Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 215 : Farewell Gift
ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ไม่นานที่ผู้การหน่วยปืนใหญ่อย่างฮอว์คและหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์คนปัจจุบันได้ใช้เวลาพูดคุยกัน แต่ทว่าที่แนวหน้าของสนามรบอันเป็นจุดปะทะกันของหน่วยทหารไรโน่และหน่วยทหารแร๊บบิตกับไมเคิลที่เคยดุเดือดนั้นก็กลับเงียบเสียงลงไปมาก เมื่อในบัดนี้เหลือเพียงแค่นายทหารเพียงคนเดียวของหน่วยทหารไรโน่ที่ยังคงสามารถยืนหยัดปักหลักอยู่ต่อหน้าไมเคิลได้
ซึ่งเขาก็ได้เหลือบตามองซ้ายมองขวามองดูเหล่าพวกพ้องที่นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้นทั่วบริเวณเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตั้งโล่ขึ้นมาเพื่อให้มันฉายม่านพลังวิซสีแดงขึ้นมาอีกครั้งและพุ่งเข้าใส่ร่างของไมเคิลด้วยความรวดเร็วจนทำให้ไมเคิลต้องส่ายหน้าไปมา เพราะไม่ว่าจะเป็นนายทหารในหน่วยไรโน่คนไหนก็มักจะใช้วิธีพุ่งเข้าปะทะตรงๆ แบบนี้จนถูกเขาจัดการได้อย่างง่ายๆ ไปเสียทุกคน และในครั้งนี้ไมเคิลเองก็ไม่ลังเลที่จะตวัดดาบขนาดใหญ่ของเขาเข้าใส่อีกฝ่ายดั่งเช่นที่เขาทำกับหน่วยทหารไรโน่คนอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
ควับ—เป๊ง—!!
“หืม…”
แต่ทว่าในครั้งนายทหารจากหน่วยไรโน่คนสุดท้ายก็กลับไม่ได้ใช้โล่ขนาดใหญ่เข้าปะทะกับดาบหัวตัดของไมเคิลตรงๆ และเอียงโล่ของเขาทำมุมเล็กน้อยจนทำให้ดาบของไมเคิลไม่ได้ปะทะเข้ากับตัวโล่ตรงๆ และแฉลบออกไปทางด้านข้าง
เคร๊ง—!!
“—!?”
อีกทั้งนายทหารคนสุดท้ายจากหน่วยไรโน่ก็ยังยั้งโล่ของเขากลับไปก่อนจะออกแรงกระแทกเข้าใส่ดาบหัวตัดของไมเคิลที่เสียศูนย์จนทำให้ตัวดาบของชายวัยกลางคนสะบัดขึ้นไปทางด้านบนอย่างรุนแรง
“ไม่เลวนี่… แต่ตอนนี้กลับไปนอนพักก่อนเถอะ”
ฟู่ววววว—พรึบ—!!
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของไมเคิลนั้นเอง อุปกรณ์อะไรบางอย่างที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่บริเวณสันดาบของไมเคิลก็ได้เรืองแสงขึ้นก่อนที่มันจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากรูที่ดูคล้ายกับไอพ่นของยูนิตเชสเชียร์ที่ถูกติดตั้งไล่ไปตามบริเวณสันดาบ
ซึ่งถึงแม้ว่าเปลวไฟที่ถูกพ่นออกมาเป็นทางยาวจะไม่ได้ดูอันตรายเหมือนกับจะเอาไว้ใช้โจมตีเข้าใส่ร่างของทหารหน่วยไรโน่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าและกำลังจะเหวี่ยงดาบเข้าโจมตีใส่เขา แต่ทว่ามันก็กลับทำให้ดาบหัวตัดของไมเคิลพุ่งสะบัดไปทางด้านหลังด้วยความเร็วสูงก่อนที่มันจะหมุนตามวงแขนของเขาลงไปทางด้านล่างและวนกลับไปทางด้านหน้าจนกระแทกเข้าใส่โล่ของทหารหน่วยไรโน่คนสุดท้ายอย่างรุนแรง
ตึ้ง!
“อั๊ก—”
ฟ๊าววววว—โคร๊ม!!!
และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าหน่วยไรโน่มากสักเท่าไหร่นักเมื่อโล่ที่เขายกขึ้นมาป้องกันทางด้านหน้าได้แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและส่งร่างของเขาให้ปลิวกระเด็นออกไปทางด้านหลังจนทะลุซากตึกหลักหนึ่งจนหายไปจากสายตาโดยมีเสียงพูดบ่นของไมเคิลดังทิ้งท้ายเอาไว้ให้เขาได้ยิน
“เฮ้อ… เสียเวลาไปตั้งขนาดนี้เลยงั้นหรอเนี่ย… สงสัยจะแก่เกินไปแล้วจริงๆ สินะ”
ไมเคิลที่พูดบ่นขึ้นมานั้นได้กวาดตามองไปทั่วบริเวณที่ในขณะนี้เหลือหมอกควันเพียงแค่เบาบางเนื่องจากแรงลมที่เกิดจากการเหวี่ยงดาบของเขาในแต่ละครั้งได้พัดพาหมอกควันไปยังบริเวณอื่นเสียหมดเผยให้เห็นร่างของหน่วยทหารแร๊บบิตและหน่วยทหารไรโน่ที่นอนกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณอีกทั้งยังมีบ้านเรือนบางหลังที่พังถล่มลงมาโดยมีเสียงร้องของหน่วยทหารไรโน่ดังลอดออกมาจากภายในราวกับว่าพวกเขาถูกไมเคิลหวดจนปลิวไปกันคนละทิศละทางอย่างไรอย่างนั้น
และหลังจากที่ไมเคิลยืนยันได้แล้วว่าไม่เหลือหน่วยทหารไรโน่และหน่วยทหารแร๊บบิตคนไหนที่ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้แล้ว เขาก็ได้ยกดาบหัวตัดขนาดใหญ่ในมือขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเพื่อสำรวจดูด้วยมือข้างเดียวราวกับว่าดาบที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับร่างของเขาไม่มีน้ำหนักอะไรเลยแม้แต่น้อยแล้วจึงพูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นร่องรอยของกาลเวลาอย่างรอยขูดขีดหรือรอยบิ่นต่างๆ ที่มีอยู่เต็มตัวดาบ
“ว่าแต่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแกเองก็แก่ลงไปเยอะเหมือนกันนะ… แต่เอาเถอะ… ทนอยู่ด้วยกันอีกหน่อยก็ละกันนะ อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็จะได้พักผ่อนกันแล้วล่ะ”
ไมเคิลที่พูดพึมพำออกมานั้นได้จับมันสะพายพาดไปที่แผ่นหลังของเขาก่อนที่เขาจะเดินตรงไปตามหนึ่งในถนนเส้นหลักของเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปยังบริเวณค่ายทหารที่เหล่านายทหารจากเมืองแพนเทร่าใช้เป็นฐานหลักในปฏิบัติการจู่โจมเมืองใต้ดินแห่งนี้
“………..”
แต่ถึงอย่างนั้นฝีเท้าของชายวัยกลางคนก็กลับต้องหยุดชะงักลงไปในเวลาไม่นาน เมื่อที่กลางถนนห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้าได้มีร่างของอัศวินในชุดเกราะสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งยืนขวางเอาไว้ อีกทั้งในมือของอีกฝ่ายก็ยังถือดาบอัศวินที่บริเวณใบดาบถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคริสตัลวิซสีเหลืองใสบริสุทธิ์ที่กำลังส่องแสงสีเหลืองนวลตัดฝ่าม่านหมอกออกไปเป็นบริเวณกว้างอีกด้วย
ซึ่งด้วยภาพของอัศวินเบื้องหน้าที่ยืนขวางทางอยู่นั้นก็ได้ทำให้ไมเคิลต้องหยุดฝีเท้าลงก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ชุดเกราะแบบนั้น… หัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์คนปัจจุบันสินะ ใช้วิซสร้างคริสตัลธาตุดินที่บริสุทธิ์ได้ขนาดนั้นก็นับว่าไม่เลวเลย… ดูท่าทางว่าฟรีมอนด์จะสอนอะไรเอาไว้ให้เยอะเลยนะ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากท่านครับ ท่านไมเคิล”
“ ‘ท่านไมเคิล’ งั้นหรอ? เป็นถึงหัวหน้าอัศวินองครักษ์ที่ทำหน้าที่ปกป้ององค์ราชาทั้งทีก็อย่าไปเรียกใครคนอื่นนำหน้าว่า ‘ท่าน’ แบบนี้สิ”
“แต่จะให้ผมทำตัวเสียมารยาทกับหนึ่งในวีรบุรุษจากสงครามเทวทูตก็คงจะไม่ได้หรอกครับ”
ฟวับ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์เขาก็ได้สะบัดใบดาบเฉียงลงไปทางด้านข้างก่อนที่จะยกขึ้นมาตั้งท่าเอาไว้บ่งบอกว่าต่อให้จะดูเหมือนว่าเขาจะให้ความเคารพไมเคิล แต่ทว่าเขาก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายเดินผ่านไปง่ายๆ โดยไร้ซึ่งการขัดขวางอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้ไมเคิลที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมา
“ก่อนที่เราจะเริ่มกัน… การที่ตัวเธอที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ลงมายืนขวางฉันอยู่ข้างล่างนี่แทนที่จะไปยืนอยู่เคียงข้างองค์ราชาตามหน้าที่นี่มันเป็นเพราะคำสั่งของเขาหรือเปล่า?”
“…….ใช่ครับ การที่ผมลงมาที่นี่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะคำขอขององค์ราชา… แต่ว่าต่อให้องค์ราชาจะไม่ได้บัญญัติมา ผมก็คิดจะลงมารับมือท่านไมเคิลด้วยตัวเองอยู่แล้วล่ะครับ”
“ถ้าไนน์ฮาร์ทถึงขั้นส่งเธอที่ควรจะคอยคุ้มกันตัวเองอยู่ไม่ห่างตัวมารับมือฉันแบบนี้ก็แปลว่าแผนการอะไรก็ตามที่ทำให้เขาตัดสินใจส่งหน่วยพิเศษทั้งหมดของเมืองแพนเทร่าลงมาข้างล่างนี่คงจะสำคัญมากงั้นสินะ”
“ผมคงจะบอกได้แค่ว่าทั้งหมดนี่ก็เพื่ออนาคตที่เมืองแพนเทร่าจะต้องก้าวเดินต่อไปหลังจากนี้ครับ”
ตึ้ง!
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์นั้นเอง ไมเคิลก็ได้ปลดดาบหัวตัดของเขาออกจากแผ่นหลังและปักมันลงกับพื้นข้างกายจนเกิดเสียงดังสนั่น อีกทั้งมันยังทำให้ม่านหมอกรอบกายของพวกเขาถูกพัดจนฟุ้งกระจายออกไปเว้นที่ว่างเป็นทรงวงกลมเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งหมอกควันราวกับสนามประลอง ในขณะที่ทางด้านตัวของไมเคิลเองก็ได้ยกมือขึ้นมาจัดเนกไทของเขาให้เข้าที่อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ฉันรู้จักไนน์ฮาร์ทมาตั้งแต่เขายังเด็ก เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้ดีว่าเขาเป็นเด็กที่รอบคอบไม่หุนหันพลันแล่นเหมือนกับพ่อของเขาเพราะแบบนั้นแผนการทั้งหมดของพวกเธอก็คงจะถูกวางแผนมาอย่างดีแล้วแน่ๆ …”
เมื่อไมเคิลพูดมาถึงตรงนี้เขาก็ได้ลดมือที่กำลังจัดเนกไทลงแล้วจึงยื่นมือไปจับที่ด้ามดาบประจำตัวที่เขาปักมันลงกับพื้นก่อนที่เขาจะดึงมันขึ้นมาถือเอาไว้และเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“แต่ไม่ว่าต่อให้พวกเธอจะวางแผนมาดีขนาดไหนหรือต่อให้พวกเธอจะมีอนาคตของเมืองแพนเทร่าเป็นเดิมพันก็เถอะ แต่ว่าทั้งหมดนั่นมันก็จะไร้ความหมายถ้าเกิดว่าพวกเธอหยุดฉันเอาไว้ที่นี่ไม่ได้… เพราะว่าตัวฉันในตอนนี้เองก็คงจะยอมถอยให้พวกเธอไม่ได้เหมือนกัน”
“ทางผมและองค์ราชาเองก็หวังเอาไว้ว่าท่านจะพูดแบบนั้นนั่นล่ะครับ”
วิ๊ง–ฟุ๊บ—
ในทันทีที่หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ได้ยินคำพูดของไมเคิลเขาก็พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความยินดีก่อนที่เขาจะย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมๆ กับที่เกราะตรงส่วนขาของเขาได้เรืองแสงสีเหลืองออกมาก่อให้เกิดแท่งคริสตัลสีเหลืองนวลใสบริสุทธิ์ผุดขึ้นมาจากบริเวณพื้นของรองเท้าของเขาและผลักดันร่างในชุดเกราะของเขาให้พุ่งตรงเข้าใส่ไมเคิลด้วยความเร็วสูงพร้อมๆ กับที่เขาได้เหวี่ยงดาบอัศวินที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคริสตัลวิซสีเหลืองใสที่กำลังทอประกายเข้าใส่ร่างของไมเคิลจากทางด้านบน
เป้ง!!
แต่ถึงแม้ว่าหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์จะโจมตีเข้าใส่ไมเคิลด้วยความเร็วสูงมากแล้วก็ตาม แต่ทว่าทางด้านไมเคิลก็กลับสามารถยกดาบหัวตัดของเขาขึ้นมารับคมดาบของอีกฝ่ายได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยท่าทางสบายๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีเสียงอะไรบางอย่างปริแตกดังออกมาจากใบดาบของเขานั่นเอง
แกร๊ก…
“หืม…”
ปึ๊ก!
เสียงปริแตกที่ดังออกมาจากอาวุธประจำตัวนั้นได้ทำให้ไมเคิลต้องออกแรงเหวี่ยงมันเพื่อผลักร่างของหัวหน้าอัศวินองครักษ์ให้ปลิวกระเด็นออกไปและรีบมองสำรวจดูอาวุธในมือของตนในทันที
ซึ่งภาพของรอยบิ่นเล็กๆ บนใบดาบที่เกิดขึ้นตรงจุดที่ปะทะเข้ากับใบดาบที่ถูกห่อหุ้มด้วยคริสตัลวิซสีเหลืองของหัวหน้าอัศวินองครักษ์นั้นก็ได้ทำให้เขาต้องพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… ดูท่าทางว่าจะเก่าเกินไปแล้วจริงๆ นะแกน่ะ…”
“ดาบของผมถูกตีขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับวิซของผมโดยเฉพาะ แล้วนอกจากนั้นมันยังถูกออกแบบมาเป็นพิเศษด้วยวิทยาการล่าสุดของเมืองแพนเทร่าเพื่อรับมือกับเด็กสาวคนที่สังหารท่านฟรีมอนด์… เพราะแบบนั้นการที่ดาบของท่านที่เข้าข่ายว่าเป็นโบราณวัตถุไม่แตกสะบั้นไปก็นับว่าน่าตกใจแล้วล่ะครับ”
“หึหึ… ได้ยินเขาพูดแล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้ายังไงก็ต้องขอให้แกทนเอาไว้จนกว่าพวกเราจะผ่านไปได้ก็แล้วกันนะเจ้าเพื่อนยาก!”
ปึ้ง!! ครืดดดดดด—
ไมเคิลที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าอัศวินองครักษ์ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเหวี่ยงดาบของตนกระแทกลงกับพื้นถนนและออกตัวพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้โดยลากมันไปด้วยจนทำให้พื้นถนนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนอิฐถูกกรีดออกกระจุยกระจายเป็นทางยาวพร้อมๆ กับที่เขาได้ส่งวิซของตนแทรกไปตามพื้นถนนเบื้องหน้าจนก่อให้เกิดแสงสว่างสีเหลืองส่องลอดผ่านรอยต่อของพื้นอิฐขึ้นมาให้หัวหน้าอัศวินองครักษ์ได้เห็น
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไมเคิลก็กลับไม่สนใจท่าทางระแวดระวังของหัวหน้าอัศวินองครักษ์เลยแม้แต่น้อยเมื่อดาบที่เขาวิ่งลากไปด้วยได้หยุดชะงักลงอยู่กับที่บ่งบอกว่าการโจมตีของเขาได้ถูกเตรียมพร้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนั่นก็ทำให้ไมเคิลออกแรงเหวี่ยงดาบของตนที่ในบัดนี้กำลังพ่นเปลวไฟเป็นทางยาวออกมาจากบริเวณไอพ่นที่สันดาบไปทางด้านหน้าจนมันถูกกระชากออกมาจากพื้นถนนทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างจากร่างของหัวหน้าอัศวินองครักษ์หลายสิบเมตร
“ฮึ้บ—!!”
ฟู่วววว—
บรึ๊มมมมม!!
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือการที่พื้นถนนด้านหน้าของไมเคิลได้ถูกงัดจนพลิกขึ้นมาตามใบดาบของเขาและตั้งตระหง่านราวกับกำแพงขนาดยักษ์ที่หนานับเมตรก่อนที่มันจะค่อยๆ เอนล้มลงไปเข้าใส่ร่างของหัวหน้าอัศวินองครักษ์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งโดยที่พื้นดินทั้งด้านซ้ายและขวาของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์เองก็ได้ระเบิดออกดันตัวเองขึ้นมาเป็นกำแพงสูงใหญ่เพื่อป้องกันการหลบหนีอีกอีกด้วย
ครื่นนนนนนนนน—!!!
“………….”
แต่ถึงแม้ว่าทางด้านหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์จะเห็นว่าไมเคิลใช้วิธีการงัดพื้นถนนทั้งแผงของเมืองใต้ดินขึ้นมาโจมตีเข้าใส่เขาแบบนั้น สิ่งที่เขาทำก็มีเพียงแค่การย่อตัวลงเล็กน้อยราวกับกำลังเตรียมที่จะพุ่งตัวพร้อมๆ กับที่ตัวอักษรภาษาโบราณที่ถูกสลักเอาไว้ที่บริเวณขอบของชุดเกราะของเขาได้เรืองแสงสีเขียวสว่างออกมา
ซึ่งสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นก็ได้ทำให้มวลอากาศจำนวนหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปหมุนวนอยู่บริเวณรอบกายของเขาในขณะที่มือทั้งสองข้างของเขาก็ได้ยกดาบขึ้นมาถือเตรียมพร้อมเอาไว้
“ฟู่ว…”
ฟุ่บ—
และในทันทีที่หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์พ่นลมหายใจออกมานั้นเองมวลอากาศที่ไหลเวียนหมุนวนอยู่รอบกายของเขาก็ได้ปะทุออกส่งร่างกายของเขาให้พุ่งออกไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงจนดูเหมือนกับว่าอยู่ๆ ร่างของเขาก็เลือนหายไปทิ้งเอาไว้เพียงแค่เส้นแสงสีเหลืองจากใบดาบที่ถูกส่งพุ่งตรงไปเบื้องหน้า
ฉึบ—ฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะ—
“………”
และทันใดนั้นเองร่างของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ก็ได้ปรากฏอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงหินที่ถูกไมเคิลงัดขึ้นมาจากพื้นพร้อมๆ กับที่ตัวกำแพงหินได้ค่อยๆ ปรากฏรอยถูกเฉือนนับสิบก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ไหลแยกออกจากกันและพังถล่มลงไปกองอยู่กับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
ครึกครึกครึก…โคร๊ม!!
ซึ่งถึงแม้ว่าการใช้วิซในการรวบรวมสายลมหรือมวลอากาศเพื่อส่งให้ตัวเองพุ่งตรงไปเบื้องหน้าจะดูเหมือนกับว่ามันเป็นวิธีการใช้วิซขั้นพื้นฐานที่แม้แต่เหล่าเด็กนักเรียนธรรมดาๆ ที่มีวิซธาตุลมอย่างเซซิลหรือว่าไดเอน่าก็สามารถทำได้ก็ตามที แต่ว่าในทุกๆ ครั้งที่พวกเธอใช้งานมันก็มักจะเป็นการระเบิดมวลอากาศที่รวบรวมเอาไว้ออกจนก่อให้เกิดสายลมกรรโชกรุนแรงไปทุกทิศทางหรือไม่ก็เป็นการสร้างสายลมขึ้นมาเพื่อเสริมความเร็วในการเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงเสียมากกว่า
แต่ทว่าการใช้สายลมและมวลอากาศช่วยในการเคลื่อนที่ของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์นั้นกลับไม่ได้ก่อให้เกิดสายลมกรรโชกขึ้นมานอกจากในตอนที่เขารวบรวมมวลอากาศเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังมีความเร็วในการเคลื่อนที่มากกว่าที่เซซิลเคยใช้ให้นากาเห็นมากจนแทบจะมองตามไม่ทันอีกด้วย
แต่ถึงแม้ว่าหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์จะสามารถพุ่งฝ่าไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงหินได้ภายในเสี้ยวพริบตาแล้วก็ตาม เขาก็กลับไม่พบกับร่างของไมเคิลที่เมื่อสักครู่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย และกลับมีเสียงหวีดแหลมที่เขาไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านบนเหนือหัวของเขาแทน
วี๊—
“ทนหน่อยนะเจ้าเพื่อนยาก ฉันรู้ว่าแกควรจะได้พักตั้งนานแล้ว… แต่ว่าขอฉันยืมพลังของแกอีกแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นล่ะ…”
พรึบ—!! ฟ๊าววววว—
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของไมเคิลที่วิ่งไต่กำแพงหินขึ้นไปสูงเบื้องบนนั้นเอง ตัวอุปกรณ์ที่หน้าตาเหมือนกับไอพ่นของยูนิตเชสเชียร์ที่ติดอยู่กับสันดาบของไมเคิลที่กำลังพ่นละอองอะไรบางอย่างออกมาก็ได้พ่นเปลวไฟสีฟ้าพุ่งออกไปเป็นทางยาวราวกับว่ามันกำลังตอบรับคำขอของชายหนุ่มสูงวัย
อีกทั้งมันยังทำให้ร่างของไมเคิลที่กำลังค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นมากจนเห็นเพียงแค่เส้นแสงของไอพ่นที่พุ่งลงมาด้วยความเร็วราวกับดวงดาวที่ร่วงหล่น และนั่นก็ทำให้หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะเหวี่ยงดาบที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคริสตัลวิซสีเหลืองใสของตนเข้าปะทะกับคมดาบของอีกฝ่ายในทันทีเมื่อมันไม่มีแม้แต่เวลาจะให้เขาได้คิดที่จะขยับตัวหลบเสียด้วยซ้ำ
“โคเมทไดรฟ์!!!”
“—!?”
เคร๊ง—
ตู้ม!!!
ในทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนของไมเคิลนั้นเอง คมดาบของชายทั้งสองคนก็ได้ปะทะกันอย่างรุนแรงก่อให้เกิดแรงกระแทกจนเมืองใต้ดินถึงกับสั่นสะเทือนอีกทั้งมันยังทำให้พื้นดินรอบกายของอัศวินราชองครักษ์ระเบิดออกเป็นวงกว้างจนเศษอิฐปลิวกระเด็นออกไปกันคนละทิศคนละทาง
แกร๊ก—ครึก….ครึก—
ถึงแม้ว่าการโจมตีของไมเคิลจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้างเมื่อในบัดนี้ร่างของหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ได้ถูกแรงกดทับจากการโจมตีของเขาจนเริ่มที่จะถูกฝังจมลงไปในผืนดินถึงข้อเท้าแล้วก็ตาม แต่ทว่าใบดาบอัศวินที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยคริสตัลสีเหลืองใสก็กลับเริ่มที่จะเฉือนฝังลึกเข้าไปด้านในคมดาบหัวตัดของไมเคิลทีละน้อยจนทำให้ไมเคิลที่ดูเหมือนว่าจะมีความผูกพันกับอาวุธประจำตัวของตนมากเริ่มมีความคิดที่จะถอนดาบของเขากลับมา
ฟู่ว—!! แกร๊ก—-!!
“……!”
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ อุปกรณ์สำหรับพ่นเปลวไฟที่ถูกติดอยู่บนสันดาบของไมเคิลก็กลับปลดปล่อยเปลวไฟออกมารุนแรงกว่าเดิมจนทำให้ใบดาบคริสตัลของหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์เฉือนลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงครึ่งหนึ่งของใบดาบหัวตัดจนทำให้ไมเคิลต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“แบบนี้เองสินะ… เข้าใจแล้วล่ะ…”
ครึก!!
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดพึมพำของไมเคิลนั้นเอง เขาก็ได้ออกแรงกระแทกลงไปที่สุดปลายของด้ามดาบหัวตัดในมือของเขาส่งผลทั้งดาบหัวตัดของเขาและดาบคริสตัลของหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์สะบัดอย่างรุนแรง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นก็ทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่ถูกฝึกฝนให้รักษาอาวุธประจำกายเอาไว้อย่าให้หลุดมือต้องออกแรงกุมด้ามดาบประจำตัวเอาไว้แน่นเพื่อฝืนแรงของอีกฝ่าย
เปรี๊ยะ—เปรี๊ยะ—
แต่ทว่าสิ่งที่เขาทำลงไปตามความเคยชินนั้นก็กลับทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงกว่าที่คิดเมื่อบนใบดาบคริสตัลสีเหลืองใสบริสุทธิ์ที่ฝังลงไปอยู่ในใบดาบของไมเคิลได้เกิดรอยร้าวปรากฏขึ้นมาเป็นทางยาว
“…..!!”
เปรี๊ยะ—เปรี๊ยะ—
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไรเพื่อแก้สถานการณ์ไมเคิลก็ได้ผ่อนแรงที่กดเอาไว้ตรงสุดปลายของด้ามดาบจนทำให้น้ำหนักบริเวณปลายดาบของเขาที่มีเปลวไฟถูกพ่นออกมาอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันและเกิดแรงบิดบนใบดาบคริสตัลที่ฝังลึกเข้าไปในใบดาบหัวตัดจนทำให้รอยร้าวที่เกิดขึ้นแผ่กระจายออกเป็นทางยาวก่อนที่ทันใดนั้นเองไมเคิลจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
เปรี๊ยะ—
“ลาก่อนนะเจ้าเพื่อนยาก…”
“——!!”
ปึ๊ก—
ในทันทีที่ไมเคิลเอ่ยปากพูดจนจบนั้นเอง เขาก็ได้ใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าไปที่ส่วนปลายของด้ามดาบของตัวเองอีกครั้งหนึ่งจนทำให้ใบดาบคริสตัลของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ที่บิดงอจนแตกร้าวถูกบิดกลับมาอีกฝั่งหนึ่งอย่างรุนแรง และนั่นก็ทำให้ทั้งใบดาบหัวตัดของไมเคิลและใบดาบคริสตัลสีเหลืองใสของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที
เพล้ง!!
“ทีนี้ก็เหลือแค่พวกเราแล้วนะพ่อหนุ่ม!!”
“หะ—”
ยังไม่ทันที่หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์จะได้ทันหายตกใจจากการที่อาวุธของเขาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมโดยเฉพาะถูกทำลายทิ้งได้อย่างง่ายๆ นั้น ไมเคิลก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังก่อนที่เขาจะพุ่งกำปั้นเข้าใส่ที่ช่วงท้องของหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ในทันที
ฟุ๊บ—โคร๊ม!!!
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่หมัดของไมเคิลปะทะเข้ากับชุดเกราะสีฟ้าอ่อนที่ถูกสลักวงจรวิซเอาไว้นั้นก็คือการที่ร่างของหัวหน้าหน่วยอัศวินองครักษ์ได้ถูกแรงกระแทกจากหมัดของไมเคิลจนปลิวกระเด็นออกไปกระแทกเข้าใส่อาคารหลังหนึ่งจนพังถล่มลงมา
“แค่ก!! แค่ก!!”
หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่ถูกต่อยจนปลิวกระเด็นนั้นได้ไอสำลักออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มลงมองดูชุดเกราะตรงส่วนที่ปะทะเข้ากับหมัดของไมเคิลเข้าจังๆ และได้พบว่าในบัดนี้มันได้ยุบตัวลงไปเป็นรูปของรอยหมัดอย่างน่ากลัว
แต่ถึงอย่างนั้นหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ก็กลับไม่สนใจในความเสียหายของชุดเกราะของตัวเองและขยับร่างเขาลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพังก่อนจะเดินออกไปจากซากอาคารเพื่อเผชิญหน้ากับไมเคิลอีกครั้งหนึ่งจนทำให้ไมเคิลที่เห็นแบบนั้นต้องพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจเสียเอง
“ฮึ่ม… ต่อยเข้าไปเต็มแรงขนาดนั้นแล้วยังแค่ยุบลงไปเองงั้นหรอ ดูท่าว่าจะไม่ใช่แค่แผ่นเหล็กธรรมดาๆ งั้นสินะ”
“ครับ… ที่จริงแล้วระหว่างแผ่นเหล็กที่นำมาซ้อนกันมันจะแผ่นคริสตัลวิซซ้อนเอาไว้ตรงกลางอีกชั้นนึงเพื่อให้ผมใส่วิซธาตุดินลงไปในชุดเพื่อเพิ่มความแข็งของมันได้น่ะครับ… แต่ว่าสภาพเป็นแบบนี้มันก็คงจะใช้งานไม่ได้แล้วล่ะครับ…”
หัวหน้าอัศวินองครักษ์พูดตอบไมเคิลกลับไปตามตรงและทดลองส่งวิซของเขาเข้าใส่ตัวชุดเกราะจนวงจรวิซแบบโบราณที่ถูกสลักเอาไว้ตามตัวชุดเกราะเรืองแสงออกมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นแสงสว่างที่เรืองแสงออกมานั้นก็กลับกะพริบติดๆ ดับๆ ก่อนที่หัวหน้าอัศวินองครักษ์จะหยุดส่งวิซของเขาเข้าใส่มันเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถกระตุ้นให้มันทำงานได้แล้ว
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ไมเคิลตัดสินใจที่จะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา
“หรือก็คือว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากชุดเกราะเหล็กธรรมดาๆ แล้วงั้นสินะ… ถ้างั้นนายจะเอายังไงต่อล่ะ ชุดเกราะก็ใช้งานไม่ได้ อาวุธก็ไม่มีแล้วแบบนั้นน่ะ”
“ผมยินดีที่จะยอมสละชีวิตในหน้าที่ดีกว่าจะต้องกลับไปรายงานองค์ราชาว่าภารกิจล้มเหลวครับ…”
“ฮึ่ม…”
คำตอบของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ได้ทำให้ไมเคิลพ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทางเสียดายก่อนที่เขาจะยกหมัดทั้งสองข้างขึ้นมาตั้งท่า และนั่นก็ทำให้ทางด้านหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ยกหมัดของเขาขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ต่อสู้กับท่านครับ…”
“ทางฉันเองก็เหมือนกัน…”
ฟุ๊บ— ปั้ง!!
แต่ทว่าในจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังจะพุ่งเข้าไปแลกหมัดกันนั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงปืนดังลั่นขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีกระสุนวิซสีฟ้าของวิซธาตุน้ำนัดหนึ่งพุ่งตรงกระแทกเข้าใส่ศีรษะของไมเคิลอย่างแม่นยำ
ปึ๊ก!!
“—!?”
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้การต่อสู้ของไมเคิลและหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหยุดชะงักไป และเมื่อทั้งสองคนได้หันไปมองในทิศทางที่กระสุนวิซสีฟ้านัดนั้นถูกส่งมา พวกเขาก็ได้พบเข้ากับเงาของชายคนหนึ่งที่สวมหมวกปีกกว้างกำลังเล็งปืนยาวติดกล้องส่องทางไกลแบบเลนส์เดียวตรงมาทางพวกเขาจากหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไกลนับกิโลเมตร
ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่ช่องว่างเล็กๆ ในม่านหมอกที่เกิดขึ้นจากการที่กระสุนวิซสีฟ้านัดนั้นพุ่งแหวกอากาศมาก็ตาม แต่ทว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์สังเกตเห็นการแต่งตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่เขาคุ้นเคยดี
“ฮอว์คงั้นหรอ!?”