน
“เอาล่ะ~ ทำงานต่อดีกว่า”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
“หื้ม?”
เสียงของเครื่องมือสื่อสารที่มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมติดกระจกที่อลิซเคยเรียกมันเอาไว้ว่าโทรศัพท์ได้ดังขึ้นมาขัดจังหวะการใช้ความคิดของเอริกะจนทำให้เธอต้องหันไปมองมันด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะวางซากอุปกรณ์ในมือลงและยื่นมือไปจิ้มด้านที่เป็นกระจกของมันสองสามทีเพื่อที่จะกดรับสาย
ปิ๊บ—
“ฮัลโหลๆ นี่ใครติดต่อมาหรอจ๊ะ~?”
“เอริกะ ได้ยินหรือเปล่า?”
“อ่าว อลิซเองหรอ? มีอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเธอรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นตอนออกไปช่วยพวกมีอาเขากับฉันตอนอยู่ที่โรงเรียนไปแล้วหรอ?”
“พอดีว่าฉันมีเรื่องจะมาปรึกษาเกี่ยวกับการสอบของเธอนิดหน่อยน่ะ…”
ในช่วงค่ำของวันเดียวกันนั้น ทางด้านนากาที่เดินหนีออกมาจากอาคารชมรมฝึกซ้อมการต่อสู้ของเนลและใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการฝึกตีหุ่นซ้อมจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ทางโรงเรียนอนุญาตให้กลับบ้านได้ก็ได้ตรงบึ่งกลับไปที่คฤหาสน์และปิดประตูขังตัวเองอยู่ในห้องนอนโดยไม่สนใจเสียงเรียกของใครเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งนากาก็ได้นอนเอามือก่ายหน้าผากจ้องมองฝ้าเพดานอยู่อย่างเงียบๆ ท่ามกลางเสียงของพรีมูล่าที่พยายามเคาะประตูเรียกหาเขาอยู่ที่หน้าห้องจนกระทั่งคอนแนลที่ยืนเฝ้าดูมาอยู่สักพักหนึ่งแล้วได้เดินมาดึงตัวเธอออกไปจนทำให้ห้องของนากาตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอีกครั้งหนึ่ง
“ดูน่าสนุกจังนะ…”
นากาพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อภาพของโมโกะที่เดินแยกตัวออกไปยังชมรมที่เธอสนใจด้วยท่าทีร่าเริงผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ในขณะที่ทางด้านตัวเขาเองกลับแทบจะหมดสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมชมรมเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในโรงเรียนนี้ไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ลองเข้าร่วมดูเลยซะด้วยซ้ำ
อีกทั้งไหนจะยังมีเรื่องวิชาเรียนของอาจารย์อายะเมื่อเช้านี้ที่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจในตัวบทเรียนที่ถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือได้อย่างแม่นยำ แต่ว่าเขาก็กลับไม่อาจจะทำตามขั้นตอนที่ถูกระบุเอาไว้ในแบบเรียนได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ขนาดโมโกะที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันก็ยังสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่กระทั่งพรีมูล่าที่สามารถทำมันได้โดยไม่ได้พึ่งบทเรียนจากในหนังสือเลยซะด้วยซ้ำ
แต่ว่าเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจที่สุดนั้นก็กลับไม่ใช่เรื่องของชมรมหรือว่าเรื่องของการเรียนการสอนของอาจารย์อายะ แต่ว่ากลับเป็นเรื่องของการสอบของคอนแนลและซิลเวสเมื่อเช้านี้นี่ต่างหาก
เพราะว่าในการฝึกซ้อมของเขาและคอนแนลครั้งที่ผ่านๆ มา ตัวคอนแนลไม่เคยใช้วิชาโล่ระเบิดของเขาออกมาให้นากาเห็นเลยแม้แต่สักครั้งเดียว จนกระทั่งเมื่อเช้านี้นี่เองที่นากาเพิ่งจะได้รู้ตัวว่าเพื่อนอัศวินของเขาไม่เคยได้เอาจริงในการฝึกซ้อมของพวกเขาเลยแม้แต่น้อยและใช้เพียงแค่วิชาดาบกับโล่ธรรมดาเพื่อฝึกซ้อมกับเขาที่ไม่มีพลังวิซในร่างกาย
ซึ่งความจริงที่ได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็นในวันนี้รวมกับความรู้สึกผิดแผกของตัวนากาที่พยายามที่จะทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนอื่นๆ ได้ประดังกันเข้ามาพร้อมๆ กันและปิดท้ายด้วยความรู้สึกผิดหวังจากการพลาดโอกาสแสดงความสามารถในวิชาดาบของตัวเองที่เขาคิดว่ามันเป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวของตัวเขาให้คนอื่นเห็นก็ได้ทำให้นากาเผลอหลุดตวาดพรีมูล่าออกไปจนทำให้เขาได้แต่รู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงเวลาที่สิ้นหวังแบบนี้ตัวนากาเองที่รู้ตัวว่าปัญหาของเขาไม่ใช่เรื่องที่คนรอบตัวจะเข้าใจได้ก็กลับไม่มีใครให้พึ่งพิงเลยแม้แต่น้อย จนทำให้เขาได้แต่ตัดสินใจที่จะขังตัวเองเอาไว้ในห้องคนเดียวจนกว่าจะทำใจเย็นลงได้ เพราะว่าคุณแม่ของเขาเองก็หายหน้าหายตาไปทำงานจนไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว
ในขณะที่ทางด้านอารอนที่ถึงแม้ว่าเขาจะนับอีกฝ่ายเป็นพี่ชาย แต่ว่าจริงๆ แล้วคุณหมออารอนเองก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักของคุณแม่ที่มาคอยดูแลพวกเขาตามคำขอของเธอเท่านั้นเอง
แต่ถึงแม้ว่านากาจะขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลานานจนพระอาทิตย์ดับแสงลงและทำให้ห้องของเขาตกอยู่ท่ามกลางความมืดไปแล้วก็ตามที นากาก็ยังไม่อาจจะสงบใจได้ตามแบบที่เขาคิดเอาไว้จนทำให้เขาแต่ได้กำผ้าปูที่นอนและกัดฟันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นแสงสว่างเล็กน้อยที่ลอดผ่านผ้าม่านที่ปิดสนิทเอาไว้เข้ามาทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นช่วงเวลาหัวค่ำแล้ว
“นายเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พรีมูล่าทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเธอหวังดีต่อนาย… จนนายได้แต่หลบมารู้สึกผิดอยู่ในนี้งั้นสินะ…”
“—-!?”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยที่ดังขึ้นมาจากทางปลายเตียงได้ทำให้นากาสะดุ้งผุดลุกขึ้นมาจากเตียงนอนในทันทีและได้พบเข้ากับ พาเทียซ์ หญิงสาวผมสีขาวทรงหางม้าตาสองสีในชุดเสื้อกาวน์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเก่าๆ เล่มหนึ่งที่เขาเห็นเธอพกเอาไว้ประจำอยู่ที่ปลายเตียงของเขาเอง
“พาเทียซ์–!? ถ้างั้นที่นี่ก็—”
“สรุปว่านั่นคือคำทักทายของนายเวลาเจอหน้าฉันงั้นสินะ…?”
พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอนของนากาออกและเผยให้เห็นท้องฟ้ามืดครึ้มที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยลอดผ่านเมฆสีดำหนาทึบลงมากับบรรยากาศขมุกขมัวเหมือนกับถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกหนาทึบจนทำให้มองเห็นได้เพียงแค่ร่างเงาของโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ดูแล้วน่าจะเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนรีมินัสที่อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้
“บรรยากาศยิ่งกว่าเมื่อตอนที่นายเข้ามาที่นี่เป็น ‘ครั้งแรก’ อีกนี่… แล้วก็ยังมีแค่บ้านหลังนั้น คฤหาสน์นี่แล้วก็โรงเรียนรีมินัสอยู่อีกเหมือนเดิม…”
“ฮะฮะ… พอดีว่าช่วงนี้มันมีอะไรต้องคิดหลายอย่างฉันก็เลยไม่ได้สนใจจะสังเกตสภาพบ้านเมืองตามที่เธอบอกสักเท่าไหร่น่ะ”
“แล้วมันคือเรื่องอะไรที่ทำให้นายต้องคิดมากถึงขนาดที่ว่ามันทำให้บรรยากาศของที่นี่เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้กันล่ะ…?”
“…..”
คำถามของพาเทียซ์ทำให้นากาได้แต่นิ่งเงียบและหลบตาไปทางอื่น เพราะว่าตามที่อีกฝ่ายบอกเขาเอาไว้ในครั้งแรกที่ได้พบเจอกันว่าที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยทะเลหมอกมันเป็นเพราะว่าเขารู้สึกลังเลและไม่มั่นใจ ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้เหลือบไปมองดูหมอกสีขาวขมุกขมัวที่เหมือนว่าจะจับตัวกันหนาแน่นขึ้นหลังจากที่นากาได้ยินคำถามของเธอเข้าไปด้วยสายตานิ่งเฉยแล้วจึงพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“นายคิดว่าต่อให้นายนิ่งเงียบเอาไว้แล้วจะปิดบังอะไรจากฉันได้จริงๆ หรือไง…?”
“เธอบอกว่าเธออยู่ในหัวของฉันมาตลอดเพราะงั้นก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง แล้วแบบนั้นจะยังถามขึ้นมาทำไมอีกล่ะ…”
“ถ้าจะให้พูดกันจริงๆ แล้วฉันรู้อะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ… แต่เอาเป็นว่าตอนนี้นายบอกเหตุผลที่ถึงกับทำให้นายเป็นคนที่ตั้งใจจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเองออกมาก่อนดีกว่า…”
“……….”
“เฮ้อ…”
ความนิ่งเงียบอันยาวนานของนากาได้ทำให้พาเทียซ์ถอนหายใจออกมาก่อนที่เธอจะส่ายหน้าไปมาและละสายตาไปจากนาการาวกับว่าเธอกำลังเบื่อหน่ายที่จะต้องมาเห็นสภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่านายจะมีความกล้ามากพอที่จะพูดออกมาให้ฉันฟังด้วยตัวเองหรือเปล่าก็แค่นั้นนั่นล่ะ… แต่ว่าในเมื่อนายไม่กล้าพอ… ถ้างั้นก็คงจะช่วยไม่ได้ล่ะนะ…”
“ห—หมายความว่ายังไ—-”
เป๊าะ!
พาเทียซ์ไม่สนใจท่าทีสับสนของนากาเลยแม้แต่น้อยและยกมือขึ้นมาดีดนิ้วจนเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวาน ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีแผ่นกระจกใสที่กำลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นมาที่เบื้องหน้าของนากาจำนวนสามแผ่น
ซึ่งแผ่นกระจกแผ่นซ้ายสุดนั้นก็ได้ปรากฏภาพใบหน้าของโมโกะที่ดูเหมือนว่าจะกำลังตื่นเต้นกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ขึ้นมา ในขณะที่แผ่นกระจกใสอีกสองแผ่นที่เหลือก็ได้ปรากฏภาพของเอริซาเบธและพรีมูล่าขึ้นมาตามลำดับ
“……..”
นากาที่เห็นภาพทั้งสามภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นกระจกได้พยายามที่จะหันหนีไปทางอื่นเพราะเขารู้ดีว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมามันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนไหนกันแน่ แต่ว่าแผ่นกระจกทั้งสามแผ่นก็กลับลอยตามมาขวางไว้ที่เบื้องหน้าของเขาก่อนที่ทันใดนั้นเองภาพของโมโกะที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระจกแผ่นซ้ายสุดจะเริ่มขยับราวกับว่ามันมีชีวิตและมีเสียงของโมโกะดังก้องวังวานออกมา
นี่ๆ นากาดูนี่สิ! ฉันเพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าวิซธาตุดินมันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยน่ะ!!
เสียงของโมโกะที่ดังออกมาจากแผ่นกระจกใสนั้นได้แต่ทำให้นากากำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกอัดอั้น แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษโมโกะเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าปกติแล้วเธอมักจะระมัดระวังเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวิซเวลาที่อยู่กับเขาอยู่เสมอ แต่ว่าในครั้งนี้เธอก็แค่ตื่นเต้นจนลืมตัวไปเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง
สัญลักษณ์พวกนั้นฉันทำเอาไว้นายโดยเฉพาะเลยน่ะนากาคุง
เสียงของเอริซาเบธที่ดังขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่ภาพของเธอที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระจกแผ่นที่สองได้เริ่มขยับนั้นได้ทำให้นากาก้มหน้าลงต่ำ เพราะเขาเองก็มั่นใจดีว่าถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะชอบแกล้งคนไปทั่วแต่ว่าเธอก็เป็นคนรักพวกพ้องที่คอยดูแลเพื่อนๆ และคนรู้จักของเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะแบบนั้นเขาถึงมั่นใจได้ว่าเอริซาเบธไม่ได้วางแผนที่จะแกล้งเขาจนถึงกับทำเอกสารแผ่นพิเศษแผ่นนั้นมาให้กับเขาอย่างแน่นอน
อ่ะ— ใช่แล้วล่ะ ที่จริงพี่นากาเขาก็มีวิซธาตุน้ำแข็งเหมือนกันกับหนูนั่นแหล่ะ!!
เสียงของพรีมูล่าที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่รูปภาพของเธอที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระจกแผ่นที่สามเริ่มขยับนั้นได้ทำให้นากาเงยหน้าขึ้นมามองดูมันในทันที แต่ว่าภาพของพรีมูล่าที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระจกนั้นกลับไม่ได้หยุดนิ่งไปเมื่อสิ้นเสียงของเธอเหมือนกับภาพของคนอื่นและยังคงดำเนินต่อไปเหมือนกับแบบที่เขาจำได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
กรึก… กรึก…
ภาพของโล่น้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นมาบนถุงมือของนากาในมุมมองเดียวกับที่เขาจำได้นั้นได้ทำให้นากาเผลอยื่นมือของตนเองออกไปหามันอย่างเหม่อลอยก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงตวาดที่ฟังดูดุร้ายของตัวเขาเองดังลั่นออกมาจากแผ่นกระจกเรืองแสงเบื้องหน้า
พรีมูล่า!!
พ…พี่นากา ห—หนู—-
ภาพเคลื่อนไหวในแผ่นกระจกเบื้องหน้าของเขาได้หยุดนิ่งไปในจังหวะก่อนที่เขาจะหันไปคุยกับเนลพอดีจนทำให้มันฉายภาพของพรีมูล่าที่กำลังยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ค้างเอาไว้ ซึ่งภาพเสมือนจริงของพรีมูล่าที่กำลังมองตรงมายังเขาด้วยท่าทีหวาดกลัวนั้นก็ได้ทำให้นากาหลุดปากพูดพึมพำออกมา
“ไม่ใช่นะพรีมูล่า… พี่ก็แค่…”
“เพื่อนๆ ของนายนี่เป็นคนดีกันจริงๆ เลยนะ… โดยเฉพาะยัยน้องสาวตัวแสบของนายนั่นน่ะ…”
เสียงของพาเทียซ์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังแผ่นกระจกเรืองแสงได้ดังขึ้นมาจนทำให้นากานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดตอบเธอกลับไป
“อื้ม… พวกเขาเป็นคนดีมากเลยล่ะ…”
“แต่ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นคนดีกันแบบนั้น มันก็เลยถึงกับทำให้นายต้องหลบเข้ามาพักใจในโลกแห่งจิตใต้สำนึกที่เปรียบเสมือนความฝันแห่งนี้…”
คำพูดของพาเทียซ์ได้ทำให้ใบหน้าของนากาหม่นหมองลงอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะทรุดตัวนั่งลงบนเตียงด้วยท่าทีท้อแท้ ซึ่งเมื่อพาเทียซ์เห็นแบบนั้นเธอก็ได้เดินทะลุผ่านแผ่นกระจกที่มีภาพของพรีมูล่าปรากฏอยู่เพื่อที่จะได้มายืนมองดูนากาใกล้ๆ
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นซะล่ะ…? แทงใจดำหรือไง…?”
“……”
“แต่ก็นั่นแหล่ะนะ… ทีนี้นายก็น่าจะได้รู้แล้วใช่มั้ยว่าอย่าคิดจะมาปิดบังอะไรจากฉันอีกน่ะ… แต่ก็เอาเถอะ… ตอนนี้สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือว่านายจะเอายังไงต่อไปหลังจากนี้ต่างหาก…”
“นั่นสินะ…”
นากาที่ถูกพาเทียซ์เอ่ยปากถามขึ้นมาตรงๆ ได้ก้มหน้าลงต่ำอีกครั้งด้วยท่าทีลำบากใจ ในขณะที่ทางด้านพาเทียซ์ที่ไม่ได้มีท่าทีลำบากใจไปด้วยกับนากาเลยแม้แต่น้อยก็ได้เดินไปนั่งลงบนกรอบหน้าต่างโดยหันหน้าออกไปทางด้านนอกและยกนิ้วชี้ขึ้นมาโบกไปโบกมาเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านเข้ามาด้านในห้องจนดูราวกับว่าเธอเป็นคนสั่งให้สายลมพัดผ่านมาทางนี้อย่างไรอย่างนั้น
“…….”
นากาที่ยังคงคิดไม่ตกอยู่กับคำถามของพาเทียซ์และสัมผัสได้ถึงสายลมที่โบกสะบัดไปมาเบาๆ ได้เงยหน้าขึ้นมามองดูหญิงสาวผมสีขาวสวมเสื้อกาวน์คนนี้พลางนึกไปถึงเอริกะ หญิงสาวผมสีแดงมากความสามารถที่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามใจนึกได้อย่างง่ายดายที่สวมเสื้อกาวน์เก่าๆ สีขาวหม่นเหมือนกันขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเกิดว่าเขาอยากจะเอาเรื่องปัญหาของตนไปปรึกษากับใครสักคนที่ไม่ใช่เอริกะที่งานยุ่งอยู่แทบจะตลอดเวลาจนเขาไม่กล้ารบกวนแล้วล่ะก็ พาเทียซ์ที่เป็นตัวตนที่อยู่ในความฝันของเขาและเหมือนจะรู้ทุกสิ่งที่อย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาก็คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“พาเทียซ์… เธอคิดว่าฉันควรจะทำยังไงดี…?”
“นอกจากการปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ จนกว่าจะเช้าแล้วก็พยายามทำตัวเป็นเหมือนกับปกติในทุกๆ วัน… ที่เป็นหนึ่งในทางออกที่นายคิดเอาไว้แต่ว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไหร่น่ะนะ…?”
“อื้ม…. เพราะถ้าเกิดว่าเป็นเธอล่ะก็คงจะรู้สินะว่าที่ผ่านมาฉันรู้สักยังไงน่ะ…”
“นั่นสินะ…”
พาเทียซ์ละสายตาออกมาจากท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำมืดครึ้มเมื่อพบว่าเมฆสีดำเหล่านั้นกำลังค่อยๆ สลายตัวกันออกไปอย่างช้าๆ และก้มหน้าลงมามองหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเล่มเก่าๆ ในมือของเธออยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะโยนมันออกไปด้านนอกบ้านจนมันสลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวหายไปแล้วจึงค่อยพลิกตัวหันกลับมาชี้นิ้วใส่หน้าของนากา
“ถ้างั้นนายก็แสดงมันออกมาให้พวกเขาเห็นซะสิ…”
“แสดงออกมา… งั้นหรอ?”
“ใช่… จริงๆ แล้วนายก็คิดเรื่องนี้มาได้สักพักหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือไงล่ะ…”
พาเทียซ์พูดออกมาพร้อมกับชักมือข้างที่ชี้หน้าของนากาอยู่กลับมาก่อนที่ทันใดนั้นจะมีละอองแสงเม็ดเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมากและพุ่งเข้าไปเกาะกลุ่มกันจนกลายเป็นดวงแสงสว่างจ้าอยู่ที่เบื้องหน้าของพาเทียซ์ ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้ยื่นมือออกไปคว้าดวงแสงนั้นเอาไว้และยื่นมันตรงไปให้กับนากาพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถึงแม้ว่านายจะไม่สามารถเข้าถึงพลังวิซได้เหมือนกับพวกเขา แต่มันก็ไม่ใช่ว่านายจะไม่มีความสามารถอะไรเลยไม่ใช่หรือไง… สิ่งที่นายต้องทำก็มีแค่แสดงให้พวกเขาเห็นถึงความสามารถที่นายมี ความสามารถที่เป็นของนายเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ ความสามารถที่จะทำให้พวกเขาได้รับรู้ว่านายไม่ใช่แค่คนพิการที่ต้องได้รับการปกป้องดูแลน่ะ…”
“ต—แต่แบบนั้นมันจะดีหรอ…”
นากามองดูใบดาบสีเทาเบื้อนเลือด เฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ ที่พาเทียซ์ยื่นตรงมาให้เขาด้วยท่าทีลังเล เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องของการแสดงความสามารถในการเรียกดาบเปื้อนเลือดเล่มนี้ออกมาให้คนอื่นเห็นได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจในความคิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าในเมื่อมันเป็นพลังที่ถึงกับทำให้เอริกะรู้สึกตกตะลึงในตอนที่พบกันเป็นครั้งแรกได้มันก็คงจะหมายความว่าพลังของเขามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่ขนาดแม้แต่เอริกะก็ยังไม่เคยพบเห็นแน่ๆ
“นายกำลังกลัวว่าคนอื่นๆ จะไม่ยอมรับในสิ่งที่นายทำได้หรือว่ากำลังกลัวว่าการที่นายทำอย่างนั้นมันจะทำให้เพื่อนๆ ที่คอยพยายามช่วยเหลือนายรู้สึกเสียใจกันแน่ล่ะ…”
“…..”
นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่นิ่งเงียบไปเล็กน้อย เพราะว่าจริงๆ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยแม้แต่น้อยกับการที่คนอื่นๆ จะไม่ยอมรับในความสามารถที่เขามี เพราะว่ามันก็คงจะไม่ได้ต่างไปจากเดิมที่เขาถูกมองเป็นตัวประหลาดหรือคนพิการอยู่แล้วสักเท่าไหร่หรอก
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้นากาเป็นกังวลอยู่จนไม่กล้าตัดสินใจนั้นก็คือท่าทีของเพื่อนๆ ที่พยายามจะช่วยเขาปิดบังเรื่องที่เขาไม่มีพลังวิซมาโดยตลอดต่างหาก ว่าเพื่อนๆ ของเขาจะคิดอะไรมากหรือไม่ถ้าเกิดว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยความจริงออกไปจนทำให้ความพยายามที่ผ่านๆ มาของพวกเขาสูญเสียไปเปล่าๆ แบบนั้น
ซึ่งพาเทียซ์ที่เหมือนจะรับรู้ถึงสิ่งที่นากากำลังคิดอยู่ก็ได้หันกลับไปมองดูผืนน้ำกว้างไกลที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นเมื่อทะเลหมอกโดยรอบเริ่มที่จะจางหายไปอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถึงฉันจะบอกว่าให้นายแสดงให้พวกเขาได้เห็น แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ปฏิเสธความหวังดีจากพวกเขาไปด้วยไม่ใช่หรอ…”
“อ–เอ๋ะ?”
“ถึงนายจะมีเรื่องที่มั่นใจว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในโลกที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างนายแบบนี้ก็เถอะ… แต่ว่าถ้าเกิดขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้วล่ะก็ ไม่มีใครที่จะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ…”
“เรื่องที่ฉันมั่นใจงั้นหรอ…”
นากาที่สามารถทราบได้ทันทีว่าพาเทียซ์กำลังพูดถึงเรื่องของฝีมือการต่อสู้ของเขาได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่นัก
เพราะเมื่อเขาได้เห็นเนลที่เชี่ยวชาญเรื่องของการใช้วิซในการต่อสู้จนสามารถเปลี่ยนกระสุนวิซสำหรับฝึกซ้อมธรรมดาๆ ให้ออกมาดูอันตรายยิ่งกว่ากระสุนวิซของจริงของโมโกะเข้าไปแล้วมันก็เริ่มที่จะทำให้ความมั่นใจของเขาเกิดความสั่นคลอนขึ้นมา
จนทำให้เขาไม่มีความกล้าที่จะเอื้อมมือของตนออกไปรับดาบของเขามาจากพาเทียซ์เลยแม้แต่น้อย
“แต่ฉันจะทำมันได้จริงๆ หรอ… ที่จะทำให้พวกเขายอมรับแบบที่เธอว่ามานั่นน่ะ…”
“ถ้าเกิดว่าเอาตัวนายในตอนนี้ไปเทียบกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนแล้วล่ะก็อาจจะไม่… อย่างนักเรียนที่ชื่อว่าพิเน๊ะที่คว้าข้อมือของนายเอาไว้ได้นั่นก็ไวซะจนนายหลบไม่ทัน… อัลเบิร์ตที่เน้นการพลิกแพลงสามารถโจมตีได้ทั้งระยะใกล้และไกล… ซิลเวสที่ใช้ค้อนยักษ์ที่นายใช้ดาบเข้าไปรับตรงๆ ไม่ไหวแน่… รีซาน่ากับเซซิลที่ใช้อาวุธที่แผ่ความร้อนออกมาจนนายรับมือได้ลำบาก… แล้วก็ เนล เด็กนักเรียนที่ยิงกระสุนลำแสงออกมาจนถึงกับทำให้นายเสียความมั่นใจไป…”
“……”
นากาที่ได้ยินพาเทียซ์พูดไล่รายชื่อเพื่อนๆ ของเขาในโรงเรียนและจุดเด่นของแต่ละคนออกมาได้ก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อลองเทียบดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ของเขาที่เป็นดาบธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากเรื่องที่ว่าเขาสามารถเรียกมันออกมาใหม่ได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่มีโลหะอยู่ในมือแล้วเขาก็ยังแทบไม่เห็นหนทางในการรับมืออาวุธของเพื่อนๆ คนอื่นได้เลยแม้แต่น้อย
“แต่ว่านั่นมันก็แค่ในกรณีที่นายจะต้องไปสู้กับพวกเขา ‘ในตอนนี้’ เลยล่ะนะ…”
คำพูดของพาเทียซ์ได้ทำให้นากาเงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้งหนึ่งเพราะคำพูดของพาเทียซ์ที่เน้นย้ำขึ้นมาว่าในตอนนี้ได้ทำให้นากาคิดได้ว่า ในเมื่อตัวเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะคนอื่นๆ ได้ถ้างั้นเขาก็แค่ฝึกให้มากขึ้น ฝึกให้หนักขึ้น จนกว่าจะสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้ก็พอแล้วนี่ ซึ่งความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของนากาก็ได้ทำให้เขามองตรงไปยังพาเทียซ์ด้วยสายตามุ่งมั่นและยื่นมือออกไปรับดาบของตนมาจากพาเทียซ์อย่างแน่วแน่
“แต่ว่า…”
“ ‘แต่ว่าต่อให้จะฝึกฟันหุ่นไม้ต่อไปมันก็คงจะไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ เธอคิดว่าฉันควรจะเปลี่ยนไปฝึกด้วยวิธีไหนดีล่ะ’ สินะ…”
“อืม…”
นากาพยักหน้าตอบพาเทียซ์ที่ชิงพูดสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ออกมากลับไป ซึ่งพาเทียซ์ที่ได้ยินคำยืนยันจากนากาแล้วก็ได้เปิดประตูห้องนอนของนากาออกพร้อมกับพูดสั่งเขาขึ้นมา
“ตามฉันมาสิ…”
“อ–เอ๋ะ? อ–อ่า…”
นากาที่เห็นพาเทียซ์เดินออกจากห้องไปโดยไม่รอคำตอบจากเขาได้รีบลุกขึ้นมาจากเตียงและเดินตามอีกฝ่ายออกไปในทันที ซึ่งพาเทียซ์ก็ได้เดินพานากาออกไปยังพื้นที่ด้านหลังคฤหาสน์ที่ถูกพวกเขาเปลี่ยนสภาพจากสวนดอกไม้จนกลายเป็นลานฝึกซ้อมไปแล้วก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่กลางลานกว้างและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ร่างกายของนายได้รับผลของการฝึกไปด้วยก็ตาม… แต่ว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ร่างกายของนายจดจำทักษะพวกนี้เอาไปใช้ได้บ้างล่ะนะ…”
ทันทีที่สิ้นของพาเทียซ์ หญิงสาวผมสีขาวก็ได้แผ่ปีกแสงสีขาวที่มีลักษณะกลมมนคล้ายกับปีกผีเสื้อออกมาจากแผ่นหลังและปีกแสงผีเสื้อสีขาวของเธอก็ได้แผ่ละอองแสงเม็ดเล็กๆ จำนวนหนึ่งออกมารวมตัวเป็นรูปร่างของดาบกับโล่จนทำให้นากาได้แต่พูดถามขึ้นมา
“น–นั่นเธอกำลังทำอะไรน่ะพาเทียซ์—”
“เตรียมการฝึกให้นายไง…”
พาเทียซ์พูดตอบนากากลับไปก่อนที่ละอองแสงจะฟุ้งกระจายหายไปและเหลือเอาไว้เพียงดาบและโล่สองชิ้นที่นากาคุ้นหน้าคุ้นตามันดี
“นั่นมันอาวุธของคอนแนลนี่…”
“ใช่… ฉันคิดว่าเริ่มจากคนที่นายคุ้นเคยและเป็นสาเหตุแรกที่ทำให้นายเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมาก่อนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว…”
พาเทียซ์พูดขึ้นมาพร้อมกับยกดาบและโล่ขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมเอาไว้ ซึ่งท่าทางที่ดูรัดกุมของพาเทียซ์นั้นก็ดูเหมือนกับท่าทางที่เน้นการตั้งรับของคอนแนลในการสอบเมื่อเช้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนจนทำให้นากาได้แต่จ้องมองพาเทียซ์ด้วยความสงสัย
“ฉันมีข้อมูลของวิธีการต่อสู้ของคนที่นายเคยเห็นมาก่อนทั้งหมดนั่นล่ะ… แล้วถ้าเกิดว่านายกำลังสงสัยว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้… ก็เพราะว่าทั้งหมดนี่มันก็นับเป็นหนึ่งในหน้าที่ของผู้ดูแลที่นี่อย่างฉันยังไงล่ะ…”
เปรี๊ยะ…
เสียงของปีกแสงที่แตกร้าวเป็นทางยาวที่ดังขึ้นมาในทันทีที่สิ้นคำพูดของพาเทียซ์ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเปลี่ยนสีหน้าไปเลยแม้แต่น้อยก่อนที่ดาบและโล่ในมือของพาเทียซ์จะเรืองแสงสีน้ำเงินจางๆ ออกมาก่อให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายอยู่ที่หน้าโล่ของเธอเหมือนกับที่นากาเคยเห็นคอนแนลใช้ในการรับมือกับค้อนยักษ์และก้อนดินของซิลเวสอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“แล้วตกลงว่านายจะฝึกกับฉันที่นี่หรือว่านายจะรอจนกว่าฟ้าจะสางแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับคนอื่นๆ แบบเดิมล่ะ…?”
“นั่นสินะ…”
นากาก้มลงมองดูดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ที่อยู่ๆ เขาก็ได้รับมันมาจากอลิซในช่วงเช้าที่ของวันที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองตรงไปยังพาเทียซ์และตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ตามแบบฉบับตนเองในทันที
ซึ่งพาเทียซ์ที่เห็นว่านากาตัดสินใจได้แล้วก็ได้พูดเตือนเขาออกมาเกี่ยวกับข้อจำกัดของการฝึกฝนภายในโลกแห่งจิตใต้สำนึกที่เปรียบเสมือนกับความฝันนี้ให้นากาได้ฟัง
“แต่อย่างที่ฉันเคยบอกเอาไว้… ต่อให้นายฝึกในนี้จนสามารถรับมือกับความสามารถของเพื่อนๆ ของนายได้อย่างสบายๆ แล้วก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่นายจะได้กลับไปก็มีเพียงแค่ประสาทสัมผัสและทักษะต่างๆ เท่านั้น… ทางด้านความแข็งแรงของร่างกายของนายที่นอนอยู่ด้านนอกนั่นนายก็ยังต้องไปฝึกฝนเพิ่มเติมอยู่ดีล่ะเข้าใจหรือเปล่า…”
“อ่า… เข้าใจแล้วล่ะ ถ้ายังไงฉันก็ขอบคุณเธอมากนะพาเทียซ์ที่อุตส่าห์พยายามคิดหาวิธีฝึกให้กับคนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างแบบฉันน่ะ”
นากาที่ได้ยินคำเตือนของพาเทียซ์ได้พูดตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างแข็งขัน ซึ่งทางด้านพาเทียซ์ก็ได้ก้มหน้าลงไปมองดูดาบและโล่ที่อยู่ในมือของตนอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยปากตอบเด็กหนุ่มกลับไป
“คิดมากหน่า… สำหรับฉันแล้วนี่มันก็เป็นแค่หนึ่งในหน้าที่ของผู้ดูแลที่นี่ก็เท่านั้นล่ะ…”
เปรี๊ยะ—
“ใช่… ทั้งหมดนี่มันเป็นแค่หนึ่งในหน้าที่ของฉันเท่านั้นเอง…”