Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 212 : Recreant
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกนากากำลังลงไปยังเมืองมาร์นาร์ฟเก่าอยู่นั้นเอง ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียนรีมินัสเองก็ได้มีร่างของอลิซที่สวมใส่ยูนิต แฮตเตอร์ อันเป็นยูนิตสำหรับการบินด้วยความเร็วสูงเต็มรูปแบบกำลังนั่งสอนหนังสือให้กับคาร์เทียร์อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งภาพของอลิซที่สวมใส่ยูนิตเอาไว้เต็มรูปแบบมาสอนหนังสือในวิชาธรรมดาๆ ให้กับคาร์เทียร์ผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมการเรียนการสอนในห้องเรียนตามปกติได้เนื่องจากปัญหาเรื่องความปลอดภัยนั้นก็ได้ทำให้เด็กสาวที่แอบชำเลืองมองอีกฝ่ายหนึ่งมาสักพักใหญ่แล้วตัดสินใจที่จะพูดถามอลิซขึ้นมา
“เอ่อ… แล้วสรุปว่าทำไมอาจารย์อลิซถึงต้องใส่ยูนิตเอาไว้ด้วยล่ะคะ?”
“เธอไม่ต้องใส่ใจเรื่องนั้นหรอก เอาเป็นว่าตอนนี้เธออ่านหนังสือเรียนให้จบบทนั่นไปก่อนเถอะ”
“ค่ะ… ถ้าอาจารย์อลิซว่าอย่างงั้นล่ะก็นะคะ…”
คาร์เทียร์ที่ได้ยินคำพูดบอกปัดของอลิซต้องยกปากกาในมือของเธอขึ้นมาเขี่ยหัวตัวเองเล็กน้อยก่อนที่เธอจะก้มลงไปอ่านหนังสือเรียนของเธอต่อไป
ครืด—
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่เธอจะได้อ่านหนังสือบนโต๊ะจนจบบรรทัดซะด้วยซ้ำ ประตูห้องพยาบาลทางฝั่งด้านในตัวอาคารก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่จะมีร่างของเอริซาเบธก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในพร้อมกับเอ่ยปากพูดกับอลิซขึ้นมา
“ฉันมาแล้วจ้าอลิซจัง~ ไหนล่ะที่บอกว่ามีอะไรจะให้ดูน่ะ~”
“อาจารย์เอริ? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“อ๋อ ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกจ้ะ แค่ว่าเมื่อเช้านี้อลิซเขาบอกให้ฉันมาที่นี่ในเวลานี้เพราะว่ามีอะไรจะให้ฉันดูเฉยๆ น่ะ”
เอริซาเบธที่เห็นว่าคาร์เทียร์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เผื่อว่าจะมีเหตุฉุกเฉินอะไรนั้นได้หันไปพูดตอบเด็กสาวกลับไปก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดถามอลิซขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าแต่ไหนล่ะที่เธอบอกว่ามีอะไรให้ฉันดูน่ะอลิซ แหม่~ นี่ฉันอุตส่าห์สละเวลาว่างที่มีอยู่น้อยนิดของคนเป็นอาจารย์เพื่อเดินลงมาหาเธอเลยนะเนี่ย~”
“ที่เธอไม่ค่อยจะมีเวลาว่างนั่นมันเป็นเพราะว่าเธอมัวแต่ไปแหย่อาจารย์โซจิเขาไม่ก็มัวแต่หาขนมมากินเล่นไม่ใช่หรอไง… เอาเป็นว่ารอสักแป๊บนึงก็แล้วกัน เดี๋ยวก็มาตรงสนามหญ้านั่นแล้วล่ะ”
“เห… เก็บเป็นความลับไม่ยอมบอกก่อนด้วยงั้นหรอเนี่ย~ เธอก็รู้นี่นาว่า—”
ตุ๊บ—
ในขณะที่เอริซาเบธกำลังจะพูดแหย่อลิซขึ้นมาอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของอะไรบางอย่างพุ่งลงมาตกกระทบกับพื้นของสนามหญ้าของทางโรงเรียนจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมองดู และนั่นก็ทำให้พวกเธอได้พบเข้ากับเซซิเรียที่กำลังยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงใจกลางสนามหญ้าเข้า
ซึ่งในทันทีที่เซซิเรียมองลอดผ่านกระจกของห้องพยาบาลและเห็นหน้าเอริซาเบธเข้านั้นเอง หญิงสาวผมสีเขียวก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งตรงเข้าไปเลื่อนประตูของห้องพยาบาลให้เปิดออกและร้องถามเอริซาเบธขึ้นมาในทันที
“เอริซาเบธ ผู้อำนวยการอยู่หรือเปล่า!?”
“เอ่อ… ใครกันละคะนั่นอาจารย์เอริ?”
ในทันทีที่คาร์เทียร์เห็นว่ามีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาโวยวายเสียงดังถึงข้างในห้องพยาบาลของเธอนั้นเองเด็กสาวก็ได้หันไปเลิกคิ้วพูดถามเอริซาเบธที่ถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อขึ้นมาจนทำให้เอริซาเบธจำเป็นต้องหันไปพูดตอบเด็กสาวก่อนที่เธอจะพูดตอบเซซิเรียกลับไป
“อ๋อ~ นั่นคุณเซซิเรียที่เป็นเพื่อนของคุณเอริกะเขาน่ะจ้ะ… แต่ว่าต่อให้จะเป็นคุณเซซิเรียก็เถอะ เล่นใช้เส้นสายเพื่อขอติดต่อกับท่านผู้อำนวยการแบบนี้นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับพวกเด็กนักเรียนเลยนะคะ”
“ใช่เวลามั้ยเนี่ย!? ตอนนี้สถานการณ์ที่แพนเทร่ามันเกินมือเจ้าหนูตระกูลรีวิชกับพวกเด็กๆ ที่เอริกะส่งไปจนเอริกะต้องส่งฉันมาขอกำลังเสริมจากกลุ่มดอว์นแล้วนะ!”
เซซิเรียที่เห็นว่ายัยหนูจิ้งจอกสีแดงที่เธอเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กคนนั้นยังคงทำตัวยียวนพูดล้อเล่นอย่างไม่รู้สถานการณ์ได้ยกมือขึ้นมาขยี้หัวของตัวเองก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป ซึ่งคำตอบของเธอนั้นก็ได้ทำให้ทั้งคาร์เทียร์และเอริซาเบธชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่หญิงสาวหูจิ้งจอกจะรีบพูดขึ้นมา
“เอ๋–? แล้วจะมารอช้าอะไรอยู่ล่ะคะ!? รีบตามมาทางนี้เลยค่ะ!!”
ในทันทีที่เอริซาเบธพูดขึ้นมาจนจบนั้นเธอก็ได้รีบวิ่งนำเซซิเรียหายออกจากห้องพยาบาลไปในทันที ในขณะที่ทางด้านคาร์เทียร์ที่นั่งนิ่งไปตั้งแต่ที่เด็กสาวได้ยินคำว่า ‘เจ้าหนูตระกูลรีวิซ’ ก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
“เจ้าหนูตระกูลรีวิซงั้นหรอคะ…?”
“เขาก็หมายถึง เวก้า รีวิซ คนนั้นยังไงล่ะ”
เปรี๊ยะ—
คำพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ของอลิซได้ทำให้เกิดประกายไฟฟ้าสีทองเส้นเล็กๆ ปะทุออกมาจากร่างของคาร์เทียร์และทิ้งรอยไหม้สีดำเป็นเส้นๆ เอาไว้ตามเสื้อนักเรียนสีขาวและกระโปรงสีเทาของเด็กสาวจนทำให้อลิซต้องละสายตาจากหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่เพื่อมองดูอีกฝ่ายเล็กน้อยโดยมีเสียงของคาร์เทียร์ที่ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่อลิซหมายถึงเวก้าคนนั้น… คนที่ทำให้คุณแม่เจนต้องตายนั่นน่ะหรอคะ…?”
ปิ๊ง— ครืดดดด——
“เอาล่ะ พร้อมกันแล้วน—”
ฟ๊าว—
“………..”
ในทันทีที่ประตูทางลงห้องควบคุมที่พวกนากาใช้มันในการลงไปยังเมืองมาร์นาร์ฟเก่าส่งเสียงกระดิ่งดังออกมาและเลื่อนเปิดออกนั้นเอง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาต้อนรับพวกเขาก็คือกระสุนวิซขนาดใหญ่ที่กำลังลอยตรงไปยังจุดหนึ่งของเมืองก่อนที่จะเกิดระเบิดขนาดใหญ่และแรงสั่นสะเทือนตามมาจนทำให้นากาที่กำลังจะพูดปลุกใจคนอื่นๆ ต้องนิ่งเงียบไป
ตู้ม!!!
ปั้งปั้งปั้ง—
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงระเบิดครั้งแรกดี ตรงจุดที่เกิดระเบิดก็ได้มีเสียงของปืนใหญ่ดังลั่นขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมีกระสุนวิซหลากสีจำนวนหนึ่งถูกยิงสวนกลับไปยังบริเวณจุดที่มีกระสุนวิซลอยขึ้นมาเป็นครั้งแรกจนเกิดระเบิดขนาดย่อมๆ ตามขึ้นมา
ตู้มตู้มตู้ม
แต่ถึงแม้ว่ากระสุนวิซหลากสีจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ากระสุนวิซธรรมดาๆ มากบ่งบอกว่ามันน่าจะถูกยิงออกมาจากปืนใหญ่วิซก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้นขนาดของมันก็เทียบไม่ได้กับกระสุนวิซขนาดใหญ่ที่พวกนากาได้เห็นเป็นลูกแรกเลยแม้แต่น้อยบ่งบอกว่ากองกำลังที่กำลังยิงปืนใหญ่ปะทะกันอยู่ในเวลานี้มีฝ่ายหนึ่งที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอย่างแน่นอน ซึ่งภาพของการปะทะกันในระดับกองกำลังที่เคยปรากฏแค่ในหนังสือเรียนเก่าๆ เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนใจถึงความสูญเสียของสงครามในยุคก่อนให้พวกเด็กๆ ยุคนี้อ่านนั้นก็ได้ทำให้คอนแนลผู้เป็นอัศวินจากเมืองรีมินัสอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำออกมา
“ทางฝั่งที่มีปืนใหญ่ยิงสวนกลับไปเยอะๆ เมื่อกี้นี้น่าจะเป็นจุดที่กองทัพของเมืองแพนเทร่าอยู่น่ะครับ แต่ที่คุณเอริกะบอกว่าทางลงตรงนั้นมันใหญ่พอสำหรับกองทหารนี่ผมก็ไม่นึกว่ามันจะใหญ่พอจะขนอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่ลงมาได้แบบนั้นเหมือนกันนะครับนั่น…”
“เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนเถอะน่าคอนแนล พวกเราจะเอายังไงกันล่ะนากา? ถ้าจะหลบสายตาคนสักหน่อยฉันว่าไปเลาะไปตามซอกตึกน่าจะดีกว่านะ แต่ว่าแบบนั้นนายจะตามพวกฉันมาไหวหรือเปล่าน่ะ?”
โมโกะที่เห็นว่าคอนแนลเหมือนจะให้ความสนใจที่สมรภูมิขนาดใหญ่ที่กำลังปะทะกันอยู่นั้นได้พูดตัดบทอัศวินหนุ่มขึ้นมาและหันไปพูดถามนากาเกี่ยวกับแผนการลักลอบไปยังวังแห่งมาร์นาร์ฟขึ้นมาเสียแทน
ซึ่งคำพูดของโมโกะที่ฟังดูราวกับเธอกำลังคิดว่านากาที่ไม่มียูนิตเอาไว้ใช้งานจะไม่สามารถตามพวกเธอได้ทันในระหว่างการลัดเลาะไปตามซอกตึกและซากอาคารนั้นก็ได้ทำให้นากาต้องชูถุงมือยิงใบมีดของเขาขึ้นมาให้โมโกะได้ดู
“นั่นมันคำถามของฉันต่างหากล่ะว่าพวกเธอจะตามถุงมือของฉันทันหรือเปล่าน่ะ”
ครึก—ครึก—ครึก—ครึก—
“เสียงอะไรน่ะ—!?”
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของนากาดี อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของสิ่งที่ฟังดูเหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ดังขึ้นมาเป็นจังหวะก่อนที่ทันใดนั้นเองบริเวณเพดานของเมืองใต้ดินบางส่วนจะถูกเลื่อนเปิดออกและมีสิ่งที่ดูเหมือนกับอุปกรณ์ทรงกระบอกสั้นๆ ที่มีปลายด้านหนึ่งเป็นแผ่นกระจกเลื่อนออกมาจากเพดานและเริ่มฉายแสงไฟสว่างจ้าจนเห็นเป็นเส้นๆ ผ่านม่านหมอกออกมา
พรึบ—พรึบ—พรึบ—พรึบ—
ซึ่งเจ้าสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นโคมไฟขนาดใหญ่จำนวนมากนั้นก็ได้เริ่มทำการหันไปหันมาส่งผลให้แสงสว่างจ้าที่ถูกฉายออกมาจนเห็นชัดเป็นเส้นๆ ส่องไปตามจุดต่างๆ ของเมือง
แต่ถึงอย่างนั้นแสงไฟส่วนมากก็กลับถูกส่องตรงไปยังรอบๆ จุดที่ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดปักหลักตั้งรับของทางกองทัพแพนเทร่าและบริเวณใกล้ๆ กันบ่งบอกว่ามันน่าจะเป็นแสงไฟที่เอาไว้ใช้เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในสภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหมอกแบบนี้แน่ๆ
“น่าจะเป็นแสงไฟที่เอาไว้ใช้ส่องคนที่แอบลอบเข้ามาหรืออะไรประมาณนั้นล่ะมั้งครับ… ถ้าเกิดว่าพวกเราโดนส่องเข้าให้นี่ไม่ต้องหวังว่าจะแอบอีกต่อไปเลยนะครับนั่น”
“คิดว่าเป็นฝีมือของเอริกะหรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ แต่ที่แน่ๆ ก็คือถ้าเกิดว่าพวกเราโดนส่องขึ้นมาคงจะสลัดแสงไฟได้ไม่หลุดแน่นอนเลยน่ะครับ…”
“ถ้างั้นก็คงจะมีแต่ต้องแอบๆ เข้าไปตามที่เอริกะบอกไว้นั่นแหล่ะ เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
นากาพยักหน้าพูดตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นออกเดินทางตรงไปยังวังแห่งมาร์นาร์ฟกัน โดยคอนแนลและโมโกะที่มียูนิตสวมใส่นั้นก็ได้วิ่งลัดเลาะไปตามซากตึกและซากอาคารได้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้ใช้ถุงมือลาส เซอไวเวอร์ของเขาในการพุ่งตัวขึ้นไปยังด้านบนของอาคารเพื่อสำรวจหนทางเบื้องหน้าให้กับเพื่อนๆ ของเขา
ซึ่งวิธีการของนากานั้นก็ดูเหมือนว่าจะได้ผล เพราะว่าเมื่อเขาสังเกตเห็นทหารในชุดเกราะบางคนที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่โดยไม่ได้ออกไปรับมือกับกองทัพของเมืองแพนเทร่าหรือแสงไฟที่สาดส่องเข้ามาใกล้เขาก็สามารถที่จะพุ่งลงมาแจ้งเตือนเพื่อนๆ ของเขาก่อนได้ทันท่วงที
หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นร่างในชุดเกราะอัศวินสีขาวประดับทองที่ตรงส่วนไหล่ถูกประดับเอาไว้ด้วยตราสัญลักษณ์รูปโล่ที่มีหัวราชสีห์คำรามอยู่ข้างในกำลังวิ่งสวนตรงมาตามถนนจนทำให้นากาต้องรีบลงมาแจ้งเตือนคนอื่นๆ ในทันที
“เดี๋ยวก่อน ข้างหน้านั่นมีอะไรแปลกๆ น่ะ”
“ข้างหน้างั้นหรอ?”
คำเตือนของนากาที่พุ่งตัวกลับลงมาด้านในตรอกที่พวกเธอกำลังวิ่งอยู่นั้นได้ทำให้โมโกะต้องพูดถามเขากลับไปด้วยความแปลกใจพร้อมกับลองชะเง้อคอมองไปทางเบื้องหน้าดูบ้าง
พรึบ—
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนที่ควบคุมอุปกรณ์ส่องแสงด้านบนเพดานจะสังเกตเห็นตัวตนของอัศวินในชุดเกราะสีขาวด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อมีโคมไฟถึงสองอันด้วยกันที่หันตรงมาส่องแสงเข้าใส่ร่างของอัศวินคนที่ว่านั่นด้วยราวกับว่าไม่อยากจะให้อีกฝ่ายคลาดสายตาไป
แต่ถึงอย่างนั้นอัศวินในชุดเกราะสีขาวก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะสนใจแสงสว่างที่ถูกส่องตรงมาที่ร่างของเขาเลยแม้แต่น้อยและวิ่งตรงด้วยความเร็วคงที่ไปตามถนนเส้นหลักของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าที่ทอดยาวตรงไปยังที่ตั้งของทางลงห้องควบคุมที่พวกนากาเพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่นานแตกต่างจากทหารของเมืองใต้ดินคนอื่นๆ มักจะมุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณที่กองทัพของเมืองแพนเทร่าปักหลักอยู่หรือเดินตรวจตราไปทั่วจนทำให้คอนแนลต้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกังวล
“นั่นเขากำลังวิ่งไปที่ทางลงหรือเปล่าน่ะครับ? พวกเราควรจะกลับไปช่วยคุณเอริกะหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องหรอกมั้ง เอริกะเขามีอัลเปียช่วยคุ้มกันให้แล้วนี่ พวกเรารีบไปกันต่อน่าจะดีกว่ามั้ง”
วู่ม—
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่นากาจะได้ออกเคลื่อนตัวต่อ อยู่ๆ ก็ได้มีคลื่นพลังงานวิซพุ่งตรงมาจากทางเบื้องหน้าพร้อมๆ กับที่มีคลื่นแสงสีเหลืองเคลื่อนที่ไหลมาตามพื้นพุ่งผ่านพวกเขาไปจนทำให้โมโกะต้องพูดเตือนนากาที่ไม่สามารถสัมผัสพลังวิซได้ขึ้นมา
“หยุดก่อนนากา—!”
“เมื่อกี้นี้มันอะไรน่ะ? คลื่นวิซหรอ?”
ถึงแม้ว่านากาจะไม่สามารถสัมผัสพลังวิซที่พุ่งผ่านพวกเขาไปได้ก็ตามแต่ว่าเขาก็ยังสังเกตเห็นคลื่นแสงสีเหลืองที่ไหลไปตามพื้นผิวถนนและตัวอาคารได้จนทำให้เขาต้องพูดถามขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโมโกะและคอนแนลก็กลับไม่รู้เช่นเดียวกันว่าคลื่นพลังวิซที่พุ่งผ่านร่างของพวกเขาไปสามารถทำอะไรได้จนต้องหันไปพูดถามกันเองเบาๆ
“เหมือนจะไม่ใช่วิซสำหรับโจมตีนะ… นายว่ายังไงบ้างคอนแนล?”
“ไม่รู้เหมือนกันสิครับ… เพราะทางผมเองก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน…”
“อ่ะ— รีบหลบออกจากตรงนี้ก่อนเร็ว! มีคนกำลังวิ่งมานั่นแล้ว!”
ยังไม่ทันที่โมโกะและคอนแนลจะได้ปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องของคลื่นวิซปริศนาที่พุ่งผ่านพวกเขาไปได้เสร็จดี นากาที่หันไปเฝ้าระวังรอบๆ แทนก็ได้รีบร้องเตือนคนอื่นๆ ขึ้นมาเมื่อเขาสังเกตเห็นว่ามีโคมไฟอันหนึ่งกำลังฉายแสงไล่ตรงตามถนนมาทางพวกเขาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าน่าจะมีใครสักคนที่ถูกส่องไฟเอาไว้กำลังมุ่งตรงมาทางพวกเขาจนทำให้ทุกคนตัดสินใจที่จะวิ่งไปหลบดูสถานการณ์ที่จุดอื่นกันก่อน
วู่ม—
แต่ทว่าเวลาก็ผ่านไปเพียงไม่นานหลังจากที่พวกเขาหลบมาอยู่ที่จุดอื่น อยู่ๆ ก็มีคลื่นพลังวิซและเส้นแสงวิซสีเหลืองพุ่งผ่านร่างกายของทุกคนไปอีกครั้งหนึ่งและดูเหมือนว่ามันจะแผ่กระจายออกมาจากจุดพวกเขาหลบอยู่เมื่อสักครู่นี้อีกด้วย และนั่นก็ทำให้คอนแนลที่เป็นอัศวินของเมืองรีมินัสจนได้ศึกษาวิธีใช้วิซในรูปแบบต่างๆ มาบ้างพอจะคาดเดาถึงจุดมุ่งหมายของคลื่นวิซเมื่อสักครู่นี้ได้ในทันที
“รีบออกจากที่นี่เร็วครับ! คลื่นนั่นมันน่าจะเป็นวิธีใช้วิซเพื่อตรวจจับผู้บุกรุกรูปแบบนึง พวกเราโดนเจอตัวแล้วครับ!!”
“ชิ— ตามฉันมาทางนี้ก่อนเร็ว!!”
นากาที่ได้ยินคอนแนลพูดร้องเตือนขึ้นมานั้นได้รีบใช้ถุงมือลาส เซอร์ไวเวอร์ของเขาในการพุ่งตัวขึ้นไปหาที่หลบซ่อนที่ใหม่ให้ทุกคนในทันที แต่ถึงอย่างนั้นในขณะที่พวกเขาเคลื่อนที่อยู่ คนที่ดูเหมือนว่าจะพยายามไล่ตามพวกเขามาก็ได้ปล่อยคลื่นแสงสีเหลืองที่ใช้ในการตรวจจับออกมาอยู่เป็นระยะๆ จนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะนำทางไปยังที่โล่งกว้างที่ดูคล้ายกับว่ามันจะเคยเป็นสนามเด็กเล่นมาก่อนและหันไปพูดบอกคนอื่นๆ ขึ้นมา
“เหมือนว่าจะหนีไม่พ้นแล้วล่ะ พวกนายพร้อมนะ?”
“ครับ! / อื้ม!”
คอนแนลและโมโกะที่เห็นว่านากาตัดสินใจที่จะยืนปักหลักเตรียมรับมือคนที่พยายามที่จะตามพวกเขาไม่ปล่อยนั้นได้พยักหน้าพูดตอบเด็กหนุ่มกลับไปและยกอาวุธของพวกเขาขึ้นมาเตรียมพร้อมกันในทันที
และหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่นานก็ได้มีร่างของชายหญิงสองคนที่พยายามไล่ตามพวกเขามาปรากฏขึ้นมาจากหัวมุมหนึ่งของถนน ซึ่งภาพของชายหญิงสองคนในชุดผ้าคลุมของนักผจญภัยสีแดงที่มีฮู๊ดคลุมหัวก็ได้ทำให้นากาต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ
“เดี๋ยวสิ ชุดแบบนั้นมัน…”
“สามคนงั้นหรอ ฉันว่าฉันสัมผัสได้แค่สองคนเองนะ…”
หญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงที่เดินนำหน้าชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมแบบเดียวกันออกมาจากซอกตึกได้เอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเธอได้พบเข้ากับพวกเด็กๆ ทั้งสามคนเข้า บ่งบอกว่าเธอน่าจะเป็นคนใช้วิซในการตรวจจับผู้บุกรุกและพยายามไล่ตามพวกเขามาอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ฟังดูคุ้นหูของหญิงสาวก็กลับทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เสียงนั่น… คุณยุยหรือเปล่าน่ะ?”
“………”
หญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงที่ถูกนากาพูดถามขึ้นมานั้นได้หันมามองทางเด็กหนุ่มและนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“นากางั้นหรอ… ก็ว่าสิว่าดูคุ้นๆ อยู่”
ในทันทีที่ยุยเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบนั้นเอง เธอก็ได้ยกมือขึ้นเพื่อปลดฮู๊ดคลุมหัวของเธอออกเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มีรอยแผลสีแดงลากยาวพาดผ่านดวงตาข้างขวาที่ในบัดนี้กลายเป็นสีขาวขุ่นแตกต่างจากนัยน์ตาสีน้ำเงินของอีกฝ่ายที่นากาจำได้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้พูดอะไรขึ้นมา ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มนักผจญภัยผ้าคลุมสีแดงก็ได้เอ่ยปากพูดกับยุยขึ้นมาเสียก่อน
“คนรู้จักของเธอหรอยุย? ให้ตายสิ… ก็เพราะแบบนี้ไงล่ะหัวหน้าเขาถึงบอกว่าให้สวมผ้าคลุมนั่นเอาไว้ตลอดจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นโดยไม่จำเป็นน่ะ… แล้วเธอจะเอายังไงล่ะในเมื่อมีคนรู้จักเข้ามายุ่งในภารกิจแบบนี้น่ะ”
“ตอนนั้นมันฝีมือของรัซเซลเขาต่างหากล่ะ… นี่ นากา พวกนายไม่ใช่คนของเมืองแพนเทร่าซะด้วยซ้ำไม่ใช่หรอ เพราะงั้นช่วยกลับขึ้นไปข้างบนนั่นแล้วถ้าเป็นไปได้ก็รีบๆ หนีออกไปจากเมืองนี้เลยจะได้หรือเปล่าน่ะ?”
ยุยที่ได้ยินคำพูดเชิงตำหนิของด็อคผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มของพวกเธอนั้นได้ทำหน้ามุ่ยพูดตอบเขากลับไปก่อนที่เธอจะตีหน้ายิ้มและหันมาพูดถามนากาขึ้นมาตรงๆ
ซึ่งคำพูดของยุยที่ฟังดูราวกับว่าเธอมีความคิดที่จะอยู่ในเมืองใต้ตินต่อไปหรือว่ามีหน้าที่ในการขับไล่ผู้บุกรุกออกไปจากเมืองใต้ดินนั้นก็ได้ทำให้นากาต้องขึ้นเสียงพูดตอบเธอกลับไป
“พวกเธอต่างหากล่ะที่จะต้องรีบกลับขึ้นไปน่ะ! รู้หรือเปล่าน่ะว่าจนถึงตอนนี้รัซเซลเขาก็ยังเชื่อว่าพวกเธอยังปลอดภัยแล้วก็จะรีบกลับขึ้นไปหาเขาอยู่เลยนะ!!”
“………..”
คำพูดของนากาที่ดังขึ้นมานั้นได้ทำให้ยุยนิ่งเงียบไปและนั่นก็ทำให้ด็อคที่เห็นแบบนั้นต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เห็นมั้ยยุย คำพูดที่เธอพูดทิ้งท้ายกับรองหัวหน้าเอาไว้มันย้อนกลับไปทำร้ายตัวเขาเองแล้วน่ะ…”
“ฉันรู้… แล้วก็เพราะว่ารัซเซลเขารอเราอยู่ข้างบนนั้น พวกเราก็เลยยิ่งจะพลาดไม่ได้เลยไม่ใช่หรอไง…”
แกร๊ก—
ในทันทีที่ยุยพูดออกมาจนจบนั้นเอง เธอก็ได้ชักปืนพกสองกระบอกที่ถูกสลักลวดลายวงจรวิซสีทองออกมาพร้อมๆ กับที่ด็อคที่ยืนอยู่ข้างหลังเองก็ได้ชักดาบที่ถูกสลักลวดลายวงจรวิซออกมาและก้าวเดินออกมายืนข้างๆ ยุยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง
“ถือซะว่าฉันขอให้พวกนายกลับขึ้นไปข้างบนจะได้หรือเปล่าเจ้าหนู… เพราะว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกับคราวที่หมู่บ้านโมริโกะของพวกนายหรอกนะ”
“ทำเป็นมาว่าฉัน นายเองก็จำเด็กๆ พวกนี้ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอไงน่ะด็อค”
“……….”
นากาที่ได้ยินคำพูดของด็อคในคราวนี้เป็นฝ่ายที่นิ่งเงียบไปบ้างเพราะมันฟังดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมีหน้าที่ที่จะต้องขับไล่ผู้บุกรุกออกไปจากเมืองใต้ดินแห่งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับออกไปยังผืนดินเบื้องบนได้อย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งเมื่อนากานึกถึงเรื่องเล่าของรัซเซลประกอบกับได้เห็นแผลบนใบหน้าของยุยแล้วเขาก็พอจะคิดได้ว่าพวกยุยน่าจะทำข้อตกลงกับนาร์เซียว่าจะช่วยอีกฝ่ายขับไล่ผู้บุกรุกที่จะบุกลงมายังเมืองใต้ดินในเร็วๆ นี้ แลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องไว้ชีวิตและปล่อยพวกเธอไปหรืออะไรประมาณนั้น
แต่ถึงแม้ว่านากาจะอยากช่วยเหลือให้พวกยุยได้กลับขึ้นไปยังโลกเบื้องบนได้ก็ตามที แต่ว่าหน้าที่ของพวกเขาก็คือการที่พวกเขาต้องรีบเข้าไปหยุดยั้งแผนการของนาร์เซียเอาไว้ไม่ให้หญิงสาวในชุดแม่ชีคนนั้นลงมือทำอะไรก็ตามที่เธอวางแผนเอาไว้ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนชาวแพนเทร่าจำนวนมาก และนั่นก็ทำให้พวกเขาไม่มีทางที่จะถอยได้เช่นเดียวกัน
“แล้วถ้าพวกฉันบอกว่ามีเรื่องที่จะต้องทำที่ปราสาทนั่นล่ะ?”
“ถ้างั้นพวกเธอก็ต้องฝ่าพวกฉันไปให้ได้ก่อนนั่นล่ะนากา!
“น…นั่นพวกเด็กๆ เขาก–กำลังคุยกับศัตรูอยู่… งั้นหรอคะ…?”
ในขณะเดียวกันที่ห้องควบคุมของเมืองใต้ดินเองก็ได้มีเสียงพูดถามของอัลเปียดังขึ้นมาเมื่อที่มุมหนึ่งของหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่ด้านในสุดของห้องได้มีภาพของกลุ่มของพวกนากากำลังยืนพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับชายหญิงสองคนในชุดผ้าคลุมของนักผจญภัยปรากฏขึ้นมา
“หืม? ไหนๆ ขอดูหน่อยสิ”
เสียงพูดของอัลเปียนั้นก็ได้ทำให้เอริกะที่ในบัดนี้กำลังใช้แผงแป้นพิมพ์ในการควบคุมส่องไฟบนเพดานไปตามจุดต่างๆ ของเมืองเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยให้กับพวกทหารของเมืองแพนเทร่าที่กำลังต่อสู้อยู่ต้องหันไปมองดูภาพของกลุ่มของนากาที่เธอโยนมันไปไว้ตรงมุมขอบของหน้าจอดูบ้าง
ซึ่งเมื่อเอริกะได้เห็นว่าพวกนากาเหมือนจะยืนประจันหน้าอยู่กับกลุ่มคนในชุดผ้าคลุมสีแดงที่มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มทหารรับจ้างที่ทีเอร่าเคยรายงานให้เธอฟังนั้นเองเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ดูคล้ายๆ ชุดของกลุ่มของรัซเซลที่ทีเอร่าเคยรายงานให้ฟังอยู่เหมือนกันนะ… นอกจากจะซนขัดคำสั่งแล้วยังทิ้งร่างเอาไว้เป็นภาระให้คนอื่นอีกงั้นหรอเนี่ย… ให้ตายสิ แล้วตรงนั้นมันอะไรอีกล่ะนั่น อัลเปีย! ฝากดูคนที่ถูกไฟส่องแล้วยังวิ่งมาตามถนนนั่นให้หน่อยสิว่าเขากำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่าน่ะ!”
“ข—เข้าใจแล้วค่ะ!!”
อัลเปียที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะนั้นได้รีบละสายตาออกมาจากจอภาพและรัวนิ้วมือเข้าใส่แป้นพิมพ์ที่อยู่เบื้องหน้าของเธอด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเอริกะอยู่มากแต่ก็ดูค่อนข้างคล่องแคล่ว
แต่ถึงอย่างนั้นมือของอัลเปียก็กลับชะงักไปในทันทีที่เธอได้เห็นภาพของอัศวินในชุดเกราะสีขาวขอบทองที่มีตราสัญลักษณ์รูปราชสีห์คำรามประดับอยู่ที่ไหล่ที่ถูกฉายขึ้นมาข้างบนหน้าจอ
“ชุดเกราะนั่นมัน— ป…เป็นไปไม่ได้… ไม่สิ… เจ้าพวกนั้นกล้าดียังไง…!!”
“มีอะไรหรือเปล่าอัลเปีย?”
เอริกะที่ได้ยินเสียงพูดเบาๆ ที่ในตอนแรกฟังดูสับสนก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นโกรธแค้นของอัลเปียได้รีบพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา และนั่นก็ทำให้อัลเปียละสายตาออกจากภาพของอัศวินชุดเกราะขาวที่กำลังวิ่งตรงมายังทางขึ้นลงห้องควบคุมบนหน้าจอที่อยู่สุดปลายของห้องเพื่อหันมามองเอริกะและพูดถามหญิงสาวนักประดิษฐ์ขึ้นมา
“ฉันขอออกไปจัดการอัศวินที่กำลังวิ่งมานั่นจะได้หรือเปล่าคะ!?”
“ฉันว่าแค่จับตามองเอาไว้ก็พอแล้วล่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับซ่อมระบบลิฟต์มาด้วยล่ะก็เขาก็ไม่มีวันจะขึ้นมาถึงข้างบนนี้ได้หรอก”
คำพูดของอัลเปียได้ทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอัลเปียที่ได้ยินคำพูดในเชิงปฏิเสธของเอริกะก็กลับไม่ยอมง่ายๆ และพูดร้องขอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ฉันขอร้องล่ะค่ะ!!”
“……….”
ท่าทางที่ดูจริงจังและน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความตะกุกตะกักของอัลเปียนั้นได้ทำให้เอริกะพอจะดูออกอยู่บ้างว่าหญิงสาวหูจิ้งจอกขอบตาคล้ำคนนี้กำลังร้อนรนขนาดไหนและนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะไม่พูดห้ามปรามออกมาอีกต่อไป
“เธอแน่ใจแล้วหรอ? ถ้าเกิดว่าเธอลงไปข้างล่างนั่นแล้วฉันอาจจะต้องยุ่งอยู่กับการช่วยสนับสนุนคนอื่นๆ จนอาจจะไม่ว่างส่งลิฟต์ลงไปรับเธอกลับขึ้นมาแล้วก็ได้นะ”
“ฉันเข้าใจดีค่ะ! แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องเป็นคนรับมืออัศวินคนนั้น… ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีใครนอกจากฉันที่ควรจะเป็นคนเผชิญหน้ากับเขาแล้วค่ะ!!”
“เฮ้อ… เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้จำอัศวินคนนั้นสลับกับคนอื่นน่ะ?”
คำพูดอัลเปียพอจะทำให้เอริกะคาดเดาได้ว่าอัศวินในชุดเกราะสีขาวคนนั้นคงจะเป็นคนรู้จักหรือไม่ก็คนสำคัญของหญิงสาวที่ถูกนาร์เซียนำร่างไปใช้งานอย่างแน่นอน ซึ่งคำถามของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อัลเปียเอ่ยปากพูดยืนยันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“…ไม่ผิดแน่นอนค่ะ เพราะชุดเกราะกับอาวุธที่เขาใส่อยู่นั่นมันเป็นชุดเกราะที่ฉันสร้างขึ้นมาสำหรับเขาโดยเฉพาะแน่ๆ เพราะแบบนั้นถ้าจะมีใครรู้ความสามารถของอุปกรณ์พวกนั้นและพร้อมรับมือพวกมันมากที่สุดก็ฉันนี่แหล่ะค่ะ!”
“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าเธออย่าออกไปห่างจากทางลงมากกันก็แล้วกัน เผื่อว่าเธอพลาดท่าขึ้นมาฉันอาจจะได้ส่งลิฟต์ลงไปรับได้ทันน่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ!!”
อัลเปียพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะรีบวิ่งกลับออกไปยังโถงทางเดินที่ถูกเปิดออกและก้าวเท้าเข้าไปข้างในห้องนั่งเล่นอันเป็นทางขึ้นลงของห้องควบคุม
และในขณะที่ห้องทางขึ้นลงห้องควบคุมกำลังเคลื่อนตัวอยู่นั้นเอง อัลเปียก็ได้หยิบถุงมือสีขาวคู่หนึ่งขึ้นมาสวมเอาไว้และหยิบเอาปากกาที่มีหัวเป็นคริสตัลวิซสีใสขึ้นมาขีดเขียนแผงวงจรวิซแบบโบราณขึ้นมาบนอากาศเพื่อเตรียมพร้อมที่จะโจมตีในทันทีราวกับมั่นใจว่าการต่อสู้ของพวกเธอจะไม่เริ่มต้นขึ้นด้วยการพูดคุยเหมือนดั่งเช่นการต่อสู้ของพวกเด็กๆ อย่างพวกนากาและพวกยุยอย่างแน่นอน
“ไม่ผิดแน่… ต่อให้จะมีกำแพงกั้นอยู่ก็เถอะ แต่ว่าวิซแบบนี้ไม่ผิดตัวแน่ๆ …”
ปิ๊ง— ฟื้ดดดดดด—
“คริมสันโบลต์!!”
ในทันทีที่ประตูทางลงของห้องควบคุมเลื่อนเปิดออกไปทางด้านข้างด้วยตัวเองนั้นเอง อัลเปียที่วาดวงจรวิซขึ้นมากลางอากาศเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้ลงมือสั่งให้มันทำงานในทันที และนั่นก็ทำให้วงจรวิซที่ลอยอยู่กลางอากาศส่องแสงสีแดงสว่างออกมาก่อให้เกิดลูกศรไฟพุ่งตรงเข้าใส่ร่างในชุดเกราะอัศวินที่ดูเหมือนว่าจะยืนรอเธออยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยความรวดเร็ว
ซู่มมม— ฟุ๊บ—!
แต่ถึงอย่างนั้นการโจมตีที่อัลเปียเคยใช้มันเพื่อจัดการนายทหารในชุดเกราะที่บุกไปยังบ้านพักตากอากาศของตระกูลเซมฟิร่าก็กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อยเมื่อร่างในชุดเกราะอัศวินสีขาวที่มีตรารูปราชสีห์อยู่ที่ตรงเกราะส่วนไหล่ได้ขยับแขนของเขาที่กำลังเรืองแสงสีเขียวออกมาสะบัดเข้าใส่ลูกศรวิซของอัลเปียจนมันปลิวกระเด็นออกไปอีกทางราวกับว่ามันเป็นแค่หินก้อนเล็กๆ ไม่ใช่ลูกศรไฟสุดอันตรายที่สามารถเผาผลาญร่างกายของมนุษย์ทั้งร่างให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้
“ทักษะการใช้งานวิซผ่านรอยสลักบนชุดเกราะเพื่อสร้างม่านพลังสำหรับป้องกันการโจมตีด้วยพลังวิซที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าวิซของตัวเองของหน่วยอัศวินราชองครักษ์แห่งแพนเทร่า…”
ถึงแม้ว่าอัลเปียจะเห็นว่าอีกฝ่ายจะสามารถปัดป้องการโจมตีของเธอได้โดยการทำเพียงแค่เหวี่ยงแขนใส่แบบนั้น หญิงสาวหูจิ้งจอกขอบตาดำก็กลับดูไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยและพูดถึงวิธีการใช้วิซของอีกฝ่ายขึ้นมาราวกับว่าเธอรู้จักวิชาของฝ่ายตรงข้ามดี อีกทั้งเธอยังพูดถึงจุดอ่อนของวิชาที่อีกฝ่ายใช้ขึ้นมาต่ออีกด้วย
“ถึงจะเป็นทักษะที่ดีแต่ก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษและความสามารถในการประเมินปริมาณวิซที่ศัตรูใช้โจมตีเข้ามาเพื่อที่จะได้ไม่สิ้นเปลืองวิซของตัวเองไปอย่างเปล่าประโยชน์… ฉันพูดถูกใช่หรือเปล่าล่ะคะ คุณหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ ฟรีมอนด์ เกรกอเรียส…”
“…………”
ชิ้ง…
แต่ถึงแม้ว่าร่างในชุดเกราะอัศวินเบื้องหน้าจะได้ยินคำพูดของอัลเปียไปแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เขาก็มีเพียงแค่การชักดาบที่ถูกสลักเอาไว้ด้วยลวดลายและตัวอักษรภาษาโบราณขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้โดยไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา และนั่นก็ทำให้อัลเปียต้องกัดฟันแน่นก่อนที่เธอจะสะบัดปากกาคริสตัลวิซในมือเพื่อตั้งท่าเตรียมต่อสู้ของตัวเองเช่นเดียวกันพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังภายใต้ม่านหมอกขมุกขมัวของเมืองใต้ดินเต็มไปด้วยเสียงของการต่อสู้แห่งนี้
“ถ้าเกิดว่าคนข้างในเกราะนั่นยังเป็นคุณอยู่ล่ะก็…!! ถ้าเกิดว่ายังมีจิตวิญญาณสักเสี้ยวหนึ่งของคุณหลงเหลืออยู่ข้างในนั้นล่ะก็ช่วยพูดตอบอะไรกลับมาสักหน่อยเถอะค่ะ ท่านพี่!!”