Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 199 : Absolute Axioms
“รีบๆ พูดความจริงงั้นหรอ…? ฉันว่าฉันก็พูดไปตั้งสองรอบแล้วนะแต่ว่าเธอก็เลือกที่จะไม่เชื่อเองไม่ใช่หรอไง เอ-ริ-กะ-จัง~”
ถึงแม้ว่านัวร์จะถูกเอริกะใช้ปืนจ่อไปที่กลางศีรษะและพูดข่มขู่ขึ้นมาด้วยท่าทีเคร่งเครียดก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวผมยุ่งสีดำในร่างของหญิงสาวจะไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอาวุธอันตรายในมือของเอริกะที่ดูแล้วไม่เหมือนกับปืนพกทั่วๆ ไปที่ใช้กระสุนวิซเป็นแหล่งพลังงานเลยแม้แต่น้อยเมื่อเธอได้เผยรอยยิ้มเยาะและพูดยียวนกวนประสาทออกมา
และนั่นก็ทำให้เอริกะที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วต้องขมวดคิ้วไปมากกว่าเดิม เพราะถึงแม้ว่าจะเห็นแบบนี้แต่ว่าเธอเองก็รู้จักนัวร์ดีจนมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะพูดโกหกปลิ้นปล้อนอะไร จะมีก็เพียงแค่การพูดความจริงไม่หมด การพูดล้อเล่นกวนประสาท และการกระทำที่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายสุดท้ายเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าวิธีการมันจะโหดร้ายขนาดไหนแบบที่อีกฝ่ายชอบทำเสมอๆ นั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ด้วยความที่เอริกะรู้จักอีกฝ่ายดีมากนั้นเอง มันก็เลยทำให้เธอได้แต่รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่นัวร์พูดออกมา เพราะว่าในเมื่อกลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเพิ่งจะออกคำสั่งกวาดล้างหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งทวีปจนล่มสลายไปเสียเกือบหมดแบบนั้น แล้วมันจะมีสาเหตุอะไรที่ทำให้นัวร์ที่อยู่ในกลุ่มที่ว่านั่นด้วยต้องออกมาช่วยยับยั้งเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองแพนเทร่าที่อันตรายถึงขั้นอาจจะทำให้เมืองทั้งเมืองล่มสลายไปแบบนี้ด้วยกันเล่า
ซึ่งท่าทีของเอริกะที่ดูยังไงก็คงจะไม่เชื่อในสิ่งที่นัวร์พูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้นัวร์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับสาเหตุที่เธอมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้
“มันก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหล่ะว่าเพราะฉันเห็นว่าสถานการณ์มันดูเกินกว่าที่ชาวเมืองแพนเทร่าจะจัดการกันเองได้แล้วก็เลยคิดจะมาช่วยสักหน่อยก็แค่นั้นแหล่ะ เพราะมันก็อย่างที่พวกเธอเห็นว่ามนุษย์พวกนี้ดูเหมือนจะยังไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่ามีคนแอบบุกลงไปเล่นซนที่ข้างล่างนั่นแล้วน่ะ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะเชื่อจริงๆ หรอว่าอยู่ๆ พวกเธอที่เกลียดมนุษย์พวกนี้มากขนาดนั้นก็จะยื่นมาเข้ามาช่วยพวกเขาซะเฉยๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเธอเพิ่งจะออกคำสั่งกวาดล้างหมู่บ้านทั้งทวีปไปแบบนั้นน่ะ!?”
“แหม่~ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้เชื่อกันสักหน่อยนะ เพราะกว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมให้พวกนูลิสปล่อยตัวออกมาได้มันก็นานพอดูเลย แบบว่าพอดีฉันขี้เกียจจะพูดอธิบายยาวๆ อีกรอบนึงน่ะ~”
นัวร์ที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้ยิ้มแฉ่งพูดตอบกลับมาก่อนที่เธอจะเก็บใบมีดที่สร้างขึ้นมาจากท่อนกระดูกของเธอกลับเข้าไปภายใต้แขนเสื้อกาวน์และหันไปมองสำรวจดูอีกทางหนึ่งโดยไม่มีท่าทีจะสนใจเลยว่าเอริกะยังคงเล็งปืนพกในมือตรงมาทางเธอ
ซึ่งนัวร์ก็ได้ใช้เวลาในการมองสำรวจจุดที่ถูกเว้นว่างเอาไว้ภายในสุสานหลวงใต้ดินแห่งนี้อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาเอริกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเอริกะยังคงไม่คลายความระมัดระวังลง
“เอาเป็นว่าถ้าเกิดเธอมั่นใจว่าเธอกับเซซิเรียจะจัดการเรื่องกันได้ด้วยตัวเองก็เชิญลั่นไกมาได้เลย เพราะที่ฉันโผล่มาช่วยนี่ก็เพราะเห็นว่าเรื่องมันสายป่านนี้แล้วจนต่อให้จะเป็นพวกเธอก็คงจะลำบากนั่นแหล่ะ~”
“………”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะไม่ชอบใจนักกับคำอธิบายของนัวร์แต่ว่าเธอก็จำเป็นต้องยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแพนเทร่าตอนนี้มันอาจจะเกินมือของเธอกับเซซิเรียแค่สองคนไปแล้วจริงๆ
เพราะว่าขนาดแค่ระบบของห้องควบคุมที่ใต้ปราสาทแพนเทร่าที่เธอควรจะมีสิทธิขาดในฐานะหนึ่งในผู้เขียนมันขึ้นมาเธอก็ยังไม่สามารถใช้งานมันได้เลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะยกมือขึ้นมาถอดแว่นตาสีแดงของเธอออกและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นเธอกล้าสัญญากับฉันตรงนี้หรือเปล่าล่ะ ว่าเธอจะไม่ฉวยโอกาสทำลายเมืองนี้หรือว่าทำร้ายคนของที่นี่ในระหว่างที่พวกเรากำลังร่วมมือกันจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นี่น่ะ”
“ ‘สัญญา’ งั้นหรอ… ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ~ แต่ว่าคงจะเป็นสัญญาปากเปล่านะ เพราะเธอเองก็ตัดการเชื่อมต่อออกจากระบบตั้งนานแล้ว ส่วนฉันเองก็ถูกยึดสิทธิในการสั่งการไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน~”
ถึงแม้ว่านัวร์จะหลุดรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินคำว่าสัญญาหลุดออกมาจากปากของเอริกะแต่ว่าเธอก็ได้ปรับสีหน้าของเธอเองเป็นสีหน้ายิ้มๆ อารมณ์ดีตามปกติแล้วเอ่ยปากพูดตอบนักประดิษฐ์สาวกลับไปแต่โดยดี
ส่วนทางด้านเอริกะที่สังเกตเห็นสีหน้าและน้ำเสียงเยาะเย้ยของนัวร์ก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นและจับแว่นตาสีแดงของเธอให้ตั้งอยู่บนฝ่ามือโดยเอาขาแว่นชี้ขึ้นไปทางข้างบนพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ก็ต้องขอบคุณเรื่องของแพนเทร่านี่ล่ะที่ทำให้ฉันจำเป็นต้องเชื่อมต่อกลับเข้าระบบอีกครั้งน่ะ แล้วมันก็แน่นอนว่าคนที่ฉันจะยอมทำสัญญาปากเปล่าด้วยในกลุ่มของพวกเธอก็มีอยู่แค่คนเดียว…”
ปิ๊บ—
ในทันทีที่สิ้นเสียงของเอริกะนั้นเองแว่นตากรอบแดงของเธอก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนที่ตัวขาแว่นทั้งสองข้างจะฉายแสงสีต่างๆ ออกมาตัดกันจนก่อให้เกิดร่างเงาจางๆ ขนาดเล็กๆ ประมาณหนึ่งฝ่ามือของหญิงสาวผมทรงหางม้าในชุดเสื้อกาวน์ที่ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันทีที่เธอปรากฏตัว
“อ้าว เอริกะกับหนูนัวร์เองหรอจ๊ะ แม่ก็กำลังสงสัยอยู่เลยว่าเป็นใครที่เชื่อมต่อเข้ามา”
“สวัสดีค่ะคุณแม่~ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ~”
“นั่นมันเป็นเพราะหนูโดนตัดสิทธิ์ไปนั่นแหล่ะจ้ะก็เลยไม่ได้เห็นหรือติดต่อแม่เลย ถ้าจะบอกว่าไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ต้องเป็นทางด้านเอริกะเขาต่างหากล่ะจ๊ะ… ว่าแต่ขนาดเท่านี้ไม่ค่อยจะสะดวกสักเท่าไหร่เลยนะจ๊ะ ฮึ๊บ–”
ร่างเงาของหญิงสาวผมหางม้าที่ถูกทั้งเอริกะและนัวร์รวมถึงเหล่าแฟรี่อย่างนูลิสเรียกว่าคุณแม่นั้นได้พูดตอบนัวร์กลับไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดูก่อนที่ร่างของเธอที่มีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือจะกระโดดลงจากอุ้งมือของเอริกะและขยายออกจนมีขนาดเท่ากับคนปกติ
ซึ่งร่างเงาของคุณแม่ที่ลอยอยู่เหนือพื้นเล็กน้อยนั้นก็ได้ลอยไปเกาะไหล่ของเอริกะเอาไว้ด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกับคุณแม่ผู้ใจดีที่ไม่ได้พบลูกๆ ของตัวเองที่ออกจากบ้านไปผจญโลกกว้างมานานแสนนานก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดเข้าเรื่องขึ้นมา
“ว่าแต่ที่เอริกะเรียกแม่มานี่เพราะอยากจะให้ช่วยเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนูนัวร์หรือเปล่าเอ่ย? เพราะหนูนัวร์เขาก็มีประวัติไม่ค่อยดีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนี่นา”
“ค่ะ พอดีหนูมีเรื่องอยากจะรบกวนให้คุณแม่ช่วยเป็นสักขีพยานให้น่ะค่ะ”
“แหม่ ก็หนูนัวร์เคยไปก่อเรื่องเอาไว้นี่เนอะ… ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลยมั้ยจ๊ะ”
ถึงแม้ว่าร่างเงาของคุณแม่จะดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องที่นัวร์เคยก่อเอาไว้จนทำให้เด็กสาวสูญเสียสิทธิในการสั่งงานเหล่าแฟรี่ไป แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รังเกียจหรือว่าโกรธเคืองอะไรนัวร์เหมือนเหล่าแฟรี่อย่างนูลิส ฮานะ หรือว่าไอวี่เลยแม้แต่น้อยและผละออกจากไหล่ของเอริกะเพื่อมาลอยตัวอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงสาวนักประดิษฐ์และปิศาจน้อยผมยุ่งสีดำอย่างนัวร์พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปให้ทั้งสองคน
ซึ่งทางด้านเอริกะและนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะคุ้นชินกับการกระทำแบบนี้ดีก็ได้ยื่นมือของตนออกไปทาบกับมือของคุณแม่ก่อนที่นัวร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน
“หนูขอสัญญาว่าจนกว่าเรื่องนี้จะจบลงจะไม่ฉวยโอกาสที่เมืองนี้กำลังตกอยู่ในวิกฤตดำเนินแผนการของหัวหน้า และจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ของที่นี่ยกเว้นแต่ว่าจะเอริกะจะเห็นชอบด้วย… ส่วนสำหรับความช่วยเหลือที่จะมอบให้เอริกะในครั้งนี้จะต้องไม่ขัดแย้งกับสัญญาเก่าที่เคยทำเอาไว้กับหัวหน้าหรือว่าของเพื่อนๆ ของพวกเราค่ะ”
“หนูขอสัญญาว่าหลังจากที่ประกาศคำสัญญานี้จะไม่มีการสั่งให้ลงมือกับนัวร์หรือว่าเหล่าแฟรี่ที่เข้ามาช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์ในเมืองแพนเทร่าจะคลี่คลายหรือจนกว่าเรื่องมันจะเลวร้ายลงจนพวกเรามีความคิดเห็นตรงกันว่ามันล้มเหลวค่ะ”
“ทั้งสองเข้าใจและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่มีให้กันแล้วใช่หรือไม่”
ร่างเงาของหญิงสาวที่ถูกหญิงสาวทั้งสองคนเรียกว่าคุณแม่ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาหลังจากที่เธอได้ยินคำสัญญาของทั้งสองฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของเธอก็กลับไม่ใช่คำถาม แต่ว่ากลับเป็นเสมือนกับบทพูดในพิธีกรรมบางอย่างเสียมากกว่าเมื่อเธอได้เอ่ยปากพูดขึ้นต่อในทันทีโดยไม่ได้รอคำตอบรับจากผู้ร่วมคำสัญญาทั้งสองคน
“เพราะถ้าหากไม่ใช่เพราะคำมั่นและสัญญาอันบริสุทธิ์เหล่านี้แล้วล่ะก็…”
“มูลค่าของคำว่า ชีวิต จะตกต่ำลงอย่างไร้ที่สิ้นสุด”
“และพวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้มาเดินเคียงข้างกันอีก”
วิ้ง—
ในทันทีที่นัวร์และเอริกะเอ่ยปากพูดรับคำของคุณแม่จนจบนั้นเอง ฝ่ามือของคุณแม่ที่เป็นเพียงแค่ร่างเงาจางๆ ก็ได้เรืองแสงสว่างออกมาเล็กน้อยเผยให้เห็นลายนิ้วมือของเอริกะและนัวร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้บนฝ่ามือของเธอ ซึ่งคุณแม่ก็ได้กุมมือเพื่อนำลายนิ้วมือของทั้งสองคนมาประกบเข้าด้วยกันก่อนที่เธอจะคลายฝ่ามือออกและเอ่ยปากพูดยืนยันขึ้นมา
“แม่บันทึกคำปฏิญาณและสัญลักษณ์ยืนยันตนเรียบร้อยแล้วจ้ะ เอริกะมีอะไรให้แม่ช่วยอีกหรือเปล่า? เพราะหนูเองก็คงจะไม่อยากเชื่อมต่อเข้าระบบบ่อยๆ ใช่มั้ยล่ะจ๊ะ?”
“ค่ะ… อย่างน้อยก็ในช่วงที่พวกเรายังยืนกันอยู่คนละฝั่งแบบนี้น่ะค่ะ ขอโทษที่เรียกมาด้วยเรื่องแค่นี้ด้วยนะคะคุณแม่”
“ถ้าเพื่อพวกหนูล่ะก็แม่ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วล่ะจ้ะ งั้นถ้าเกิดว่าหนูไม่มีอะไรให้แม่ช่วยงั้นแม่ก็ขอตัวก่อนละกันนะจ๊ะ… ส่วนหนูนัวร์เองก็อย่าก่อเรื่องให้หัวหน้ากับนูลิสเขาปวดหัวมากนักล่ะ”
“หนูไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกหน่า~”
นัวร์ที่ได้ยินคำเตือนของคุณแม่ได้พูดตอบกลับไปด้วยท่าทีทีเล่นทีจริงและโบกมือลาร่างเงาของหญิงสาวที่ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับรอยยิ้ม
และเมื่อร่างเงาของหญิงสาวเลือนหายไปจากสายตาแล้วนัวร์ก็ไม่รอช้าที่จะยื่นมือเข้าไปควงแขนของเอริกะอีกครั้งหนึ่งและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาในทันที
“ไงล่ะเอริกะจัง~ พอจะสบายใจขึ้นมาได้บ้างหรือยังล่ะ~ นี่ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพื่อความสบายใจของเธอล่ะก็ฉันเองก็ไม่ยอมทำอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ~”
“…อย่างน้อยก็จนกว่าจะจบเรื่องของที่นี่ล่ะนะ”
เอริกะพูดตอบนัวร์กลับไปก่อนที่เธอจะสะบัดแขนให้หลุดจากอ้อมกอดของนัวร์และยกมือขึ้นมากอดอกก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“แต่นี่ก็หมายความว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกของฉันหรือพวกของเธอจริงๆ งั้นสินะ… ให้ตายสิ…”
ถึงแม้ว่าเอริกะจะยังคงมีท่าทีระมัดระวังนัวร์อยู่บ้างแต่ทว่าท่าทางเคร่งเครียดของหญิงสาวนักประดิษฐ์ก็กลับดูผ่อนคลายลงไปมากหลังจากที่เธอได้ยินคำสัญญาของนัวร์ที่พูดขึ้นมาต่อหน้าร่างเงาของคุณแม่เมื่อสักครู่
ซึ่งทางด้านนัวร์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาตรงๆ
“แต่ถึงจะบอกว่าฉันมาช่วยก็เถอะ แต่ว่าอย่างมากก็น่าจะได้แค่ตัวฉันเองกับพวกตุ๊กตาที่น่ารักทั้งหลายของฉันน่ะนะ ถ้าเกิดว่ามีพวกแฟรี่โผล่มาล่ะก็ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาช่วยหรือว่าจะมาขัดขวางเธอเหมือนกัน เพราะว่าฉันเองก็โดนตัดสิทธิ์ในการสั่งการไปตั้งนานแล้วซะด้วยสิ~”
“เรื่องนั้นจะเป็นใครก็รู้กันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ เธอไม่ต้องพูดย้ำขึ้นมาทุกรอบหรอก”
“อ่ะๆ ที่ฉันต้องพูดขึ้นมาอีกรอบนึงนี่ก็แค่พูดเผื่อเอาไว้ก่อนน่ะว่าฉันไม่ได้เป็นคนสั่งให้พวกเขาเข้ามาใกล้เมืองนี้แล้วก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าฉันมาที่นี่น่ะ ขนาดคุณพี่สาวคนโตอย่างนูลิสก็ยังรู้แค่ว่าฉันขอออกไปเล่นสนุกข้างนอกเฉยๆ เท่านั้นเอง~”
“ก็พอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ เอาเถอะ…”
คำพูดของนัวร์ที่ฟังดูราวกับว่าถ้าเกิดมีพวกสาวใช้ปีกแสงอย่างพวกแฟรี่โผล่มาก่อเรื่องวุ่นวายในเมืองแพนเทร่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อยนั้นไม่ได้ทำให้เอริกะมีท่าทีกังวลใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับเธอมั่นใจว่าจะไม่มีใครหน้าไหนแม้แต่กระทั่งปีศาจร้ายตัวน้อยอย่างนัวร์กล้าใช้ช่องโหว่หรือว่าหาทางบิดพลิ้วคำสัญญาที่ทำต่อหน้าร่างเงาของคุณแม่แบบนั้น
ซึ่งเอริกะที่ดูไม่มีความกังวลใจเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำงานในทันทีด้วยการเดินสำรวจสุสานหลวงใต้ดินแห่งนี้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาไปด้วย
“เมื่อตอนนั้นเธอกับเซซิเรียเป็นคนรับผิดชอบตรวจดูความเรียบร้อยขั้นสุดท้ายก่อนที่จะย้ายเมืองมาร์นาร์ฟลงไปใต้ดินสินะ”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องมาลองตรวจดูนี่ไงว่ามันมีอะไรผิดพลาดน่ะ~”
“แล้วได้ผลว่ายังไงบ้างล่ะ?”
“ก็… ต้องบอกว่าโชคดีแล้วล่ะมั้งที่พวกเราไม่ได้มีร่างของคนรู้จักถูกเก็บเอาไว้ที่นี่จนจะต้องกลัวว่ามันจะหายไปน่ะ~”
“………….”
คำตอบของนัวร์ที่เป็นเชิงพูดล้อเล่นนั้นได้ทำให้เอริกะต้องชะงักไปในทันที เพราะว่าก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่กี่วัน เธอเพิ่งจะได้ทราบมาจากภรรยาของไมเคิลผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าอีกฝ่ายได้จัดการเก็บร่างของเจน หญิงผมสีทองผู้มีปัญหาเรื่องการใช้วิซที่เธอรับไปเลี้ยงดูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสถานที่ที่ร่างของเจนถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ก็คือที่ไหนสักแห่งในเขตสุสานหลวงแห่งนี้นั่นเอง
“แล้ว… พวกเราจะเอายังไงกันต่อดีล่ะนากา?”
ในขณะที่เอริกะและนัวร์กำลังออกสำรวจสุสานหลวงของเมืองแพนเทร่ากันอยู่นั้น ทางด้านโมโกะเองก็ได้พูดถามนากาที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้อีฟหลังจากที่เด็กสาวสวาปามอาหารเช้าทั้งโต๊ะเข้าไปขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องผละมือออกมาจากอีฟก่อนที่เขาจะพูดตอบเพื่อนสาวของตนกลับไป
“ก็เดี๋ยวน่าจะต้องออกไปจัดการเรื่องของเวก้าต่อนั่นแหล่ะ เมื่อวานนี้ฉันนัดซิสเตอร์โจน่ากับคุณมิคาเอลเขาเอาไว้ที่โบสถ์ของทีเอร่าแล้วน่ะ”
“ซิสเตอร์โจน่าคนที่หน้าตาเหมือนกับแม่ของคาร์เทียร์เขานั่นน่ะนะ?”
“เห็นคอนแนลเขาช็อกไปแบบนั้นก็น่าจะเหมือนกันจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่ว่าเรื่องนิสัยนี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะคนที่รู้ก็น่าจะมีแต่เวก้ากับคอนแนลที่เคยเห็นเจนเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะนะ”
นากาที่เห็นว่าไหนๆ คอนแนลก็ออกไปช่วยเอริกะจนไม่อยู่บ้านแล้วได้พูดตอบโมโกะกลับไปตรงๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโมโกะที่ไม่ได้รู้จักกับแจนอีกทั้งยังแค่เคยได้ยินเรื่องนี้มาแบบผ่านๆ ก็ได้ยักไหล่กลับไปและพูดขึ้นมาแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
“งั้นที่คอนแนลอาสาจะออกไปช่วยเอริกะเขาเมื่อกี้นี้ก็คงจะดีแล้วล่ะ เพราะถ้าจะให้ไปทำตัวปกติต่อหน้าคนที่หน้าตาเหมือนคนรู้จักแบบนั้นก็คงจะลำบากเหมือนกัน…”
“ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าในเมื่อวันนี้เหลือพวกเรากันแค่สองคนแล้วงั้นเดี๋ยวพวกเราพาอีฟไปหาทีเอร่าที่โบสถ์ด้วยกันเลยก็แล้วกัน… มีอะไรหรออีฟ?”
“………”
ในขณะที่นากากำลังพูดถึงแผนการในวันนี้ขึ้นมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ อีฟที่นั่งเรียบร้อยให้นากาจัดการเช็ดแก้มของเธออยู่ได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของนากาสองสามครั้งอีกทั้งยังมองตรงไปทางประตูห้องจนทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมา
แอ๊ด…..
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะได้มีใครพูดอะไร อยู่ๆ ประตูห้องนั่งเล่นก็ได้ค่อยๆ ถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่จะมีร่างที่บาดเจ็บของรัซเซลเดินโซเซเข้ามาภายในจนทำให้นากาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจและรีบลุกขึ้นไปพยุงอีฟฝ่ายเอาไว้ก่อนที่เขาจะพูดสั่งโมโกะขึ้นมา
“เอ๊ย— แล้วไหงคนเจ็บถึงออกมาเพ่นพ่านได้แบบนั้นเล่า!? โมโกะไปตามคุณไซร่ากับพวกไดเอน่ามาที!”
“อ–อื้อ!”
“…….!”
เสียงร้องสั่งของนากานั้นได้ทำให้อีฟสะดุ้งไปเล็กน้อยและมองสลับไปมาระหว่างนากา โมโกะ และรัซเซลก่อนที่เธอจะออกวิ่งตามหลังโมโกะหายออกจากห้องไปด้วยอีกคนหนึ่ง
“อ่ะ–เดี๋ยวสิอีฟ—”
“น..นาย… นากางั้นหรอ? ต…แต่ไม่ใช่ว่าฉันควรจะอยู่ที่แพนเทร่า—”
ในขณะที่นากากำลังจะร้องห้ามอีฟเอาไว้อยู่นั้นเอง ทางด้านรัซเซลที่เห็นนากา เด็กหนุ่มที่เคยช่วยพวกเขาเอาไว้ครั้งหนึ่งที่เมืองรีมินัสเดินเข้ามาพยุงร่างของตัวเองเอาไว้ก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสับสนจนทำให้นากาต้องรีบพูดอธิบายขึ้นมา
“ก็ยังอยู่ที่แพนเทร่านั่นแหล่ะ พอดีว่าพวกฉันมาทำธุระให้กับที่โรงเรียนก็เลยเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อวานนี้เองน่ะ”
“อย่างงั้นเองหรอ…”
รัซเซลที่ได้ยินคำพูดอธิบายของนากานั้นได้มีท่าทีที่ดูสงบลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมามองซ้ายขวาและพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทางร้อนรน
“แล้วยุยล่ะ…!? ตอนที่นายเจอฉันยุยเขาอยู่กับฉันด้วยหรือเปล่า!?”
“เอ๋ะ? ไม่นะ เห็นไดเอน่าเขาบอกว่าเจอนายสลบอยู่ที่ห้องใต้ดินแค่คนเดียวน่ะ”
“งั้นหรอ… ยัยบ้าเอ๊ย…”
คำตอบของนากาได้ทำให้รัซเซลที่ปกติแล้วจะดูเป็นคนสุขุมสมกับที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงต้องกำหมัดแน่นด้วยท่าทางโกรธแค้นก่อนที่เขาจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เหมือนว่าเพิ่งจะผ่านไปแค่คืนเดียวงั้นถ้ากลับไปตอนนี้ก็น่าจะยังทัน.. นากา! นายมีอาวุธหรือว่าอะไรให้ฉันยืมก่อนได้หรือเปล่า…!? จะเป็นดาบธรรมดาๆ หรือมีดสั้นหรืออะไรก็ได้!”
“หา? นี่นายกะจะกลับไปในนั้นอีกรอบด้วยสภาพแบบนี้เนี่ยนะ?”
“ถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรให้ยืมจริงๆ แค่บอกมาว่าห้องที่พวกนายเจอฉันอยู่ที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปคนเดียวเอง!”
“จะบ้าหรอไง!? แค่เดินมาจากห้องพักถึงห้องนี้นายก็แทบจะร่วงอยู่แล้วไม่ใช่หรอ!?”
“แต่ถ้าเกิดว่าฉันไม่รีบกลับไปล่ะก็—”
ถึงแม้ว่านากาจะพยายามพูดห้ามรัซเซลขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่ารัซเซลจะไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่น้อยและยังดื้อดึงที่จะกลับไปยังห้องใต้ดินของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ให้ได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีเสียงของคุณสาวใช้ไซร่าดังขึ้นมาจากทางประตูของห้องนั่งเล่นนั่นเอง
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะนำทางไปเปิดห้องใต้ดินให้เองค่ะ รบกวนท่านนากาช่วยพยุงท่านรัซเซลตามมาหน่อยจะได้หรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ… แบบนั้นมันจะดีหรอครับคุณไซร่า?”
“ในเมื่อท่านรัซเซลดูเหมือนจะไม่ยอมนอนพักเฉยๆ ก่อนมันก็คงจะช่วยไม่ได้นั่นล่ะค่ะ เชิญตามมาได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับคุณสาวใช้!”
รัซเซลพูดตอบไซร่ากลับไปและรีบเดินตามหลังเธอไปในทันทีโดยไม่ได้สนใจซะด้วยซ้ำว่าเขาไม่มีอาวุธอยู่ในมือ และนั่นก็ทำให้นากาต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะก่อนที่เขาจะหันไปพูดบอกโมโกะขึ้นมา
“เฮ้อ… ถ้างั้นฝากเธอดูอีฟเอาไว้ก่อนแป๊บนึงก็แล้วกันนะโมโกะ”
“อื้อ…”
โมโกะที่เดินจูงมืออีฟกลับมายังห้องนั่งเล่นได้พูดตอบนากากลับไปเบาๆ และเมื่อนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามหลังไซร่าและรัซเซลที่เดินหายเข้าไปในส่วนลึกของบ้านพักตากอากาศไป
ซึ่งนากาก็ทันได้เห็นหลังไวๆ ของไซร่าและรัซเซลเดินหายลงไปตามบันไดที่ทอดยาวลงไปในส่วนของใต้ดินเขาจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามลงไปด้วยในทันทีและนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับคุณสาวใช้ไซร่าที่กำลังใช้กุญแจดอกหนึ่งไขเปิดประตูเหล็กของห้องใต้ดินจนเปิดออกก่อนที่รัซเซลจะรีบแทรกกายเข้าไปภายในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน
“เอ๋…?”
แต่ถึงอย่างนั้นรัซเซลก็กลับชะงักฝีเท้าของเขาเอาไว้ที่เบื้องหน้าของบานประตู เมื่อสิ่งที่อยู่ภายในห้องใต้ดินนั้นมีเพียงแค่ชุดโต๊ะรับแขกเหมือนกับห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านบนในขณะที่สิ่งของอย่างอื่นที่มีอยู่ในห้องนี้ก็มีเพียงแค่เครื่องเรือนอย่างตู้วางของประดับตกแต่ง แจกันดอกไม้และอุปกรณ์ทำความสะอาดกับร่องรอยสีแดงที่เปื้อนอยู่ตามผนังที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคราบเลือดของตัวรัซเซลเองนั่นเอง
“ล–แล้วทางไปต่อล่ะ?”
รัซเซลที่เห็นว่าสภาพของห้องใต้ดินเบื้องหน้าดูไม่ได้แตกต่างไปจากห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกสักเท่าไหร่นักได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะเดินกะโผลกกะเผลกไปสำรวจดูรอบๆ ห้องด้วยท่าทางประหลาดใจในขณะที่ทางด้านคุณไซร่าก็ได้เอ่ยปากพูดอธิบายขึ้นมา
“ห้องที่คุณหนูไดเอน่าเจอท่านก็คือห้องนี้แหล่ะค่ะ แต่ถ้าท่านรัซเซลกำลังพูดถึงทางลับหรือกลไกอะไรก็ตามที่ควรจะอยู่ในห้องนี้ล่ะก็… คงจะมีแต่ท่านแม็กซิสที่เป็นเจ้าของบ้านคนเก่าเท่านั้นที่รู้นั่นล่ะค่ะ”
“แล้วท่านแม็กซิส—”
“ท่านแม็กซิสไม่อยู่กับพวกเราแล้วค่ะ”
ไซร่าที่ได้ยินรัซเซลพูดถึงแม็กซิส หรือ ปู่แม็กซ์ อดีตผู้นำตระกูลเซมฟีร่าที่เพิ่งจะจากไปได้ไม่นานได้เอ่ยปากพูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และนั่นก็ทำให้รัซเซลชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงจะต้องกลับไปใช้ทางลงที่สุสานนั่นงั้นสินะ…”
“ถึงดูจากท่าทางของนายแล้วการกลับลงไปใต้ดินมันจะดูเป็นเรื่องด่วนก็เถอะ แต่ว่ายังไงนายพักให้หายดีหรืออย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะเดินเองไหวก่อนไม่ดีกว่าหรอน่ะ?”
ในขณะที่รัซเซลกำลังพูดพึมพำออกมาเบาๆ อยู่นั้นเอง ทางด้านนากาที่เห็นว่ารัซเซลยังคงบาดเจ็บถึงขั้นยืนเฉยๆ ก็ยังเซไปเซมาก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา และนั่นก็ทำให้คุณไซร่าเอ่ยปากพูดสนับสนุนขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง
“ตามที่ท่านนากาพูดมานั่นแหล่ะค่ะ ถึงพวกฉันจะไม่คิดห้ามท่านรัซเซลก็เถอะ แต่ว่าท่านก็คงจะรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพแบบนั้นใช่หรือเปล่าล่ะคะ?”
“………”
ถึงแม้ไซร่าจะพูดเหมือนกับว่าเธอจะไม่ห้ามถ้าเกิดว่ารัซเซลจะกลับไปลุยต่อที่สุสานใต้ดินจริงๆ แต่ทว่าเธอก็ยังคงพูดเตือนถึงสภาพร่างกายของรัซเซลขึ้นมาจนทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคนที่กระจัดกระจายกันไป แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าถ้าเขากลับลงไปข้างใต้นั่นลำพังเพียงแค่ตัวคนเดียวในสภาพที่บาดเจ็บแบบนี้ก็คงจะเหมือนกับการนำชีวิตที่เพิ่งจะรักษาเอาไว้ได้ไปทิ้งเสียเปล่าๆ
ซึ่งท่าทางของรัซเซลที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในจุดนั้นดีก็ได้ทำให้นากาต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปช่วยพยุงร่างที่โซซัดโซเซของรัซเซลเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เอาเป็นว่าตอนนี้นายกลับไปที่ห้องพักก่อนดีกว่า แล้วระหว่างนั้นก็ลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาให้พวกฉันฟังดูละกัน เผื่อว่าจะมีอะไรที่พวกฉันพอจะช่วยได้บ้างน่ะ”
“อื้ม… เอาอย่างนั้นก็ได้…”