Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 201 : Wiretapped
“ที่ฉันจำได้ก่อนที่จะหมดสติไปก็มีเท่านั้นล่ะ…”
รัซเซลที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่กลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงของเขาแอบลอบลงไปสำรวจเมืองใต้ดินได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยในตอนที่เขาเล่าจบก่อนที่เขาจะเงยหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้งและพูดบอกนากากับคุณสาวใช้ไซร่าขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจัง
“ถึงมันอาจจะเป็นไปได้ยากแต่ฉันเชื่อว่ายุยกับด็อคจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เพราะงั้นฉันถึงต้องรีบกลับลงไปที่ด้านล่างนั่น…”
“ถ้าจากที่ท่านรัซเซลเล่ามามันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ นั่นล่ะค่ะ…”
ไซร่าพยักหน้าพูดตอบรัซเซลกลับไปในขณะที่สายตาของเธอก็แอบเหลือบไปมองทางด้านนากาที่นั่งฟังอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
เพราะว่าจากที่คุณหนูไดเอน่าของเธอเคยเล่าให้เธอฟัง ดูเหมือนว่าถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อนากามูระคนนี้จะมีจิตใจดีชอบที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างวู่วามไม่ค่อยจะคิดหน้าคิดหลังถึงผลที่จะตามมาสักเท่าไหร่นักจนอาจจะมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะคิดแบกรัซเซลกลับไปข้างล่างนั่นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนๆ ของรัซเซลเดี๋ยวนี้เลยก็เป็นได้
“……..”
แต่ถึงแม้ว่าในคราวนี้นากาจะได้ยินว่ามีคนรู้จักของเขาอย่างยุยและด็อคผู้เป็นเพื่อนของรัซเซลตกอยู่ในอันตรายและเขาเองก็สามารถลงไปยังเมืองใต้ดินผ่านทางสุสานของทางโบสถ์ได้ก็ตามที นากาก็กลับนั่งขมวดคิ้วอยู่กับที่ไม่ได้รีบเร่งผลีผลามวิ่งออกไปช่วยคนอื่นเหมือนดั่งเช่นทุกทีและนั่นก็ทำให้คุณไซร่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครตัดสินใจทำอะไรฉันขอยืมอุปกรณ์สื่อสารของท่านนากาไปแจ้งให้คุณหนูทราบว่าแขกของพวกเราได้สติแล้วจะได้หรือเปล่าคะ?”
“อ่ะ—นี่ครับ สวมมันเอาไว้ที่ดูแล้วก็กดมันเอาไว้สักสองสามวิให้มีเสียงออกมาแล้วก็ลองพูดลงไปได้เลยครับ”
นากาที่ดูเหมือนว่าจะกำลังใช้ความคิดไม่ได้ผลีผลามวิ่งออกไปช่วยคนอื่นเหมือนทุกทีได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะล้วงเอาอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กของเอริกะออกมายื่นให้กับไซร่า
ซึ่งไซร่าที่ได้รับอุปกรณ์สื่อสารไปนั้นก็ได้ค้อมหัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วจึงค่อยเดินออกจากห้องพักของรัซเซลไป
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะนำมันมาคืนให้ทีหลังนะคะ”
“………”
ฟุ๊บ—
ในทันทีที่คุณไซร่าปิดประตูห้องกลับลงไปนั้นเอง รัซเซลที่ยอมนั่งพักอยู่บนเตียงก็ได้ผุดลุกกลับขึ้นมาและทำท่าเหมือนกับว่าจะหยิบเอาอุปกรณ์ของตนอย่างชุดเกราะหนังกับผ้าคลุมสีแดงที่ถูกกองทิ้งเอาไว้กลับมาสวมใส่อีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาต้องพูดห้ามขึ้นมาในทันที
“หยุดเลยนะนายน่ะ! สภาพแบบนั้นอย่าว่าจะกลับลงไปช่วยพวกยุยเขาเลย เผลอๆ จะเดินออกจากห้องนี้ยังไม่ไหวซะด้วยซ้ำล่ะมั้งน่ะ”
“เงียบน่า!! เด็กอย่างนายจะมาเข้าใจอะไร!! ทั้งด็อคทั้งยุยที่เป็นเหมือนกับครอบครัวของฉันกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนั้นนายจะให้ฉันยอมนอนอยู่เฉยๆ หรือไง!!”
“—!?”
คำพูดที่รัซเซลขึ้นเสียงพูดกลับมานั้นได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกัดฟันแน่นเป็นโอกาสให้รัซเซลได้ใช้จังหวะนี้ในการจัดเตรียมอุปกรณ์ของเขาอีกครั้งด้วยความรีบร้อน หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีเสียงพูดของนากาดังขึ้นมาให้เขาได้ยินอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมถึงจะไม่เข้าใจล่ะ… ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยอยู่ในสภาพแบบเดียวกับนายนั่นล่ะ”
“หมายความว่ายังไง…?”
เสียงของนากาที่ดังขึ้นมาเบาๆ ได้ทำให้รัซเซลต้องหยุดมือที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ของเขาและหันไปพูดถามนากาขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนที่หมู่บ้านโมริโกะของพวกเขาถูกโจมตีขึ้นมาให้รัซเซลได้ฟัง
“เห็นว่านายทำงานให้กับเอริกะเพราะงั้นก็น่าจะรู้เรื่องที่ว่าหมู่บ้านต่างๆ ถูกโจมตีเมื่อเดือนก่อนนั่นใช่มั้ยล่ะ… เมื่อตอนนั้นพอฉันได้ข่าวฉันก็รีบร้อนกลับไปช่วยหมู่บ้านของตัวเองในสภาพไม่เต็มร้อยเพราะเพิ่งจะสู้กับคนที่บุกมาโจมตีกำแพงเมืองรีมินัสเสร็จเหมือนกับนายที่บาดเจ็บอยู่ตอนนี้นี่ล่ะ”
นากาที่เริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนให้รัซเซลฟังได้เงียบเสียงไปเล็กน้อย และเมื่อเขาเห็นว่ารัซเซลเหมือนจะยอมฟังในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาเขาก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อในทันที
“ตอนนั้นในหัวของฉันก็มีแต่ว่าจะต้องรีบกลับไปช่วยทุกๆ คนในหมู่บ้านแล้วก็รีบเดินทางกลับไปทันทีโดยที่ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรแถมยังไม่ยอมฟังเสียงคนอื่นเลยซะด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ฉันรีบร้อนทำลงไปมันก็กลายเป็นภาระให้กับคนอื่นที่ต้องตามไปช่วยทีหลัง ทั้งปู่แม็กซ์ ทั้งอารอน ทั้งพรีมูล่า… เชื่อฉันเถอะว่านายใจเย็นลงเมื่อไหร่แล้วได้ใช้เวลาคิดตัดสินใจให้ดีๆ แล้วฉันจะไม่ห้ามนายเลยแม้แต่สักนิดเดียวน่ะ แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่ควรจะกลับไปที่นั่นทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมแบบนี้หรอก…”
“……….”
รัซเซลที่ได้ยินคำพูดของนากาได้นิ่งเงียบไปอีกคนหนึ่ง เพราะว่านากาที่อยู่เบื้องหน้าของเขานั้นดูไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นหุนหันพลันแล่นแบบที่เขาเคยได้พบและขอความช่วยเหลือในป่าข้างเมืองรีมินัสเมื่อสองสามเดือนก่อนเลยแม้แต่น้อย และกลับดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเขาเองที่กลายเป็นคนใจร้อนตัดสินใจตามอารมณ์ของตนเสียแทน
“นายนี่… โตขึ้นกว่าเมื่อตอนนั้นเยอะเลยนะ”
“หมายความว่ายังไงล่ะนั่น…”
“เฮ้อ… เอาเถอะ ฉันจะยังไม่กลับลงไปข้างล่างนั่นตอนนี้ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องไปบอกเรื่องนี้ให้เคนรู้ก่อนอยู่ดี พวกฉันปล่อยเขาเอาไว้ที่นั่นตั้งสัปดาห์นึงแล้ว เขาควรที่จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง”
รัซเซลที่พูดขึ้นมานั้นได้วางชุดเกราะและผ้าคลุมของเขากลับที่เดิมและทรุดตัวนั่งลงไปบนเตียง ในขณะที่ทางด้านนากาที่เห็นว่ารัซเซลไม่น่าจะผลีผลามไปไหนแล้วก็ได้พูดตอบเขากลับไปด้วยท่าทีใจเย็นด้วยเช่นเดียวกัน
“ถ้าหมายถึงคนที่ชื่อว่าเคนที่โดนพวกนายปล่อยให้เฝ้าทางลงสุสานใต้ดินนั่นเดี๋ยวฉันไปตามตัวมาให้เองก็ได้ วันนี้พวกฉันมีธุระที่โบสถ์นั่นอยู่แล้วน่ะ”
“แต่หมอนั่นไม่ค่อยจะฟังคนนอกกลุ่มสักเท่าไหร่ ให้ฉันไปเองเลยตั้งแต่แรกน่าจะดีกว่านะ”
“ไม่น่าเป็นไรหรอก เห็นเมื่อวานนี้โมโกะบอกว่าไปคุยกับเขามาแล้วว่าเอริกะส่งพวกเรามาช่วยตามหาตัวพวกนายที่แอบลงไปใต้ดินน่ะ ถ้าบอกไปว่าพวกเราเจอตัวนายแล้วเขาก็น่าจะเชื่ออยู่ล่ะมั้ง”
“ถ้าแบบนั้นก็ได้อยู่แหล่ะ”
รัซเซลพยักหน้าพูดตอบนากากลับไปและนั่นก็ทำให้นากาเห็นแบบนั้นพยักหน้าตอบกลับไปก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังโบสถ์ของโจน่าและมิคาเอลพร้อมกับเอ่ยปากพูดทิ้งท้ายเอาไว้
“ถ้างั้นวันนี้นายนอนพักคิดแผนไปก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเอาไว้ฉันตามตัวเคนมาได้แล้วค่อยตัดสินใจกันว่าจะเอายังไงต่อน่ะ”
“อื้ม…”
นากาที่เห็นว่าเขาตกลงกับรัซเซลได้แล้วนั้นไม่รอช้าที่เดินออกมาจากห้องพักของรัซเซลในทันที และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับคุณสาวใช้ไซร่าที่ยืนรออยู่หน้าห้องเพื่อคืนเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กให้กับเขา
“นี่เครื่องสื่อสารที่ฉันยืมไปเมื่อสักครู่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ… ผมคุยกับรัซเซลเขาเรียบร้อยแล้ว ถึงเขาดูเหมือนจะฟังที่ผมเสนอไปว่าให้รอวางแผนก่อนแต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะยอมจริงๆ หรือเปล่า ถ้ายังไงฝากคุณไซร่าเฝ้าเขาเอาไว้ด้วยนะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะจับตามองเขาเอาไว้ให้เอง… แต่ว่าเครื่องมือสื่อสารนั่นถึงจะดูเหมือนสะดวกแต่ว่าก็ใช้งานยากกว่าที่คิดเยอะเลยนะคะ”
“เอ๋ะ…? ก็แค่จิ้มมันเสร็จแล้วก็คุยได้เลยไม่ใช่หรอครับ?”
นากาที่ได้ยินคุณไซร่าพูดบ่นเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กอันน่าอัศจรรย์ของเอริกะขึ้นมานั้นได้เลิกคิ้วพูดถามเธอกลับไปและนั่นก็ทำให้คุณไซร่าต้องพูดอธิบายขึ้นมา
“ฉันหมายถึงว่าเวลาอีกฝั่งหนึ่งพูดตอบกลับมาแล้วมันได้ยินไม่ค่อยชัดเลยน่ะค่ะ เวลาท่านนากาใช้มันไม่ได้เป็นแบบนี้หรอคะ?”
“ไม่นะครับ คุณไซร่าพอจะอธิบายได้หรือเปล่าน่ะครับว่ามันเป็นยังไงน่ะ?”
คำพูดของคุณไซร่าที่พูดเหมือนกับว่าตัวเครื่องมือสื่อสารของเอริกะมีปัญหาบางอย่างได้ทำให้นากาต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัยปนกังวล และนั่นก็ทำให้คุณไซร่าที่เห็นแบบนั้นจำเป็นต้องพยายามที่จะพูดอธิบายขึ้นมาให้เขาได้ฟัง
“ตอนที่คุณหนูไดเอน่าพูดตอบกลับมามันมีเสียงเหมือนกับ…คลื่นทะเล…? ไม่ก็เสียงเหมือนเวลาฝนตกหนักดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะน่ะค่ะ ฉันเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ต้องขออภัยด้วยนะคะ”
“ม—ไม่เป็นไรหรอกครับ! เดี๋ยวเอาไว้ผมจะไปบอกเรื่องนี้กับเอริกะเขาให้เอง ว่าแต่โมโกะเขายังอยู่ที่ห้องทานอาหารหรือเปล่าน่ะครับ?”
นากาที่เห็นคุณสาวใช้ไซร่าค้อมหัวให้ตนนั้นได้รีบพูดตอบกลับไปอย่างลนลานก่อนที่เขาจะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ซึ่งทางด้านไซร่าก็ได้พูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ของเธอ
“ถ้าเป็นท่านโมโกะล่ะก็เหมือนจะเล่นกับคุณหนูอีฟอยู่ที่ห้องนั่งเล่นน่ะค่ะ ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีนะคะท่านนากา”
ไซร่าที่รู้ว่านากากับโมโกะมีแผนที่จะออกไปทำงานให้เอริกะอยู่ก่อนแล้วได้ค้อมหัวให้เขาอีกครั้งก่อนที่เธอจะเดินจากไปอีกทางจนทำให้นากาที่ไม่ค่อยจะคุ้นชินกับความสุภาพสักเท่าไหร่นักได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะของตนเองด้วยท่าทางลำบากใจ
แต่ถึงอย่างนั้นนากาก็รู้ตัวดีว่าเขาคงจะห้ามอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เขาจึงได้แต่เดินตรงไปทางห้องนั่งเล่นที่อยู่ในโซนด้านหน้าคฤหาสน์ก่อนที่ทันใดนั้นเองเจ้าหนูอีฟจอมซนจะเปิดประตูออกมาทักทายเขาก่อนที่เขาจะเดินไปถึงเสียอีก
“—!!”
“เสร็จแล้วหรอนากา เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ตามแผนเดิมนั่นแหล่ะ พวกเราไปที่โบสถ์คุยธุระให้เสร็จ เสร็จแล้วก็ไปบอกเคนเขาว่าเจอตัวรัซเซลแล้วแล้วก็พาเขามากับเราน่ะ”
นากาพูดตอบโมโกะที่เดินตามหลังอีฟออกมาจากห้องกลับไปก่อนที่เขาจะออกแรงอุ้มอีฟขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งอีฟที่ถูกอุ้มขึ้นไปนั้นก็ได้ตีไปที่แขนของนากาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะปีนไปทางด้านหลังนากาเพื่อขี่คอของเขาแทนจนทำให้โมโกะที่เห็นแบบนั้นหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไป
“ถ้างั้นจะไปกันเลยหรือเปล่า? ยัยหนูนี่คึกจนฉันจะคุมไม่อยู่แล้วเนี่ย”
“~~~”
“ก็นั่นสินะ… ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
นากาที่ได้ยินโมโกะพูดบ่นออกมานั้นได้ยิ้มพูดตอบเธอกลับไปก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากตัวบ้านพักตากอากาศของไดเอน่าไป
แต่ทว่าในทันทีที่นากาก้าวเท้าพ้นประตูบ้านไปนั้นเขาก็ต้องชะงักไปด้วยความตกใจ เพราะว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ด้านในสวนหน้าคฤหาสน์นั้นก็คือร่างของหญิงสาวผมสีเขียวในเครื่องแบบทางการทหารหรือก็คือเซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะยืนกอดอกรอพวกเขามาได้สักพักหนึ่งแล้วนั่นเอง
“—!?”
“ออกมากันได้สักทีนะ”
“เฮ้ย—!?”
ภาพของเซซิเรียที่ยืนกอดอกรอคอยพวกเขาอยู่นั้นได้ทำให้นากาสะดุ้งสุดตัวในขณะที่ทางด้านโมโกะที่เห็นท่าทางของนากาเองก็ได้รีบอุ้มตัวอีฟที่ขี่คอของนากาอยู่ลงมาและพูดถามขึ้นมาในทันที
“รู้จักผู้หญิงคนนั้นด้วยหรอนากา?”
“ก็ที่เมื่อวานนี้เวก้าหนีไปได้ก็เพราะยัยนี่เข้ามาแทรกนั่นแหล่ะ!”
“ถึงขั้นเรียกกันว่า ยัยนี่ เลยหรอ….”
เซซิเรียที่ได้ยินคำสรรพนามที่นากาใช้เรียกเธอนั้นถึงกับคิ้วกระตุกไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ค่อนข้างจะเข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอยืนอยู่คนละฝ่ายกันกับเอริกะอย่างแน่นอนเนื่องจากว่าทั้งสองครั้งที่พวกเธอเคยเจอหน้ากันไม่ว่าจะเป็นที่ลานกว้างหน้าปราสาทกราวิทัสหรือในตรอกมืดเมื่อวานนี้ก็มีเหตุให้เธอกับเขาต้องปะทะกันอยู่ทุกครั้งไป
และเมื่อคิดได้อย่างนั้นเซซิเรียก็ได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอไม่ได้พกอาวุธมาด้วยและไม่ได้มีเจตนาที่จะต้องการต่อสู้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ใจเย็นๆ ก่อน ที่ฉันมานี่เพราะว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเฉยๆ ไม่ได้กะจะมาหาเรื่องอะไรหรอกน่า”
“ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอเพิ่งจะเข้ามาขวางจนเวก้าหนีไปได้น่ะนะ!?”
ถึงแม้ว่าเซซิเรียจะชูมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อแสดงว่าเธอไม่ได้พกพาอาวุธมาด้วยก็ตามที แต่ว่าทางด้านนากาก็ไม่ได้คลายความระมัดระวังลงเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าในเมื่อครั้งที่เขากับเซซิลช่วยกันรับมือหญิงสาวเบื้องหน้าที่เมืองกราวิทัสนั้นเขาจำได้อย่างขึ้นใจว่าอีกฝ่ายสามารถที่จะสร้างหอกคริสตัสสีเขียวขึ้นมาใช้เป็นอาวุธได้ทุกเมื่อ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ทางด้านเซซิเรียที่ได้ยินแบบนั้นต้องพูดอธิบายขึ้นมาและหยิบเอาสิ่งที่เธอคิดว่าน่าจะใช้มันเกลี้ยกล่อมนากาได้ขึ้นมาให้เขาดู
“ก็นั่นมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดต่างหากเล่า เอ้านี่ ลองดูนี่ มีแค่พรรคพวกของเอริกะเท่านั้นที่จะมีเจ้านี่ได้ใช่มั้ยล่ะ?”
“นั่นมัน—”
สิ่งที่เซซิเรียหยิบออกมาให้นากาดูนั้นก็คืออุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กอีกเครื่องหนึ่งนั่นเอง ซึ่งในทันทีที่นากาเห็นแบบนั้นเขาก็ได้เบิ่งตากว้างก่อนที่เขาจะตะครุบไปที่ใบหูของตนเองที่สวมใส่เครื่องมือสื่อสารเอาไว้และพบว่ามันว่างเปล่าไปเสียแล้ว
“นี่เธอขโมยมันไปตอนไหนกัน!”
“ใครขโมยกันหะ!? นี่มันเครื่องสื่อสารของฉัน!! ส่วนของนายน่ะอยู่ในมือเด็กนั่นแล้วต่างหากเล่า!!”
คำพูดกล่าวหาของนากาในคราวนี้ได้ทำให้เซซิเรียต้องขึ้นเสียงพูดเถียงกลับมาเสียงดังและชี้ให้นากาดูเครื่องมือสื่อสารของสีดำเขาที่ตกอยู่ในอุ้งมือของอีฟที่เพิ่งจะปีนขึ้นไปขี่คอเขาเล่นเมื่อสักครู่นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเมื่อเซซิเรียตวาดออกมาจนจบแล้วเธอก็ได้ยกมือขึ้นมากุมขมับเล็กน้อยก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดอธิบายขึ้นมาให้พวกเด็กๆ ฟังตรงๆ
“ฉัน เซซิเรีย เป็นหนึ่งในเพื่อนเก่าของเอริกะเขา ถึงจะไม่ได้ทำงานให้เอริกะตรงๆ เหมือนพวกเธอหรือว่ายัยเอรินั่นแต่ก็ยังตกลงร่วมมือกันอยู่ แล้วอีกอย่างนึงฉันก็เป็นหัวหน้าของกลุ่มที่นิลิมสังกัดอยู่ด้วย ถึงนิลิมเขาน่าจะไม่เคยเล่าให้นายฟังก็เถอะ”
“หัวหน้ากลุ่ม…? ของคุณแม่?”
“ถึงฉันจะไม่ได้อยากเป็นสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าที่ผ่านมานิลิมกับฉันก็ทำงานด้วยกันมาตลอด จะมีก็แค่ช่วงนี้ที่นิลิมเขาขอหยุดพักอยู่ที่คลินิกของอารอนนั่นล่ะ”
“เขาอาจจะพูดจริงก็ได้ล่ะมั้งนากา… ฉันสังเกตดูแล้วเขาไม่ได้แอบรวบรวมวิซเอาไว้เผื่อจะแอบโจมตีเลยสักนิดนึงน่ะ…”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังพูดอธิบายออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านโมโกะก็ได้แอบกระซิบบอกนากาขึ้นมาจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นพยักหน้ากลับไปให้เธอเล็กน้อยและลดมือของเขาที่พร้อมจะเปลี่ยนกำไลข้อมือสีขาวที่เขาได้รับมาจากอลิซให้เป็นดาบเปื้อนเลือดเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ลง และนั่นก็ทำให้เซซิเรียพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเก็บเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่เธอนำออกมาโชว์ให้นากาดูกลับไปเช่นเดียวกัน
“น่าจะพอวางใจกันได้แล้วสินะ ฉันจะได้เข้าเรื่องสักที”
“ถ้าเธอบอกว่าเธอเองก็คอยช่วยงานเอริกะแล้วถ้างั้นทำไมที่ผ่านมาเธอถึงเข้ามาขวางฉันเอาไว้ตั้งสองรอบล่ะ? ทั้งเมื่อวานนี้ทั้งเมื่อตอนที่เจอกันที่เมืองกราวิทัสนั่นด้วยน่ะ?”
“ต้องบอกว่าเจ้าหนูเวก้านั่นดันไปรู้เรื่องที่เอริกะยังไม่รู้เสร็จแล้วพวกนายก็ดันเข้ามาขวางเอาไว้จนเขาเสียโอกาสต่างหากล่ะ ส่วนเรื่องที่เมืองกราวิทัสนั่นฉันกำลังรีบวิ่งตามทีเอร่าที่วิ่งนำไปก่อนแล้วอยู่ดีๆ พวกนายก็ดันเข้ามาขวางเอาไว้แถมยังเป็นฝ่ายชักอาวุธออกมาก่อนด้วยไม่ใช่หรอไง?”
เซซิเรียที่ได้ยินคำถามของนากาได้ขมวดคิ้วพูดตอบเด็กหนุ่มกลับไปด้วยท่าทีที่ติดออกจะไปทางหงุดหงิดเล็กน้อย ในขณะที่ทางด้านนากาเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนอยู่ที่ปราสาทกราวิทัสเขาก็ได้เห็นเด็กสาวหูแมวผมสีดำในชุดซิสเตอร์วิ่งฝ่ากลุ่มของพวกเขาไปก่อนที่จะมีกลุ่มทหารและเซซิเรียวิ่งตามมาทีหลังจริงๆ
“อ่ะ— เออแฮะ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมหน้าตาคุ้นๆ เด็กเมื่อตอนนั้นคือทีเอร่าเองหรอเนี่ย”
“ต..แต่ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ทำไมเวก้าเขาถึงหายเงียบไปแทนที่จะรายงานให้เอริกะรู้ล่ะ…”
ในขณะที่ทางด้านนากาเหมือนจะยอมรับว่าสิ่งที่เซซิเรียพูดขึ้นมาเป็นความจริงไปแล้วนั้น ทางด้านโมโกะก็ได้พูดถามขึ้นมาเบาๆ ในจุดที่เธอคิดว่ามันน่าสงสัย เพราะถ้าเกิดว่าเวก้าไปรู้เรื่องอะไรมาจริงๆ ทำไมเขาตัดสินใจที่จะไม่รายงานไปหาเอริกะและออกไปทำอะไรสักอย่างโดยทิ้งทีเอร่าเอาไว้คนเดียวเสียอย่างนั้น
ซึ่งทางด้านเซซิเรียที่ได้ยินคำถามของโมโกะก็ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะตนเองเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบโมโกะกลับมา
“ก็ปัญหามันอยู่ที่เครื่องมือสื่อสารนั่นล่ะ ตั้งแต่ที่พวกเธอมาที่นี่พวกเธอน่าจะได้ยินมันส่งเสียงแปลกๆ ออกมากันบ้างแล้วใช่มั้ยล่ะ ไอ้เสียงเหมือนกับฝนตกหนักไม่ก็เสียงคลื่นทะเลนั่นน่ะ”
“เสียงฝนไม่ก็เสียงคลื่นงั้นหรอ…? เมื่อกี้นี้คุณไซร่าก็พูดอะไรแบบนั้นเหมือนกันนี่นะ…”
“เมื่อกี้นี้ตอนคอนแนลใช้คุยกับไดเอน่าเขาก็พูดอย่างงั้นเหมือนกันน่ะ…”
“……หะ?”
คำพูดพึมพำของนากาได้ทำให้เซซิเรียต้องเลิกคิ้วหันไปมองเขาด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะพูดถามพวกเด็กๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พูดแบบนั้นอย่าบอกนะว่าพวกเธอเพิ่งจะใช้งานเครื่องสื่อสารกันไปน่ะ…?”
“ถ้าเพิ่งจะใช้ไปแล้วมันจะทำไมล่ะ?”
“พวกเธอพูดอะไรผ่านเครื่องสื่อสารไปบ้าง!?”
“เอ๋ะ? เอ่อ… ก็แค่ไดเอน่าเขาติดต่อมาบอกว่าขอยืมคนสักคนไปช่วยงานที่สุสานหลวงสักหน่อยน่ะ”
“งั้นหรอ… ถ้าแค่นั้นก็ไม่น่าเป็นอะไรหรอก เฮ้อ…”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของนากาได้ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางโล่งอก แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนากาที่เห็นท่าทางร้อนรนของเซซิเรียก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เครื่องสื่อสารมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะ?”
“ตัวเครื่องสื่อสารมันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ที่เป็นปัญหาน่ะก็คือการที่ในตอนนี้มีคนกำลังแอบดักฟังการสื่อสารในเขตแพนเทร่านี่อยู่ต่างหากล่ะ”
“หะ…?”
คำพูดของเซซิเรียในคราวนี้ได้ทำให้นากาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไปด้วยความตกใจเพราะไม่นึกว่าอุปกรณ์สื่อสารของเอริกะที่เขาไม่เคยเข้าใจวิธีการทำงานของมันเลยแม้แต่น้อยจะสามารถถูกคนนอกแอบดักฟังได้ด้วยแบบนั้น
“นี่เธอกำลังจะบอกว่าอุปกรณ์สื่อสารของเอริกะมันถูกคนนอกแอบดักฟังได้ด้วยงั้นหรอ…!?”
“อื้ม… เพราะงั้นจนกว่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จพวกฉันก็เลยต้องหยุดใช้เครื่องสื่อสารไปก่อนก็เลยรายงานไปหาเอริกะไม่ได้นั่นล่ะ”
“แต่การดักฟังหรือแทรกแซงเครื่องมือสื่อสารของเอริกะมันไม่น่าจะทำได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรอ เห็นว่าเอริกะเขาวางเอ่อ… ระบบป้องกัน หรือว่าอะไรสักอย่างเอาไว้ด้วยนี่?”
นากาพยักหน้าให้กับคำอธิบายของเซซิเรียด้วยความเข้าใจก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะในตอนที่พาเทียซ์พยายามที่จะแทรกแซงเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กเพื่อติดต่อมาหาเขาในระหว่างการสอบของอลิซนั้นหญิงสาวในความฝันของเขาบอกว่าเธอถูกระบบป้องกันของเอริกะเล่นงานเข้าให้จนอะไรสักอย่างไหม้จนต้องพักรักษาตัวเป็นเดือนเลยซะด้วยซ้ำ
ส่วนทางด้านเซซิเรียที่เข้าใจไปว่าเอริกะคงจะเคยพูดอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือสื่อสารให้นากาฟังก็ได้เอ่ยปากพูดตอบกลับมาแบบไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ถ้าเป็นคนทั่วๆ ไปที่พยายามจะเข้าไปยุ่งกับระบบสื่อสารของเอริกะก็น่าจะเสร็จระบบป้องกันนั่นไปแล้วนั่นล่ะ แต่ว่าคราวนี้มันดันเป็นเรื่องร้ายแรงกว่านั้นนี่สิ…”
“เรื่องร้ายแรง? อย่าบอกนะว่านั่นเป็นสาเหตุที่เวก้าเขาขาดการติดต่อกับเอริกะไปน่ะ?”
“เฮ้อ… ตอนแรกที่หมอนั่นหนีไปมันเป็นอีกเรื่องนึง แต่ว่าพอได้รู้ความจริงแล้วก็ดันมาเจอปัญหาเรื่องมีคนดักฟังเครื่องสื่อสารอยู่จนติดต่อกลับไปไม่ได้นั่นล่ะ แถมพอจะกลับไปหาทีเอร่าเด็กคนนั้นก็ดันไปอยู่ที่เดียวกับตัวปัญหาที่ว่าอีก”
“ที่เดียวกัน…? หมายถึงโบสถ์เก่าแถวกลางเมืองใกล้ๆ สวนสาธารณะนั่นน่ะนะ!? แบบนั้นไม่ใช่ว่าทีเอร่ากำลังตกอยู่ในอันตรายหรอกหรอ!?”
คำพูดของเซซิเรียได้ทำให้นากาผงะไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดถามกลับไปในทันที แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียก็กลับไม่ได้มีท่าทีกังวลใจอะไรมากนักและพูดตอบเขากลับมาด้วยท่าทีที่ไม่ได้ดูร้อนรนอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก คนที่พยายามดักฟังการสื่อสารนั่นเหมือนจะเพิ่งทำสำเร็จได้เมื่อเร็วๆ นี้เองน่ะ แต่ว่าที่ผ่านมามันมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลรั่วไหล เพราะงั้นฉันกับเวก้าก็เลยหยุดการใช้เครื่องสื่อสารเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่ว่าก็ไม่มีโอกาสได้ไปบอกทีเอร่าสักทีเพราะว่าเธออยู่ใกล้กับเป้าหมายตลอดน่ะ”
“งั้นหรอ ถ้างั้นก็พอจะโล่งใจไปได้บ้างล่ะมั้ง แต่ยังไงเดี๋ยววันนี้พวกฉันจะต้องไปหาทีเอร่าที่โบสถ์อยู่แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกเรื่องนี้ให้ทีเอร่าเขาเองก็แล้วกัน”
นากาที่ได้ยินว่าทีเอร่าน่าจะยังคงปลอดภัยอยู่ได้แสดงท่าทีโล่งใจออกมาก่อนที่เขาจะพูดบอกเซซิเรียไป ในขณะที่ทางด้านโมโกะที่กำลังคุมตัวอีฟเอาไว้ไม่ให้ก่อเรื่องซนแต่ก็ยังคอยฟังการสนทนาอยู่ด้วยหูแมวข้างเดียวของเธอก็ได้พูดเตือนนากาเกี่ยวกับเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งในวันนี้ขึ้นมาด้วย
“แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าพวกเราต้องไปบอกเคนว่าเจอตัวรัซเซลที่แอบลงไปในสุสานใต้ดินแล้วด้วยน่ะ”
“อ่า ไม่ลืมหรอกน่า”
คำเตือนของโมโกะได้ทำให้นากาหันไปพยักหน้าพูดตอบเธอกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียที่ได้ยินคำเตือนของโมโกะด้วยกันก็กลับขมวดคิ้วก่อนที่เธอจะพูดถามพวกเด็กๆ ขึ้นมา
“สุสานใต้ดินงั้นหรอ?”
“อื้ม… เห็นว่าเอริกะเขาไปจ้างพวกทหารรับจ้างที่เป็นคนรู้จักของฉันมาทำงานที่นี่ แล้วก่อนหน้านี้พวกเขาแอบลงไปก่อเรื่องที่สุสานใต้ดินของโบสถ์ที่ทีเอร่าไปขออาศัยอยู่เอริกะก็เลยส่งพวกฉันมาให้ช่วยตามหาตัวน่ะ”
“สุสานใต้ดินของโบสถ์ที่ทีเอร่าไปอยู่น่ะหรอ… ยัยตัวแสบนั่นดวงดีผิดเวลาจริงๆ … ว่าแต่ที่บอกว่าเจอตัวนั่นอย่าบอกนะว่านายรัซเซลอะไรที่ว่านั่นไปหลงทางอยู่ข้างในนั้นน่ะ?”
“เอ่อ…”
นากาที่ได้ยินคำถามของเซซิเรียได้ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะตนเองเล็กน้อย เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกเรื่องงานตามหาคนหายของเอริกะให้กับเซซิเรียที่อ้างว่าเป็นคนรู้จักของเอริกะดีหรือเปล่าจนทำให้โมโกะที่เห็นแบบนั้นต้องยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกนากาก่อนที่เธอจะก้มตัวลงไปเล่นกับอีฟที่เริ่มจะอยู่ไม่สุขจากการต้องยืนรอพวกผู้ใหญ่คุยกันแล้ว
“บอกไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง ดูแล้วน่าจะพูดความจริงไม่มากก็น้อยนั่นแหล่ะเพราะจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังสัมผัสไม่ได้เลยว่าเขาแอบเตรียมวิซเอาไว้เผื่อจะลอบโจมตีหรือเปล่าน่ะ”
“อื้ม… ถ้างั้นก็เอาเป็นว่า— เอ่อ…”
“……..”
ในขณะที่นากากำลังจะหันไปเล่าเรื่องของรัซเซลให้เซซิเรียฟังอยู่นั้นเอง เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าในขณะนี้เซซิเรียกำลังขมวดคิ้วจ้องมองไปที่อีฟด้วยท่าทีครุ่นคิดจนทำให้นากาต้องขยับตัวเข้าไปบังหน้าก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าเธอลองบอกมาก่อนสิว่าที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของเอริกะนั่นหมายความว่ายังไงน่ะ เพราะเรื่องตามหาคนหายนี่มันเกี่ยวข้องกับงานที่เอริกะสั่งพวกฉันเอาไว้… แล้วถึงเธอจะบอกว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มของคุณแม่ก็เถอะแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับคำสั่งมาจากเอริกะใช่มั้ยล่ะ”
“เฮ้อ… ถ้าจะให้พูดล่ะก็ฉันเป็นเพื่อนเก่าของเอริกะที่รู้จักกับยัยนั่นมานานพอๆ กับอารอนนั่นล่ะ แล้วที่ฉันถามนี่ก็เป็นเพราะว่าแค่อยากจะรู้ว่าพวกคนที่แอบลงไปข้างล่างนั่นไปทำอะไรมาบ้างจะได้ไปแก้ไขได้ถูกจุดไม่ได้คิดจะไปลงโทษสักหน่อย”
“รู้จักมานานพอๆ กับอารอนงั้นหรอ… อ่ะ—”
ในขณะที่นากากำลังเลิกคิ้วแปลกใจกับคำตอบของเซซิเรียอยู่นั้นเอง อยู่ๆ อีฟที่เขาขยับตัวมาบังเอาไว้ก็ได้ยื่นหน้าออกมาจ้องมองเซซิเรียก่อนที่เด็กสาวจะกระโดดออกมาจากด้านหลังของนากาและเดินเข้าไปเอียงคอยืนมองเซซิเรียใกล้ๆ ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ของเธอเหมือนกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง
ซึ่งในทันทีที่เซซิเรียได้เห็นหน้าตาของอีฟชัดๆ นั้นเองเธอก็ได้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเงยหน้ากลับขึ้นไปมองหน้านากาและพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้นกันนะ… เอาเถอะ… ฉันก็บอกเรื่องของฉันกับเอริกะไปแล้ว ทีนี้พวกเธอจะบอกได้หรือยังล่ะว่าคนรู้จักที่ว่านั่นไปทำอะไรมาที่เมืองใต้ดินน่ะ?”
“เธอรู้เรื่องของเมืองใต้ดินด้วยงั้นหรอ?”
นากาที่ได้ยินเซซิเรียพูดถึงเรื่องของเมืองใต้ดินได้พูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้เซซิเรียแทบจะต้องถอนหายใจออกมา
“ฉันก็เพิ่งจะบอกไปไม่ใช่หรือไงว่าฉันเป็นเพื่อนเก่าของเอริกะน่ะ พวกเพื่อนเก่าของเอริกะอย่างพวกฉันก็รู้เรื่องเมืองนั้นกันทุกคนนั่นล่ะ”
“อ่า… ก็นั่นสินะ ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ ก็เป็นอะไรประมาณว่าพวกเขาที่เป็นทหารรับจ้างเห็นโอกาสที่จะได้ลงไปสำรวจใต้ดินของเมืองแพนเทร่าที่เขาลือกันก็เลยแอบลงไปสำรวจกัน แต่ว่าพอลงไปถึงยังไม่ทันจะได้สำรวจอะไรก็โดนทหารของเมืองแพนเทร่าที่อยู่ข้างล่างนั่นโจมตีแถมยังโดนยิงถล่มด้วยปืนใหญ่หรืออะไรสักอย่างก็เลยต้องรีบหนีกลับขึ้นมาแต่ก็รอดกลับมาได้แค่คนเดียวน่ะ”
“ทหารของเมืองแพนเทร่างั้นหรอ…?”
“อื้ม เห็นบอกว่ามีหลายหน่วยคละๆ กันไปด้วยน่ะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่าตราประจำหน่วยของทหารข้างล่างนั่นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ของแพนเทร่าแน่ๆ ล่ะ”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าต้นเหตุไม่ใช่พวกเขางั้นสินะ…”
เซซิเรียที่ได้ยินคำตอบของนากาได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิดและพูดพึมพำออกมาเบาๆ เหมือนกับว่าเธอรู้ข้อมูลอะไรบางอย่างอยู่แล้ว ในขณะที่ทางด้านอีฟที่เมื่อสักครู่นี้เหมือนจะให้ความสนใจในตัวเซซิเรียก็ได้ละความสนใจออกมาจากหญิงสาวและเดินตรงกลับมาชูแขนทั้งสองข้างให้กับนากาอันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอต้องการให้เขาอุ้มขึ้นนั่นเอง
ซึ่งทางด้านนากาที่เห็นแบบนั้นก็ได้อุ้มตัวอีฟขึ้นมาขี่คอของเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาเซซิเรียและเอ่ยปากพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา
“ว่าแต่แล้วเธอจะให้ฉันเอายังไงกับเรื่องของทีเอร่าล่ะ จะฝากพวกฉันไปบอกอะไรหรือเปล่าเพราะเดี๋ยวหลังจากนี้พวกฉันก็มีนัดที่โบสถ์ที่ทีเอร่าเขาอยู่อยู่แล้วน่ะ…. แล้วไหนจะยังมีเรื่องของเวก้ากับซิสเตอร์โจน่าเขาอีก…”
“ตอนแรกฉันว่าจะแอบแวะไปบอกทีเอร่าเขาเองหลังจากนี้น่ะ แต่ถ้าพวกเธอ—”
กรุ๊งกริ้ง…
“—!!”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังจะพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงแว่วๆ ของกระดิ่งอันเล็กๆ ดังขึ้นมาให้ทุกๆ คนได้ยิน จนทำให้ทั้งเซซิเรียและอีฟต่างพากันหันขวับไปทางด้านถนนนอกตัวคฤหาสน์กันในทันที
แต่ถึงแม้ว่าทั้งเซซิเรียที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการต่อสู้ได้อย่างเก่งกาจและอีฟที่มีประสาทสัมผัสดีเลิศจนถึงขั้นไม่ต้องใช้ตามองจะมีปฏิกิริยาเหมือนกัน ทางด้านนากาและโมโกะก็กลับพูดพึมพำออกมาด้วยความไม่มั่นใจ
“เมื่อกี้นี้มันเสียงกระดิ่งหรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน… เสียงมันเหมือนดังแว่วๆ แต่ก็ได้ยินชัดเกินไปกว่าจะเรียกว่าหูแว่วนะ…”
“…….!”
ในขณะที่โมโกะกำลังพูดตอบนากากลับไปอยู่นั้นเอง ทางด้านอีฟก็ได้ขยับตัวไปมาเพื่อที่จะพยายามลงจากหลังของนากาก่อนที่เธอจะดึงชายเสื้อของโมโกะไปทางด้านตัวคฤหาสน์ราวกับว่าอยากจะกลับเข้าไปข้างใน
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่โมโกะหรือนากาจะได้พูดถามอะไรเด็กสาวทางด้านเซซิเรียที่จ้องเขม็งไปทางด้านนอกตัวคฤหาสน์ก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดถามพวกนากาขึ้นมา
“พวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วงั้นหรอ… แต่ว่าทำไมถึงมาที่นี่…หรือว่า— เมื่อตอนที่พวกเธอใช้เครื่องสื่อสารได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนที่รอดออกมาจากเมืองใต้ดินนั่นไปหรือเปล่า!?”
“เอ๋ะ…? เอ่อ… เมื่อกี้นี้คุณไซร่าเขาเพิ่งจะขอยืมเครื่องสื่อสารไปบอกไดเอน่า— เฮ้ย!? แล้วเครื่องมือสื่อสารมันถูกดักฟังอยู่นี่หว่า!? โมโกะพาอีฟเข้าไปหลบข้างในบ้านก่อนเร็ว!!”
นากาที่กำลังจะพูดตอบเซซิเรียกลับไปนั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่นี้คุณไซร่าเพิ่งจะขอยืมเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของเขาไปเพื่อแจ้งข่าวให้ไดเอน่าทราบว่ารัซเซลฟื้นกลับขึ้นมาแล้วและรีบร้องสั่งโมโกะขึ้นมาในทันทีจนทำให้โมโกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพาอีฟเข้าไปหลบด้านในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
กรุ๊งกริ๊ง~
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่โมโกะจะได้หลบเข้าไปด้านในตัวบ้านซะด้วยซ้ำ ที่ด้านหน้ารั้วของบ้านพักตากอากาศของไดเอน่าก็ได้ปรากฏร่างเงาตะคุ่มๆ ของนายทหารในชุดเกราะของเมืองแพนเทร่าที่ถือขวานศึกขนาดใหญ่เอาไว้ในมือขึ้นมา
ซึ่งในทันทีที่เซซิเรียเห็นแบบนั้นเธอก็ไม่รอช้าที่จะสร้างหอกคริสตัลสีเขียวขึ้นมาถือเอาไว้และตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ในทันทีจนทำให้นากาต้องพูดร้องห้ามเอาไว้ก่อน
“ด–เดี๋ยวก่อนสิ!? เขาอาจจะเป็นแค่ทหารยามที่เดินผ่านมาก็ได้นะ”
“ไม่ใช่ นั่นแหล่ะศัตรูของพวกเรา เขตบ้านพักขุนนางของเมืองนี้ไม่ค่อยจะมีทหารยามเดินผ่านไปมาเหมือนที่รีมินัสหรอกนะ เพราะแต่ละตระกูลก็มีหน่วยทหารของตัวเองคอยเฝ้าระวังให้อยู่แล้ว… แล้วยิ่งเป็นตรารูปหมาป่าคาบมีดแบบนั้นอีก เด็กนั่นไม่น่าจะเป็นคนสั่งอะไรแบบนั้นแน่ๆ”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พูดตอบเด็กหนุ่มกลับไปด้วยท่าทางที่ติดจะเคร่งเครียดเล็กน้อยและชี้ให้นากาดูตรารูปหมาป่าสีขาวดาบมีดที่ติดอยู่บนไหล่ของนายทหารคนที่ว่า
ซึ่งนากาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เพ่งสายตาผ่านม่านหมอกรอบๆ ตัวคฤหาสน์ตากอากาศของไดเอน่าที่ค่อนข้างจะบางเบากว่าส่วนอื่นของเมืองเล็กน้อยเพื่อมองดูก่อนที่เขาจะพบว่านอกจากนายทหารเบื้องหน้าจะมีตรารูปหมาป่าสีขาวที่กำลังคาบมีดติดอยู่จริงๆ แล้วอีกฝ่ายก็ยังมีท่าทางแปลกๆ ที่เขาอธิบายไม่ถูกอยู่อีกด้วย และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนกำไลข้อมือสีขาวของเขาให้กลายเป็นดาบเปื้อนเลือดเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์และพูดบอกเซซิเรียขึ้นมาในทันที
“ถ้างั้นเดี๋ยวที่นี่ฉันจัดการเอง ฝากเธอรีบไปเตือนทีเอร่าให้ทีสิ”
“นายมั่นใจว่าจะรับมือไหวแน่นะ? ถึงตอนนี้จะเห็นแค่คนเดียวก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเจ้านั่นพลาดท่าเมื่อไหร่ล่ะก็น่าจะมีกำลังเสริมมาแน่ๆ ล่ะ… หืม…?”
เซซิเรียที่กำลังพูดตอบนากากลับไปได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอหันกลับไปมองดูเด็กหนุ่มและได้พบว่าในบัดนี้ที่แขนซ้ายของเขาได้มีถุงมือสีดำติดกล่องกลไกที่เธอเคยเห็นมาก่อนแล้วปรากฏอยู่ อีกทั้งในมืออีกข้างของเขาก็ยังถือดาบเปื้อนเลือดสีเทาเอาไว้อีกด้วย ซึ่งภาพของอาวุธและอุปกรณ์ที่เซซิเรียดูเหมือนจะคุ้นเคยดีก็ได้ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำออกมา
“ถุงมือแบบเดียวกับของแม็กซ์ซิส… แล้วไหนจะยังมีดาบนั่นอีก… ฝีมือของเอริกะงั้นหรอ…”
“มัวรออะไรอยู่ล่ะ! ถ้าไม่รีบไปเดี๋ยวทีเอร่าอาจจะเผลอใช้เครื่องสื่อสารตอนไหนก็ได้ไม่ใช่หรอไง!?”
“เข้าใจแล้ว… ถ้ายังไงพวกเธอก็ระวังอย่าให้คนที่รอดมาได้โดนจัดการไปละกัน!!”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดเตือนของนากาได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปและรีบพุ่งตัวหายไปในทิศทางที่โบสถ์ของทีเอร่าตั้งอยู่ในทันที