Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 216 : Unbending Will
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 216 : Unbending Will
“ทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะฮอว์ค!!”
ในทันทีที่หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์หันไปเห็นร่างเงาตะคุ่มๆ ในม่านหมอกของชายหนุ่มผู้ถือปืนยาวและสวมหมวกปีกกว้างที่ควรจะกลับขึ้นไปยังผืนดินด้านบนตามคำสั่งของเขาตั้งนานแล้วนั้นเองเขาก็ได้ร้องตะโกนถามขึ้นมาด้วยความตกใจ ในขณะที่ทางด้านไมเคิลที่ถูกยิงเข้าที่ศีรษะจังๆ จนเซไปทางด้านข้างนั้นก็ได้ขยับตัวตั้งหลักเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปและเอ่ยปากพูดถามหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ขึ้นมาโดยมีเพียงแค่รอยแดงเล็กน้อยตรงจุดที่ถูกยิงเพียงเท่านั้น
“ถ้าฟังจากที่พูดเมื่อกี้นี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกสั่งให้หลบไปก่อนแล้วสินะ?”
“ครับ… ผมพยายามสั่งให้เขากลับขึ้นไปข้างบนนั่นตั้งนานแล้ว…”
“หัวหน้าหน่วยที่ฝ่าฝืนคำสั่งงั้นหรอ เป็นทหารที่ใช้การไม่ได้เลยนะ”
ไมเคิลที่ได้ยินคำตอบจากหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ได้พูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“แต่ถึงอย่างนั้นก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดี… ไม่สิ นับว่าเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมต่างหากล่ะ”
ฟุ่บ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงชมของไมเคิลนั้นเอง เขาก็ได้เอียงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนวิซสีฟ้าที่พุ่งตรงมายังศีรษะของเขาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าความเร็วของกระสุนวิซสีฟ้าจะไม่ได้ด้อยกว่านัดเมื่อสักครู่นี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าในครั้งนี้ไมเคิลที่รู้ตัวแล้วก็สามารถที่จะหลบมันได้อย่างสบายๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งเกิดม่านพลังวิซสีเขียวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมารอบๆ ตัวไมเคิลนั่นเอง
ปิ๊ง—ปิ๊ง—ปิ๊ง—
ซึ่งม่านวิซสีเขียวแผ่นบางๆ ที่ปรากฏขึ้นมาขวางหน้ากระสุนวิซสีฟ้าที่พลาดเป้าไปนั้นก็ได้ปะทะเข้ากับกระสุนวิซของฮอว์คจนมันแฉลบเปลี่ยนมุมออกจากทิศทางเดิมและพุ่งเข้าใส่ม่านวิซสีเขียวอันถัดไปอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดมันก็พุ่งกลับเข้าใส่ไมเคิลอีกครั้งหนึ่งด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อยจนทำให้ไมเคิลที่เห็นแบบนั้นต้องยกท่อนแขนของเขาขึ้นมาปะทะกับกระสุนวิซตรงๆ เพื่อให้มันแตกสลายไปแทนที่จะหลบหลีกอย่างเมื่อสักครู่
ปึ๊ก—ฟู่ว…
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาก็มีเพียงแค่รอยไหม้และควันเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบนแขนเสื้อโค้ตตัวหนาของไมเคิลและนั่นก็ทำให้ฮอว์คที่ยืนอยู่บนหลังคาบ้านห่างออกไปไกลต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะส่องกล้องที่ติดอยู่บนปืนของเขาซ้ำอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“โหย โหย… เอาจริงดิ… ตอนเจ้าพวกหน่วยไรโน่มาขอลองของฉันก็ยังยิงชุดเกราะของเจ้าพวกนั้นทะลุได้สบายๆ เลยนะ…”
“หืม… ขนาดชิ่งไปตั้งสามครั้งแล้วก็ยังเหลือพลังมากพอที่จะทิ้งรอยเอาไว้ได้อีกหรอเนี่ย เด็กๆ สมัยนี้นี่ประมาทไม่ได้จริงๆ แฮะ”
และไม่ใช่เพียงแค่ฮอว์คที่ต้องประหลาดใจ ทางด้านไมเคิลที่ใช้ท่อนแขนของตัวเองเข้ารับกระสุนวิซสีฟ้าของวิซธาตุน้ำที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการใช้วิซปริมาณมากมาอัดแน่นจนกลายเป็นกระสุนพลังงานแบบเพียวๆ ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจด้วยเช่นเดียวกันที่การโจมตีของอีกฝ่ายยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้อยู่แบบนี้
และนั่นก็ทำให้ไมเคิลตัดสินใจที่จะรีบพุ่งตัวตรงเข้าไปหาฮอว์คเป็นเส้นตรงเพื่อที่จะได้จัดการอีกฝ่ายก่อนในทันทีจนทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ต้องรีบร้องตะโกนเตือนเพื่อนของตนขึ้นมา
“ฮอว์ค! ระวัง!!”
“ไม่ต้องบอกก็เห็นอยู่แล้วล่ะน่า!!”
ทางด้านฮอว์คที่ได้เห็นไมเคิลพุ่งเข้ามาหาเขาตรงๆ แบบไม่เกรงกลัวกระสุนวิซของเขาราวกับอีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่สามารถยิงกระสุนแบบนั้นได้อย่างต่อเนื่องนั้นได้ร้องตะโกนบอกเพื่อนของเขากลับไปและสะบัดมือไปจับที่ปากกระบอกปืนยาวเสียแทนก่อนจะสะบัดมันเล็กน้อยจนทำให้ใบมีดที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายในด้ามจับปืนดีดตัวออกมาเปลี่ยนจากปืนยาวทั้งกระบอกให้กลายเป็นอาวุธที่มีลักษณะคล้ายกับอุปกรณ์ขุดหินปลายแหลมเสียแทนและเขาก็ได้ใช้มันในการเหวี่ยงเข้าใส่ไมเคิลที่กำลังพุ่งเข้ามาใส่ตรงๆ
“อย่าคิดว่าเห็นเป็นมือปืนแล้วจะสู้ระยะประชิดไม่ได้ก็แล้วกัน!!”
วื้อออออ—
“ฮึ่ม….”
ฟุ๊บ—
ถึงแม้ว่าไมเคิลจะสังเกตเห็นว่าฮอว์คนั้นจะไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดมากนักเมื่อดูจากท่าทางของการตั้งท่าและวิธีการโจมตีของอีกฝ่าย แต่ทว่าเขาก็ต้องรีบหยุดฝีเท้าลงและพยายามที่จะดีดตัวถอยกลับออกมาก่อนเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิซปริมาณมากที่อัดแน่นอยู่ในอาวุธของอีกฝ่ายที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่เบาๆ จนส่งมวลอากาศรอบๆ เสียงแปลกๆ ออกมา
ฉึบ—
แต่ทว่าไมเคิลที่พุ่งตัวเต็มแรงเพื่อหวังที่จะจัดการอีกฝ่ายที่เป็นเพียงแค่มือปืนคนเดียวด้วยความประมาทก็กลับไม่สามารถกระโดดถอยหลบได้ทันและโดนคมอาวุธของฮอว์คปาดเฉี่ยวเข้าไปที่แขนอย่างจังจนเกิดรอยแผลขึ้นมาเป็นทางยาว
“……..”
แต่ถึงอย่างนั้นบนท่อนแขนของไมเคิลก็กลับไม่มีเลือดไหลทะลักออกมาอย่างที่ควรจะเป็นอีกทั้งตัวไมเคิลเองก็ยังไม่ส่งเสียงร้องอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้ฮอว์คที่เห็นแบบนั้นคิดว่าตนเองโจมตีพลาดไปเองเสียอย่างนั้น
“ชิ ตื้นไปงั้นหรอ…”
“….เห็นว่าเป็นพลซุ่มยิงแค่คนเดียวก็เลยประมาทไปหน่อย แต่ดูเหมือนว่าจะใช้วิธีการรวบรวมวิซทั้งหมดเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อใช้มันเจาะทะลวงออร่าวิซของอีกฝ่ายสินะ เด็กๆ สมัยนี้นี่ลูกเล่นเยอะกันซะจริง…”
ไมเคิลที่ถอยหลบออกไปก่อนนั้นได้พูดถามฮอว์คเกี่ยวกับวิธีการโจมตีที่อีกฝ่ายใช้ขึ้นมาพลางก้มลงไปดูบาดแผลของตัวเองเล็กน้อย ซึ่งก็นับว่าเป็นความโชคดีของเขาที่การโจมตีด้วยปืนของฮอว์คก่อนหน้านี้เป็นการใช้กระสุนพลังงานวิซธาตุน้ำที่เป็นกระสุนพลังงานไม่ใช่กระสุนที่พึ่งพาหลักการทางกายภาพอย่างกระสุนวิซธาตุดินที่สามารถสร้างหัวกระสุนที่เป็นก้อนดินหรือก้อนหินแหลมคมขึ้นมาได้ ที่ถ้าพวกมันเจาะทะลวงออร่าวิซของเขามาได้แบบนี้ล่ะก็พวกมันก็คงจะฝังเข้าไปในร่างกายของเขาไม่ใช่แค่แตกกระจายหายไปเพราะหมดพลังเหมือนกับกระสุนประเภทพลังงานแบบนั้นแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านฮอว์คก็กลับไม่ได้เร่งรีบที่จะตามไปโจมตีเข้าใส่ไมเคิลในระยะประชิดต่อ เนื่องจากเขารู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้ต่อสู้ในระยะประชิดแบบนี้ได้เก่งกาจอีกทั้งยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาใช้วิซปริมาณมากในการโจมตีไปถึงสามครั้งในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้แล้วด้วย และเมื่อไมเคิลเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้บุกเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่สามารถสร้างรอยแผลให้กับเขาได้แบบนี้เขาก็สามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
“ใช้การโจมตีที่สามารถเจาะออร่าวิซของฉันไปได้ตั้งสามรอบติดต่อกันแบบนั้นก็น่าจะหมดแรงแล้วสินะพ่อหนุ่ม แน่ใจหรอว่ายังคิดจะขวางฉันเอาไว้แบบนี้น่ะ?”
“พูดมากน่าลุง! ถ้าเกิดหัวหน้าอย่างฉันยังหนีไปก่อนแล้วจะเอาหน้าที่ไหนกลับไปเจอลูกน้องที่ยังสู้อยู่ข้างล่างนี่กันล่ะหะ!!”
ฮอว์คตวาดใส่ไมเคิลก่อนที่ปลายแหลมของอาวุธในมือของเขาจะเรืองแสงส่องสว่างจ้าออกมาอีกครั้งบ่งบอกว่าต่อให้เขาจะใช้พลังไปมากจนไม่พร้อมเต็มร้อยแล้วก็ตาม แต่ว่าเขาก็ยังพร้อมที่จะขัดขวางไมเคิลเอาไว้หรืออย่างน้อยๆ ก็จะต้องถ่วงเวลาคู่ต่อสู้เขาเอาไว้จนกว่าหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์จะวิ่งตามไมเคิลมาถึง
ซึ่งท่าทางของฮอว์คที่ดูแล้วพร้อมจะเสี่ยงอันตรายเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับลูกน้องและเพื่อปกป้องเมืองแพนเทร่าเอาไว้นั้นก็ได้ทำให้แววตาของไมเคิลหลุบลงต่ำก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“ก็เพราะว่าพวกเด็กๆ อย่างพวกนายที่รับหน้าที่พวกนี้มารีบมารนหาที่ตายกันแบบนี้ พวกคนที่เหลือรอดไปจนถึงตำแหน่งสูงๆ ถึงได้เหลือแต่พวกเวรตะไลพวกนั้นยังไงล่ะ…!!”
ฟุ่บ—
ในทันทีที่ไมเคิลแค่นเสียงพูดออกมาจนจบเขาก็ออกตัวพุ่งตัวเข้าใส่ฮอว์คอีกครั้งในทันที และนั่นก็ทำให้ฮอว์คไม่รอช้าที่จะเหวี่ยงอาวุธของเขาอันเป็นคมมีดปลายแหลมที่ติดอยู่กับพานท้ายของปืนยาวสำหรับซุ่มยิงจนมีลักษณะคล้ายกับอุปกรณ์ขุดหินเข้าใส่ร่างของกบฏไมเคิลโดยเล็งไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
วื้อออออ—
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ตัวคมของอาวุธปลายแหลมมันถูกติดตั้งเอาไว้ที่บริเวณส่วนปลายของพานท้ายปืนนั้นเอง ไมเคิลที่สังเกตเห็นจุดอ่อนของอาวุธของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกก็ได้สะบัดท่อนแขนของเขาเข้าใส่ที่กลางตัวปืนยาวที่ถูกฮอว์คใช้ต่างด้ามจับเพื่อหยุดยั้งการเหวี่ยงอาวุธของฮอว์คเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
ปึ้ก—
“หึ…”
แต่ทว่าทางด้านฮอว์คที่ถูกไมเคิลสกัดการโจมตีเอาไว้ได้และกำลังจะถูกไมเคิลเหวี่ยงหมัดเข้าใส่นั้นก็กลับเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะกดไปที่ปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ด้ามจับปืนที่ตามปกติแล้วควรจะเป็นปุ่มสำหรับกดเพื่อถอดตลับกระสุนออกมา แต่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นกลับทำให้พลังวิซจำนวนมากที่ห่อหุ้มปลายแหลมของอาวุธในมือของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะปะทุพุ่งตรงออกไปเบื้องหน้าปลายแหลม หรือก็คือที่ขมับของไมเคิลที่มันจ่ออยู่นั่นเอง
วื้อออออ—ปั้ง!!
“—!?”
สวบ!!
ถึงแม้ว่าไมเคิลจะสังเกตเห็นความผิดปกติและพยายามที่จะเอี้ยวตัวหลบแล้วก็ตาม แต่ทว่าพลังงานวิซที่พวยพุ่งออกมาจากปลายแหลมของอาวุธของฮอว์คที่มีความเร็วและความรุนแรงไม่แพ้กระสุนวิซสีฟ้าของเขาก่อนหน้าที่ก็กลับพุ่งทะลุต้นคอของไมเคิลและฝังเข้าไปในร่างกายของชายวันกลางคนเข้าเต็มๆ
“หึ! ไงล่—”
ปึ๊ก!!
“อ๊อก—”
แต่ทว่าในขณะที่ฮอว์คกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ กำปั้นของไมเคิลที่ควรจะล้มลงไปหรืออาจจะถึงขั้นหมดสติไปจากอาการบาดเจ็บก็ได้พุ่งเข้าใส่ที่กลางลำตัวของเขาอย่างรุนแรงก่อนที่หมัดที่สองของไมเคิลจะพุ่งตามไปที่สีข้างของฮอว์คอย่างจังจนทำให้ร่างของฮอว์คปลิวกระเด็นร่วงหล่นลงมาจากหลังคาบ้านจนเกิดเสียงดังสนั่น
โคร๊ม!!
“โดนเข้าไปขนาดนี้แล้วก็ยังแทบไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นหรอ… ถึงจะยังมีความทรงจำกับร่างกายอยู่แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหุ่นเชิดแบบที่พวกคุณเอริกะเคยพูดเอาไว้เลยสินะ…”
ไมเคิลที่ต่อยฮอว์คจนปลิวกระเด็นตกจากหลังจากไปนั้นได้ยกมือขึ้นมาสัมผัสบาดแผลเหวอะหวะที่ต้นคอและเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยท่าทางที่ดูราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลที่เกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน หมอกสีขาวที่เคยเว้นระยะห่างออกจากร่างของไมเคิลก็ได้พากันพวยพุ่งกลับมาแทรกซึมเข้าไปตามบาดแผลของเขาอย่างรวดเร็วจนทำให้บาดแผลที่ดูน่ากลัวของไมเคิลค่อยๆ สมานกัน และนั่นก็ทำให้ไมเคิลที่เห็นแบบนั้นจำเป็นต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงกันขนาดนั้นก็ได้นาร์เซีย… ต่อให้ร่างกายนี้จะไปต่อไม่ไหวแล้วแต่ฉันก็จะเฝ้าดูอยู่ข้างเธอต่อไปอย่างที่เคยบอกนั่นแหล่ะ…”
เมื่อไมเคิลเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบ เขาก็ได้กระโดดลงจากหลังคาและเดินตรงเข้าไปหาฮอว์คที่นอนพิงซากบ้านหลังหนึ่งที่ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะพังทลายลงมา ซึ่งก็ไม่รู้จะนับว่าฮอว์คโชคดีแล้วหรือไม่ที่เขาไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะแบบเดียวกับพวกหน่วยทหารไรโน่หรือว่าหัวหน้าหน่วยอัศวินครักษ์ เพราะถึงแม้ว่าการโจมตีของไมเคิลจะไม่ได้ทำให้ชุดเกราะบิดงอผิดรูปจนต่อสู้ต่อไปไม่ไหว แต่ว่ามันก็ทำให้ร่างของเขากระแทกเข้ากับอาคารหินเบื้องหลังเต็มๆ จนหมดสภาพต่อสู้ไม่ต่างกันนัก
และเมื่อฮอว์คเห็นว่าไมเคิลที่ควรจะเสียชีวิตไปแล้วจากบาดแผลฉกรรจ์ที่เขาโจมตีไปเมื่อสักครู่ยังสามารถขยับตัวไหวอีกทั้งยังไร้ซึ่งบาดแผลอย่างที่ควรจะมี เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาเบาๆ
“โดนจิ้มเข้าไปเต็มๆ แต่ก็ยังรักษาได้เฉยๆ แบบนี้มันขี้โกงนี่หว่าลุง… นี่สรุปว่าลุงเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ยหะ…”
“…เอาเป็นว่าฉันก็เคยเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่ต่างจากพวกเธอก็แล้วกัน”
ไมเคิลที่ได้ยินคำถามของฮอว์คได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบชายหนุ่มกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วจึงหันไปมาเพื่อมองหาหน่วยสนับสนุนหรือลูกน้องของฮอว์คที่จนถึงป่านนี้ก็ควรจะโผล่ออกมาโจมตีใส่เขาได้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสักพักหนึ่งโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้ฮอว์คที่เหมือนจะคาดเดาได้ว่าไมเคิลกำลังมองหาอะไรอยู่ตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาให้เขาได้ฟัง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าลุง ในเมื่อลุงซัดเจ้าพวกไรโน่กับแร๊บบิตจนร่วงไปหมดแล้วแบบนั้นมันก็ไม่เหลือใครอยู่แถวนี้แล้วล่ะ”
“ถ้างั้นทำไมพลซุ่มยิงอย่างเธอถึงได้กล้าเข้ามาโจมตีใส่ฉันทั้งๆ ที่ไม่มีกำลังเสริมแบบนี้ล่ะพ่อหนุ่ม?”
“ก็ในฐานะเพื่อนแล้วจะให้ฉันนั่งดูหมอนั่นพลาดท่าไปเฉยๆ แบบนั้นมันก็คงจะไม่ได้หรอกจริงมั้ย… แต่ว่าลุงเดาผิดไปหน่อยนึงนะ ฉันน่ะไม่ใช่พลซุ่มยิงหรอก…”
แกร๊ก—
ฮอว์คที่เอ่ยปากพูดขึ้นมานั้นได้โยนปืนยาวสำหรับซุ่มยิงในมือของเขาทิ้งไปและควานหาหมวกปีกกว้างที่ตกอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาสวมใส่อีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะล้วงมือเข้าไปด้านในเสื้อโค้ตของตัวเองและหยิบเอาปืนพกสีแดงกระบอกหนึ่งออกมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปเผยรอยยิ้มให้กับไมเคิลพร้อมๆ กับที่เขาได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“แต่ว่าฉันคือผู้บัญชาการกองพันทหารปืนใหญ่ของเมืองแพนเทร่าต่างหากล่ะ!”
ฟ๊าวววววว—-ปุ้ง—ฟู่วววววว
ในทันทีที่สิ้นเสียงของฮอว์ค เขาก็ได้ชักปืนพกในมือและยิงมันขึ้นไปเหนือศีรษะของตนเองก่อให้เกิดกระสุนวิซสีฟ้านัดหนึ่งที่พุ่งขึ้นไปข้างบนก่อนที่มันจะระเบิดออกกลายเป็นลูกไฟสีฟ้าส่องสว่างที่ค่อยๆ ลอยตกลงมาอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับที่มีเสียงของปืนใหญ่จำนวนมากดังลั่นมาจากทางค่ายทหารที่กองทัพแพนเทร่าใช้เป็นที่ปักหลักจนทำให้ไมเคิลต้องหลุดพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
ปึ้งปึ้งปึ้งปึ้ง—!!
“สัญญาณยิงปืนใหญ่!? แต่แบบนั้นเธอเองก็จะตายไปด้วยไม่ใช่หรอพ่อหนุ่ม!?”
“ถ้าเกิดว่านั่นมันจะทำให้ฉันหยุดลุงเอาไว้ที่ตรงนี้ได้ล่ะก็ฉันก็ยินดี… เหมือนกับที่เจ้าบื้อตรงนั้นพูดเอาไว้ไง ที่ว่าหน้าที่เหนือชีวิตอะไรของมันนั่นน่ะ”
ฮอว์คพูดตอบไมเคิลกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าก่อนที่เขาจะหันไปชูนิ้วโป้งให้กับหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่กำลังรีบวิ่งตรงเข้ามาโดยที่เหนือหัวของเขาและไมเคิลเองก็กำลังมีกระสุนวิซขนาดใหญ่หลากหลายสีจากปืนใหญ่นับสิบกระบอกของหน่วยปืนใหญ่ทุกหน่วยที่ยังเหลืออยู่ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ฟ๊าวววว—
“ฮอว์ค!!”
เคร๊ง—
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ทางด้านนากาและด็อคที่กำลังต่อสู้กันอยู่กันก็ได้เกิดการปะทะดาบกันตรงๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจนเกิดเสียงของอาวุธที่กระทบกันดังลั่น และนั่นก็ทำให้ด็อคที่เห็นว่านากาสามารถรับดาบของเขาได้อีกครั้งหนึ่งแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดชมเด็กหนุ่มขึ้นมา
“ฝีมือก็ไม่เลวนี่นา… สำหรับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนลูกคุณหนูรีมินัสนั่นน่ะนะ!”
“นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรอไง ถ้าเกิดดูแลตัวเองได้แบบนี้ทำไมตอนนั้นถึงยังต้องให้ฉันเข้าไปช่วยอีกล่ะหะ!”
“หึ ก็ตอนนี้หลายๆ อย่างมันไม่เหมือนกับตอนนั้นแล้วนี่นะ!!”
เคร๊ง–!!
ด็อคยิ้มพูดตอบนากากลับไปพลางเหวี่ยงดาบเข้าใส่เด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาที่รับมือกับเรี่ยวแรงมหาศาลของด็อคในตอนนี้มาได้สักพักหนึ่งแล้วก็สามารถเริ่มที่จะจับทางได้ และใช้เรี่ยวแรงของด็อคในการช่วยดีดตัวเองให้ถอยออกไปโดยที่ไม่ยอมปะทะตรงๆ ให้มือชาเหมือนกับในครั้งแรกๆ
แต่ถึงแม้ว่าทางด้านนากาจะสามารถจับทางในการต่อสู้กับด็อคได้แล้ว ทางด้านโมโกะที่กำลังต่อสู้ หรือที่อันที่จริงแล้วควรจะเรียกว่ากำลังกระหน่ำยิงปืนกลเบาเข้าใส่ยุยอยู่ฝ่ายเดียวนั้นก็กลับไม่สนใจจะฟังสิ่งที่หญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงต้องการจะพูดบอกเธอเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าในเวลานี้สิ่งเดียวที่เธอต้องการก็คือการจัดการยุยที่เธอคิดว่าเป็นศัตรูให้จงได้
ปังปังปังปัง!!!
“หยุดได้แล้ว!! นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วหรอไงหะ!? ถ้ายังฝืนใช้วิซต่อไปล่ะก็ร่างกายของเธอจะพังเอานะ!!”
“คิดว่าฉันจะหยุดให้ตามที่เธอขอจริงๆ หรือไง!! เมื่อตอนที่หมู่บ้านโมริกะพวกเธอก็บอกให้หยุดเสร็จแล้วก็ยังยิงใส่พวกฉันอยู่ดีไม่ใช่หรอไง!! คิดว่าคราวนี้พวกฉันจะหลงกลอีกงั้นหรอ!!”
ถึงแม้ว่าโมโกะจะได้ยินยุยร้องสั่งให้เธอหยุดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วก็ตามแต่ทว่าเด็กสาวก็กลับไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหรือน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนของยุยเลยแม้แต่น้อยและตวาดขึ้นเสียงกลับไป
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ยุยที่เห็นแบบนั้นพอจะมองออกว่าในขณะนี้เด็กสาวหูแมวคนนี้กำลังเลือดขึ้นหน้าอยู่ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างจนไม่คิดจะฟังเหตุผลของเธอเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าในเวลานี้ขอแค่ให้เด็กสาวได้ใช้ความรุนแรงในการระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาก็เพียงพอแล้วโดยที่ไม่สนถึงผลกระทบที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้ยุยตัดสินใจที่จะตะโกนบอกด็อคที่กำลังรับมือนากาอยู่ขึ้นมา
เนื่องจากว่าในเวลานี้เธอสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของโมโกะนั้นเคยฝืนใช้วิซจนเกินขนาดมาหลายครั้งหลายคราแล้ว และในบัดนี้มันก็กำลังเสี่ยงที่จะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ
“ด็อค!! ด็อค!!! พวกเราต้องเปลี่ยนแผนกันก่อนแล้ว!!”
“หะ— พวกเรายังจะเปลี่ยนแผนอะไรกันได้อีกล่ะ!? ไม่ใช่ว่าคนที่ไปตกลงรับปากคุณแม่ชีเขาเอาไว้มันก็เธอเองหรอกหรอ!?”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว!! ตอนนี้พวกเราต้องรีบ—”
ฟ๊าวววววว—-ปุ้ง—ฟู่วววววว
แต่แล้วในขณะที่ทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสองคนกำลังตะโกนคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีพลุสัญญาณสีฟ้าถูกยิงขึ้นมาจากจุดหนึ่งของเมืองใต้ดินจนทำให้ทุกคนชะงักไปก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะรีบพุ่งเข้าไปยืนอยู่ข้างพวกพ้องของตนเองโดยมีเสียงนากาพูดถามโมโกะดังตามขึ้นมา
“พลุสัญญาณ? ของพวกเราหรือเปล่าน่ะโมโกะ”
“ฮ่า…ฮ่า…ม…ไม่รู้สิ…”
ปึ้งปึ้งปึ้งปึ้ง—!!
ในขณะที่โมโกะที่กำลังหอบหายใจกำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของปืนใหญ่จำนวนมากดังขึ้นมาจากฝั่งสนามรบของกองทหารแพนเทร่าก่อนที่จะมีลูกกระสุนวิซขนาดใหญ่ลอยข้ามซากอาคารต่างๆ ตรงไปยังจุดที่มีพลุสัญญาณลอยขึ้นมาและตกกระทบลงที่จุดนั้นอย่างแม่นยำจนก่อให้เกิดระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ตู้มตู้มตู้มตู้ม!!!
“เฮ้ย ยุย!! พลุสัญญาณเมื่อกี้นี้มันอะไร!? ไม่ใช่ว่าคนที่ชื่อว่าไมเคิลเขาบอกว่าจะไปจัดการปืนใหญ่พวกนั้นหรอกหรอ!?”
ซึ่งภาพของพลุสัญญาณและกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกระดมยิงเข้าใส่ตรงจุดนั้นก็ได้ทำให้ด็อคต้องพูดถามยุยขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านยุยที่สังเกตเห็นอาการอันน่าเป็นห่วงของโมโกะมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็กลับไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของสนามรบเลยแม้แต่น้อย
“ถามฉันแล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า!? ว่าแต่นี่ใกล้จะครบกำหนดเวลาที่พวกเราตกลงไว้กับคุณแม่ชีเขาแล้วหรือยัง!?”
“อย่างน้อยก็น่าจะอีกสักสิบนาทีได้ล่ะมั้ง… มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเบื่อที่จะเล่นกับเด็กคนนั้นแล้วน่ะ?”
“นี่นายเป็นหมอประจำกลุ่มประสาอะไรถึงไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องแบบนี้กันหะ!? ลองดูยัยเด็กหูแมวนั่นดูสิ!”
ยุยพูดตอบด็อคกลับไปด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนที่เธอจะโยนจี้คริสตัลวิซที่ใช้สำหรับตรวจจับวิซภายนอกไปให้เขา
ส่วนทางด้านนากาที่สังเกตเห็นเหมือนกันว่าในขณะนี้โมโกะกำลังหอบหายใจอย่างหนักและมีเหงื่อออกจนท่วมตัวก็ได้พูดถามเพื่อนของเขาขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“เธอไหวหรือเปล่าเนี่ยโมโกะ? ถ้ายังไงจะหลบไปพักก่อนมั้ย”
“แล้วจะปล่อยให้นายสู้อยู่คนเดียวเนี่ยนะ…!? รู้มั้ยว่าถ้านายโดนกระสุนวิซพวกนั้นเข้าไปมันจะ—!! เฮือก—แฮ่ก..แฮ่ก..”
ยังไม่ทันที่โมโกะจะได้ทันพูดจนจบอยู่ๆ เธอก็ได้สำลักราวกับว่าร่างกายของเธอได้หยุดหายใจอย่างกะทันหันจนทำให้เด็กสาวต้องรีบสูดอากาศเข้าไปและนั่นก็ทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นสามารถทราบได้ทันทีว่าโมโกะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยจากการออกแรงต่อสู้เฉยๆ แต่ว่าร่างกายของเธอที่แต่เดิมแล้วก็อ่อนแอจากการฝืนใช้วิซจนเกินตัวหลายต่อหลายครั้งได้มีอาการขาดแคลนพลังวิซกำเริบขึ้นมาต่างหาก
“เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว! พวกเราจะกลับขึ้นไปข้างบนแล้วให้เอริกะดูอาการของเธอกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“นายจะบ้าหรอไง…!? ถ้าพวกเรากลับไปตอนนี้แล้ว—”
วู่ม—
แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่โมโกะที่เหนื่อยอ่อนจะได้ทันพูดเถียงนากากลับไป อยู่ๆ ก็ได้มีคลื่นวิซสีเหลืองแผ่กระจายออกมาจากทางด้านยุยและด็อคก่อนที่ทางด้านชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีแดงจะรีบพุ่งตัวตรงเข้ามาทางพวกเธอด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมกับเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกมา
“นี่เธอน่ะ! หยุดใช้วิ—”
“หลบไปนากา!!”
โมโกะที่เห็นว่าอยู่ๆ ด็อคก็พุ่งกลับเข้ามาพร้อมกับดาบในมือนั้นได้รีบใช้แขนกลของยูนิตเชสเชียร์ผลักร่างของนากาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าออกไปและส่งวิซของเธอเข้าใส่ปืนกลเบาในแขนกลอีกข้างหนึ่งของยูนิตจนทำให้มันเรืองแสงสว่างจ้าออกมา
“เดี๋ยวก่อนสิ โมโกะ!”
วิ๊ง— แปร๊บ—-
“อึ๊ก—”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่เธอจะได้ลั่นกระสุนของปืนกลเบาออกไป อยู่ๆ โมโกะก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นออกมาจากด้านในหัวใจของเธอก่อนที่ภาพเบื้องหน้าของเธอจะดับมืดไปอย่างกะทันหันพร้อมๆ กับที่ร่างของเธอได้ทรุดลงไปกับพื้นราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดใย
และสิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็นก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะตกลงไปสู่ภายใต้ความมืดมิดก็คือ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีขาวและนัยน์ตาสีแดงดุจโลหิตในชุดเดรสสีดำที่กำลังยืนอยู่เคียงข้างนากาและกำลังจ้องมองเธออยู่อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจของโมโกะที่กำลังส่งเสียงออกมาระรัวราวกับว่ามันกำลังพยายามที่จะดิ้นรนพยุงชีวิตของเธอเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“นั่นใครน่ะ….”
ตึกตักตึกตักตึกตัก
“………….”