Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 208 : Under The Rug
“สรุปก็คือเธอกำลังจะบอกว่าอีตาเวก้านั่นเป็นคนแรกที่รู้ว่าเครื่องมือสื่อสารของฉันมันถูกดักฟังแต่ก็คิดว่าฉันอาจจะเชื่อใจไม่ได้เพราะดันไปเห็นคนที่หน้าตาเหมือนกับเจนเข้า แต่พอเรื่องมันจะกระจ่างแล้วว่าฉันไม่เกี่ยวข้องแล้วเธอคนนั้นก็ไม่ใช่เจนด้วย ทีเอร่าก็ดันไปอยู่ติดกับนาร์เซียเขาแล้วจนเขาหาโอกาสเข้าไปติดต่อไม่ได้ ส่วนเธอเองพอใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ก็เลยไม่รู้ว่าฉันมาถึงเมืองนี้ได้เกือบจะสัปดาห์นึงแล้วก็เลยไปร่วมมือกับเวก้าเขาก่อนน่ะนะ?”
“มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นล่ะ”
“เฮ้อ จะบ้าตาย… นี่ตกลงว่าฟ้าลงโทษให้หมอนั่นซวยตลอดไปเพราะพยายามจะทดลองเรื่องการฟื้นฟูวิซธาตุไฟฟ้ากับน้ำแข็งหรือเปล่าเนี่ย… แล้วไหนจะยังมีทีเอร่าที่ดูเหมือนว่าจะโชคดีเกินไปอีกที่ไปอยู่ติดกับนาร์เซียเขาได้ตั้งนานโดยไม่เป็นอะไรไปก่อนแบบนั้นน่ะ”
“ชีวิตคนเรามันก็วุ่นวายแบบนั้นนั่นแหล่ะ เธอก็รู้”
“เฮ้อ…”
เอริกะถอนหายใจรับคำพูดของเซซิเรียเล็กน้อยก่อนที่ทางด้านเซซิเรียจะพูดถามเอริกะขึ้นมา
“แล้วเรื่องที่ว่าร่างที่นาร์เซียกำลังใช้งานอยู่ไปหน้าตาเหมือนผู้หญิงคนรักของเจ้าหนูรีวิซนั่นเธอว่ายังไงล่ะ?”
“เฮ้อ… ก่อนหน้านี้ตอนที่คฤหาสน์ของเวก้าเขาแตกนั่นฉันเป็นคนส่งร่างของเจนมาทำพิธีศพที่เมืองนี้ตามธรรมเนียมของชาวแพนเทร่าเองนั่นล่ะ”
“แล้วเธอได้ลองไปตรวจสอบดูหรือยังว่าร่างนั้นยังอยู่ดีหรือเปล่าน่ะ?”
“เธอเห็นนาร์เซียเขาหน้าตาเหมือนเจนขนาดนั้นแล้วคิดว่าผลมันเป็นยังไงล่ะ…”
เอริกะพูดตอบเซซิเรียกลับไปตาเขียวก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากุมหน้าผากด้วยท่าทางเหนื่อยใจจนทำให้เซซิเรียตัดสินใจที่จะพักจากประเด็นนี้เอาไว้ก่อนและพูดถามถึงแผนการอื่นของเอริกะขึ้นมาบ้าง
“แล้วถ้างั้นเธอจะเอายังไงต่อล่ะ? จะให้ฉันไปช่วยตรวจสอบส่วนไหนของเมืองให้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้อง ฉันมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าให้เธอทำ ตอนนี้พวกทีเอร่ายังอยู่ที่โบสถ์หรือเปล่า?”
“ก็น่าจะ… แต่น่าจะอยู่กับยัยนัวร์นะ เพราะว่าก่อนหน้านี้เจ้าหนูเวก้านั่นโดนนาร์เซียเล่นงานจนแขนหักไป แล้วอย่างยัยนัวร์ไม่น่าจะพลาดเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก”
“อื้ม…. ถึงไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นยัยนัวร์ล่ะก็ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ถึงขั้นตัวขาดครึ่งก็คงจะไม่เกินมือหรอก… ถ้างั้นเดี๋ยวเอาเป็นว่าเธอกลับไปหาทีเอร่าแล้วพาเด็กคนนั้นกลับไปที่รีมินัสก่อนก็แล้วกัน ฉันอยากส่งคนไปแจ้งท่านผู้อำนวยการเขาเรื่องขอกำลังเสริมจากกลุ่มดอว์นน่ะ”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนที่เธอพูดถึงนัวร์ก็ตาม แต่ว่าเธอก็ตัดสินใจที่จะพูดสั่งงานเซซิเรียขึ้นมาตรงๆ จนทำให้เซซิเรียที่ได้ยินแบบนั้นต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดถามเอริกะกลับมา
“กลุ่มดอว์นเนี่ยนะ? ขอบอกตรงๆ เลยนะ แบบนั้นสู้ให้ฉันอยู่ช่วยที่นี่ต่อไปไม่ดีกว่าหรอ?”
“แหม่ ก็เธอถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมากกว่าไม่ใช่หรอไง แล้วการจะจัดการกับนาร์เซียได้นั่นก็ต้องใช้วิธีจัดการในทีเดียวให้เขาไม่มีเวลาทันได้ฟื้นตัวที่เธอไม่น่าจะทำได้นี่”
“แล้วเธอจะบอกว่าเด็กๆ พวกนั้นมีวิธีที่จะทำแบบนั้นได้งั้นหรอ?”
“สำหรับกลุ่มดอว์นที่น่าจะใกล้เคียงที่สุดก็คงจะเป็นซิลเวส… เด็กตัวเล็กๆ คนที่ใช้ค้อนยักษ์นั่นแหล่ะ แต่ว่ากำลังเสริมที่ฉันหวังจริงๆ ก็คือเด็กนักเรียนที่สนิทกับกลุ่มดอว์นที่ถ้าเกิดว่ามีใครหลุดปากชื่อของเวก้าออกมาให้เธอได้ยินขึ้นมาเด็กคนนั้นก็น่าจะขอตามมาด้วยแน่ๆ น่ะ~”
เอริกะเอ่ยปากพูดแผนการที่เธอวางเอาไว้ออกมาให้เซซิเรียฟังแบบไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นตัวตนของเด็กนักเรียนคนที่เอริกะหวังพึ่งพิงก็กลับทำให้เซซิเรียต้องขมวดคิ้วพูดถามกลับไปด้วยน้ำเสียงคับข้องใจ
“นี่เธอบ้าไปแล้วหรือไงเอริกะ!? ฉันเห็นว่าเธอคิดได้ว่าไม่ควรจะให้นิลิมมาที่นี่แล้วแท้ๆ แต่เพิ่งจะผ่านมาไม่ถึงสัปดาห์เธอก็คิดจะให้ฉันพาอีกคนนึงมาที่นี่แทนแถมยังจะให้เด็กคนนั้นมาสู้กับร่างของแม่ตัวเองที่ถูกคนอื่นเอาไปใช้เนี่ยนะ!?”
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเอาคาร์เทียร์เขาเข้ามายุ่งด้วยสักเท่าไหร่หรอกน่า แต่เธอคิดหรอว่าคนของที่นี่เขาจะมีของอะไรที่มีพลังทำลายมากขนาดนั้นน่ะ? แล้วถึงต่อให้เมืองแพนเทร่านี่อาจจะแอบสร้างอะไรแบบนั้นเอาไว้ก็เถอะ เธอคิดว่าเขาจะยอมอนุมัติให้ใช้อาวุธทำลายล้างสูงที่ใจกลางเมืองของตัวเองงั้นหรอ?”
“แต่ไม่ใช่ว่าตัวคาร์เทียร์เองก็ยังควบคุมพลังไม่ได้ก็เลยถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ในห้องพยาบาลไม่ใช่หรอไง!?”
“เชื่อเถอะว่าถ้าเกิดว่าเมืองนี้แอบวิจัยอาวุธลับที่มีพลังทำลายล้างสูงอยู่จริงๆ ล่ะก็อาวุธนั่นจะต้องใช้วิซปริมาณมากในการใช้งานแน่ แล้วที่ฉันอยากให้เธอพาคาร์เทียร์มาที่นี่ก็ไม่ได้เพื่อให้เด็กคนนั้นลงสนามไปต่อสู้เองด้วย ฉันแค่อยากจะให้คาร์เทียร์มาเป็นแหล่งพลังงานของอาวุธที่ว่า…. ให้ตายสิ—ฉันพูดแบบนี้แล้วฟังดูเหมือนยัยนัวร์ไม่มีผิดเลย…”
เอริกะที่กำลังพูดอธิบายแผนการของเธอออกมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดบ่นออกมาเนื่องจากว่าการมองมนุษย์เป็นเพียงแค่ทรัพยากรแบบนั้นมันคือแนวคิดของยัยปิศาจร้ายผมยุ่งสีดำคนนั้นมาโดยตลอด
แต่ถึงอย่างนั้นการดำเนินอุปกรณ์หรืออาวุธที่ต้องใช้วิซปริมาณมากๆ นั้น การใช้คนเพียงแค่คนเดียวในการส่งวิซเข้าไปกระตุ้นให้มันทำงานก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดจริงๆ เนื่องจากว่าวิซของแต่ละคนนั้นก็มีความแตกต่างกันบ้างไม่มากก็น้อย และการที่จะผสานพวกมันเข้าด้วยกันเพื่อใส่ลงไปในอุปกรณ์ชิ้นเดียวนั้นก็ค่อนข้างจะอันตรายอีกด้วย
ซึ่งคำพูดของเอริกะก็ได้ทำให้เซซิเรียพอจะหายคับข้องใจไปได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวผมสีเขียวก็ยังคงรู้สึกไม่เห็นด้วยกับแผนการของเอริกะอยู่ดี
“แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ… เธอไม่มีวิธีอื่นเลยหรอ พวกเขาทั้งหกคนนั่นผ่านเรื่องแย่ๆ มาเยอะแล้วนะ…”
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันนึกได้แล้วล่ะ… ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะให้คนอื่นรู้เรื่องของคาร์เทียร์หรอกนะ เพราะต่อให้ฉันจะฝากคาร์เทียร์เอาไว้กับท่านผู้อำนวยการแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่ามีคนรู้เรื่องของเด็กที่มีวิซธาตุไฟฟ้าแถมยังปริมาณมากขนาดนั้นเข้าล่ะก็คงจะเกิดสงครามแย่งชิงตัวกันแน่ๆ ล่ะ…”
“เธอรู้อย่างงั้นแล้วก็ยังกล้าส่งฉันไปขอยืมตัวคาร์เทียร์เขามาจากผู้อำนวยการจอมหวงนั่นอีกนะ…”
“เอาน่าๆ พอเธอกลับไปถึงรีมินัสแล้วก็ลองไปขอให้เอริเขาช่วยพูดให้ก่อนก็แล้วกัน แล้วถ้าเกิดว่าท่านผู้อำนวยการเขายังไม่ยอมก็ลองอ้างชื่อไดเอน่าจังดู หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะลองอ้างเรื่องอาการบาดเจ็บของโมโกะเขาดูว่าอยากจะให้คาร์เทียร์มาช่วยดูให้หน่อยอะไรประมาณนั้น… ว่าแต่เธอรู้จักโมโกะหรือเปล่าน่ะ? เด็กคนที่เป็นเพื่อนสนิทของพวกนากาคุงเขาน่ะ”
“เด็กหูแมวผมสีน้ำตาลที่มีแผลเต็มตัวนั่นสินะ… เอาไว้ฉันจะลองดูก็แล้วกัน”
เซซิเรียพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะผละตัวออกจากริมกำแพงห้องที่เธอยืนพิงอยู่เป็นสัญญาณว่าเธอจะเริ่มต้นออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบพูดสั่งงานอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาให้เซซิเรียก่อนที่อีกฝ่ายจะได้จากไป
“เออใช่ ขอเปลี่ยนแผนหน่อยนึงละกัน เธอไม่ต้องพาทีเอร่ากลับไปที่รีมินัสแล้วล่ะ ฉันฝากเธอไปบอกให้เด็กคนนั้นเขาจับตาดูการอพยพชาวเมืองให้หน่อยสิ แล้วถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ให้รีบวิ่งมาบอกฉันทันทีน่ะ”
“ยังจะให้เด็กคนนั้นทำงานอยู่ที่นี่ต่ออีกหรอ? ก่อนหน้านี้เขาดูช็อกมากเลยนะที่อยู่ๆ นาร์เซียก็ท่าทางเปลี่ยนไปแถมเจ้าหนูเวก้าก็ยังบาดเจ็บหนักแบบนั้นน่ะน่ะ”
“เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะ ก็เล่นตีสนิทคนเขาไปทั่วเลยนี่นา…”
“เอาเถอะ แต่ฉันจะไปบอกเขาว่าให้จับตาดูเฉยๆ แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาก็ไม่ต้องเข้าไปขวางหรือว่าช่วยสู้อะไรก็แล้วกันนะตกลงมั้ย?”
“อื้ม แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
เอริกะพูดตอบเซซิเรียกลับไปก่อนที่เธอจะละสายตาออกไปจากเซซิเรียเพื่อหันไปมองดูทางด้านอาริสะที่กำลังส่ายหางฟูๆ สีแดงของเธอไปมาอยู่ด้วยท่าทางกลัดกลุ้มใจปนหวาดกลัวโดยมีริวยืนพูดแนะนำอยู่ข้างๆ
“ได้โปรดสั่งมาเถอะครับท่านอาริสะ ถ้าเกิดว่าท่านอาริสะต้องการล่ะก็พวกผมจะไปเตรียมเรือบินส่วนตัวพาท่านออกไปจากเมืองนี้ได้ทันทีเลยนะครับ”
“ต…แต่ถ้าเกิดว่าทำอย่างงั้นแล้วเทรคกับเมซินที่ติดอยู่ใต้สุสานนั่นจะทำยังไงล่ะคะ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวเอาไว้พวกผมจะจัดการเองครับ ที่สำคัญกว่าตอนนี้ก็คือความปลอดภัยของท่านอาริสะนะครับ!”
“อ่ะ— ถ้าเกิดว่าเธอเป็นห่วงเรื่องทหารในหน่วยของเธอที่ติดอยู่ข้างล่างนั่นกับไมเคิลล่ะก็พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันว่าพวกเขายังปลอดภัยดีแน่ๆ ล่ะ”
ในขณะที่อาริสะและริวกำลังพูดปรึกษากันอยู่เบาๆ นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่หันไปให้ความสนใจเด็กสาวขุนนางก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาพร้อมกับใช้ขาถีบเก้าอี้เลื่อนของเธอให้ขยับเข้าไปใกล้พวกเขา
ซึ่งคำพูดของเอริกะก็ได้ทำให้อาริสะเงยหน้ากลับขึ้นมาเพื่อหันไปพูดถามนักประดิษฐ์สาวด้วยความแปลกใจในขณะที่ทางด้านริวเองที่ได้ยินคำพูดแบบเดียวกันนั้นมาจากเซซิเรียก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
“อ–เอ๋ะ? จริงหรอคะคุณเอริกะ?”
“จะว่าไปก่อนหน้านี้คุณเซซิเรียก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน… เพราะอะไรพวกคุณถึงมั่นใจแบบนั้นล่ะครับคุณเอริกะ?”
“ก็ถ้าจากที่คุณริวเคยเล่าให้ฉันฟังเนี่ย กลุ่มของคุณริวน่าจะเคยเป็นหน่วยทหารส่วนตัวของไมเคิลเขาใช่มั้ยล่ะคะ ถึงฉันจะไม่ได้เจอเขามานานแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเขายังเป็นไมเคิลคนเดิมกับที่ฉันรู้จักล่ะก็ เขาไม่มีวันทำอะไรคนของตัวเองหรอกนะคะ เผลอๆ ต่อให้เขาบุกมาที่นี่ตอนนี้เลย ถ้าเกิดว่าพวกคุณไม่เข้าไปขวางเขาตรงๆ เขาก็อาจจะวิ่งผ่านไปเฉยๆ เลยก็ได้นะ”
“ร…เรื่องนั้น…”
คำตอบของเอริกะในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้อาริสะมีท่าทีที่ดูสงบลงเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งมันยังทำให้เด็กสาวส่ายหางฟูๆ ของเธอไปมาด้วยท่าทางกลัดกลุ้มใจมากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งท่าทางที่ดูแปลกๆ ของเด็กสาวก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วแปลกใจก่อนที่เธอจะนึกถึงเรื่องที่คุณคาเรน ภรรยาของไมเคิลที่เป็นผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยพูดเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าครอบครัวที่รับอาริสะไปเลี้ยงดูนั้นเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดถามเด็กสาวขึ้นมาตรงๆ
“ทำไมเธอถึงกลุ้มใจอย่างงั้นล่ะ? ถ้าเกิดว่าเธอเคยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นเธอก็น่าจะรู้จักไมเคิลดีว่าเขาเป็นคนยังไงไม่ใช่หรอ? หรือว่านี่ฉันพลาดข้อมูลอะไรไปหรือเปล่า…?”
“ค…คือว่า…”
อาริสะที่ถูกเอริกะพูดถามขึ้นมาตรงๆ นั้นได้แสดงท่าทางที่ดูราวกับว่าเธอกำลังหวาดกลัวและรู้สึกผิดอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งท่าทางของอาริสะที่ดูผิดจากปกติที่เธอมักจะแสดงออกเป็นขุนนางชั้นสูงที่มั่นใจและถือดีในความสามารถของตัวเองนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องหันไปมองริวเหมือนกับว่าอยากจะให้เขาพูดอธิบายขึ้นมาให้เธอฟัง
และนั่นก็ทำให้ริวที่เห็นแบบนั้นต้องก้มลงไปกระซิบขออนุญาตจากอาริสะที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ด้วยตัวเองแน่ๆ
“ให้ผมเล่าให้คุณเอริกะฟังให้แทนมั้ยครับท่านอาริสะ?”
“ค…ค่ะ… ด…ดิฉันยังไม่พร้อมจะพูดถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่…”
อาริสะพูดตอบริวกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปโดยมีเสียงของริวเล่าถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในสมัยก่อนให้เอริกะได้ฟังดังประกอบไปด้วย
“มันก็อย่างที่คุณเอริกะน่าจะรู้อยู่แล้วน่ะครับว่าที่จริงแล้วท่านอาริสะเคยเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของท่านไมเคิลมาก่อนจนกระทั่ง ดยุก เฟอร์กัส เบลวีน่า หัวหน้าแผนกวิจัยและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์คนก่อนสังเกตเห็นความสามารถของท่านอาริสะก็เลยรับไปเป็นบุตรีบุญธรรมน่ะครับ…”
“ดยุก เฟอร์กัส เบลวีน่า งั้นหรอ…”
“ครับ… แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเมื่อห้าปีก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ ดยุกเฟอร์กัสก็ประกาศว่าท่านไมเคิลคิดจะก่อกบฏและวางแผนที่จะลอบสังหารพระราชาองค์ที่แล้ว เสร็จแล้วก็ลงมือจัดการล่าสังหารท่านไมเคิลกับพวกผมที่ทำงานรับใช้เลยน่ะครับ…”
“เมื่อตอนนั้นกว่าดิฉันจะรู้ตัวก็ตอนที่มีคนวิ่งเข้ามาบอกว่าพวกคุณริวกำลังจะโดนประหารส่วนท่านไมเคิลก็เสียชีวิตไปแล้วน่ะค่ะ…”
ในขณะที่ริวกำลังพูดอธิบายขึ้นมาให้เอริกะฟังอยู่นั้นเอง อยู่ๆ อาริสะก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองเอาไว้และเริ่มต้นระบายความในใจออกมา
“ถึงท่านไมเคิลจะถูกประกาศว่าเป็นกบฏก็เถอะ แต่ว่าทุกคนเองก็รู้ดีว่าคนอย่างท่านไมเคิลน่ะไม่มีทางที่จะวางแผนทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ … แต่ถึงอย่างงั้นหลังจากที่ท่านไมเคิลเสียชีวิตไปได้ไม่นานพระราชาองค์ที่แล้วก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันในตอนกลางคืน คนที่เคยเชื่อมั่นในท่านไมเคิลก็เลยเริ่มลังเลแล้วก็ตัดสินใจที่จะยกเลิกการขุดคุ้ยเรื่องนี้ไปน่ะค่ะ”
“……..”
อาริสะที่พูดมาถึงตรงนี้ได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอลังเลที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นออกมา แต่ถึงอย่างนั้นอาริสะก็นิ่งเงียบไปไม่นานสักเท่าไหร่นักก่อนที่เธอจะเริ่มต้นพูดขึ้นมาต่อราวกับว่าเธอเองก็อยากจะระบายเรื่องนี้ให้ใครฟังมานานแล้วเช่นเดียวกัน
“ถึงจะไม่มีใครเคยรู้เรื่องนี้ก็เถอะนะคะ…แต่ว่าเมื่อตอนนั้นดิฉันรู้มาว่าพระราชาองค์ที่แล้วกับท่านพ่อออกไปทำอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับท่านไมเคิลกับสุสานใต้ดินกัน… แล้วพอพวกเขากลับมา เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีประกาศว่าองค์ราชาเสด็จสวรรคตแล้ว ส่วนท่านพ่อเองก็ไม่ยอมพูดว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นบ้าง… จะมีก็แค่บอกว่าให้ดิฉันรีบพัฒนาพวกปืนใหญ่วิซกับเรือบินให้สำเร็จให้เร็วกว่าเดิมเท่านั้นเอง… แล้วหลังจากที่ท่านพ่อลงมือกับท่านไมเคิลไปจะให้ดิฉันเข้าไปอ้อนท่านพ่อเพื่อให้เขายอมพูดแบบเมื่อก่อนดิฉันก็ทำไมลงแล้วเหมือนกัน…”
“ไมเคิลกับสุสานใต้ดินงั้นหรอ…?”
คำพูดของอาริสะในครั้งนี้ได้ทำให้เอริกะต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะว่าถ้าจะให้พูดตรงๆ ล่ะก็ สิ่งที่พอจะข้องเกี่ยวระหว่างชื่อของไมเคิลและคำว่าสุสานใต้ดินได้นั้นก็คือทางขึ้นลงเมืองใต้ดินที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในสุสานใต้ดินของโบสถ์ที่ทีเอร่าไปอาศัยอยู่นั่นเอง
ซึ่งด้วยข้อมูลที่เอริกะได้รับมาใหม่นั้นก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาตรงๆ
“ฉันขอเข้าพบคุณพ่อของเธอตอนนี้เลยได้หรือเปล่าน่ะอาริสะจัง?”
“เรื่องนั้น…”
“เรื่องนั้นคงจะไม่ได้หรอกครับคุณเอริกะ ถึงทางเมืองจะพยายามปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้เป็นความลับต่อเมืองอื่นๆ ก็เถอะ แต่ว่าท่านดยุกเฟอร์กัสกับคนในตระกูลเบลวีน่าคนอื่นๆ นอกจากท่านอาริสะถูกสังหารไปจนหมดแล้วเมื่อตอนที่มีคนบุกเข้ามาในปราสาทแพนเทร่าเมื่อราวๆ สามเดือนก่อนน่ะครับ…”
“หะ…?”
คำตอบของริวที่พูดตอบขึ้นมาให้แทนอาริสะนั้นได้ทำให้เอริกะต้องหันไปมองเขาด้วยความตกใจ เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะรู้เรื่องที่ว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่ถูกเหล่าแฟรี่เรียกว่าหัวหน้าเคยบุกมาโจมตีปราสาทแพนเทร่าในช่วงเวลาเดียวกับที่เธอกำลังทำเรื่องสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนรีมินัสให้พวกนากาอยู่บ้าง แต่ว่าเธอก็ไม่เคยรู้ถึงสาเหตุที่เด็กสาวคนนั้นทำมันลงไปเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าด้วยข้อมูลใหม่ที่เอริกะเพิ่งจะได้รับมาที่ว่าทั้งราชาองค์ก่อนของเมืองแพนเทร่าและคนในตระกูลเบลวีน่าต่างเสียชีวิตไปกันหมดแล้ว มันก็ทำให้เธอพอจะปะติดปะต่อได้แล้วว่ามันคือการลงมือเพื่อล้างแค้นให้กับไมเคิลที่ถูกสังหารไปเมื่อห้าปีก่อน เหมือนกับที่เด็กสาวคนนั้นบุกไปที่วังหลวงของเมืองกราวิทัสและฆ่าขุนนางไปส่วนหนึ่งเพื่อแก้แค้นให้กับแคทเธอรีนไม่ผิดแน่ และนั่นก็ทำให้เอริกะไม่รอช้าที่จะพูดถามอาริสะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในทันที
“ถ้างั้นตอนนี้ยังเหลือใครที่น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับไมเคิลหรือว่ารู้เรื่องของเมืองใต้ดินอีกบ้าง?”
“ในเวลานี้คนที่น่าจะรู้เรื่องนั้นมากกว่าดิฉัน… ก็น่าจะเป็นองค์ราชาคนปัจจุบันล่ะมั้งคะ”
“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปหาเขากันเถอะ”
ในทันทีที่เอริกะพูดขึ้นมาจนจบนั้นเองเธอก็ได้ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และเปิดประตูเดินออกไปจากห้องในทันทีจนทำให้อาริสะและริวต้องรีบเดินตามเธอไปพร้อมกับร้องถามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“ด–เดี๋ยวสิคะคุณเอริกะ ที่บอกว่าจะไปหาเขานี่หมายถึง…”
“ก็ไปหาพระราชาของเมืองแพนเทร่านี่น่ะสิ พวกเราไม่ได้มีเวลารอทำเรื่องให้เขาเสด็จลงมาจากบัลลังก์มาหาพวกเราเองหรอกนะ~”
“ท–ท่านไมเคิลหมายความว่ายังไงคะที่ว่าท่านไคเลอร์อาจจะอยู่ข้างในนี้แล้วก็ได้น่ะคะ!?
ในขณะที่เอริกะกำลังจะบุกไปเข้าเฝ้าพระราชาของเมืองแพนเทร่าอยู่นั้นเอง ทางด้านใต้ดินของเมืองแพนเทร่าในเมืองมาร์นาร์ฟเก่าเองก็ได้มีเสียงของโจน่าพูดถามไมเคิลขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหวาดผวาปนไปทางหวาดกลัวจนทำให้ไมเคิลที่เดินอยู่ข้างๆ เธอต้องรีบพูดตอบกลับไป
“ก็หมายความตามที่ว่านั่นแหล่ะ ก่อนหน้านี้มีสัญญาณเตือนผู้บุกรุกดังขึ้นมา พอฉันไปถึงก็เห็นผู้หญิงผมยาวสีแดงคนนึงแวบหายไปน่ะ”
“ต…แต่ท่านไมเคิลแน่ใจหรอคะว่าเป็นท่านไคเลอร์แน่ๆ น่ะ?”
“อื้ม… ถึงจะเห็นแค่แวบเดียว แต่ว่าผู้หญิงผมสีแดงที่ฝ่าแนวป้องกันที่หนูวางเอาไว้เข้ามาได้ง่ายๆ แบบนั้นก็น่าจะมีแค่ท่านไคเลอร์คนเดียวนั่นแหล่ะ”
“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านไคเลอร์ก็เป็นคนที่สี่แล้วนะคะที่มาที่นี่ในเวลานี้น่ะ… ท่านไมเคิลคิดว่าพวกเขาร่วมมือกันอยู่หรือเปล่าน่ะคะ?”
โจน่าพูดถามไมเคิลกลับไปด้วยสีหน้าที่ติดจะไปทางเคร่งเครียดเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเธอจะมั่นใจว่าตัวเองสามารถรับมือเอริกะกับเซซิเรียที่ร่วมมือกันเพื่อขัดขวางเธออยู่ได้แน่ๆ แต่ว่าหลังจากที่เธอได้เห็นนัวร์ยอมร่วมมือกับเอริกะเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วเธอก็เริ่มที่จะเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาบ้าง
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าความไม่มั่นใจนี้ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นความมั่นใจว่าแผนการของเธอจะล้มเหลวอย่างแน่นอนถ้าเกิดว่าไคเลอร์คนนั้นไปร่วมมือกับพวกเอริกะเพื่อขัดขวางเธอเพิ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งน้ำเสียงของโจน่านั้นก็ได้ทำให้ไมเคิลต้องรีบพูดสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่ที่เขาสังเกตเห็นหญิงสาวที่อาจจะเป็นไคเลอร์ก็ได้ขึ้นมา
“เรื่องนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ต่อให้ท่านเซซิเรียจะเป็นคนร้องขอเองก็เถอะ แต่ว่าท่านไคเลอร์คนนั้นไม่มีวันที่จะยอมยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับท่านเอริกะแน่ๆ อยู่แล้ว— หลบเร็ว!!”
ปึ้ง!!!
ในขณะที่ไมเคิลกำลังพูดอธิบายขึ้นมาให้โจน่าฟังอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ประตูโลหะบานใหญ่ของหอคอยของปราสาทใต้ดินก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนหลุดออกจากกรอบประตูและลอยพุ่งตรงเข้ามาทางพวกเขาด้วยความรวดเร็วราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่จนทำให้ไมเคิลต้องรีบก้าวออกไปเบื้องหน้าและเหวี่ยงกำปั้นของเขาเข้ากระแทกใส่มันจนเกิดเสียงดังลั่นดังขึ้นมา
โคร๊ม!! เคร๊ง—
“…..…”
และในทันทีที่ทุกอย่างสงบลงนั้นเอง ไมเคิลก็ได้สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีแดงนัยน์ตาสีเหลืองในชุดผ้าคลุมสีแดงของพวกนักผจญภัยยืนตระหง่านอยู่ที่กรอบประตูของหอคอยที่ว่างเปล่า และนั่นก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมา
“ท่านไคเลอร์…”
“โอ้… ฉันก็ว่าเหมือนได้ยินใครพูดอะไรไม่ค่อยจะเข้าหูสักเท่าไหร่ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของนายเองงั้นหรอไมเคิล~”
“ทำไมท่านไคเลอร์ถึงมาที่นี่กันคะ!? หรือว่าคิดจะมาขัดขวางพวกฉันเหมือนกับท่านเอริ— ห…ห—เหมือนกับท่านเซซิเรียงั้นหรอคะ!?”
ในขณะที่โจน่ากำลังจะหลุดพูดชื่อของเอริกะออกมาอยู่นั้นเองเธอก็ได้ชะงักไปด้วยแววตาอาฆาตของไคเลอร์ที่สะบัดตรงมาทางเธอจนทำให้โจน่าต้องรีบเปลี่ยนชื่อที่กำลังจะพูดออกมาในทันที และนั่นก็ทำให้ไคเลอร์กลับไปทำสีหน้าอารมณ์ดีตามเดิมก่อนที่เธอจะหันไปหาไมเคิลและพูดถามชายชราขึ้นมา
“แล้วยัยหัวทองนี่มันใครกันล่ะ? นายลืมไปหรือเปล่าว่าที่นี่มันไม่ใช่สวนสนุกที่จะปล่อยให้เด็กที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาวิ่งเล่นได้น่ะหะไมเคิล?”
“เธอคนนี้คือนาร์เซียไงครับท่านไคเลอร์ ตอนนี้เธอแค่กำลังใช้ร่างนี้อยู่เฉยๆ น่ะครับ”
“บลาๆๆๆๆ เอาเป็นว่าเปลี่ยนร่างไปมาได้เหมือนกับยัยนัวร์งั้นสินะ เอาเถอะ ที่ฉันลงมาข้างล่างนี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกยัยเซซิเรียกำลังทำกันอยู่หรอก พอดีว่าฉันมาตามหาเด็กหายน่ะ เธอพอจะเห็นพวกเด็กๆ น่ารำคาญสักสามสี่คนที่ใส่ผ้าคลุมสีแดงๆ หลงเข้ามาข้างล่างนี่บ้างหรือเปล่า?”
“ถ–ถ้าเกิดว่าเป็นพวกเด็กๆ เลยก็ไม่มีนะคะ แต่ว่าถ้าเกิดว่าเป็นกลุ่มคนที่ท่าทางเหมือนทหารรับจ้างที่ใส่ผ้าคลุมสีแดงล่ะก็ เมื่อวันก่อนมีคนที่แต่งตัวแบบนั้นแอบลักลอบลงมาอยู่สามคนน่ะค่ะ…”
ถึงแม้ว่าโจน่าจะเห็นว่าไคเลอร์เหมือนจะจำเธอไม่ได้ก็ตามที แต่ว่าเธอก็ยังยอมที่จะพูดตอบคำถามของไคเลอร์กลับไปแต่โดยดี และนั่นก็ทำให้ไคเลอร์ที่ได้ยินแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพูดถามขึ้นมาต่อในทันที
“เออๆ เจ้าพวกนั้นนั่นแหล่ะ ตอนนี้เจ้าพวกนั้นเป็นยังไงกันบ้างแล้วล่ะ? อ๋อ แล้วก็ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากให้เจ้าพวกที่แอบอยู่ในพุ่มไม้นั่นกลายเป็นเนื้อบดล่ะก็สั่งให้พวกมันไสหัวไปที่อื่นก็ดีนะ นายเองก็น่าจะรู้นะว่าฉันไม่ชอบโดนแอบมองแอบตามแบบนั้นน่ะไมเคิล”
“………”
คำพูดของไคเลอร์ได้ทำให้ไมเคิลต้องหันไปพยักหน้าให้กับโจน่าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกว่าให้หญิงสาวทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี เพราะถึงแม้ว่าโจน่าจะสามารถควบคุมและสั่งการเหล่าทหารที่มีกำลังเหนือมนุษย์และไม่รู้จักเจ็บปวดพวกนั้นได้ก็ตาม แต่ว่าต่อหน้าไคเลอร์ ทหารเหล่านั้นก็ไม่ต่างไปจากเด็กน้อยอ่อนแอสักเท่าไหร่นัก และอีกฝ่ายก็มีความสามารถที่จะเปลี่ยนทหารเหล่านั้นให้กลายเป็นเนื้อบดอย่างที่ปากเธอว่าได้จริงๆ อีกด้วย
และเมื่อไคเลอร์เห็นว่าเงาตะคุ่มๆ ตามพุ่มไม้และซอกตึกได้เดินจากกันไปคนละทางแล้ว เธอก็ได้หันกลับไปพูดถามโจน่าเพื่อขอคำตอบจากซิสเตอร์สาวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ว่าไงล่ะ เจ้าเด็กน้อยสามคนที่เธอพูดถึงนั่นไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว? หรือเธอคิดว่าพวกเขาเป็นผู้บุกรุกก็เลยจัดการไปซะแล้วล่ะ?”
“………”
“อ้าว… เอาจริงดิ?”
“ฉันขอโทษค่ะ…”
ท่าทางนิ่งเงียบของโจน่าที่ดูราวกับเด็กน้อยที่เผลอทำผิดและไม่กล้าที่จะพูดสารภาพออกมานั้นได้ทำให้ไคเลอร์พอจะคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอย่าง ยุย ด็อค และรัซเซลที่แอบลักลอบลงมายังเมืองใต้ดินได้ไม่ยาก
ส่วนทางด้านโจน่าที่เห็นว่าไคเลอร์เหมือนจะรู้คำตอบของเธอแล้วก็ได้พยายามที่จะเบียดตัวเข้าไปหลบอยู่ที่ทางด้านหลังของไมเคิลราวกับเด็กที่ทำผิดและพยายามที่จะหลบไปอยู่ด้านหลังผู้ปกครองของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไคเลอร์ที่โดยปกติแล้วจะดูเป็นคนห้าวๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้และดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อก็กลับทำเพียงแค่หุบรอยยิ้มของเธอลงและยกมือขึ้นมาเขี่ยผมหน้าม้าของเธอเล็กน้อยราวกับว่ากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาแบบไม่ติดใจอะไรมาก
“เอาเถอะ พวกเธอก็แค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้นี่นะ แถมฉันเองก็เคยเตือนเจ้าพวกบ้านั่นตั้งหลายรอบแล้วว่าอย่ามาที่เมืองแพนเทร่าในเวลาแบบนี้พวกมันก็ไม่ยอมฟังกันอีก ถึงจะน่าเสียดายไปหน่อย แต่ก็ถือซะว่าเจ้าพวกนั้นมันโง่เองก็แล้วกัน”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะท่านไคเลอร์”
“ว่าแต่ฝีมือของเจ้าพวกนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ? แล้วตอนที่กำลังจะแย่มีใครทิ้งพรรคพวกเพื่อหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวบ้างหรือเปล่า?”
ไคเลอร์ที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีมากกว่าปกตินับตั้งแต่เธอได้เจอหน้าไมเคิลได้พูดถามพวกเขาขึ้นมาด้วยท่าทางสนอกสนใจราวกับครูฝึกที่อยากจะทราบความเห็นของคนที่เคยต่อสู้กับลูกศิษย์ของตนอย่างไรอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ไมเคิลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบไคเลอร์กลับไป
“มีหนีกลับไปได้คนนึงครับ แต่จะเรียกว่าหนีก็ไม่ใช่เท่าไหร่ น่าจะเรียกว่ารอดกลับไปได้ซะมากกว่า… เพราะว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการที่เข้าไปช่วยปกป้องเพื่อนอีกคนตอนถูกยิงถล่ม พวกเพื่อนๆ ของเขาก็เลยพาเขาหนีไปที่ทางขึ้นลงก่อนแล้วออกมาถ่วงเวลาเอาไว้น่ะครับ”
“หมายความว่าต่อสู้จนตัวตายงั้นสินะ? แถมยังถ่วงเวลาพวกเธอได้สำเร็จด้วย ถ้างั้นก็ยังไม่นับว่าน่าผิดหวังสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง…”
ไคเลอร์พยักหน้าพูดตอบไมเคิลกลับไปด้วยท่าทางพึงพอใจก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบไปสักพักแล้วจึงหันไปมองทางด้านโจน่าและเอ่ยปากพูดถามซิสเตอร์สาวขึ้นมา
“ตอนนั้นร่างของสองคนที่ตายไปนั่นยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”