Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 139 : Irregular Individual
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 139 : Irregular Individual
“ฉ…ฉันเห็นจริงๆ นะไดเอน่าจัง ช..เชื่อฉันเถอะนะ…”
หลังจากที่สิ้นสุดการทดสอบของรีซาน่าและเคนซากิไปได้สักพักหนึ่งแล้ว มายะที่บังเอิญหันไปเห็นรอยยิ้มน่าขนลุกของเคนซากิเมื่อครั้งหลังสอบเสร็จเข้าก็ได้พยายามที่จะพูดบอกเรื่องที่เธอเห็นมาให้กับไดเอน่าผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอฟัง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าที่ถึงแม้จะคิดว่าเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนนามว่าเคนซากิคนนั้นดูท่าทางน่าสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีหลักฐานจะกล่าวอ้างอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็มีทางเลือกได้เพียงแค่การพยายามที่จะพูดปลอบใจให้มายะสงบลงก่อนเท่านั้น
“แต่เคนซากิคุงเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเป็นคนแบบนั้นเลยนะ ฉันว่าเธอน่าจะตาฝาดไปเองแล้วล่ะมั้งจ๊ะมายะจัง”
“ต…แต่ว่าฉันเห็นจริงๆ นะ…”
ถึงแม้ว่ามายะจะได้ยินคำพูดของไดเอน่าที่เธอเชื่อใจไปแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็ยังคงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปเองอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าที่เห็นว่าเธอคงจะปลอบใจมายะที่กำลังตื่นตระหนกในคราวนี้ไม่สำเร็จแน่ๆ เลือกที่จะหันไปขอความช่วยเหลือจากอลิซที่ยืนอยู่ข้างๆ กันแทนจนทำให้อลิซต้องถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ… ถ้าเกิดมายะยืนยันว่าไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ งั้นก็แปลว่าหมอนั่นน่าสงสัยไปอีกขั้นแล้วนั่นล่ะ ถ้ายังไงตอนเธอไปตรวจสอบหมอนั่นก็ระวังๆ ตัวหน่อยก็แล้วกัน”
“พูดแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยปลอบมายะจังเลยนะคะนั่นอาจารย์อลิซ—”
“—-!? น-น—นั่นน่ะ!! เขาหันมามองทางนี้อีกแล้วนะไดเอน่าจัง!!”
ทันใดนั้นเองอยู่ๆ มายะที่รู้สึกหวาดกลัวกับรอยยิ้มของเคนซากิจนฝังใจก็ได้เขย่าแขนของไดเอน่าอย่างแรงเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเคนซากิที่นั่งให้คาร์เทียร์ตรวจร่างกายอยู่ได้เหลือบมามองทางด้านพวกเธอด้วยสายตาเย็นชา
“โอ๊ยๆ อย่าเขย่ากันแบบนั้นสิมายะจัง… แล้วก็ไม่ใช่ว่าเคนซากิเขาก็นั่งให้คาร์เทียร์จังตรวจอาการอยู่เฉยๆ หรอกหรอ”
ไดเอน่าที่ถูกมายะเขย่าแขนอย่างแรงนั้นได้พูดต่อว่าเพื่อนของเธอออกมาเล็กน้อยและหันกลับไปมองดูทางด้านเคนซากิที่กำลังยื่นแขนออกไปให้คาร์เทียร์ตรวจดูอยู่โดยไม่มีวี่แววว่าจะหันมามองทางพวกเธอเลยแม้แต่น้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
“ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมองมาทางนี้เลยนี่นามายะจัง”
“ต—แต่เมื่อกี้เคนซากิเขา…”
“ฉันว่าเธอเหนื่อยเกินไปแล้วล่ะมั้งมายะ ไม่ใช่ว่าช่วงที่ไดเอน่าไม่อยู่เธอก็เอาแต่จัดการพวกเอกสารจนแทบไม่ได้พักเลยหรือไง ถ้าฝืนตัวเองมากไปมันจะเสียสุขภาพเอานะ…”
ในขณะที่มายะกำลังจะพูดเถียงไดเอน่ากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านอลิซที่เห็นว่ามายะยังคงไม่หายวิตกกังวลก็ได้พยายามเอ่ยปากช่วยพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าตัวคำพูดของเธอจะทำให้รอยยิ้มของไดเอน่ากระตุกไปเล็กน้อยก็ตามที
“เรื่องสุขภาพนี่อาจารย์อลิซไม่ต้องมาพูดเลยค่ะ… แต่ว่ายังไงเดี๋ยววันนี้เธอไปพักที่ห้องพยาบาลให้หายเหนื่อยก่อนน่าจะดีกว่านะมายะจัง แล้วเดี๋ยวฉันจะไปแจ้งกับพวกอาจารย์ให้เอง”
“…ต…แต่ฉันไม่ได้เหนื่อยจนตาฝาดซะหน่อยนะ…”
“หน่าๆ ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ ถ้ายังไงพวกเราก็ไปหาคาร์เทียร์จังกันก่อนเถอะเนอะ”
“อ…อื้อ…”
มายะที่ถูกไดเอน่าคว้าแขนไปควงและยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ ได้ชะงักตัวแข็งค้างไปสักพักหนึ่งก่อนจะพูดตอบกลับไปเบาๆ ด้วยสีหน้าแดงก่ำก่อนที่พวกเธอทั้งสองคนจะเดินแยกออกจากอลิซเพื่อตรงไปทางด้านห้องพยาบาลที่ในตอนนี้ไร้ซึ่งวี่แววของเคนซากิที่ถูกตรวจร่างกายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
และหลังจากที่คาร์เทียร์ตรวจดูอาการให้กับมายะอยู่สักพักหนึ่งแล้วเธอก็ได้หยิบเอาเม็ดยาสีขาวออกมายื่นให้กับมายะเมื่อเธอได้พบว่าคนไข้เบื้องหน้าของเธอมีอาการเหนื่อยล้าสะสมอยู่บ้างจริงๆ
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกค่ะพี่ไดเอน่า แค่ให้พี่มายะเขาทานยานี่แล้วก็นอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะค่ะ”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ ว่าแต่ใช้เวลาตรวจดูแค่แป๊บเดียวก็ดูออกเลยแบบนี้นี่ท่าทางว่าอาจารย์อารอนเขาก็สอนเก่งอยู่เหมือนกันสินะจ๊ะเนี่ย”
“เรียกว่าเขาเข้มงวดกับเรื่องแบบนี้มากกว่าล่ะมั้งคะ นี่ยังดีนะว่าหนูสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วไม่เหมือนกับซึบากิจังที่เพิ่งจะมาหัดเรียนน่ะค่ะ… ว่าแต่นี่พี่ไดเอน่าได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องของพี่อารอนบ้างแล้วหรือยังน่ะคะ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีเลยจ้ะเพราะพี่เองก็เพิ่งจะกลับมาที่โรงเรียนเหมือนกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่จะพยายามเร่งมือให้ก็แล้วกันนะ”
“งั้นหรอคะ…”
คาร์เทียร์ที่ได้รับคำตอบที่น่าผิดหวังกลับไปจากไดเอน่าถึงกับคอตกเล็กน้อย จนทำให้ไดเอน่าตัดสินใจที่จะยื่นมือไปจับไหล่ของเด็กสาวเอาไว้และพูดให้คำมั่นสัญญาออกมา
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ เดี๋ยวเอาไว้ตอนประชุมของกลุ่มดอว์นของวันนี้พี่จะเอาเรื่องทีมค้นหาอาจารย์อารอนขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลยจ้ะ เพราะงั้นเธออย่าเพิ่งกังวลไปเลยนะคาร์เทียร์จัง!”
“ค…ค่ะ…เข้าใจแล้วค่ะ…”
คาร์เทียร์ที่ถูกไดเอน่าจับไหล่และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตั้งมั่นนั้นก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าดูเหมือนว่าจะเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำเกินไปหน่อยต้องรีบปล่อยมือออกจากคาร์เทียร์และพูดขึ้นมาด้วยมาดประธานนักเรียนสาวอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวไปจัดเตรียมเอกสารสำหรับการประชุมก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ อ๋อ… แล้วก็ถ้าเกิดว่าเคนซากิคุงเขาแวะมาที่ห้องพยาบาลพี่ฝากเธอดูอย่าให้เขาเข้าไปใกล้มายะจังให้หน่อยก็ดีนะจ๊ะ”
“เอ๊ะ? พี่เคนซากิที่เป็นคู่สอบของพี่รีซานาเขาคนตะกี้นี้น่ะหรอคะ? พวกพี่เขามีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะนั่น?”
คำขอของไดเอน่าได้ทำให้คาร์เทียร์เอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยพร้อมกับเหลือบไปมองยังมายะที่กำลังนอนจ้องอีฟที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ เตียงของเธออยู่ด้วยสายตาหวาดๆ ในขณะที่ทางด้านไดเอน่านั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดอธิบายให้คาร์เทียร์ฟัง
“คือเหมือนว่ามายะจังเขาจะไม่ค่อยถูกกับเคนซากิคุงเขาสักเท่าไหร่น่ะจ้ะ พี่ก็เลยกลัวว่าถ้าเกิดมายะจังตื่นมาแล้วเห็นเคนซากิคุงอยู่ใกล้ๆ แล้วมันจะวุ่นวายน่ะ”
“งั้นหรอคะ ถ้าพี่ไดเอน่าพูดแบบนั้นเดี๋ยวหนูจะช่วยดูให้ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นก็ไปดีมาดีนะคะพี่ไดเอน่า”
ถึงแม้ว่าคาร์เทียร์จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ไดเอน่าพูดอธิบายออกมาให้ฟังสักเท่าไหร่นักแต่ว่าเธอเองก็เคยได้ยินถึงเรื่องเกี่ยวกับอาการตื่นคนแปลกหน้าของมายะที่ค่อนข้างจะโด่งดังในโรงเรียนมาอยู่บ้างเธอจึงพยักหน้าตอบรับกลับไปและโบกมือลาไดเอน่าที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลแต่โดยดี
และหลังจากที่ไดเอน่าเดินออกมาจากห้องพยาบาลแล้วเธอก็ได้หันไปหาอลิซที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆ กับประตูห้องพยาบาลและเอ่ยปากพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาเบาๆ
“ได้เรื่องอะไรบ้างมั้ยคะอาจารย์อลิซ? พอเห็นมายะจังเขากลัวขนาดนั้นฉันว่าเคนซากิเขาก็อาจจะไม่ใช่เด็กนักเรียนที่ต่อสู้เก่งธรรมดาๆ จริงๆ แล้วก็ได้นะคะ”
“หมอนั่นกลับขึ้นห้องเรียนไปแล้ว… เท่าที่ฉันลองสังเกตดูหมอนั่นก็ดูเหมือนกับนักเรียนธรรมดาๆ … แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เหมือนกันว่าหมอนั่นไม่ได้ธรรมดาแบบที่เห็น”
“เฮ้อ… ถึงฉันจะไม่อยากมามัวนั่งระแวงพวกเดียวกันแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าเขาก็ดันทำตัวน่าสงสัยซะขนาดนั้นมันก็คงจะช่วยไม่ได้สินะคะ… เพราะถึงมายะจังเขาจะกลัวคนแปลกหน้าก็เถอะ แต่ว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะไปกล่าวหาใครพล่อยๆ ซะด้วยสิ…”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำพูดของอลิซได้แต่ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้จักมายะดีจนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะกล่าวหาคนอื่นง่ายๆ แบบนั้น และนั่นก็ทำให้อลิซที่ยืนอยู่ข้างๆ กันต้องเหลือบตาไปมองสีหน้ากลุ้มใจของไดเอน่าและทำท่าเหมือนกับว่าจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะได้มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากปากของอลิซ ก็กลับมีเสียงของอัศวินหนุ่มเอเว่นดังลั่นมาจากทางบันไดขึ้นอาคารเรียนเข้าเสียก่อน
“ไหนเมื่อกี้นี้อาจารย์อลิซบอกว่าจะไปเตรียมการสอนที่ห้องพักครูก็เลยให้ผมไปรอที่ห้องเรียนก่อนไงล่ะครับ!?”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ”
เสียงร้องเรียกของเอเว่นที่ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของอัศวินหนุ่มที่รีบร้อนวิ่งลงบันไดมาเพื่อตามมาประกบติดเธอนั้นถึงกับทำให้อลิซต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดตอบเขากลับไป
“แค่ขอแวะมาคุยกับไดเอน่าเขาก่อนสักห้านาทีมันจะเป็นจะตายให้ได้เลยหรือไงกัน ว่าแต่นี่นายว่างกลับมาจับตาดูฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย เมื่อตอนสอบตะกี้นี้ยังเห็นเอาแต่จ้องอาจารย์เทียเขาตาเป็นมันอยู่เลยนี่?”
“ม—มันใช่แบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะครับ!? หน้าที่ของผมคือการจับตาดูอาจารย์อลิซเอาไว้นะครับจะมีเวลาไปทำอะไรแบบนั้นซะที่ไหนกัน!?”
คำพูดของอลิซถึงกับทำให้เอเว่นสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดบอกปัดกลับมาอย่างรวดเร็ว และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“คิกคิก แต่จะว่าไป… ถ้าเกิดว่าในเมื่อคำสั่งของคุณพี่ชายคือให้มาตามคุมอาจารย์อลิซแบบนี้แล้วนี่ ถ้าเกิดว่าอาจารย์อลิซต้องไปทำงานด่วนให้กับคุณเอริกะในระหว่างเวลาเรียนขึ้นมานี่คุณพี่ชายจะทำยังไงล่ะ?”
“ก็ถ้าเกิดคุณเอริกะเขามีความจำเป็นจะต้องใช้งานอาจารย์อลิซล่ะก็ คุณเอริกะเขาจะสามารถสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวได้สักพักนึงน่ะครับ… แต่ถ้าจะให้พูดกันจริงๆ แล้วนี่ผมแปลกใจตรงที่ว่าคุณเอริกะเขายอมให้ทางวังหลวงส่งผมมาติดตามอาจารย์อลิซตั้งแต่แรกมากกว่าซะอีกนะครับนั่น…”
เอเว่นที่ได้ยินคำถามของไดเอน่าได้ยกมือขึ้นมาเกาแก้มและพูดตอบกลับไปแบบเจือนๆ เพราะว่าโดยปกติแล้วเอริกะจะไม่ชอบให้มีคนนอก โดยเฉพาะคนจากวังหลวงเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่เธอทำอยู่สักเท่าไหร่นัก แล้วยิ่งเป็นการอนุญาตให้คนในสังกัดวังหลวงโดยตรงอย่างเขามาตามติดคนของเธอแบบนี้แล้วมันยิ่งฟังดูไม่น่าเชื่อเข้าใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าที่รู้จักกับเอริกะมากกว่าเอเว่นนั้นก็พอจะเดาได้ว่าที่จริงแล้วเอริกะคงคิดอยากจะให้เอเว่นที่เป็นพี่ชายของคอนแนลซึ่งก็ไม่นับว่าเป็นคนอื่นคนไกลสักเท่าไหร่นักมาคอยช่วยห้ามอลิซเอาไว้เผื่อในกรณีที่เด็กสาวคิดจะควงดาบออกไปสู้ทั้งๆ ที่ยังไม่หายดีแบบนี้ซะมากกว่า เธอจึงได้ถือโอกาสนี้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียเลย
“ว่าแต่… ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องงานของคุณเอริกะนี่ อาจารย์อลิซอาการดีขึ้นจนพร้อมจะทำงานให้คุณเอริกะแล้วหรอคะนั่น ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไม่คิดจะพักให้หายดีก่อนสักหน่อยหรอคะ?”
“ก็ร่างกายของฉันมันไม่ได้เปราะบางแบบพวกเธอสักหน่อยนี่… แล้วอีกอย่างนึง สำหรับตอนนี้แล้วเอริกะมีตัวเลือกอื่นนอกจากฉันซะที่ไหนกันล่ะจริงมั้ย”
อลิซที่ได้ยินคำพูดด้วยความเป็นห่วงของไดเอน่าอีกครั้งหนึ่งได้หันไปมองอีกฝ่ายตาขวาง ในขณะที่ทางด้านเอเว่นนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดสอบถามข้อมูลของเด็กสาวที่เขาจะต้องคอยตามติดไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ไม่มีตัวเลือกอื่น? นี่อาจารย์อลิซมีความสามารถพิเศษอะไรที่ขนาดคุณเอริกะก็ยังหาคนมาแทนไม่ได้เลยหรอครับ?”
“ก็ไม่เชิง… เอาจริงๆ ความสามารถของฉันที่เอริกะต้องใช้งานนี่ถ้าเกิดว่าคนอื่นๆ ฝึกฝนกันสักหน่อยก็คงจะทำได้ไม่ยากหรอก แต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาจะรอใครฝึกแล้วน่ะสิ…”
อลิซพูดตอบเอเว่นกลับไปพร้อมกับยกมือขึ้นไปกดบนผ้าพันแผลบนศีรษะที่เริ่มจะปวดตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้วจนทำให้ไดเอน่าและเอเว่นที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“…ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะนะคะ แต่ถ้าเกิดว่าอาจารย์อลิซฝืนตัวเองจนล้มพับไปแผนงานของคุณเอริกะจะไม่ยิ่งสะดุดไปใหญ่อีกหรอคะนั่น”
“ผมเคยได้ยินคอนแนลชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่างานทดลองและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของคุณเอริกะจะช่วยทำให้โลกเราดีกว่าเดิม แต่ถ้าเกิดถึงขั้นว่าต้องเอาคนเจ็บมาใช้งานจนไม่ได้พักรักษาตัวแบบนี้นี่มันก็… ท่าทางว่าผมคงจะต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานทางวังหลวงแล้วล่ะครับ…”
“เพื่อโลกที่ดีกว่าเดิมงั้นหรอ… หึ… ถ้ามองจากผลงานที่ผ่านมาคนอื่นๆ จะคิดแบบนั้นมันก็คงจะไม่แปลกล่ะมั้ง”
คำพูดของเอเว่นนั้นได้ทำให้อลิซหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งเสียงหัวเราะสั้นๆ ที่แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนกับจะสมเพชก็ไม่ใช่สงสารก็ไม่เชิงนั้นก็ได้ทำให้ทั้งไดเอน่าและเอเว่นชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่เอเว่นจะเป็นคนเอ่ยปากพูดถามกลับไปด้วยความสับสน
“อาจารย์อลิซพูดแบบนี้นี่หมายความว่าเป้าหมายของคุณเอริกะไม่ใช่แบบที่ผมพูดออกมางั้นหรอครับ?”
“เป้าหมายของเอริกะน่ะไม่ใช่อะไรที่สูงส่งและน่าชื่นชมอย่างการพยายามทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิมแบบที่ใครต่อใครคิดกันหรอกนะ… แล้วตัวฉันเองก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นในแผนการของเอริกะด้วย… จริงๆ แล้วฉันก็แค่คนที่บังเอิญมาเจอกับพวกนากาแล้วก็โดนหิ้วตัวมาที่เมืองนี้พร้อมๆ กันแค่นั้นล่ะ…”
“บังเอิญได้มาเจอกับพวกนากาคุงงั้นหรอคะ…?”
คำพูดอธิบายของอลิซได้ทำให้ไดเอน่าพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่อลิซจะได้พูดตอบอะไรกลับไป ทางด้านเอเว่นก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาบ้าง
“สรุปแล้วว่านี่อาจารย์อลิซเคยอาศัยอยู่ที่ไหนมาก่อนกันแน่ครับเนี่ย? ข้อมูลที่ทางวังหลวงส่งมาให้ผมอ่านก็มีบอกแค่ว่าอาจารย์อลิซเข้ามาในเมืองเมื่อสองสามเดือนก่อนพร้อมกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่อาจารย์เอริซาเบธไปรับมาจากหมู่บ้านโมริโกะเองนะครับ… อาจารย์อลิซพอจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังได้บ้างหรือเปล่าน่ะครับ เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงเลยก็คือว่าทางวังหลวงก็อยากจะได้ข้อมูลของอาจารย์เพิ่มเติมเหมือนกันน่ะ”
“ขนาดทางวังหลวงก็ยังไม่มีข้อมูลเลยงั้นหรอคะ… แต่จะว่าไปก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันลองสืบเรื่องที่มาของอาจารย์อลิซดูก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรนอกเหนือจากนั้นเหมือนกัน… อาจารย์อลิซสนใจจะเล่าเรื่องของตัวเองสักหน่อยมั้ยล่ะคะ?”
“…….”
ถึงแม้ว่าอลิซจะได้ยินว่าทั้งทางไดเอน่าและทางวังหลวงเคยพยายามจะสืบประวัติของเธอแล้วก็ตาม แต่ว่าสีหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยและสิ่งที่เธอทำนั้นก็คือการออกก้าวเดินตรงไปทางบันไดเพื่อกลับไปยังห้องพักครูพร้อมกับเอ่ยปากพูดทิ้งท้ายเอาไว้
“เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันไม่ใช่ศัตรูของพวกเธอก็แล้วกัน… ถ้าจะเป็นก็เป็นแค่อาจารย์คนนึงที่ต้องรีบขึ้นไปเตรียมการสอนคาบถัดไปล่ะมั้ง…”
ก๊องงงง—
“ถ้างั้นวันนี้ก็เอาแค่นี้ก็พอ ถึงพวกเธอส่วนมากจะยังไม่มีโอกาสได้ลองใช้งานยูนิตก็เถอะ แต่ยังไงก็พยายามจำชื่อของชิ้นส่วนต่างๆ เอาไว้ด้วยก็ดี ไปล่ะ”
หลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักใหญ่จนเสียงระฆังบ่งบอกเวลาหมดคาบเรียนภาคเช้าดังขึ้นมา อลิซผู้ที่ยึดคาบเรียนทั้งหมดในช่วงเช้าวันจันทร์ไปเป็นของตัวเองก็ได้เริ่มต้นเก็บกวาดยูนิตจำลองที่เธอนำมาประกอบการสอนลงกล่องเก็บอุปกรณ์พร้อมกับเอ่ยปากพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินตรงดิ่งหายออกไปจากห้องเรียนด้วยความเร็วที่แทบจะไม่มีใครมองตามทัน
“……..”
“เฮ้ย— เดี๋ยวสิยัยเปี๊ยก ฉันยังไม่ได้ประกาศให้ทำความเคารพเลยนะเฮ้ย!!”
“อ่ะ— อาจารย์อลิซรอผมด้วยสิครับ!”
หลังจากที่ภายในห้องเรียนตกอยู่ภายใต้ความเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้มีเสียงร้องโวยวายดังลั่นของอัลเบิร์ตดังขึ้นมาก่อนจะตามมาด้วยเสียงของเอเว่นที่ต้องรีบตั้งสติและออกวิ่งตามหลังอลิซไปด้วยความเร็วพอๆ กันบ่งบอกถึงความสามารถของเขาที่เป็นถึงหนึ่งในอัศวินระดับสูงจากวังหลวงได้เป็นอย่างดี
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาที่ได้ยินมาจากคอนแนลว่าอัศวินผมทองที่ใบหน้าครึ่งล่างเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่มาตามเกาะแกะอลิซคนนั้นเป็นพี่ชายของคอนแนลอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขึ้นมา
“พี่ของนายนี่ท่าทางจะติดอลิซเขาแจเลยนะคอนแนล”
คำพูดของนากานั้นได้ทำให้คอนแนลชะงักมือที่กำลังเก็บสมุดจดของเขาไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฮะฮะ ท่านพี่เขาก็จริงจังกับคำสั่งแบบที่เห็นนั่นแหล่ะครับ แต่ที่ดูจริงจังเป็นพิเศษแบบนี้นี่น่าจะเป็นเพราะว่าโดนอาจารย์อลิซสลัดจนหลุดไปหลายรอบตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วน่ะครับ”
“ก็หวังว่าอลิซคงจะไม่หมดความอดทนแล้วจัดการพี่ของนายจนเละเข้าสักวันล่ะนะ… เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปหาอะไรกินกันบ้างเถอะเนอะ โมโกะ”
“อ…อื้อ…”
โมโกะพยักหน้าพูดตอบนากากลับไปเบาๆ แล้วจึงขยับหมวกที่ใช้ปิดซ่อนหูแมวที่แหว่งหายไปข้างหนึ่งของเธอให้เข้าที่ แต่ว่าก่อนที่ทุกคนจะได้เดินออกไปจากห้องนั้นเอง นากาที่เหลือบไปเห็นที่นั่งที่ว่างเปล่าของมายะเข้าก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“จะว่าไปมายะเขาหายไปไหนล่ะนั่น เมื่อกี้นี้ยังเห็นอยู่กับไดเอน่าเขาข้างล่างอยู่เลยไม่ใช่หรอ?”
“เอ๋ะ นั่นสินะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวเอาไว้หลังกินข้าวเสร็จพวกเราค่อยลองไปสอบถามคุณไดเอน่าเข—”
ก๊องงงงง—
ในขณะที่คอนแนลกำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง เสียงระฆังของทางโรงเรียนก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของไดเอน่าดังออกมาจากเหล่ากล่องสีดำจำนวนมากที่เพิ่งจะถูกนำมาติดตั้งเอาไว้ตามจุดต่างๆ ของโรงเรียนเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนจนมีเด็กนักเรียนหลายคนสะดุ้งไปด้วยความตกใจเพราะไม่รู้มาก่อนว่ามันคือกล่องอะไรกันแน่
“ประกาศจากทางสภานักเรียนค่ะ หลังจากหมดช่วงพักกลางวันขอรบกวนให้เด็กนักเรียนที่เข้าร่วมกับกลุ่มดอว์นมารวมตัวกันที่โถงใต้ตึกเรียนด้วยค่ะ”
หลังจากที่ไดเอน่าพูดประกาศจนจบแล้วเธอก็ได้พูดทบทวนข้อความประกาศของเธออีกครั้งหนึ่งก่อนที่เสียงของเธอจะเงียบหายไป ซึ่งสิ่งที่ถูกประกาศออกมาจากตัวกล่องสีดำนั้นก็ได้ทำให้คอนแนลยกมือขึ้นมาเกาหัวเบาๆ
“ท่าทางว่าจะงานเข้าอีกแล้วนะครับ…”
“ก็นั่นสินะ… แต่ถ้าไดเอน่าเขายอมให้พวกเราได้มีเวลากินอาหารกลางวันก่อนแบบนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรมากล่ะมั้ง… ว่าแต่แล้วเธอจะเอายังไงล่ะโมโกะ จะไปด้วยกันเลยหรือว่าจะแวะไปที่ชมรมก่อนล่ะ? เห็นก่อนหน้านี้เธอบอกว่าสนใจจะเข้าชมรมวิจัยอะไรโบราณๆ สักอย่างนี่นา?”
ในขณะที่นากากำลังยักไหล่พูดตอบคอนแนลกลับไปอยู่นั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าโมโกะที่บอกว่าจะเข้าร่วมกลุ่มดอว์นด้วยเช่นกันนั้นเหมือนจะเคยบอกว่าเธอมีชมรมที่สนใจจะเข้าร่วมอยู่แล้ว อีกทั้งพวกเขาเองก็ยังไม่ได้ไปแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมกลุ่มดอว์นให้โมโกะเลยด้วยเขาจึงได้พูดถามเด็กสาวขึ้นมา
ซึ่งทางด้านโมโกะที่เหมือนจะรู้ตัวว่าเธอคงจะต้องแยกจากนากาในช่วงที่เขาไปประชุมกับกลุ่มดอว์นนั้นก็ได้มีท่าทีหม่นหมองลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเงยหน้ากลับขึ้นมาพูดตอบเขากลับไป
“ช…ชมรมนั่นไม่เอาแล้ว… นายไปหาไดเอน่าเถอะ… เดี๋ยวฉันไปรอที่ห้องพยาบาลก็แล้วกัน…”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพวกเราไปกินข้าวกลางวันกันก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปส่งที่ห้องพยาบาลก่อนเข้าประชุมเอง”
“ม…ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้…”
โมโกะที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พยายามที่จะพูดบอกปัดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาก็กลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยและเดินจูงมือโมโกะเดินตรงไปยังโรงอาหารอย่างรวดเร็ว
และหลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วพวกเขาก็เดินตรงไปยังห้องพยาบาลตามที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับกล่าวทักทายคาร์เทียร์ที่ควรจะนั่งประจำการอยู่ด้านใน
ครืดดดดดด
“คาร์เทียร์อยู่หรือเปล่า? ฉันขอฝากโมโกะไว้แป๊บนึงสิ”
“อ่ะ—นากาคุงนี่นา”
เสียงพูดตอบรับที่ดังกลับมานั้นกลับไม่ใช่เสียงของคาร์เทียร์แบบที่พวกเขาคาดเอาไว้ แต่ว่ากลับเป็นเสียงของไดเอน่าที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงคนไข้ที่มีร่างของมายะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างบนด้วยท่าทีที่ดูเหมือนกับเพิ่งจะตื่นนอน และที่ริมหน้าต่างเองก็มีร่างเล็กๆ ของอีฟที่กำลังเอาหน้าแนบไปกับตัวกระจกเพื่อมองดูเหล่าเด็กนักเรียนที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ในสนามของโรงเรียนอยู่อีกด้วย
“ว่าไงไดเอน่า ว่าแต่เธอไม่สบายอะไรหรือเปล่าน่ะมายะ?”
“อะ… อ่า… อื้ม….”
มายะที่ถูกนากาพูดถามขึ้นมานั้นได้พูดพึมพำตอบเขากลับไปเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมึนๆ โดยที่ไม่ได้ละสายตาออกจากขอบประตูห้องพยาบาลเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าตัวเธอจะโอนเอนไปมาเหมือนกับกำลังวิงเวียนอย่างหนักก็ตามจนดูราวกับว่าเธอกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างจนไม่กล้าล้มตัวลงไปนอนอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งท่าทีของมายะนั้นก็ถึงกับทำให้ไดเอน่าต้องแอบส่ายหน้าไปมาเบาๆ แล้วจึงเอ่ยปากพูดอธิบายออกมาให้พวกนากาที่เพิ่งมาถึงได้ฟัง
“เมื่อเช้านี้มายะจังเขารู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยฉันก็เลยพามาพักที่นี่ก่อนน่ะจ้ะ”
“อ–อื้ม… ว่าแต่แล้วนี่คาร์เทียร์เขาหายไปไหนล่ะเนี่ย?”
“เห็นคาร์เทียร์จังบอกว่ายาแก้ปวดใกล้จะหมดแล้วก็เลยขอตัวไปทำเอกสารที่ฝ่ายธุรการน่ะจ้ะ พวกเธอพาโมโกะมาเปลี่ยนผ้าพันแผลใช่มั้ยล่ะ เดี๋ยวรออีกสักพักหนึ่งเขาก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ… ว่าแต่ฝากพวกเธอปิดประตูห้องพยาบาลให้หน่อยสิ”
“อ่า…”
คำขอของไดเอน่าที่พูดขึ้นมาเมื่อเธอสังเกตเห็นว่ามายะแทบจะสะดุ้งทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านหน้าห้องพยาบาลไปนั้นได้ทำให้คอนแนลต้องรีบยื่นมือไปเลื่อนปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว และนั่นก็ทำให้ท่าทีของมายะดูสงบลงไปมากถึงแม้ว่าเธอจะยังคงโคลงหัวไปมาเหมือนกับมึนเมาอะไรสักอย่างอยู่ดีก็ตาม
ซึ่งสภาพของมายะที่ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่นั้นก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ… มายะเขาไหวหรือเปล่าน่ะไดเอน่า?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ เห็นคาร์เทียร์จังเขาบอกว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาที่มายะเขาทานเข้าไปน่ะ…”
“ผลข้างเคียงงั้นหรอ…?”
“อื้อ เห็นบอกว่ายาที่ทางโรงเรียนได้มาจากโรงพยาบาลมันคุณภาพไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่น่ะ พักนี้คาร์เทียร์จังเขาก็เลยวุ่นๆ อยู่เพราะว่าตัวยาที่อาจารย์อารอนเตรียมเอาไว้จะหมดลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็เลยต้องไปคอยสอบถามอาจารย์เอริเกี่ยวกับเรื่องตัวยาที่จะเอามาสำรองน่ะจ้ะ”
ไดเอน่าพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังพร้อมกับหยิบเอาขวดยาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงของมายะขึ้นมาส่องดูก่อนที่เธอจะยักไหล่แล้วจึงวางมันกลับลงไปที่เดิมพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะนะว่าทางโรงบาลเขาทำยานี่ขึ้นมายังไงคุณภาพมันถึงได้ต่างจากยาของอาจารย์อารอนขนาดนี้น่ะ แต่ถ้าเกิดว่ามันมีผลข้างเคียงขนาดนี้ท่าทางว่าฉันคงจะต้องดันเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนแล้วล่ะมั้ง”
“นั่นสินะ เมื่อก่อนตอนที่พวกฉันต้องกินยาของอารอนเข้าไปก็ยังอาการไม่หนักขนาดนี้เลยนะนั่น”
นากาพูดตอบไดเอน่ากลับไปก่อนที่เขาจะเดินพาโมโกะไปนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของไดเอน่าเพื่อรอคอยคาร์เทียร์ที่น่าจะกลับมาในเร็วนี้ๆ โดยมีคอนแนลที่เดินไปรินเครื่องดื่มให้กับทุกคนเดินตามมาทีหลังและตามมาด้วยอีฟที่ละความสนใจออกมาจากเหล่าเด็กนักเรียนเบื้องนอกเพื่อมานั่งฟังทุกคนคุยกันด้วยอีกคนหนึ่ง