Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 214 : Battle Front
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 214 : Battle Front
ฟวับ—เป๊ง!! เคล็ง!!
เอี๊ยดดดดด—ปังปังปังปังปัง!!
เพียงแค่ไม่นานหลังจากที่คอนแนลออกวิ่งแยกจากกลุ่มตรงไปยังวังแห่งมาร์นาร์ฟนั้นเอง ทางด้านนากาและโมโกะก็เริ่มที่จะเข้าปะทะกับยุยและด็อคที่มีหน้าที่ต้องขัดขวางพวกเขาต่อในทันที
ซึ่งถึงแม้ว่าด็อคในเวลานี้จะมีเรี่ยวแรงมหาศาลดั่งเช่นเดียวกับเหล่าลูกน้องของซิสเตอร์โจน่าคนอื่นๆ แต่ทว่าทางด้านนากาก็ยังสามารถที่จะใช้ดาบเปื้อนเลือด เฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ ควบคู่กับถุงมือลาส เซอร์ไวเวอร์ของเขาในการเข้าโรมรันกับดาบคู่ของด็อคได้อย่างสูสี
และถึงแม้ว่าจะมีบางจังหวะที่นากาจำเป็นจะต้องปะทะอาวุธกับอีกฝ่ายตรงๆ จนต้องปลีกตัวถอยออกไปตั้งหลักให้มือหายชาก่อนก็ตาม ทางด้านด็อคก็กลับไม่ได้รีบรุดบุกเข้าไปโจมตีใส่เด็กหนุ่ม ราวกับว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกว่าเขากำลังทำหน้าที่ขับไล่ผู้บุกรุกอย่างพวกนากาอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นในขณะที่ทางด้านนากาและด็อคกำลังดูราวกับการจับคู่ฝึกซ้อมการต่อสู้อยู่นั้นเอง ทางด้านยุยที่จำเป็นต้องรับมือกับโมโกะที่ใช้ยูนิตสำหรับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงอย่างยูนิตเชสเชียร์กลับต้องร้องโวยวายออกมาด้วยความอารมณ์เสีย เมื่อเด็กสาวหูแมวไม่ยอมเข้ามาปะทะกับเธอตรงๆ เลยแม้แต่น้อยและทำเพียงแค่พุ่งตัวไปมาเพื่อสาดกระสุนใส่หญิงสาวจากมุมต่างๆ กันอย่างต่อเนื่องเพียงเท่านั้น
“ยัยแมวนี่!! รู้ว่าไม่ได้ผลก็ยังจะยิงมาอยู่ได้—!!”
วู่มมม— ปึกปึกปึก
กระสุนวิซทั้งสองสีที่ถูกโมโกะกระหน่ำยิงออกมาอีกครั้งนั้นได้ถูกยุยที่ยกปืนพกในมือขึ้นมาเบื้องหน้าและอัดวิซของเธอเข้าใส่จนวงจรวิซที่ถูกสลักเอาไว้ตามตัวปืนเรืองแสงออกมาเพื่อสร้างม่านพลังที่ดูคล้ายกับโล่วิซที่เอริกะเคยสร้างขึ้นมาให้เหล่าเด็กนักเรียนกลุ่มดอว์นใช้งานสกัดกั้นเอาไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านยุยก็กลับไม่ได้ส่งกระสุนจากปืนพกของเธอสวนกลับไป เมื่อร่างของเด็กสาวหูแมวในยูนิตเชสเชียร์ได้หายไปจากสายตาของเธออีกครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งการกระทำของโมโกะที่เอาแต่หลบฉากและยิงกระสุนใส่จากระยะไกลแต่อย่างเดียวนั้นก็ได้ทำให้ยุยต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เพราะถ้าเกิดว่าเด็กสาวใช้แขนกลอันใหญ่ของยูนิตควบคู่กับปืนกลเบาทั้งสองกระบอกในการรุกไล่เธอในระยะประชิดล่ะก็เธอก็คงจะรับมือได้ลำบากกว่าการที่แค่ต้องมาคอยสร้างโล่วิซขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองเป็นพักๆ แบบนี้แน่ๆ
“ทำไมยัยเด็กนั่นถึงเอาแต่ยิงอยู่อย่างเดียวทั้งๆ ที่เห็นว่ามันไม่ได้ผลกันล่ะ…”
ปังปังปังปัง!!
“แปลก… ดูแล้วเหมือนไม่ใช่ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ด้วยสิ… เอาเถอะ… รีบๆ จัดการให้หมดสภาพก่อนก็แล้วกัน”
กระสุนวิซอีกชุดที่ถูกโมโกะส่งตรงมาทางเธออีกครั้งหนึ่งนั้นได้ทำให้ยุยต้องขมวดคิ้วก่อนที่หญิงสาวจะหยิบเอาจี้คริสตัลวิซสีเหลืองออกมาและปล่อยพลังวิซของเธอเข้าใส่มันจนทำให้มันปลดปล่อยคลื่นแสงสีเหลืองที่ใช้ในการตรวจจับออกมาอีกครั้งหนึ่ง
วู่ม—
“ตรงนั้นสินะ—! ด—เดี๋ยวสิ!? นี่เธอ—”
ในขณะที่ยุยกำลังจะสะบัดปืนพกในมือไปยังจุดที่โมโกะแอบซ่อนตัวอยู่เพื่อยิงกระสุนกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ หญิงสาวก็ชะงักไปด้วยสีหน้าแปลกใจก่อนที่เธอจะร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นี่เธออยากตายหรือไงถึงได้ออกมาสู้ในสภาพแบบนั้นน่ะ!? รีบๆ กลับขึ้นไปข้างบนแล้วไปที่โรงพยาบาลได้แล้ว!!”
“แฮ่ก…แฮ่ก… ล…แล้วจะปล่อยให้เธอวิ่งไปรุมนากาเขาน่ะนะ… ฝันไปเถอะ!!”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะยัยแมวผี นี่ไม่ใช่เวลาจะมา–!!”
ปังปังปังปัง—
“โอ๊ย–!!”
ฝนกระสุนจากปืนกลของยูนิตเชสเชียร์ที่ถูกลั่นไกกลับออกมาแทนคำตอบของโมโกะนั้นได้ทำให้ยุยที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบกลิ้งตัวหลบออกจากจุดเดิมในทันที แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็เลยทำให้ร่างกายของเธอปะทะเข้ากับกระสุนวิซสีแดงและสีเหลืองจำนวนหนึ่งทิ้งรอยสีแดงเหมือนกับแผลไฟลวกและรอยช้ำจากการถูกกระแทกเอาไว้ตามเนื้อตัวของยุยอยู่บ้าง
แต่ถึงแม้ว่ายุยจะพลาดท่าได้รับบาดเจ็บจากกระสุนวิซของโมโกะ หญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีแดงก็กลับไม่ได้มีท่าทางว่าจะโกรธเคืองโมโกะเลยแม้แต่น้อยและรีบพุ่งตัวไปหลบอยู่หลังเสาหินต้นหนึ่งและร้องบอกโมโกะขึ้นมาอีกครั้ง
“พอได้แล้ว!! ถ้าเกิดว่าเธอยังใช้วิซมากไปกว่านี้อีกเดี๋ยวจะพิการเอานะ!!”
“ไม่มีวันหรอกน่า!!”
ปังปังปังปังปังปังปังปังปังปังปังปัง!!
“ว๊าย—!?”
คำพูดของยุยในคราวนี้ได้รับคำตอบกลับเป็นห่าฝนกระสุนสีแดงและสีเหลืองจำนวนมากที่ถูกกระหน่ำยิงเข้าใส่จนเสาหินที่ยุยใช้เป็นที่กำบังค่อยๆ กระเทาะแตกออกทีละน้อยจนทำให้ยุยต้องรีบหลบกลับไปด้านหลังเสาหินด้วยความตกใจโดยมีเสียงร้องที่ฟังดูสิ้นหวังและโกรธแค้นของโมโกะดังแว่วๆ แทรกผ่านเสียงฝนกระสุนที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาให้เธอได้ยินเบาๆ
“ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ … เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว…!!
“หน่วยปืนใหญ่ที่สองยิงได้!”
“ยิงได้!!!”
ตึ๊มตึ๊มตึ๊มตึ๊ม— ฟําววววววว–
ในขณะเดียวกันกับที่พวกนากากำลังประมือกับกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอยู่นั้น ทางด้านกองทัพของแพนเทร่าก็ได้มีการออกคำสั่งให้ยิงปืนใหญ่วิซเข้าใส่กองทหารในชุดเกราะเก่าๆ ขึ้นสนิมที่กำลังปะทะอาวุธอยู่กับกองทหารในชุดเกราะที่ดูใหม่กว่าที่มีตราสัญลักษณ์รูปกระต่ายติดอยู่บนหัวไหล่ด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งในทันทีที่มีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมาจากฐานที่มั่นของกองทัพแพนเทร่านั้นเอง เหล่าทหารที่มีตราสัญลักษณ์รูปกระต่ายต่างก็พากันผละตัวออกจากคู่ต่อสู้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่และถอยร่นออกมาอย่างเป็นระเบียบส่งผลให้บริเวณจุดที่เคยเป็นสนามรบดุเดือดเหลือเพียงเหล่ากองทหารในชุดเกราะโทรมๆ ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ก่อนที่ทันใดนั้นเองกระสุนวิซขนาดใหญ่จากปืนใหญ่ของหน่วยปืนใหญ่จะพุ่งกระจัดกระจายลงไปที่ใจกลางสนามรบและก่อให้เกิดระเบิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนกองทหารในชุดเกราะขึ้นสนิมปลิวกระเด็นไปกันคนละทิศละทาง
ตู้มตู้มตู้มตู้ม!!!
“………..”
แต่ถึงแม้ว่าจะเกิดระเบิดที่ดูรุนแรงถึงขั้นทำให้ร่างของทหารในชุดเกราะขึ้นสนิมบางร่างฉีกกระจายออกจากกันก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากการระเบิดก็มีเพียงแค่เสียงของเศษชุดเกราะและร่างที่ร่วงหล่นลงมากระทบพื้นเท่านั้น หาได้มีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดหรือว่าเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวดังมาให้นายทหารชาวแพนเทร่าในชุดเกราะหนักที่ยืนตั้งแถวกันอยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้ยินเลยแม้แต่น้อย
และนั่นก็ทำให้นายทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกองทหารที่มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปหัวแรดยกดาบของเขาขึ้นมากระแทกกับโล่ของตนจนเกิดเสียงดังลั่นก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดกับเหล่านายทหารของกองทัพแพนเทร่าขึ้นมา
“จำสัญลักษณ์ของทุกหน่วยที่ลงมาปฏิบัติการครั้งนี้ให้ขึ้นใจ! ถ้าเห็นใครติดตราของหน่วยที่ถูกยุบไปแล้วหรือพูดถามอะไรไปแล้วไม่ตอบกลับมาก็ให้โจมตีได้ทันทีเข้าใจมั้ย!!”
“ครับ!!”
“ถ้างั้นจะปล่อยให้พวกแร๊บบิตรอกันอยู่ทำไม! เข้าไปลุยกันเลย!!”
ในทันทีที่สิ้นเสียงของนายทหารหัวหน้ากองที่มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปแรด เหล่าทหารในหน่วยของเขาที่ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารในชุดเกราะหนักก็ได้ตั้งโล่ของพวกเขาขึ้นมาและส่งพลังวิซของพวกเขาเข้าใส่มัน และนั่นก็ทำให้ที่ด้านหน้าโล่ของพวกเขาเกิดม่านพลังวิซหลากหลายสีปรากฏขึ้นมาก่อนที่พวกเขาจะวิ่งตะลุยออกไปจากค่ายพักไปตามถนนเส้นหลักของเมืองใต้ดินตรงๆ โดยทิ้งหัวหน้าหน่วยปืนใหญ่ที่ต้องประจำอยู่ที่ค่ายพักทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่กับทหารหน่วยปืนใหญ่ของเขา
“เจ้าพวกหน่วยไรโน่นี่มันเคยมีคำว่าแผนการอยู่ในหัวบ้างมั้ยเนี่ย ตัวก็หนักแต่ดันวิ่งไปโต้งๆ แบบนั้นพวกฉันยิงสนับสนุนให้แบบหน่วยแร๊บบิตไม่ได้นะโว้ย…! พลปืนใหญ่ที่หนึ่งถึงสี่! หันปืนเบี่ยงออกจากถนนเส้นหลัก! ตรงนั้นมีเจ้าพวกบ้าวิ่งไปจองที่เอาไว้แล้ว!”
“รับทราบครับ!”
พลปืนใหญ่ที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยของพวกเขานั้นได้ขยับปืนใหญ่ให้หันไปทางอื่นตามคำสั่งที่พวกเขาได้รับแต่โดยดีในขณะที่ทางด้านหัวหน้าหน่วยปืนใหญ่เองก็ได้พูดบ่นออกมาเบาๆ
“ให้ตายสิไอ้เจ้าเวอร์มอนด์… ให้ฉันลงมาทำภารกิจที่เมืองใต้ดินนี่ยังพอว่าแต่ทำไมต้องสั่งให้ฉันคอยดูแลไอ้พวกหน่วยพิเศษพวกนี้ด้วยเนี่ย! ก็น่าจะรู้อยู่นะว่าไอ้เจ้าพวกบ้านั่นมันยอมฟังคำสั่งของฉันซะที่ไหนกันน่ะ!”
ครื่ดดดดดด
“ผู้การฮอว์ค! หน่วยปืนใหญ่ที่เก้ามาถึงแล้ว!!”
ในขณะที่หัวหน้าหน่วยปืนใหญ่ที่มีชื่อว่า ฮอว์ค กำลังพูดบ่นกับตัวเองออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เพดานส่วนหนึ่งของเมืองใต้ดินก็ได้ค่อยๆ เลื่อนลงมาปรากฏร่างของหนึ่งในหน่วยอัศวินราชองครักษ์ในชุดเกราะสีน้ำเงินอ่อนที่ดูหรูหรากว่าหน่วยอัศวินราชองครักษ์คนอื่นๆ อยู่บ้างยืนอยู่เบื้องหน้านายทหารอีกกว่ายี่สิบคนและปืนใหญ่วิซอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งฮอว์คก็ได้ผงกหัวให้อัศวินราชองครักษ์เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดสั่งงานหน่วยปืนใหญ่ที่เก้าที่เพิ่งลงมาถึงขึ้นมา
“หน้าที่ของพวกนายคือตามไปสนับสนุนหน่วยไรโน่ที่เพิ่งจะวิ่งตะลุยถนนเส้นหลักไป แล้วถ้ามีโอกาสก็ยิงถล่มปราสาทกับยอดหอคอยที่มีปืนใหญ่วิซของศัตรูติดตั้งอยู่ให้พังลงมาซะ ไปได้!”
“รับทราบครับ!!”
เหล่าทหารในหน่วยปืนใหญ่ที่เก้าพูดตอบรับคำสั่งของฮอว์คกลับมาก่อนที่พวกเขาจะช่วยกันเข็นปืนใหญ่ประจำหน่วยตามหลังกองทหารไรโน่ไป ในขณะที่ทางด้านฮอว์คที่พูดสั่งงานลูกน้องของเขาเสร็จแล้วก็ได้เหล่ตามองไปที่อัศวินราชองครักษ์เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาลอยๆ
“เฮ้อ… แต่ว่าเล่นให้ผู้บัญชาการหน่วยปืนใหญ่อย่างฉันมาเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการโจมตีเมืองใต้ดินแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าพวกคุณๆ ท่านๆ ทั้งหลายเขาหมดทางเลือกแล้วจริงๆ น่ะคุณหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์?”
“…ก็แค่ว่าคนอื่นเขาเหมาะกับหน้าที่อพยพชาวเมืองกันมากกว่านายเท่านั้นนั่นล่ะ”
อัศวินราชองครักษในชุดเกราะสีฟ้าอ่อน หรือก็คือหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์คนปัจจุบันได้พูดตอบฮอว์คกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และนั่นก็ทำให้ฮอว์คหยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาต่อ
“ก็นั่นสินะ เพราะยังไงส่วนมากหน้าที่ของหน่วยปืนใหญ่ของฉันก็คือถล่มให้แหลกอยู่แล้วนี่… ว่าแต่องค์ราชาวางแผนอะไรเอาไว้หรือเปล่าน่ะ ถึงได้ยอมอนุมัติให้ไอ้เจ้าเวอร์มอนด์มีสิทธิในการสั่งการหน่วยพิเศษของทั้งเมืองได้แบบนี้น่ะ?”
“…….”
คำถามของฮอว์คที่พูดถามหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ขึ้นมานั้นได้ทำให้ร่างในชุดเกราะสีฟ้าอ่อนนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะปลดปล่อยบรรยากาศตึงเครียดแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เรื่องนั้นน่ะ… มันไม่สำคัญหรอก”
“เฮ้อ….. ให้ตายเถอะ”
ฮอว์คที่เห็นว่าหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์จงใจปลดปล่อยบรรยากาศตึงเครียดและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนว่าจะจงใจดัดให้จริงจังมากกว่าปกตินั้นได้พ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย เพราะว่าสำหรับเขาที่รู้จักกับอีกฝ่ายมานานแล้วนั้นรู้ดีว่าเวลาที่อีกฝ่ายทำท่าทางแบบนี้มันมักจะแปลว่ามันเป็นเรื่องน่าหนักใจที่อีกฝ่ายพูดบอกอะไรคนอื่นไม่ได้นั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เขารู้จักอีกฝ่ายดีนั้นเอง มันก็เลยทำให้เขาสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายแค่พยายามที่จะพูดตัดบทโดยที่ไม่ได้พูดปฏิเสธกลับมา และนั่นก็คงจะหมายความว่าสิ่งที่เขาพูดถามไปเมื่อสักครู่คงจะเป็นความจริงไม่มากก็น้อย
“เอาเถอะ ไม่ว่าองค์ราชาจะเตรียมแผนอะไรเอาไว้เอาเป็นว่าฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนทุกครั้งก็แล้วกัน”
“………”
บรึ๊ม—
ในขณะที่ฮอว์คและอัศวินราชองครักษ์กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงระเบิดจากกระสุนวิซของปืนใหญ่ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของพวกเขาไปทางใจกลางถนนเส้นหลักของเมืองอันเป็นจุดที่หน่วยทหารไรโน่คิดจะบุกตะลุยฝ่าเข้าไปให้ถึงตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ที่สุดทาง
และนั่นก็ทำให้ฮอว์คได้เห็นภาพผลลัพธ์ของการยิงปืนใหญ่ของพวกเขากับตาเป็นครั้งแรก ว่ามันแทบจะทำอะไรเหล่าทหารของฝ่ายศัตรูที่สวมใส่ชุดเกราะเก่าๆ โทรมๆ ขึ้นสนิมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าในเวลานี้กองทหารในชุดเกราะขึ้นสนิมที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งโดนปืนใหญ่วิซยิงเข้าใส่ที่ใจกลางกลุ่มเต็มๆ ได้พากันผุดลุกกลับขึ้นมาและเดินกลับไปตั้งแถวกันใหม่อีกครั้งหนึ่งเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจากแรงระเบิดเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงแค่ทหารคนสองคนที่ถูกกระสุนวิซตกกระทบเข้าใส่จังๆ จนต้องใช้เวลามากกว่าเพื่อนในการลุกกลับขึ้นมายืนเพียงเท่านั้น และนั่นก็ทำให้ฮอว์คต้องหลุดปากพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“เจ้าพวกนั้นมันลุกกลับขึ้นมาได้ยังไง!? ไหนเจ้าเวอร์มอนด์บอกว่าเจ้าพวกนั้นต้องใช้เวลาสักพักนึงในการฟื้นตัวไม่ใช่หรือไง!?”
“น่าจะเป็นเพราะว่าหมอกข้างล่างนี่มันทึบกว่าข้างบนเมืองนั่นล่ะ… เพราะจากรายงานของอัลเปียเธอบอกว่าก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาก็มีหมอกพุ่งไปรวมตัวที่ร่างของพวกเขากันก่อนด้วย”
“เข้าใจล่ะ… คนส่งสาร!”
ฮอว์คที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ได้พยักหน้ากลับไปให้เขาเล็กน้อยและร้องเรียกนายทหารที่ทำหน้าที่ส่งข่าวมาในทันที และนั่นก็ทำให้หนึ่งในนายทหารที่สวมใส่เพียงแค่ชุดผ้าสีน้ำเงินกับเกราะตรงส่วนขาที่นั่งพักอยู่ห่างออกไปไม่ไกลรีบเดินตรงมาทางพวกเขาด้วยความรวดเร็ว
“ไปบอกให้หน่วยปืนใหญ่ทุกหน่วยเปลี่ยนไปใช้การโจมตีแบบเน้นการทะลุทะลวงแทนการโจมตีด้วยแรงระเบิดซะ แล้วก็บอกให้พวกเขาจำกัดปริมาณการใช้วิซเผื่อเอาไว้ในศึกยืดเยื้อด้วย”
“รับทราบครั—”
“เดี๋ยว— นายรีบวิ่งไปเอากล้องส่องทางไกลมาให้ฉันก่อนเร็ว!”
“รับทราบครับ!!”
ถึงแม้ว่าอยู่ๆ ฮอว์คจะพูดเปลี่ยนคำสั่งของเขากลางคันก็ตาม แต่ว่านายทหารที่ทำหน้าที่เป็นคนส่งสารก็กลับไม่พูดถามอะไรกลับมาให้เป็นการเสียเวลาและรีบวิ่งไปหยิบเอากล้องส่องทางไกลที่ฮอว์ควางทิ้งเอาไว้ตรงเต็นท์ที่พักที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาให้เขาตามคำสั่งใหม่ในทันที
ซึ่งทางด้านฮอว์คที่ได้รับกล้องส่องทางไกลไปนั้นก็ได้รีบใช้มันส่องตรงไปยังบริเวณปราสาทที่ตั้งอยู่ห่างออกไป และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็นภาพของปืนใหญ่ทรงโบราณจำนวนมากที่กำลังถูกขนออกมาตั้งเรียงกันอยู่เต็มกำแพงปราสาท อีกทั้งปืนใหญ่จำนวนหนึ่งที่ถูกติดตั้งเสร็จแล้วก็กำลังเรืองแสงออกมาเป็นลวดลายวงจรวิซอีกด้วยบ่งบอกว่าพวกมันคืออาวุธอันตรายที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณไม่ผิดแน่
“นั่นมัน… ปืนใหญ่สลักลายที่ถูกพูดถึงในตำนานสงครามเทวทูต… เรื่องนี้ไม่มีอยู่ในรายงานของเจ้าเวอร์มอนด์ไม่ใช่หรอไง!?”
วิ้ง—ปึ้งปึ้งปึ้งปึ้ง!!
ตู้มตู้มตู้มตู้ม!!!
ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของฮอว์คดีปืนใหญ่ที่ถูกเข็นออกมาติดตั้งเอาไว้บนกำแพงวังแห่งมาร์นาร์ฟก็ได้ยิงกระสุนวิซหลากหลายสีออกมาพุ่งตรงเข้าใส่ที่ใจกลางสนามรบอย่างถี่ยิบ
ซึ่งถึงแม้ว่ากระสุนวิซจำนวนมากเหล่านั้นจะไม่สามารถทำอะไรหน่วยไรโน่ในชุดเกราะหนักอึ้งอีกทั้งยังมีโล่ที่สามารถฉายม่านวิซออกมาได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ากับหน่วยปืนใหญ่ที่เก้าที่เพิ่งจะถูกส่งให้ตามไปสนับสนุนการบุกของหน่วยไรโน่ก็กลับไม่ได้โชคดีขนาดนั้น เมื่อกระสุนวิซจำนวนมากได้พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของพวกเขาที่สวมใส่เพียงแค่ชุดเกราะเบาสำหรับทหารช่างและบดขยี้ร่างของพวกเขารวมถึงปืนใหญ่ประจำหน่วยจนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
“นี่พวกมันจงใจส่งทหารเท้าออกมาล่อให้เกิดการปะทะเพื่อที่ฉันจะได้ส่งหน่วยปืนใหญ่ออกไปสนับสนุนที่แนวหน้าจนเข้าระยะยิงของพวกมันงั้นเรอะ!!”
“นั่นคงจะเป็นสาเหตุที่พวกนั้นซ่อนปืนใหญ่ของตัวเองเอาไว้จนถึงตอนนี้นั่นล่ะ…”
“……….”
ฮอว์คที่ได้ยินคำพูดของหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ได้ถูนิ้วของเขาไปมาเพื่อใช้ความคิดอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะหันไปหานายทหารที่ทำหน้าที่ส่งสารและพูดสั่งงานเขาขึ้นมา
“ม้าเร็ว! ไปแจ้งหน่วยปืนใหญ่ที่ห้าถึงแปดให้หาที่กำบังและเฝ้ารอคำสั่งเดี๋ยวนี้!”
“ครับ!!”
ซู่ม!!
ในทันทีที่นายทหารผู้ส่งข่าวพูดตอบรับคำสั่งนั้นเอง ชุดเกราะส่วนขาของเขาก็ได้เรืองแสงสีเขียวออกมาเล็กน้อยก่อนที่ร่างของเขาจะออกพุ่งตัวอย่างรวดเร็วหายไปตามซากอาคารรอบๆ
ส่วนทางด้านฮอว์คที่จัดการส่งมอบคำสั่งเรียบร้อยแล้วก็ได้หันกลับไปมองทางด้านสนามรบหลักที่มีกองทหารไรโน่กำลังยืนปักหลักป้องกันตัวเองจากปืนใหญ่ของศัตรูอยู่เบื้องหน้าซากปืนใหญ่และเหล่าทหารของหน่วยปืนใหญ่ที่นอนบาดเจ็บกันอยู่ก่อนที่เขาจะพูดพึมพำออกมา
“ถ้าเกิดว่าส่งหน่วยแพทย์เข้าไปตอนนี้เลยมีหวังไม่มีใครได้รอดกลับมาแน่… ถ้างั้นก็คงจะต้องจัดการปืนใหญ่พวกนั้นให้ได้ก่อน…”
“ไม่จำเป็นหรอกผู้การฮอว์ค ส่งหน่วยแพทย์เข้าไปตอนนี้ได้เลย”
“หา?”
คำพูดที่อยู่ดีๆ หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมานั้นได้ทำให้ฮอว์คต้องชะงักไปด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเสียงดังโดยไม่เกรงกลัวยศของอีกฝ่ายที่สูงกว่าเขามากเลยแม้แต่น้อย
“นี่นายสูดหมอกพวกนี้จนเป็นบ้าไปแล้วเรอะ!? ส่งหน่วยแพทย์เข้าไปตอนนี้ก็มีแต่จะส่งพวกเขาไปตายกันเพิ่มเท่านั้นไม่ใช่หรอไง!?”
“ไม่หรอก ถ้าเกิดว่าหัวหน้าของฝ่ายศัตรูคือเขาคนนั้นจริงๆ น่ะ”
หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์พูดตอบฮอว์คกลับไปสั้นๆ และชี้ตรงไปยังด้านข้างกำแพงของวังแห่งมาร์นาร์ฟจนทำให้ฮอว์คต้องรีบส่องกล้องส่องทางไกลของตนตรงไปทางนั้นในทันที และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็นร่างของชายวัยกลางคนในชุดเสื้อโค้ตสีดำที่กำลังจัดเนกไทของเขาให้เขาที่อยู่ อีกทั้งที่ด้านข้างของชายคนนั้นก็ยังมีดาบหัวตัดขนาดใหญ่ยักษ์พอๆ กับร่างของเขาที่ดูแล้วเหมือนว่าจะมีอุปกรณ์หรือกลไกอะไรบางอย่างถูกติดตั้งเอาไว้บริเวณสันดาบวางพิงกำแพงอยู่อีกด้วย
ซึ่งภาพที่ฮอว์คได้เห็นนั้นก็ได้ทำให้เขาต้องหลุดปากพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ท่านไมเคิล!? นี่ตกลงว่าเขากลับมาอีกครั้งแล้วจริงๆ งั้นหรอ!? เจ้าพวกไรโน่มันรู้เรื่องนี้แล้วหรือยังน่ะ!?”
ฮอว์คที่เห็นว่ากบฏไมเคิลชื่อดังที่ควรจะเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนกำลังยืนแต่งตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มศัตรูได้รีบใช้กล้องส่องทางไกลของเขากวาดมองหาหัวหน้ากลุ่มของหน่วยไรโน่ที่เป็นแนวหน้าในทันที
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้พบว่าในบัดนี้หัวหน้ากลุ่มไรโน่ที่มีนิสัยห้าวๆ ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนคนนั้นกำลังยืนนิ่งมองตรงไปทางไมเคิลอยู่ด้วยท่าทางที่ดูไม่ออกว่าเขากำลังตกใจหรือว่าหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของไมเคิลคนนั้นอยู่กันแน่
แต่ถึงอย่างนั้นหัวหน้าหน่วยไรโน่ก็กลับยืนนิ่งอยู่เพียงแค่ไม่นาน เมื่อเขาได้ยกดาบของตนขึ้นมาและยื่นโล่ในมือไปทางเบื้องหน้าเพื่อให้มันฉายม่านพลังวิซออกมาป้องกันตัวเองและวิ่งนำหน้าหน่วยทหารของเขาพุ่งเข้าใส่ไมเคิลด้วยความรวดเร็ว
ปึ้ง!!!
“เฮ้ย—!?”
แต่ทว่าในทันทีที่หัวหน้าหน่วยไรโน่พุ่งเข้าไปถึงระยะที่จะสามารถใช้ดาบโจมตีใส่กันได้แล้วนั้นเอง อยู่ๆ ที่สันดาบของไมเคิลก็ได้มีเปลวไฟผุดลุกขึ้นมาก่อนที่ดาบในมือของชายวัยกลางคนจะสะบัดด้วยความเร็วที่มองตามด้วยตาเปล่าแทบไม่ทันพุ่งเข้าใส่ร่างของหัวหน้าหน่วยไรโน่จนเกิดเสียงกระแทกดังสนั่นขึ้นมาดังก้องไปทั่วทั้งเมืองใต้ดิน ก่อนที่ร่างของหัวหน้าหน่วยไรโน่ในชุดเกราะหนักแบบเต็มตัวจะปลิวกระเด็นกลับออกมาอย่างรุนแรงและกลิ้งกระเด็นกระดอนไปตามถนนจนก่อให้เกิดหลุมบ่อเล็กๆ ในตามทางที่เขาปลิวกระเด็นออกมา
และเมื่อร่างของหัวหน้าหน่วยไรโน่หยุดนิ่งลงทุกคนก็ได้พบว่าในบัดนี้ทั้งโล่ที่สามารถฉายม่านพลังวิซออกมาได้และชุดเกราะหนักอันเป็นความภาคภูมิใจของหน่วยไรโน่ในฐานะหัวหอกแนวหน้าแห่งเมืองแพนเทร่าได้แตกกระจายออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี จะหลงเหลือทิ้งเอาไว้ก็เพียงแค่ร่างของหัวหน้าหน่วยไรโน่ที่นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นเพียงเท่านั้น
“ค…แค่ทีเดียวเนี่ยนะเจ้าบ้านั่นถึงกับ—”
“นั่นล่ะ ไมเคิล… มิคาเอล เซลฟ่า วีรบุรุษผู้คอยปกป้องเมืองแพนเทร่าของพวกเราเสมอมา…”
“แล้วทำไมคนที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษแบบนั้นถึงกลายเป็นกบฏยืนอยู่กับศัตรูไปได้ล่ะฟะ!?”
“…………”
เสียงร้องโวยวายในครั้งนี้ของฮอว์คได้ทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์คนปัจจุบันนิ่งเงียบไปเป็นระยะเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพัก เขาก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรฮอว์คกลับไปและพูดสั่งการเขาขึ้นมาแทน
“ผู้การฮอว์ค นายสั่งให้หน่วยแพทย์เข้าไปรวบรวมผู้บาดเจ็บแล้วกลับขึ้นไปข้างบนช่วยเหลือหน่วยอื่นๆ อพยพชาวเมืองซะ หลังจากนี้ฉันจะเป็นคนบัญชาการในส่วนเมืองใต้ดินนี้ต่อเอง”
“เฮ้ย!? อยู่ดีๆ ก็มาประกาศจะยึดอำนาจกันโต้งๆ เลยเรอะ!? แล้วนายคิดว่าฉันจะยอมทิ้งทหารในหน่วยของตัวเองเอาไว้ข้างล่างนี่จริงๆ หรือไง!?”
“นี่เป็นคำสั่งของหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ที่ขึ้นตรงกับท่านไนน์ฮาร์ทผู้เป็นพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าและมีตำแหน่งสูงกว่าเคาท์เวอร์มอนด์ที่เป็นหัวหน้าแผนปฏิบัติการในครั้งนี้ ฉันขอสั่งให้นาย—”
“ไม่ต้องเอาตำแหน่งมาขู่กันหรอกน่า! นายก็รู้ว่าฉันไม่กลัวอยู่แล้ว!! ถ้าเกิดว่านายอยากได้คนขึ้นไปช่วยข้างบนนั่นก็กลับขึ้นไปเองเลย! ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ยอมทิ้งลูกน้องของฉันเอาไว้ข้างล่างนี่กับกองทัพผีดิบฆ่าไม่ตายพวกนั้นแน่!!”
“……….”
คำพูดของฮอว์คที่พูดขึ้นมาตรงๆ นั้นได้ทำให้หัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนที่เขาจะชักดาบอัศวินประจำตัวออกมาและหันไปมองทางด้านไมเคิลที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของหน่วยทหารไรโน่แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“นายก็รู้ว่าฉันพูดอะไรแบบนี้ไม่เก่ง… แต่ว่าในเวลานี้สิ่งที่ประชาชนชาวแพนเทร่าต้องการไม่ใช่คนที่พร้อมจะถวายชีวิตให้กับองค์ราชาแต่เพียงผู้เดียวอย่างหน่วยอัศวินราชองครักษ์อย่างฉัน… แต่ว่าเป็นเหล่าขุนนางที่พร้อมจะช่วยสนับสนุนและปกป้องพวกเขาอย่างสุดความสามารถที่มีอยู่ไม่มากอย่างนาย…”
“นี่นาย… ตั้งใจจะไม่—”
“ไปซะผู้การฮอว์ค จงกลับขึ้นไปข้างบนแล้วดูแลประชาชนชาวเมืองแพนเทร่าจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จงเป็นที่พักพิงให้กับพวกเขาในยามสงบและเป็นโล่คอยปกป้องพวกเขาในยามลำบากตามที่เคยปฏิญาณเอาไว้ซะ… เรื่องความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเชื้อพระวงศ์แบบนี้น่ะปล่อยให้ฉันที่เป็นอัศวินราชองครักษ์ที่ต้องคอยปกป้องเหล่าเชื้อพระวงศ์แบกรับเอาไว้เองเถอะ…”