Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 207 : Behind The Veil
“นี่อาริสะ พวกเธอส่งอัลเปียไปตรวจสอบที่บ้านพักตากอากาศของไดเอน่าจังคนเดียวแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอน่ะ?”
ในขณะที่อาริสะกำลังนั่งตรวจสอบเอกสารกองโตที่คณะประชุมฉุกเฉินส่งมาให้เธอจัดการอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่กำลังใช้แว่นตากรอบแดงของเธอตรวจสอบข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่จนปรากฏภาพข้อความต่างๆ วิ่งผ่านเลนส์แว่นตาไปเป็นจำนวนมากก็ได้เอ่ยปากพูดถามเด็กสาวเคาน์เตสขึ้นมาจนทำให้อาริสะต้องละมือออกจากกองเอกสารเพื่อหันไปพูดอธิบายให้เอริกะฟัง
“ก็ถ้าเกิดว่าที่นั่นตกอยู่ในอันตรายแล้วคนที่บุกไปที่นั่นมีความสามารถผิดมนุษย์จริงๆ อย่างที่คุณเอริกะว่ามาล่ะก็คุณอัลเปียเขาก็เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นคุณอัลเปียที่ถนัดการใช้วิซแบบ…โบราณล่ะก็ ในเวลาเร่งด่วนที่ไม่มีเวลาให้เตรียมอุปกรณ์อะไรเป็นพิเศษก็มีคุณอัลเปียเนี่ยล่ะค่ะที่เคลื่อนไหวได้เร็วที่สุดน่ะค่ะ”
“อืม… ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ”
“จะว่าไปถ้าคุณเอริกะเป็นห่วงที่นั่นขนาดนั้นทำไมถึงไม่ให้อัศวินคนนั้นตามคุณอัลเปียเขาไปด้วยล่ะคะ?”
อาริสะที่ถูกเอริกะพูดชวนคุยขึ้นมาขัดขวางการทำงานเอกสารของเธอได้หมุนเก้าอี้ไปทางด้านเอริกะและพูดถามนักประดิษฐ์สาวกลับไป เพราะว่าแทนที่เอริกะจะส่งอัศวินสวมแว่นผมสีทองที่เธอตามตัวมาไปช่วยที่บ้านพักตากอากาศของตระกูลเซมฟิร่าด้วยอีกคนหนึ่ง เอริกะก็กลับเลือกที่จะส่งคอนแนลให้ไปตามไดเอน่าที่ไปเข้าพบกับผู้ปกครองของเคนซากิแทนเสียซะอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้เอริกะที่กำลังเล่นกับแว่นตาของเธออยู่ต้องยกมือขึ้นมาเขี่ยหัวตัวเองเล็กน้อย
“ก็ทางไดเอน่าเขาดูน่าเป็นห่วงพอๆ กันเลยนี่นา เพราะว่าจะให้ลูกสาวคนเดียวของตระกูลเซมฟีร่าเข้าพบขุนนางของเมืองอื่นแบบไม่มีคนคุ้มกันมันก็ยังไงยังไงอยู่ใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่นก็ยังพอว่าล่ะนะ แต่ว่านี่ดันเป็นพ่อขุนนางใหญ่ท่าทางกรุ้มกริ่มคนนั้นนี่สิ~”
“ไม่เถียงเลยล่ะค่ะ ถ้าเกิดว่าเป็นท่านเคานต์เวอร์มอนด์คนนั้นล่ะก็ระวังตัวเอาไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกค่ะ”
“เห… นี่เธอไม่คิดจะแก้ต่างให้เขาสักหน่อยเลยหรอ? นี่ฉันกำลังแอบนินทาท่านขุนนางของเมืองเธออยู่เลยนะเนี่ย~”
“ก็ถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนั้นดิฉันก็คงจะต้องตักเตือนตามหน้าที่ให้พอเป็นพิธีนั่นแหล่ะค่ะ แต่ว่าในเมื่อคนที่พูดเป็นคุณเอริกะที่น่าจะมองคนเป็นแบบนั้นต่อให้ดิฉันพูดแก้ต่างอะไรไปก็คงจะไม่มีประโยชน์จริงมั้ยล่ะค่ะ”
“หืม~”
คำตอบของอาริสะที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกกับท่านเคานท์เวอร์มอนด์ที่มีตำแหน่งระดับเดียวกับเธอสักเท่าไหร่นักได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยท่าทางสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นนักประดิษฐ์สาวก็ตัดสินใจที่จะพูดถามเรื่องอื่นขึ้นมาแทนเพื่อไม่ให้เด็กสาวขุนนางตำแหน่งสูงเบื้องหน้าต้องรู้สึกลำบากใจมากนัก
“ว่าแต่ที่เธอบอกว่าคุณอัลเปียเขาใช้วิซแบบ ‘โบราณ’ เนี่ย อย่าบอกนะว่าเขาใช้ผงคริสตัลวิซในการเขียนวงจรวิซขึ้นมากลางอากาศแล้วก็สั่งให้มันทำงานน่ะ? ฉันนึกว่าบนโลกใบนี้จะไม่เหลือใครที่ทำแบบนั้นเป็นแล้วซะอีกนะ โดยเฉพาะในเมืองแพนเทร่าที่เน้นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์แบบนี้น่ะ”
“มันก็เป็นเพราะความชอบส่วนตัวของคุณอัลเปียเขานั่นแหล่ะค่ะ จริงๆ แล้วเขาควรจะได้รับตำแหน่งผู้ดูแลห้องควบคุมด้วยซ้ำไปนะคะ ถ้าไม่ติดว่าท่านพ่อของดิฉันที่เคยรับหน้าที่นั้นมาก่อนสั่งไว้ว่าให้ส่งมอบงานให้ดิฉันก่อนน่ะ”
“เห… งั้นหรอๆ แล้วอัลเปียเขาทำสำเร็จทุกครั้งเลยหรือเปล่าน่ะ?”
“ก็เท่าที่ดิฉันรู้เหมือนว่าคุณอัลเปียเขาจะฝึกจนคล่องแล้วนะคะ เพราะงั้นขอแค่ให้คุณอัลเปียเขามีเวลาเขียนวงจรวิซแล้วก็น่าจะได้ผลนั่นแหล่ะค่ะ แล้วอีกอย่างนึงเหมือนว่าคุณอัลเปียเขาจะใช้วิซธาตุไฟผ่านวิธีแบบโบราณๆ แบบนั้นได้รุนแรงกว่าเวลาใช้วิซผ่านอุปกรณ์กับอาวุธใหม่ๆ ของทางเมืองอีกน่ะค่ะ”
อาริสะพูดตอบเอริกะที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจในความสามารถของอัลเปียกลับไปแบบไม่ติดใจอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นหางจิ้งจอกสีแดงฟูฟองของเธอก็กลับส่ายไปมาช้าๆ ราวกับว่ากำลังกลุ้มใจอะไรบางอย่างอยู่
ซึ่งอาริสะก็ได้ส่ายหางฟูๆ ของเธอไปมาอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดถามเอริกะขึ้นมา
“ว่าแต่คุณเอริกะมั่นใจหรอคะว่าข้อมูลของศัตรูที่พวกเราจะต้องไปเจอมันไม่ได้มีอะไรผิดพลาดไปน่ะคะ? คือถ้าจะให้ดิฉันพูดดิฉันว่าที่คุณเอริกะพูดมามันออกจะผิดมนุษย์ไป….สักหน่อย… คุณเอริกะคะ?”
อาริสะที่กำลังพูดสอบถามเอริกะขึ้นมานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อในบัดนี้นักประดิษฐ์สาวดูเหมือนจะเหม่อจ้องมองตามหางจิ้งจอกของเธอที่กำลังส่ายไปส่ายมาอยู่ ซึ่งเสียงร้องเรียกของอาริสะนั้นก็เหมือนจะทำให้เอริกะที่ถูกหางฟูๆ สีแดงที่ดูคุ้นเคยดึงดูดสายตาไปอีกครั้งหนึ่งแล้วได้สติเธอจึงได้รีบพูดตอบกลับไปในทันที
“อ่ะ— อ๋อ เปล่าหรอกๆ ฉันแค่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เฉยๆ น่ะ เมื่อกี้นี้เธอว่ายังไงนะ?”
“ดิฉันแค่จะถามว่าข้อมูลของศัตรูที่คุณเอริกะให้ไว้ในที่ประชุมมันถูกต้องจริงๆ หรอคะ? ที่ว่าพวกเขาทุกคนมีกำลังขนาดต่อยกำแพงอิฐพังได้ด้วยมือเปล่า แล้วก็สามารถ เอ่อ… ‘ซ่อมแซม’ บาดแผลของตัวเองได้นั่นน่ะค่ะ คือถึงเรื่องพังกำแพงนั่นถ้าใช้วิซช่วยสักหน่อยใครๆ ก็น่าจะทำได้ก็เถอะ แต่ว่าเรื่องรักษาบาดแผลตัวเองได้นี่มันไม่น่าจะใช่แล้วนะคะ”
“แหม่~ ก็ถ้าเกิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ปกติก็ไม่น่าจะทำได้นั่นแหล่ะ~”
“หมายความว่ายังไงกันคะนั่น? คุณเอริกะพอจะอธิบายเพิ่มได้หรือเปล่าคะ?”
คำตอบของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะต้องขมวดคิ้วจ้องมองไปทางเอริกะด้วยท่าทางคาดหวังคำตอบ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องหมุนเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ไปมาสักพักหนึ่งราวกับว่าต้องการใช้เวลาที่จะตัดสินใจก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังหน้าต่างของห้องเพื่อมองดูเมืองแพนเทร่าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยม่านหมอกแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“งั้นฉันขอถามอะไรก่อนสักอย่างนึงก็แล้วกัน พวกเธอชาวแพนเทร่าเชื่อในเรื่องการฟื้นคืนกลับขึ้นมาจากความตายหรือเปล่า?”
“เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ?”
“ก็นั่นแหล่ะ เพราะงั้นเมื่อกี้นี้ฉันถึงบอกพวกเขาไปแค่ว่ากลุ่มคนที่พวกเราต้องไปเจอนั่นเป็นแค่คนที่มีความสามารถพิเศษเฉยๆ น่ะ เพราะถึงฉันจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะต้องมาบอกความจริง แต่ว่ามันก็คงจะต้องมานั่งอธิบายกันยาวเลยนั่นแหล่ะ”
“นี่เรื่องมันมาถึงป่านนี้แล้วคุณเอริกะยังแอบปิดบังอะไรเอาไว้อีกหรอคะเนี่ย?”
คำพูดอธิบายของเอริกะได้ทำให้อาริสะต้องเลิกคิ้วพูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ ซึ่งด้วยท่าทางเคลือบแคลงสงสัยของอาริสะนั้นเองก็ได้ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดตอบเด็กสาวเคาน์เตสกลับไปตรงๆ
“เฮ้อ… ก็ถ้าฉันจะบอกว่าพวกคนที่พวกเธอจะต้องไปเจออาจจะนับว่าไม่ใช่มนุษย์แล้วซะด้วยซ้ำเธอจะว่ายังไงล่ะ?”
“อาจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วซะด้วยซ้ำงั้นหรอคะ…?”
คำพูดของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะผงะไปด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะขึ้นเสียงพูดตอบเอริกะกลับไป
“ต…แต่ระดับการเตือนภัยที่ดิฉันแจ้งไปมันแค่ระดับสองที่เป็นระดับเดียวกับที่พวกผู้ก่อการร้ายบุกโจมตีเมืองก่อนหน้านี้เองนะคะ! ถ้าเกิดว่าพวกคุณริวกับคุณอัลเปียต้องไปเจอกับสิ่งที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ซะด้วยซ้ำแบบนั้นพวกเขาจะรับมือกันไหวหรอคะคุณเอริกะ!?”
“นี่เธอโกรธฉันที่ตรงนั้นหรอกหรอเนี่ย…? แต่ว่าการที่พวกเขารีบเคลื่อนพลกันขนาดนั้นมันก็ทำให้พวกเรามีเวลาพักหายใจกันบ้างใช่มั้ยล่ะ แล้วถ้าเกิดว่าพวกเขาไปตรวจสอบแล้วไม่เจออะไรผิดปกติเผลอๆ พวกเราก็อาจจะไม่ต้องอพยพคนซะด้วยซ้ำนะ”
เอริกะที่ยังไม่ได้รับรายงานจากเซซิเรียและจากพวกนากาเกี่ยวกับเรื่องของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่านาร์เซียและเหล่าทหารในชุดเกราะที่บุกไปหวังจะจัดการกับรัซเซลที่บ้านพักตากอากาศของไดเอน่าได้พูดตอบอาริสะกลับไปด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ในขณะที่ทางด้านอาริสะนั้นก็กลับเกิดความรู้สึกที่อยากจะเขกหัวของเอริกะขึ้นมาดั่งเช่นคนอื่นๆ ที่รู้จักกับนักประดิษฐ์สาวขึ้นมาบ้างเสียแล้ว
“ให้ตายสิคะ… ว่าแต่ไหนๆ คุณเอริกะก็บอกว่าพวกเรามีเวลาหายใจกันแล้วงั้นก็ช่วยอธิบายสักหน่อยเถอะค่ะว่าพวกเรากำลังเจอกับอะไรอยู่กันแน่น่ะ?”
“ก็ตะกี้นี้ฉันก็เกริ่นๆ ไปแล้วใช่มั้ยล่ะ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าพวกเธอเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการคืนชีพให้กับคนตายหรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่าน่ะ ศัตรูของพวกเรามันก็ตามนั้นเลยนั่นแหล่ะ~”
“เอ๋…?”
คำอธิบายสั้นๆ ของเอริกะได้ทำให้อาริสะต้องเอียงคอด้วยความแปลกใจและจ้องมองไปทางนักประดิษฐ์สาวด้วยสายตาที่ดูราวกับว่าเอาไว้ใช้มองคนสติไม่ดีโดยเฉพาะ ซึ่งท่าทางของเด็กสาวเคานท์เตสก็แทบจะทำให้เอริกะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“แหม่ เอาเป็นว่าเธอเห็นพวกหมอกที่ปกคลุมตัวเมืองอยู่พวกนี้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดฉันจะบอกว่าที่จริงแล้วพวกมันไม่ใช่หมอก แต่ว่ามันเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กจิ๋วที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็นจำนวนมากที่เกาะกลุ่มกันเป็นสิบล้านหรือร้อยล้านชิ้นจนมีสภาพคล้ายกับหมอกแล้วก็แผ่ขยายออกไปครอบคลุมจนทั่วทั้งเมืองเธอจะว่ายังไงล่ะ~?”
“อ…อุปกรณ์ขนาดจิ๋ว? หมายถึงแบบเดียวกับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อะไรแบบนั้นน่ะหรอคะ? มันจะมีใครที่ไหนสร้างของแบบนั้นขึ้นมาได้กันล่ะคะนั่น?”
“จุ๊ๆ แล้วเธอรู้หรือเปล่าล่ะว่าสมัยก่อนวงจรวิซสำหรับจุดไฟทำอาหารน่ะมันมีขนาดเท่าฝาบ้านเลยนะ แต่ว่าในปัจจุบันนี้พวกเธอย่อมันลงมาจนเหลือขนาดแค่หนึ่งฝ่ามือเอง แล้วลองนึกดูสิว่าถ้าเกิดพวกเธอมีเวลาอีกสักสิบยี่สิบหรือว่าอีกสักร้อยปีในการพัฒนามันต่อไป ในอนาคตขนาดของมันจะลดลงเหลือแค่ไหนน่ะ~”
“เรื่องนั้นมันก็… อาจจะไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ว่ายังไงด้วยวิทยาการในตอนนี้มันก็ไม่มีทางที่จะมีคนสามารถสร้าง ‘อุปกรณ์ของจิ๋ว’ ของคุณเอริกะขึ้นมาได้หรอกนะคะ”
อาริสะที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกวิจัยและค้นคว้าของเมืองแพนเทร่าควบไปกับผู้ดูแลห้องควบคุมนั้นได้พูดเถียงเอริกะกลับไปด้วยความมั่นใจ เพราะว่าวิทยาการส่วนมากของเมืองแพนเทร่าถ้าไม่ได้เธอเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเองอย่างน้อยๆ มันก็ต้องผ่านตามาให้เธอตรวจสอบก่อนจะถูกเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน
ซึ่งท่าทางมั่นใจของอาริสะก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่นักประดิษฐ์สาวจะพูดอธิบายขึ้นมาให้เด็กสาวได้ฟัง
“ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยนะว่ามันเป็นฝีมือของมนุษย์อย่างพวกเธอนี่น่ะ เธอลืมไปแล้วหรอว่าหมอกพวกนี้มันเหมือนจะทะลักออกมาจากที่ไหนเป็นที่แรกน่ะ?”
“เมืองใต้ดิน… งั้นหรอคะ… ถ้าเกิดว่าเป็นที่นั่นก็น่าจะพอฟังขึ้นอยู่แหล่ะค่ะ…”
อาริสะที่ได้รับรู้เรื่องของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าที่ถูกย้ายลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้ดินและพอจะรู้ว่าที่เมืองมานาร์ฟนั้นเหมือนจะมีวิทยาการที่ดูก้าวหน้ายิ่งกว่าในยุคปัจจุบันเสียอีกได้พยักหน้าพูดพึมพำตอบกลับไปด้วยความเข้าใจ และเมื่อเอริกะเห็นว่าอาริสะเหมือนจะเข้าใจในจุดนี้แล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะพูดอธิบายขึ้นมาต่อในทันที
“แล้วเจ้าอุปกรณ์ขนาดจิ๋วจำนวนมากนั่นแหล่ะที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าพวกนั้นสามารถ ‘ซ่อมแซม’ ร่างกายที่ผุพังหรือเสียหายไปด้วยการใช้ตัวเองไปทดแทนเซลล์ที่ตายหรือเสียหายไปแล้วน่ะ… เอ่อ… เธอรู้จักคำว่าเซลล์หรือเปล่าน่ะ?”
“ดิฉันเคยได้ยินคุณเรย์มอนด์ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขพูดในการบรรยายเกี่ยวกับความรู้เรื่องทางการแพทย์อยู่น่ะค่ะ เห็นบอกว่าที่จริงแล้วร่างกายของคนเราประกอบกันขึ้นมาจากเซลล์นับล้านเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่างๆ กันหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้งคะ”
“เห… ความรู้ทางการแพทย์ของที่นี่ก็ไปไกลเหมือนกันนะ เผลอๆ น่าจะตามหลังรีมินัสอยู่แค่ไม่กี่สิบปีเองล่ะมั้งเนี่ย”
“แต่ถ้าเกิดว่าหมอกพวกนั้นสามารถทดแทนเซลล์ที่เสียหายไปได้แบบนั้นนี่มันเรื่องระดับการปฏิวัติวงการการแพทย์เลยนะคะ! ถ้าเกิดว่าทางโรงพยาบาลสามารถนำมันมาปรับใช้ได้ล่ะก็—”
“ช้าก่อนๆ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นฉันว่าเธอมองถึงสถานการณ์ในปัจจุบันก่อนจะดีกว่านะ~”
เอริกะที่เห็นท่าทางตื่นเต้นของเด็กสาวได้เอ่ยปากพูดขัดเธอขึ้นมาเสียก่อน และเมื่อเอริกะเห็นว่าเธอสามารถหยุดความตื่นเต้นของอาริสะได้แล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะพูดอธิบายขึ้นมาต่อในทันที
“สำหรับเรื่องหมอกพวกนี้น่ะขนาดฉันเองก็ยังไม่ค่อยจะรู้วิธีการทำงานของพวกมันสักเท่าไหร่เลย จะมีรู้ก็แค่ส่วนที่ยัยนัวร์เคยเอาเอกสารมาให้อ่านนั่นแหล่ะ แล้วยิ่งตอนนี้พวกเธอเองก็ยังไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการวิจัยพวกมันซะด้วยซ้ำล่ะนะ”
“ถึงคุณเอริกะจะพูดอย่างงั้นก็เถอะค่ะ แต่ว่า— ไม่สิ สำหรับตอนนี้สิ่งที่จำเป็นก็คือเอาตัวรอดจากตอนนี้ไปให้ได้ก่อนสินะคะ… แต่ไม่ใช่ว่าคุณเรย์มอนด์เคยบอกว่าเอาไว้ว่าเวลาที่คนเราตายไป เซลล์ต่างๆ ก็จะหยุดทำงานแล้วก็ค่อยๆ ย่อยสลายไปเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อยหรอกหรอคะ?”
อาริสะที่ถูกดึงให้กลับเข้าเรื่องได้พูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะต่อให้อุปกรณ์จิ๋วที่ประกอบกันเป็นหมอกที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่าอยู่จะสามารถซ่อมแซมและทดแทนเซลล์ต่างๆ ได้จริงๆ ก็ตาม แต่ทว่าร่างกายของคนที่เสียชีวิตไปแล้วก็มักจะเน่าเปื่อยจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมภายในเวลาไม่ถึงสามวันอยู่แล้ว
ซึ่งตรงจุดที่อาริสะชี้ขึ้นมานั้นเองก็ได้ทำให้เอริกะต้องเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป
“ก็ถ้าเป็นสถานการณ์ตามปกติมันก็เป็นแบบที่เธอว่ามาแหล่ะจ้ะ แต่ว่าที่เมืองของพวกเธอเนี่ยมีวิธีการพิเศษอยู่ในขั้นตอนทำศพที่แตกต่างจากเมืองอื่นอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ~?”
“หมายถึงพิธีการดองศพของเมืองเราน่ะหรอคะ…?”
“ปิ๊งป่อง~ ถูกต้องแล้วล่ะจ้ะ เพราะถึงเจ้าอุปกรณ์จิ๋วที่ว่านั่นจะสามารถฟื้นฟูเซลล์ของมนุษย์ที่เริ่มจะเน่าเปื่อยไปบ้างแล้วได้ก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่ามันเน่าถึงขั้นแขนหรือขาหลุดออกมาแล้วมันก็ค่อนข้างที่จะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง… ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีร่างที่ถูกเก็บเอาไว้ในสภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบในสุสานของเมืองนี้นั่นแหล่ะ~”
“แต่ถ้าเกิดว่าเอาศพที่ผ่านพิธีดองศพแล้วไปใช้งานแบบนั้นสมองของศพก็น่าจะเสียหายหนักเลยไม่ใช่หรอคะ…? เพราะเห็นคุณเรย์มอนด์บอกว่าสมองคือส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราเป็นมนุษย์เลยนี่คะ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมร่างกาย บุคลิคหรือว่าความทรงจำก็เหมือนว่าจะถูกเก็บเอาไว้ในเซลล์สมองทั้งหมด แล้วขอแค่ถูกกระทบกระเทือนหรืออะไรนิดหน่อยก็มีโอกาสที่เซลล์สมองจะเสียหายได้แล้วน่ะค่ะ”
“อ้าว พวกเธอรู้ไปถึงขั้นนั้นแล้วด้วยงั้นหรอเนี่ย… แต่ก็อย่างว่านั่นแหล่ะ สำหรับคนบางคนแล้ว ร่างเปล่าๆ ที่ไม่มีความทรงจำอะไรเลยมันก็สะดวกกว่ากันเยอะน่ะนะ”
“สะดวกกว่า…งั้นหรอคะ?”
คำตอบของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะผงะไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาพร้อมกับส่ายหางฟูๆ สีแดงของเธอไปมาด้วยท่าทางกังวลใจ
“อย่าบอกนะคะว่าคนที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไปเขาสนใจแค่ว่าจะเอาร่างกายไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้หรือเปล่าเฉยๆ น่ะคะ..?”
“ก็… จะว่าแบบนั้นก็คงจะไม่ผิดสักทีเดียวหรอก เพราะถ้าเกิดว่าร่างกายที่พวกเขาเอาไปใช้งานมีความทรงจำหรือว่าบุคลิกหลงเหลืออยู่ล่ะก็คงจะต้องเสียเวลาจับมาพูดคุยหรือบีบบังคับให้ทำตามที่สั่งใช่มั้ยล่ะ”
“แต่ว่าแบบนั้นมันไม่เรียกว่าการชุบชีวิตแล้วไม่ใช่หรือไงกันคะ!? นั่นมันก็แค่การเอาร่างของพวกเขามาทำเป็นหุ่นเชิดเฉยๆ เองไม่ใช่หรอคะ!?”
“ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงบอกไงล่ะว่าพวกคนที่พวกเธอจะต้องไปเจออาจจะไม่ใช่มนุษย์ซะด้วยซ้ำน่ะ… อีกอย่างนึงการชุบชีวิตแบบที่เธอเข้าใจนั่นน่ะก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ด้วย ติดแค่ตรงที่ว่าคนที่กำลังทำเรื่องนั้นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ใจดีแบบนั้นเท่านั้นเอง”
เอริกะพูดตอบอาริสะกลับไปหน้าตาเฉยราวกับว่าการทำอะไรแบบนั้นมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนทำให้อาริสะที่ได้ยินแบบนั้นชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะหันกลับไปมองทางด้านนอกหน้าต่างก่อนที่เธอจะพูดถามเด็กสาวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“แต่ว่านะ สำหรับตอนนี้น่ะสิ่งที่สำคัญที่ฉันอยากรู้จริงๆ ก็คือว่าในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่หมอกพวกนี้ปรากฏขึ้นมามีเรื่องคนที่ถูกโจมตีแล้วยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้วต่างหาก เธอพอจะมีข้อมูลเรื่องนี้หรือเปล่าน่ะอาริสะจัง?”
“เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนั่นน่ะหรอคะ? ถึงมันจะไม่ได้อยู่ในสายงานของดิฉันสักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้เคยถูกเสนอไปในที่ประชุมให้เป็นวาระเร่งด่วนแล้วล่ะค่ะ ถ้าดิฉันจำไม่ผิดล่าสุดน่าจะเกินสิบครั้งไปแล้วล่ะมั้งคะ… แต่ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์จิ๋วอะไรของคุณเอริกะนั่นน่าจะทำได้แค่เอาศพมาใช้งานไม่ใช่ทำร้ายคนไม่ใช่หรอคะ?”
“แต่ว่าก่อนที่จะเป็นศพได้ก็ต้องตายก่อนใช่มั้ยล่ะ?”
“นี่คุณเอริกะอย่าบอกนะคะว่าขอแค่มีคนตายอยู่ในหมอกพวกเขาก็จะสามารถนำร่างไปใช้งานได้ทันทีน่ะ…?”
คำพูดสั้นๆ ของเอริกะได้ทำให้อาริสะต้องขมวดคิ้วพูดถามกลับไป ซึ่งทางด้านเอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมา
“ต้องบอกว่าต่อให้ยังไม่ตาย แต่ถ้าเกิดว่าเจ้าของร่างไม่ได้ปฏิเสธการ ‘รักษา’ ที่ถูกหยิบยื่นให้แล้วยอมรับหมอกพวกนี้เข้าไปในร่างกาย มันก็ไม่ได้ต่างจากการยอมตอบตกลงมอบร่างไปให้เขาใช้งานหรอก ส่วนที่ในตอนแรกเขาเลือกใช้ศพในสุสานมากกว่ามันก็เป็นเพราะว่ามันสะดวกกว่าเฉยๆ น่ะ เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วพูดตอบปฏิเสธอะไรไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ…”
“นี่มันปีศาจชัดๆ …”
“อื้ม… ถึงฉันจะไม่ได้สนิทกับคนคนนั้นสักเท่าไหร่ แต่ก็เคยได้ยินคนเรียกคนคนนั้นว่าแบบนั้นอยู่หมือนกัน”
เอริกะพูดพึมพำตอบเด็กสาวกลับไปเบาๆ ในขณะที่ทางด้านอาริสะก็ได้พยายามที่จะนำข้อมูลที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้มาในการคิดแผนการรับมือใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นก็แปลว่ายิ่งส่งคนไปเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงจะเป็นการมอบกำลังคนให้ศัตรูมากขึ้นเท่านั้น… แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ต้องคัดเอาเฉพาะคนที่ไม่มีญาติหรือคนรู้จักที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปด้วยจะได้ไม่บังเอิญไปเจอกันคนพวกนั้น… แถมฐานหลักของศัตรูก็ยังอยู่ใต้ดินแถวๆ ใจกลางเมืองอีก…”
อาริสะที่พยายามคิดหาวิธีการรับมือที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาขยี้ศีรษะของตนแล้วจึงตัดสินใจที่จะพูดถามเอริกะขึ้นมา
“พวกเราจะเอาชนะศัตรูแบบนั้นได้จริงๆ หรอคะคุณเอริกะ? ”
“สำหรับพวกเธอในตอนนี้แล้วก็คงจะยากนั่นแหล่ะ เพราะนอกจากฐานหลักของศัตรูที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินและลงไปถึงได้ยากแล้ว พวกเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามีศพที่ถูกเปลี่ยนให้ไปเป็นพวกของศัตรูไปแล้วจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เพราะแบบนั้นฉันถึงได้เสนอแผนอพยพขึ้นมาเป็นอันดับแรกยังไงล่ะ”
“แต่ว่าต่อให้พวกเราอพยพผู้คนออกไปแล้วก็เถอะแต่ถ้าเกิดว่าพวกเราเอาชนะไม่ได้ประชาชนที่อพยพออกไปก็จะยังตกอยู่ในอันตรายอยู่ดีไม่ใช่หรอคะ…”
“ที่เธอกำลังกังวลอยู่นั่นมันในกรณีที่ถ้าเกิดว่าศัตรูของพวกเธอพร้อมที่จะบุกขึ้นมาข้างบนตอนนี้เลยต่างหากล่ะ ถึงฉันจะบอกว่าพวกเราไม่มีเวลาแล้วแต่ว่าเรื่องมันก็ยังไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกนะ”
เอริกะที่เห็นว่าอาริสะเริ่มที่จะส่ายหางไปมาด้วยท่าทีกังวลอีกครั้งหนึ่งแล้วได้พูดบอกเด็กสาวขึ้นมา แต่ถึงอย่างคำพูดของเอริกะในคราวนี้ก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวมีท่าทีที่ดูสงบลงเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่คุณเอริกะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะบุกขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่ใช่หรอคะ? ดิฉันว่าพวกเราทำเรื่องขอระดมพลเตรียมความพร้อมของกองทัพแพนเทร่าเผื่อเอาไว้ก่อนดีมั้ยคะ?”
“ถ้าเธออยากจะทำอย่างนั้นเผื่อเอาไว้ก่อนก็ตามสบายเลยจ้ะ แต่ว่าอย่าลืมล่ะว่าเธออาจจะอยากเก็บเรื่องที่ว่าเธอเคยลงไปเกือบจะถึงเมืองมาร์นาร์ฟเก่าแล้วเอาไว้เป็นความลับน่ะ เพราะว่าสำหรับคนอื่นๆ แล้วเรื่องเมืองใต้ดินนั่นมันก็เหมือนกับตำนานเมืองที่ไม่มีอยู่จริงนั่นแหล่ะ~”
เอริกะเอ่ยปากพูดเตือนอาริสะขึ้นมาโดยไม่ได้พูดห้ามปรามอะไรราวกับว่าเธออยากให้อาริสะได้คิดตัดสินใจถึงวิธีการปกป้องเมืองของเธอด้วยตัวเธอเอง ซึ่งคำเตือนของเอริกะก็ได้ทำให้อาริสะพยักหน้ากลับไปให้หญิงสาวนักประดิษฐ์เล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป
“ก็ถ้าเกิดว่าคุณเอริกะไม่ได้พาดิฉันลงไปที่นั่นด้วยตัวเองล่ะก็ ต่อให้จะมีใครมาบอกว่ามีสถานที่แบบนั้นอยู่จริงๆ ดิฉันก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหล่ะค่ะ…”
ปึ้ง!!
“ท่านอาริสะครับ!!”
แต่แล้วในขณะที่ทั้งสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ประตูของห้องที่พวกเธออยู่ก็ได้ถูกกระแทกจนเปิดออกเสียงดังลั่นจนทำให้อาริสะถึงกับสะดุ้งตกใจจนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมๆ กับที่ริวได้โผล่เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและนั่นก็ทำให้อาริสะต้องรีบพูดถามหัวหน้าหน่วยทหารส่วนตัวของเธอขึ้นมา
“คุณริว? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ? ไม่ใช่ว่าหน่วยของคุณโดนสั่งให้ไปตรวจสอบทางลงที่สุสานใต้ดินหรอกหรอคะ?”
“ตอนนี้สุสานใต้ดินนั่นโดนพังจนถล่มลงมาแล้วครับ!! แถมพวกเทรคกับเมซินก็ยังติดอยู่ข้างในด้วย ส่วนคนที่ลงมือทำเรื่องนั้นคือ…”
“อ—เอ๋ะ—? พวกคุณริวไปเจอกับศัตรูมาด้วยงั้นหรอคะ!? พวกเขาเป็นใครกันแน่คะ!?”
“พวกเขา… คนนึงเป็นผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าโจน่าหรือไม่ก็นาร์เซีย ส่วนอีกคนนึงคือ… คือท่านไมเคิลครับ…”
“ท…ท่านไมเคิลงั้นหรอคะ…?”
อาริสะที่ได้ยินคำพูดอธิบายของริวได้แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าตามที่เธอรู้และเข้าใจมาตลอดก็คือดยุคไมเคิลที่เป็นผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเคยอาศัยอยู่ในสมัยเด็กๆ คนนั้นถูกล่าสังหารจนเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนด้วยข้อหากบฏ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะที่ได้เห็นคราบเลือดแห้งกรังที่แผงควบคุมของทางลงห้องควบคุมและรอยเปื้อนบนแผงแป้นพิมพ์ที่อยู่ภายในห้องควบคุมก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ เพราะว่าเธอคาดเดาความเป็นไปได้ถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“ไมเคิลงั้นหรอ… เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยสินะเนี่ย…”
“คุณริวมั่นใจหรอคะว่าไม่ได้มองผิดไปน่ะ!? ถ้าเกิดว่าเขาเป็นท่านไมเคิลจริงๆ ล่ะก็เขาก็น่าจะจำพวกคุณที่เคยเป็นหน่วยทหารของเขามาก่อนได้ไม่ใช่หรอคะ!?”
ในขณะที่ทางด้านเอริกะได้ก้มหน้าลงทำท่าครุ่นคิดและพูดพึมพำออกมาเบาๆ อยู่นั้นเอง ทางด้านอาริสะที่รู้จักและสนิทสนมกับไมเคิลที่เคยเลี้ยงดูเธอมาก่อนในสมัยเด็กก็ได้พูดถามริวขึ้นมาเสียงดังจนทำให้ริวต้องพูดตอบเจ้านายคนปัจจุบันของเขากลับไป
“เขาจำพวกผมได้ครับ… แล้วเขาก็ยังฝากข้อความให้พวกผมมาบอกท่านอาริสะด้วยครับ…”
“ฝากมาบอกดิฉันงั้นหรอคะ?”
“ครับ… ท่านไมเคิลฝากมาบอกว่าให้ท่านอาริสะรีบหนีออกไปจากเมืองให้เร็วที่สุดน่ะครับ…”
“……….”
คำพูดของริวได้ทำให้อาริสะนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ก่อนที่เธอจะทรุดตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้อีกครั้งหนึ่งและพูดพึมพำออกมาด้วยท่าทางสับสน
“ท่านไมเคิลคนนั้นเนี่ยนะคะ… ทำไมกันล่ะคะ…”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
ในขณะที่อาริสะกำลังสับสนกับข้อมูลที่เธอได้รับอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกให้ริวเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อที่จะฟังรายงานจากเขา
“นี่คุณหัวหน้าหน่วย ช่วยมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นที่โบสถ์นั่นให้ฉันฟังทีสิ— อ่ะ—”
แต่ทว่าในขณะที่เอริกะกำลังจะพูดขอฟังรายงานจากริวนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีเขียวที่ขาดการติดต่อจากเธอไปกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจที่ฟังดูก็รู้ว่าแค่แสร้งทำไปเท่านั้นเอง
“เซซิเรีย? ฉันเห็นว่าเธอไม่รับสายก็เลยนึกว่าเธอถอนตัวจากเรื่องนี้ไปแล้วซะอีกนะเนี่ย~”
“ยุ่งน่า… แต่ว่าเธอได้ยินชื่อไมเคิลแบบนั้นก็น่าจะรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าพวกเรากำลังเจอปัญหากันแล้วน่ะ…”