Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 76 : Fraternize
“อ..เอริ”
“เอริ… ตื่นได้แล้ว…”
“หลับสนิทขนาดนี้สงสัยยัยจิ้งจอกนี่น่าจะตายไปแล้วล่ะมั้ง”
“งื้ม…”
เอริซาเบธที่เผลอนอนหลับไปในห้องประชุมจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบนั้นได้ส่งเสียงงึมงำออกมาเบาๆ เมื่อเธอได้ยินเสียงของชายหญิงที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมาก่อนที่เธอจะกระดิกหูจิ้งจอกของตัวเองไปมาจนมันปัดเข้าใส่ใบหน้าของอารอนเข้าไปพอดี
“ยังจะมีหน้ามากระดิกหูใส่อีกนะ… คนอื่นเขาแยกย้ายไปกันหมดแล้วนะเอริ…”
“ฮ๊าววววว~ อ้าว… คุณอารอนพูดแนะนำตัวเสร็จแล้วหรอคะ?”
“เฮ้อ… ต้องบอกว่าเขาประชุมกันจนจบแล้วต่างหากล่ะ…”
“เอ๋?”
เอริซาเบธที่คิดว่าตัวเองเผลองีบหลับไปแค่ชั่วครู่เดียวนั้นได้หันไปมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจก่อนจะพบว่าในเวลานี้ภายในห้องประชุมเหลือแค่คนสนิทของเธออย่างเทีย อารอน และอลิซเพียงเท่านั้นเอง
“ให้ตายสิ นี่เธอโชคดีนะที่เป็นพวกฉันที่นั่งอยู่ใกล้ๆ น่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นอาจารย์คนอื่นล่ะก็เรื่องนี้คงไปถึงหูผู้อำนวยการเขาแล้วล่ะ”
“นั่นสินะ…”
“อ…อื้อ…”
อารอนและเทียได้พยักหน้าให้กับความเห็นของอลิซในขณะที่เอริซาเบธนั้นก็กำลังขยี้ตาอยู่ด้วยท่าทางงัวเงียเหมือนกับยังนอนไม่เต็มอื่มก่อนที่เธอจะถามอารอนที่ดูพึ่งพาได้ที่สุดในกลุ่มถึงเรื่องการประชุมขึ้นมา
“แล้วนี่เขาประชุมกันเรื่องอะไรบ้างล่ะคะคุณอารอน?”
“ก็มีเรื่องยูนิตของเอริกะเขา… แล้วก็วิชาแปลกๆ ที่เอริกะส่งหลักสูตรมาให้นั่นล่ะ… จะบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ล่ะมั้ง…”
“หึ อย่างน้อยวิชาของเอริกะก็ยังดีกว่าที่วิชาที่ทางโบสถ์เอามานำเสนอก่อนที่จะเริ่มประชุมล่ะนะ”
“วิชาเรียนจากทางโบสถ์?”
“…นี่อย่าบอกนะว่าเธอหลับไปตั้งแต่แรกจนไม่ได้ฟังอะไรเลยจริงๆ น่ะ ให้ตายสิ”
“ด…เดี๋ยวเอาไว้ฉันจะไปสรุปเรื่องการประชุมให้เอริเขาเอง… ก…ก็ได้ค่ะ…”
เทียที่ได้ยินอลิซพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนั้นได้รีบพูดเสนอตัวขึ้นมาแทนด้วยความเกรงใจในทันทีจนทำให้อลิซต้องหันมาดูเพื่อนสาวของอาจารย์เอริซาเบธเล็กน้อยและพูดตอบกลับไป
“ถ้างั้นก็เอาตามนั้นละกันค่ะอาจารย์เทีย แล้วในเมื่อเอริซาเบธเขาตื่นแล้วแบบนี้พวกเราก็รีบๆ ออกจากห้องนี้กันก่อนเถอะ พวกภารโรงเขามารอทำความสะอาดอยู่ข้างนอกกันสักพักนึงแล้ว”
“ค…ค่ะ…”
“อื้อ~”
เทียกับเอริซาเบธพยักหน้ากลับมาให้อลิซก่อนที่ทุกคนจะลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินต่อแถวออกไปจากห้องประชุมกัน และเมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูห้องพยาบาลที่อยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งของอาคารเรียนแล้วอารอนก็ได้พูดถามเอริซาเบธที่เหมือนว่าจะนอนไม่พอขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ว่าแต่นี่เธอไหวหรือเปล่าน่ะเอริซาเบธ… ดูท่าทางเหมือนว่าจะอดนอนมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรอน่ะ…?”
“น…นั่นสิ…เอริ…ป…เป็นอะไรหรือเปล่า…”
“แฮะๆ พอดีว่าช่วงนี้งานมันเยอะไปหน่อยน่ะค่ะ แต่ว่าไม่ไหวก็ต้องไหวแหล่ะค่ะเพราะว่าหลังจากนี้ฉันต้องไปกำกับการซ่อมแซมส่วนเมืองจำลองแล้วต้องแวะไปตามผลการทดสอบของยูนิตที่โรงพยาบาลอีก”
“เฮ้อ… ถ้ายังไงก็อย่าฝืนตัวเองมากนักละกัน…”
อารอนที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาและยกมือไปเคาะหัวเอริซาเบธเข้าไปทีหนึ่งเพราะเขารู้ทันว่าที่เอริซาเบธพูดขึ้นมาแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าไม่ต้องการให้เขาเอาเรื่องที่เธอต้องฝืนทำงานจนแทบไม่มีเวลานอนไปบอกเอริกะนั่นเอง แต่ว่าในเมื่อเอริซาเบธได้ตัดสินใจที่จะทำแบบนั้นไปแล้วอารอนก็จึงได้แต่เอ่ยปากเตือนเธอกลับไปและหันไปถามอีกสองคนที่เหลือขึ้นมาแทน
“แล้วพวกเธอจะเอายังไงต่อกันล่ะ…?”
“ด…เดี๋ยวฉันต้อง…จัดการเอกสาร…ค่ะ…”
“……”
ในขณะที่เทียได้พูดถึงเรื่องที่เธอจะต้องไปจัดการต่อออกมานั้นทางด้านอลิซกลับยืนกอดอกขมวดคิ้วมองเอริซาเบธอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ซึ่งอารอนที่เห็นแบบนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าอลิซคงจะเป็นห่วงว่าเอริซาเบธอาจจะล้มพับลงไปเพราะโหมงานหนักเกินไปหรือเปล่าแต่ว่าก็ไม่ได้อยากจะพูดออกมาตรงๆ นั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอตัวกลับไปที่คลินิกก่อนก็แล้วกัน… พวกเธอก็ดูแลตัวเองกันดีๆ ด้วยล่ะเข้าใจมั้ย…”
อารอนพูดทิ้งท้ายออกมาก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อจัดการเก็บของเตรียมตัวกลับไปที่คลินิกของตัวเองโดยทิ้งให้สามสาวที่เหลือยืนจับกลุ่มตกลงกันเองว่าจะแยกย้ายกันไปตอนไหนดี
“อ…เอ่อ…”
“…มีอะไรหรือเปล่าคะอาจารย์เทีย?”
“ป…เปล่าค่ะ… ฉ…ฉันแค่กะจะแนะนำตัวเฉยๆ … ฉันชื่อเทีย…ค่ะ… ย…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ… อาจารย์อลิซ…”
อาจารย์เทียที่ถูกอลิซตวัดสายตามาจ้องมองนั้นถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบพูดแนะนำตัวขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักจนทำให้อลิซที่ทำหน้าหงุดหงิดตลอดเวลาจนเป็นนิสัยนั้นต้องรีบคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ของเธอและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนกว่าเดิม
“เรียกฉันว่าอลิซเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ส่วนคำว่าอาจารย์นั่นเก็บเอาไว้เรียกเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าพวกนักเรียนก็พอ”
“ข…เข้าใจแล้วค่ะ… ถ…ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ…!”
เทียที่เข้าสังคมไม่ค่อยเก่งนั้นเริ่มที่จะมีสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเจอกับความอ่อนโยนของอลิซเข้าไปจึงได้พยักหน้ากลับมาให้อลิซก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัวและรีบเดินหนีไปในทันที ซึ่งเอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นก็แอบอมยิ้มและเดินเข้าไปเกาะไหล่ของอลิซที่ตัวเล็กกว่าเธอพร้อมกับเอ่ยปากหยอกล้อขึ้นมา
“ใจดีจังเลยนะคะอาจารย์อลิซเนี่ย~ อ่ะ แต่ที่เทียเขารีบหนีไปแบบนั้นนั่นเป็นเพราะว่าเขาพูดไม่ค่อยจะเก่งสักเท่าไหร่น่ะ เธอก็อย่าไปถือสาอะไรเขามากนักล่ะอลิซจัง~”
“แค่เห็นก็รู้แล้วน่าเรื่องนั้นน่ะ… ว่าแต่เธอไหวแน่หรือเปล่าน่ะเอริซาเบธ ไม่ใช่ว่าหลังจากคุมงานซ่อมแซมกับไปที่โรงบาลแล้วเธอก็ยังต้องไปช่วยงานเดรคต่ออีกไม่ใช่หรือไง?”
“เอ๋ะ— คุณเอริกะบอกเธอเอาไว้ด้วยหรอ?”
เอริซาเบธที่ได้ยินอลิซพูดถึงแผนงานของเธอขึ้นมานั้นได้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ว่าเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักเพราะเธอรู้ว่ามาว่าพักนี้อลิซได้เข้าไปคุยกับเอริกะในห้องทำงานกันสองคนอยู่บ่อยๆ จนอาจจะได้รู้เรื่องแผนการทำงานที่เอริกะแจกจ่ายให้กับคนอื่นๆ ไปด้วยนั่นเอง
“เอาจริงๆ ที่ฉันต้องไปช่วยงานเดรคนั่นเป็นแค่งานขนของนิดๆ หน่อยๆ เองน่ะอีกอย่างนึงเดรคเขาก็แรงเยอะจะตายเพราะงั้นคงจะไม่เหลืออะไรให้ฉันต้องขนมากนักหรอก~”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะเข้าใจมั้ย! เพราะถ้าเกิดว่าเธอไปนั่งหลับอยู่ข้างนอกโรงเรียนล่ะก็ไม่มีคนมาคอยปลุกเธอเหมือนกับตอนในห้องประชุมหรอกนะ!”
“แหม่~ คุณแม่อลิซนี่ขี้ห่วงจังเลยนะคะ~”
“ใครเป็นแม่เธอกันหะ!?”
“ฮะฮะ… ว่าแต่เทียเขารีบหนีไปแบบนั้นแล้วฉันจะไปตามเรื่องในห้องประชุมจากใครกันดีล่ะเนี่ย~ จะยังมีคนใจดีเหลืออยู่แถวนี้อีกมั้ยน้า~”
เอริซาเบธหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับท่าทีหงุดหงิดของอลิซพร้อมกับแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงเรื่องของการประชุมเมื่อสักครู่จากอีกฝ่ายแทนเทียที่วิ่งหนีไปแล้ว ซึ่งอลิซก็ได้สะบัดร่างของเธอให้หลุดจากมือของเอริซาเบธที่เกาะไหล่ของเธออยู่แล้วจึงยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับพูดตอบกลับไป
“หลักๆ ก็แค่อธิบายเรื่องสามวิชาใหม่ที่เอริกะเสนอมากับวิชาการควบคุมและพัฒนายูนิตที่ฉันเป็นคนสอน แล้วก็มีอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่ต้องรับอาจารย์ประจำห้องพยาบาลคนใหม่อย่างอารอนเข้ามาทำงาน ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอไปถามเอาจากยัยขี้กลัวนั่นเอาเองละกันเพราะฉันไม่ได้สนใจจะฟังน่ะ”
“เห ก็ฟังดูสำคัญอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
“เวลามีประชุมกันมันก็ต้องเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้วสิ! มีใครที่ไหนเขาจะหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวในห้องประชุมเหมือนกับเธอกันบ้างหะ!?”
“แหะๆ ~”
เอริซาเบธที่ถูกอลิซพูดใส่ตรงๆ แบบนั้นได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมาพลางยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองแก้เขินกลับไปก่อนที่เธอจะรีบเอ่ยปากขอตัวเพื่อหนีไปในทันที
“อ้ะ น่าจะใกล้ได้เวลาตรวจงานซ่อมแซมแล้วล่ะมั้ง ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนละกันนะอลิซจังเพราะถ้าเกิดไปช้าเดี๋ยวจะโดนพวกเขาว่าเอาได้จริงๆ น่ะ”
“ฮึ… ถ้างั้นก็โชคดีละกัน… ส่วนเรื่องการประชุมเดี๋ยวยัยเพื่อนขี้กลัวของเธอก็น่าจะสรุปผลการประชุมมาให้เธอเองล่ะมั้ง”
“จ๋าจ๊ะ~ ถ้างั้นก็ไว้เจอกันใหม่นะ~”
เอริซาเบธตอบอลิซกลับไปด้วยท่าทางกวนๆ เหมือนกับเอริกะไม่มีผิดเพี้ยนก่อนจะออกวิ่งไปทางเขตเมืองจำลองด้วยความรวดเร็วจนทำให้อลิซที่มองตามไปนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ให้ตายสิ… ยัยพวกนี้จะดูแลตัวเองกันให้ดีๆ สักครั้งมันจะตายหรือไงกัน…”
เอริซาเบธที่เดินมาถึงส่วนเมืองจำลองของโรงเรียนรีมินัสนั้นได้มองซ้ายมองขวาอยู่สักพักก่อนที่จะมีคนงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอเพื่อนำทางเธอไปหาหัวหน้าคนงานก่อสร้างที่ทางโรงเรียนว่าจ้างมา
ซึ่งหัวหน้าคนงานก็ได้เดินพาเอริซาเบธไปดูส่วนต่างๆ ของเมืองจำลองที่ได้รับการซ่อมแซมตามกำหนดการไปเรียบร้อยแล้วทีละจุดอย่างละเอียดอยู่หลายชั่วโมงจนพระอาทิตย์แทบจะเลยเหนือหัวของเธอไปแล้ว และหลังจากที่ทัวร์มาราทอนในเมืองจำลองท่ามกลางความร้อนแรงของแดดยามเที่ยงวันจบลงไปเอริซาเบธก็ได้ปั้นหน้ายิ้มให้กับหัวหน้าคนงานและเอ่ยปากขอบคุณเขาไป
“ขอบคุณที่สละเวลาให้นะคะ ถ้างั้นเดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ฉันจะมาดูใหม่อีกทีนึงตามกำหนดการละกันนะคะ”
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรงั้นพวกผมจะทำตามกำหนดการเดิมไปเลยนะครับ เหนื่อยหน่อยนะครับอาจารย์”
“แหะๆ … ถ้างั้นก็โชคดีนะคะ”
เอริซาเบธส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ตอบหัวหน้าคนงานกลับไปก่อนที่เธอจะเดินออกจากเขตโรงเรียนไปหยุดพักอยู่ที่ใต้ร่มไม้ข้างทางแล้วจึงค่อยวางแผนการเดินทางสำหรับเรื่องที่ต้องทำในวันนี้ต่อไป
“ที่เหลือก็ไปหามีอาที่โรงพยาบาลแล้วก็ค่อยไปหาเดรคที่โรงตีเหล็กต่องั้นสินะ… เฮ้อ… อย่างน้อยที่โรงพยาบาลก็น่าจะเย็นกว่าแถวนี้แหล่ะมั้ง…”
เอริซาเบธพูดพึมพำขึ้นมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านแมกไม้ลงมาแล้วจึงยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนใบหน้าจากนั้นจึงค่อยออกเดินไปทางทิศเหนือที่เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลประจำเมือง
ซึ่งเอริซาเบธก็ได้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยพลางแวะซื้อขนมกินเล่นดับร้อนตามข้างทางไปด้วยราวกับว่าไม่ได้เร่งรีบอะไรเลยแม้แต่น้อยจนทำให้เธอใช้เวลาเกือบจะเป็นชั่วโมงกว่าจะเดินทางจากหน้าโรงเรียนมาจนถึงหน้าโรงพยาบาลที่อยู่ในตัวเมืองชั้นในทางทิศเหนือที่มี มีอา หญิงสาวผมสีขาวนัยน์ตาสีแดงที่เป็นแฝดคนน้องของเทียยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“มาได้สักทีนะเอริ”
“โทษทีๆ เธอรอนานหรือเปล่ามีอา?”
“ไม่หรอก ฉันเพิ่งจะตรวจคนไข้เสร็จก็เลยมาช้ากว่าที่คิดน่ะ แต่ถึงฉันจะมาสายแล้วก็เถอะ เธอก็ยังจะอุตส่าห์มาช้ากว่าฉันได้อีกเหมือนเคยเลยนะ… ด้านหลังฉัน…”
“แหะๆ ก็พอดีว่าที่โรงเรียนมันงานยุ่งนี่นา หืม?”
เอริซาเบธที่พยายามจะปกปิดเรื่องที่เธอแอบแวะข้างทางจนมาช้ากว่าเวลานัดนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแอบชำเลืองมองไปยังด้านหลังของมีอาตามที่อีกฝ่ายแอบกระซิบบอกกับเธอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอได้พบกับเด็กผู้หญิงผมสีเหลืองแซมเขียวในชุดนักเรียนกระโปรงสีเขียวของโรงเรียนรีมินัสที่กำลังยืนเหม่อมองดูฝ้าเพดานอยู่อย่างไร้จุดหมายโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
“อ้าว นั่นมันพิเน๊ะจังไม่ใช่หรอน่ะ…?”
“เหมือนว่าจะเป็นนักเรียนของเธอจริงๆ งั้นสินะ… ถึงเรื่องนี้มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องงานของคุณเอริกะก็เถอะ แต่ฉันเห็นว่าเด็กคนนั้นต้องมาที่นี่เป็นประจำก็เลยอยากจะบอกเธอเอาไว้หน่อยน่ะ”
“มาที่โรงพยาบาลบ่อยงั้นหรอ? แต่ว่าพิเน๊ะเขาก็ไม่ได้มีประวัติป่วยอะไรนี่นา… เดี๋ยวฉันขอลองไปถาม—”
“เธออย่าเพิ่งไปตอนนี้ดีกว่านะ ฉันลองแอบดูผลการตรวจของเด็กคนนั้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะเพิ่งได้รับยาตัวใหม่ไปเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนน่ะเพราะงั้นต่อให้เธอเข้าไปถามดูตอนนี้เด็กคนนั้นก็น่าจะพูดจาอะไรไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่หรอก”
“ยาตัวใหม่งั้นหรอ…”
คำพูดของมีอานั้นถึงกับทำให้เอริซาเบธต้องหรี่ตาลงก่อนจะแอบชะโงกหน้าไปสังเกตดูอาการของพิเน๊ะในทันที ซึ่งสาเหตุที่เธอต้องแอบชะโงกหน้าไปดูแทนที่จะเดินเข้าไปดูอาการของพิเน๊ะใกล้ๆ นั้นก็เป็นเพราะว่ามีอามีท่าทีบ่งบอกเป็ยนัยๆ ว่าเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่คนนอกโรงพยาบาลอย่างเธอไม่ควรจะรู้นั่นเอง
ซึ่งเอริซาเบธก็ได้พบว่าพิเน๊ะนั้นยังคงเหม่อมองไปบนฝ้าเพดานอยู่อย่างไร้จุดหมายโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเวลาปกติพิเน๊ะก็คงจะเบิ่งตามองดูนู้นดูนี่ที่เธอเกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ก็ตามนั้นแหล่ะ แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลเด็กคนนั้นจนกว่าเธอจะรู้สึกตัวอยู่แล้วน่ะ”
“แล้วนี่พิเน๊ะเขาเป็นอะไรถึงต้องให้ยาแรงขนาดนั้นน่ะ? ถึงพิเน๊ะเขาจะชอบทำตัวแปลกๆ อยู่บ้างก็เถอะแต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องให้ยากดประสาทหรืออะไรแบบนั้นเลยนี่”
“ฉันได้ยินพวกเขาพูดกันราวๆ ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่นซนกับเศษคริสตัลวิซหรือว่าอะไรสักอย่างนี่แหล่ะแต่ว่าฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน ส่วนสาเหตุที่เด็กคนนั้นนิ่งไปแบบนั้นฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นผลข้างเคียงของตัวยาชนิดใหม่ที่พวกเขาฉีดให้ก่อนจะเริ่มตรวจมากกว่าน่ะ”
“ผลข้างเคียงที่มีผลเหมือนกับยากดประสาทแบบนั้นเนี่ยนะ? นี่เธอมั่นใจนะว่าพวกเขาไม่ได้จับเด็กนักเรียนของฉันมาเป็นหนูทดลองยาชนิดใหม่น่ะ?”
เอริซาเบธที่ได้ยินที่มาที่ไปก่อนที่พิเน๊ะจะมีอาการเหม่อลอยไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนั้นได้พยายามพูดคาดคั้นมีอาขึ้นมาจนทำให้มีอาได้แต่ส่งยิ้มเจือนๆ กลับไปให้เอริซาเบธและพูดตอบเท่าที่เธอจะตอบได้ออกมา
“เด็กคนนั้นไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวอีกไม่นานก็น่าจะกลับมาเป็นปกติแล้วล่ะ แต่ถ้าเธอสนใจเรื่องนี้ทำไมเธอไม่ลองกลับมาทำงานที่นี่ล่ะเอริ? ถ้าเป็นเธอล่ะก็ทางโรงพยาบาลน่าจะพร้อมอ้าแขนรอต้อนรับกลับมาแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ”
คำพูดของมีอานั้นถึงกับทำให้เอริซาเบธสะดุ้งจนหูตั้งก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเองด้วยความลำบากใจและรีบพูดบอกปัดออกมา
“แหะๆ ไม่ดีกว่าจ้ะ เธอก็รู้นี่ว่าสาเหตุที่ฉันไม่ชอบที่นี่มันเป็นเพราะว่าพวกเขาห่วงหน้าห่วงตาของตัวเองมากกว่าชีวิตของคนไข้น่ะ แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวด้วย… ทั้งๆ ที่ถ้าพวกเขายอมให้คุณอารอนมารักษาให้หรือยอมเสี่ยงกับตัวยาที่คุณอารอนมีสักหน่อยล่ะก็ผู้หญิงที่ถูกรถม้าทับนั่นก็อาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ก็ได้น่ะ…”
“นั่นสินะ… ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นเธอก็คงจะไม่ลาออกไปตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้วนี่นะ”
“อื้อ… ขอโทษที่ฉันปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวแบบนี้นะมีอา… ทั้งๆ ที่ตอนนั้นฉันก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าพวกเราจะเป็นคู่หูกันตลอดไปน่ะ…”
“เฮ้อ… เรื่องนั้นฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมากน่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นตอนที่ทำงานที่ได้รับมาจากคุณเอริกะพวกเราก็ยังเป็นคู่หูกันอยู่ดีไม่ใช่หรือไง?”
มีอาที่เห็นว่าเอริซาเบธได้พูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดที่รักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้จนถึงกับหูตกนั้นได้รีบพูดปลอบใจเพื่อนของเธอขึ้นมาก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองพิเน๊ะที่ยังคงยืนเหม่ออยู่ห่างไปไม่ไกลและพูดบอกเอริซาเบธไป
“ในเมื่อเด็กคนนั้นเป็นเด็กนักเรียนของเธอถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะคอยช่วยดูแลให้เป็นพิเศษละกันนะ ยังไงซะพวกเขาก็คงจะไม่ว่าอะไรหรอกเพราะว่าพวกเขาเป็นคนมอบงานนี้ให้ฉันเองอยู่แล้วล่ะนะ”
“อ…อื้อ นั่นสินะ!”
“อื้ม… ถ้างั้นก็เอ้านี่ เอกสารที่เธออยากได้น่ะ เสร็จเรื่องแล้วก็รีบไปช่วยงานเดรคเขาต่อได้แล้วไป๊”
มีอาที่เห็นเอริซาเบธกลับมามีท่าทีร่าเริงเหมือนกับปกติแล้วนั้นได้พูดขึ้นมาพร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารในมือที่เธอถือเอาไว้ตั้งแต่แรกให้กับเพื่อนสาวหูจิ้งจอกของเธอไปพร้อมกับหันหลังกลับและออกเดินไปทางพิเน๊ะในทันที
“แหม่~ ไม่เห็นต้องรีบไล่กันแบบนั้นเลยนี่ ฉันยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้เธอสำหรับการดูแลพิเน๊ะจังเขาเลยนะ”
“อ—-!?”
ทันทีที่เอริซาเบธพูดจบเธอก็รีบเดินตามมีอาเข้าไปด้านในตัวโรงพยาบาลและเอื้อมมือไปคล้องคอมีอาจากทางด้านหลังก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเพื่อนนางพยาบาลของเธอเข้าให้เต็มฟอดโดยไม่สนใจสายตาของคนไข้และเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลที่ยืนอยู่เต็มล็อบบี้เลยแม้แต่น้อย
“ท… ทะ… ทะ… ทำ… ทำอะ…”
มีอาที่ถูกเอริซาเบธเดินเข้ามากอดใส่จากทางด้านหลังแถมยังหอมแก้มเธอต่อหน้าสาธารณชนนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำและรู้สึกเหมือนกับสมองติดขัดไปชั่วขณะ ซึ่งกว่าเธอจะตั้งสติได้และหันกลับไปมองดูด้านหลังของเธอนั้นก็ไร้ซึ่งวี่แววของเอริซาเบธไปซะแล้ว
“ยัยจิ้งจอกนี่–!!”
‘เฮ้ย เมื่อกี้นายเห็นนางพยาบาลคนนั้นหรือเปล่า?’
‘ยังกลางวันแสกๆ อยู่แท้ๆ …ใจกล้ากันจริงๆ …’
‘คุณแม่คะๆ เมื่อกี้มีคนหอมแก้มพี่พยาบาลด้วยอ่ะ หนูขอทำมั่งได้มั้ย’
เสียงซุบซิบที่ดังขึ้นมาจากทุกทิศทุกทางนั้นทำให้ใบหน้าของมีอาเริ่มที่จะแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งด้วยความอับอายจนทำให้เธอได้แต่รีบเดินเข้าไปคว้ามือของพิเน๊ะที่ยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมเพื่อที่จะได้เดินหนีออกไปจากที่นี่ในทันที
ส่วนทางด้านเอริซาเบธที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้เบื้องหลังนั้นก็กำลังออกเดินไปทางตัวเมืองชั้นนอกฝั่งทิศใต้อย่างอารมณ์ดีและแวะชมวิวข้างทางไปด้วยแบบไม่มีความรีบร้อนอะไรเลยแม้แต่น้อยทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงเวลาที่เธอนัดหมายไว้กับเดรคแล้วซะด้วยซ้ำ
ซึ่งทันทีที่เอริซาเบธเดินพ้นหัวมุมถนนมานั้นเธอก็ถึงกับสะดุ้งไปในทันทีที่เดรคที่ยืนกอดอกพิงลังไม้จำนวนหนึ่งรอเธออยู่ที่หน้าอาคารได้ตวัดสายตาเย็นชามองมาทางเธอจนทำให้เอริซาเบธต้องรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและเอ่ยปากทักทายออกมาแบบไม่คิดจะพูดแก้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“ว…ว่าไงเดรค รอนานมั้ย~”
“….”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวสีขาวซีดที่มีเขามังกรสีดำขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปนั้นทำเพียงแค่ยืนกอดอกจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าเอริซาเบธที่รู้จักเดรคดีนั้นก็เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากสักเท่าไหร่นักที่เธอมาสายทำให้เอริซาเบธตัดสินใจที่จะพูดเข้าเรื่องในทันที
“ของพวกนี้ใช่มั้ยที่พวกเราต้องขนมันไปให้คุณเอริกะน่ะ? ว่าแต่ไม่มีปัญหาอะไรในขั้นตอนการผลิตใช่มั้ย?”
“ฮึ่ม…”
“อ่าฮะ ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ… ฮึ๊บ—”
เอริซาเบธพยักหน้าตอบเดรคกลับไปก่อนที่เธอจะออกแรงยกกล่องไม้ใบหนึ่งขึ้นมา ในขณะที่เดรคนั้นกลับค่อยๆ หยิบเอากล่องไม้ใบที่เหลืออยู่ขึ้นมาแบกซ้อนๆ กันไว้บนไหล่ของเขาราวกับไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรเลยแม้แต่น้อยแล้วจึงออกเดินตามหลังเอริซาเบธไปอย่างสบายๆ
“ว่าแต่นี่คือต้นแบบที่จะให้พวกนักเรียนทดลองใช้งานงั้นสินะ? เป็นแบบแขนกลที่ติดตรงไหล่ที่คุณเอริกะเคยเอามาให้ดูอย่างเดียวเลยหรือเปล่า?”
“ถ้าพวกเขาอยากได้แบบอื่นก็ค่อยมาบอก…”
“แหม่~ ต่อให้เป็นนายก็เถอะแต่ก็ระวังจะโดนพวกเด็กนักเรียนของฉันขออะไรแปลกๆ จนปวดหัวเอาไว้บ้างล่ะกันนะ~”
“ฮึ่ม…”
เดรคที่เดินตามหลังเอริซาเบธมาอยู่นั้นได้พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่งจนดูเหมือนกับว่าเขารู้สึกไม่พอใจในคำพูดของเธอ แต่เอริซาเบธนั้นก็รู้ดีว่าชายร่างยักษ์คนนี้ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรเลยแม้แต่น้อยและอาจจะกำลังคิดว่าถ้าทำให้เขาปวดหัวได้ก็ลองดูสิหรืออะไรแบบนั้นอยู่ซะด้วยซ้ำ
และหลังจากนั้นเอริซาเบธก็ได้เดินนำเดรคเข้าไปในตัวเมืองชั้นในและลัดเลาะไปตามคฤหาสน์หลังใหญ่จนไปถึงบ้านของเอริกะที่ตั้งอยู่ตรงตัวเมืองชั้นในทางทิศตะวันตกใกล้ๆ กับประตูกั้นเขตกัน
“โอ้~ ว่าไงทั้งสองคน ของที่สั่งไปเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ?
เอริกะที่แอบอู้ออกมารดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนหน้าบ้านของเธอนั้นได้เอ่ยปากถามเอริซาเบธและเดรคที่เพิ่งจะเดินมาถึงพร้อมกับเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้กับทั้งสองคนที่หอบกล่องจำนวนมากมาด้วย
“เรียบร้อยแล้ว…”
“ค่า~ แล้วผลการทดสอบหาผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้ที่คุณเอริกะสั่งเอาไว้ก็ออกมาเรียบร้อยแล้วด้วยค่ะ ทีนี้ก็เหลือแค่ตรวจสอบความเรียบร้อยของเอกสารพวกนี้แล้วก็ตรวจสภาพของอุปกรณ์ต้นแบบแล้วล่ะค่ะ”
“เห…”
เอริกะที่ได้ยินว่ามีงานใหม่เพิ่มขึ้นมานั้นได้ส่งเสียงลากยาวออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินไปเปิดประตูของตัวบ้านให้กับทั้งสองคนพร้อมกับเอ่ยปากชวนสองหนุ่มสาวที่เธอรู้จักมาตั้งแต่ยังเด็กออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันข้างนอกขึ้นมา
“ถ้างั้นพวกเธอเอามันไปกองไว้ที่ห้องนั่งเล่นก่อนละกันแล้วเดี๋ยวพวกเราออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันบอกกับพวกมีอาไปแล้วว่าวันนี้จะมีนัดรวมพลกินข้าวน่ะ”
“อ—เอ๋ะ? แล้วคุณเอริกะจะไม่เช็กสภาพของพวกนี้ก่อนสักหน่อยหรอคะ?”
“ฝีมือเดรคซะอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกเดี๋ยวเอาไว้ค่อยกลับมาตรวจดูก็ได้ ตอนนี้พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่า มีร้านนึงที่ฉันอยากจะลองไปอยู่พอดีเลยด้วย ป่ะๆ”
“แล้วงาน—”
“เอาล่ะรีบไปกันโลด~”
เอริกะที่ได้ยินคำว่างานนั้นได้รีบพูดตัดบทเอริซาเบธขึ้นมาพร้อมกับกระแทกประตูให้ปิดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เพื่อนๆ ของเธอทั้งสองคนเดินออกมาตัวบ้านแล้ว ก่อนที่เธอจะดึงแขนของเอริซาเบธแล้วเดินตรงไปทางประตูรั้วในทันที
“รีบตามมาเร็วเข้าเดรค ถ้าเกิดว่าเธอไม่ยอมตามมาด้วยเดี๋ยวฉันจะเรียกพวกมีอามาลากตัวเธอไปเองนะ”
“…เฮ้อ”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ตอนแรกคิดว่าจะกลับไปที่พักของตัวเองหลังจากเสร็จงานนั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะดูท่าทางแล้วว่าเอริกะคงจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแต่โดยดีอย่างแน่นอนก่อนที่เขาเหลือบไปมองทางหน้าต่างหน้าห้องออฟฟิศของเอริกะที่ถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อยแล้วจึงเดินตามทั้งสองคนออกไป
ซึ่งที่ด้านในห้องออฟฟิศของเอริกะนั้นก็มีร่างเล็กๆ ของอลิซกำลังนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่างพลางมองไล่หลังทั้งสามคนไปพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็คงจะไม่ยอมพักผ่อนสักทีจริงๆ สินะยัยจิ้งจอกบ้างานนั่น…”
หลังจากนั้นอีกสักพักใหญ่เอริซาเบธที่ถูกเอริกะลากตัวไปกินข้าวเย็นกับคนอื่นๆ ที่ว่างมาร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ของเอริกะนั้นก็ได้กลับมาที่หอพักของโรงเรียนรีมินัสด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพราะถึงแม้ว่าในงานเลี้ยงนั้นเธอจะถูกมีอาเอาคืนเรื่องระเบิดลูกใหญ่ที่เธอทิ้งไว้ก่อนจะออกมาจากโรงพยาบาลแต่ว่าเธอก็สวนกลับไปด้วยระเบิดอีกลูกหนึ่งเช่นเดียวกัน
“เฮ้อ~~”
เอริซาเบธล้มตัวลงไปนอนแผ่บนเตียงอย่างมีความสุขเพราะว่านี่ก็เป็นช่วงเวลาสักพักใหญ่แล้วที่พวกเธอไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าแบบนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าเอริซาเบธจะไม่รู้ว่าคุณเอริกะของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้จัดงานเลี้ยงขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้ แต่มันก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้เธอได้มีโอกาสพักผ่อนเติมพลังบ้างในช่วงเวลาที่ยุ่งยากแบบนี้
และหลังจากนั้นเอริซาเบธก็ได้ดึงฮู๊ดของชุดนอนสัตว์น้อยมาคลุมหัวเอาไว้ก่อนที่เธอจะพลิกตัวและผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข… อย่างน้อยก็จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันถัดมานั่นเอง
“ม่ายอยากทำงานเลยอ่า~~~~”