Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 191 : Forsaken Place
หลังจากที่พวกนากานั่งรถม้าผ่านม่านหมอกหนาทึบที่ปกคลุมตัวเมืองแพนเทร่าต่อไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ ตัวรถม้าก็ได้ค่อยๆ ลดความเร็วลงจนหยุดนิ่งก่อนที่ประตูของห้องโดยสารจะถูกเปิดออกจากทางด้านนอกและตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มของไดเอน่าที่พูดแนะนำสถานที่ขึ้นมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านพักตากอากาศหลังเล็กๆ ของฉันเอง ทำตัวกันตามสบายได้เลย~”
ซึ่งสิ่งที่อยู่เบื้องหลังไดเอน่านั้นก็คือประตูไม้ที่ดูหรูหราของคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตพอๆ กับคฤหาสน์ของเวก้าที่พวกนากาอยู่อาศัยกัน อีกทั้งที่ด้านหลังของพวกเขานั้นก็ยังมีสวนกว้างสีเขียวที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามทอดยาวหายไปในม่านหมอกจนแทบจะมองไม่เห็นประตูรั้วของคฤหาสน์ที่ควรจะอยู่ถัดไปซะด้วยซ้ำ ซึ่งภาพที่พวกเขาได้เห็นนั้นก็ได้ทำให้โมโกะถึงกับหลุดปากพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“น..นี่คือหลังเล็กๆ ของเธอหรอไดเอน่า—”
“เอาเถอะน่าโมโกะ ตอนที่ไดเอน่าเขาพาฉันไปบ้านที่เมืองรีมินัสเขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหล่ะ…”
คำพูดของโมโกะได้ทำให้นากาที่กระโดดลงมาจากห้องโดยสารตามหลังเธออดไม่ได้ที่จะพูดบ่นออกมาด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่เขาจะต้องรีบร้องห้ามอีฟที่ทำท่าเหมือนกับว่าจะออกวิ่งเข้าไปในสวนด้านหน้าเข้าในทันทีที่ขาของเธอถึงพื้น
“อ่ะ–อย่าเพิ่งซนสิอีฟ”
“……!!”
คำพูดร้องห้ามของนากาที่พูดขึ้นมาพร้อมกับจับร่างของอีฟยกขึ้นมานั้นได้ทำให้เด็กสาวสะบัดตัวไปมาเล็กน้อยและขยับขาไปมาราวกับว่าเธอกำลังวิ่งอยู่กลางอากาศ และนั่นก็คงจะเป็นเพราะว่าเธอต้องทนนั่งอยู่ในรถม้าแคบๆ เป็นเวลากว่าสามวันในช่วงเวลาเดินทางนั่นเอง
ซึ่งภาพของอีฟที่ดูเหมือนว่าจะคันไม้คันมืออยากออกไปวิ่งเล่นเต็มแก่นั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“คิกๆ ก็อีฟเขาต้องนั่งอยู่ในรถมาตั้งสามวันแล้วนี่เนอะ เอาเป็นว่าพวกเธอพาอีฟเขาไปวิ่งเล่นให้หายอยากก่อนเถอะจ้ะแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาขนของเข้าบ้านกัน”
“โอ้ ถ้างั้นเดี๋ยวพวกฉันมาก็แล้วกันนะ”
นากาที่ได้ยินคำอนุญาตของไดเอน่าได้พยักหน้ากลับไปให้เธอเล็กน้อยก่อนที่ทั้งนากา โมโกะ คอนแนลและอีฟจะพากันเดินหายเข้าไปในสวนของคฤหาสน์
ส่วนทางด้านไดเอน่านั้นก็ได้หันไปมองทางด้านเคนซากิและเอ่ยปากพูดถามเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกำลังยืนนิ่งแต่ดวงตากลับแอบลอบมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่างอยู่ขึ้นมา
“นายว่ายังไงบ้างล่ะเคนซากิคุง~ ไม่ได้มีอะไรผิดไปจากในรายงานของทางวังหลวงเลยใช่มั้ยล่ะ~?”
“อื้ม…”
เคนซากิที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่านั้นได้หยุดกระทำการแอบลอบมองสำรวจของเขาและหันไปมาเพื่อมองสำรวจบริเวณรอบๆ อย่างโจ่งแจ้งเสียแทน และหลังจากที่เคนซากิมองไปมาได้สักพักหนึ่งแล้วเขาก็ได้เอ่ยปากพูดถามไดเอน่าผู้เป็นเจ้าของบ้านขึ้นมา
“เหมือนว่าแถวบ้านเธอจะมีหมอกน้อยกว่าที่อื่นหรือเปล่า…?”
“หืม? เอ….”
ไดเอน่าที่ถูกพูดถามขึ้นมาได้เอียงคอเล็กน้อยและหันไปมาเพื่อมองสำรวจดูรอบๆ ดูบ้าง ซึ่งเธอก็ได้พบว่าสิ่งที่เคนซากิพูดขึ้นมานั้นเหมือนจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าในขณะนี้พวกเธอยังสามารถสังเกตเห็นประตูรั้วของคฤหาสน์และพวกนากาที่เดินเล่นอยู่ในสวนที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกลได้ ในขณะที่ตามท้องถนนที่เธอขับรถม้าผ่านมานั้นทัศนวิสัยของเธอมีแทบจะไม่ถึงสองช่วงตึกเลยซะด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นไดเอน่าก็ไม่มีอะไรจะมายืนยันหรืออธิบายได้ว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น เธอจึงได้พูดตอบเคนซากิกลับไปแบบส่งๆ เสียก่อน
“เพราะมันเริ่มสายแล้วหมอกมันก็เลยบางลงล่ะมั้ง… แต่ถ้านายคาใจล่ะก็จะลองเดินสำรวจดูก่อนก็ได้นะฉันไม่ว่าอะไรหรอก”
“อื้ม…”
เคนซากิที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่านั้นได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกไปเดินสำรวจดูเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ทางด้านไซร่าที่เห็นว่าคุณหนูของเธอเหมือนจะพูดคุยเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดถามไดเอน่าขึ้นมา
“คุณหนูคะ จะให้ฉันพาแขกคนอื่นๆ ไปที่ห้องพักเลยหรือเปล่าคะ?”
“อ่ะ– ถ้างั้นก็ขอรบกวนคุณไซร่าด้วยก็แล้วกันนะคะ แล้วเดี๋ยวพอฉันพาเคนซากิคุงเขาไปเดินยืดเส้นยิดสายเสร็จแล้วจะรีบตามเข้าไปค่ะ”
“รับทราบค่ะ”
ไซร่าพยักหน้าตอบไดเอน่ากลับไปและเริ่มต้นทำการขนกระเป๋าสัมภาระของพวกเด็กๆ ลงมาจากห้องโดยสารโดยปล่อยให้ไดเอน่าเดินนำเคนซากิหายไปอีกทาง
และในขณะที่ไซร่ากำลังขนย้ายสัมภาระลงมาจากห้องโดยสารอยู่นั้นเอง ทางด้านนากาที่พาอีฟไปเดินเล่นนั้นก็ได้สังเกตเห็นการกระทำของเธอ และนั่นก็ทำให้เขาไม่รอช้าที่จะเดินนำทุกคนกลับมาและพูดเสนอความช่วยเหลือขึ้นมาในทันที
“เดี๋ยวผมช่วยนะครับคุณไซร่า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นี่ใบสุดท้ายแล้ว…”
ไซร่าที่ได้ยินคำพูดของนากานั้นได้พูดตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของโมโกะพูดถามเธอขึ้นมาบ้าง
“เอ่อ… ค..คุณไซร่าคะ ของที่ติดอยู่ข้างบนนั้นคืออะไรหรอคะ… พอดีว่าอีฟเขาทำท่าเหมือนกับว่าจะสนใจมันน่ะค่ะ…”
“ของที่ติดอยู่ข้างบนนั้นงั้นหรอคะ?”
ไซร่าที่ได้ยินคำถามของโมโกะได้พูดทวนคำของเด็กสาวขึ้นมาก่อนที่เธอจะหันไปดูและได้พบเข้ากับร่างเล็กๆ ของอีฟที่กำลังเงยหน้าโบกมือตรงไปยังกระจกสีดำทึบทรงครึ่งวงกลมที่ถูกติดเอาไว้บริเวณใกล้ๆ กับประตูทางเข้า ซึ่งนั่นก็ทำให้ไซร่าต้องพูดอธิบายออกมาตามเท่าที่เธอทราบ
“เจ้านั่น… เห็นเขาว่ากันว่ามันคืออุปกรณ์ที่ท่านแม็กซ์ซิสเป็นคนติดตั้งเอาไว้เพื่อความปลอดภัยมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วน่ะค่ะ ฉันรู้แค่ว่ามันสามารถบันทึกรูปภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นบริเวณรอบๆ ได้แต่ก็ไม่ทราบว่ามันทำงานยังไงเหมือนกัน”
“บันทึกภาพงั้นหรอคะ… ถ้างั้นก็คงจะคล้ายๆ กับยูนิตที่อลิซใส่เอาไว้ตอนคุมสอบงั้นสินะ”
คำอธิบายของไซร่านั้นได้ทำให้โมโกะพยักหน้ากลับไปให้อีกฝ่าย เพราะถึงแม้ว่าเหล่าเด็กนักเรียนส่วนมากจะไม่รู้ว่ายูนิตที่อลิซสวมใส่เอาไว้ในขณะคุมการสอบของพวกเด็กนักเรียนคืออะไร แต่ว่าสำหรับเธอที่รู้จักและสนิทสนมกับทั้งเอริกะและอลิซดีนั้นก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
ส่วนทางด้านนากาที่ได้ยินว่ามันคืออุปกรณ์สำหรับการบันทึกภาพนั้นก็ได้นึกไปถึงภาพถ่ายของเวก้าหรือที่ตอนนี้กำลังใช้ชื่อว่าเดดารัสและเด็กสาวหูแมวอีกคนหนึ่งที่ปู่แม๊กซ์เคยเอามาให้เขาดูที่โรงเรียนซึ่งก็น่าจะมาจากอุปกรณ์ที่ว่า และนั่นก็ทำให้นากาตัดสินใจที่จะพูดถามคุณไซร่าขึ้นมาบ้างเผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเดดารัสที่หายตัวไปไปรายงานให้เอริกะทราบ
“คุณไซร่าพอจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่าเมื่อสักประมาณหนึ่งเดือนที่แล้วมีผู้ชายคนนึงกับผู้หญิงอีกคนมาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ที่บ้านหลังนี้หรือเปล่านะครับ?”
“ต้องทราบอยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะว่าฉันเป็นคนรายงานเรื่องผู้บุกรุกสองคนนั้นให้ท่านแม็กซ์ซิสเองหลังจากที่มาตรวจสภาพที่นี่ไปเมื่อเดือนที่แล้วน่ะค่ะ”
“เอ๋ะ ถ้างั้นคุณไซร่าพอจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสองคนนั้นบ้างหรือเปล่าน่ะครับ?”
นากาที่ได้ยินว่าไซร่าเป็นคนรายงานเรื่องของเดดารัสให้กับแม็กซ์ซิสได้รีบพูดถามขึ้นมาอีกครั้งในทันที แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไซร่าก็กลับส่ายหน้ากลับมาให้เขาก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับมา
“ที่ฉันรู้ก็คือว่าสองคนนั้นคนนึงเป็นผู้ชายผมสีน้ำตาลสวมผ้าปิดตาแล้วก็อีกคนนึงเป็นเด็กผู้หญิงผมสีดำที่มีหูแมวเท่านั้นล่ะค่ะ ส่วนรูปถ่ายที่ได้มาจากระบบรักษาความปลอดภัยฉันก็มอบให้กับท่านแม็กซ์ซิสไปหมดแล้วด้วย ต้องขอโทษที่อาจจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกคุณได้ด้วยนะคะ”
“อ่ะ– ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ถามเผื่อเอาไว้ก่อนเผื่อว่าคุณไซร่าจะมีข้อมูลอะไรน่ะครับ ถ้ายังไงเชิญคุณไซร่านำทางไปได้เลยครับ!”
คำตอบของไซร่าที่เป็นเชิงขอโทษนั้นได้ทำให้นากาต้องรีบค้อมศีรษะให้กับอีกฝ่ายและรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาก่อนที่เขาจะหันไปร้องเรียกโมโกะและคอนแนลที่กำลังให้อีฟขี่คอเพื่อขึ้นไปโบกไม้โบกมือให้กับอุปกรณ์บันทึกภาพใกล้ๆ ขึ้นมา
“พวกเราจะไปกันแล้วนะคอนแนล!”
“อ่ะ– เข้าใจแล้วครับ! จับให้ดีๆ นะครับอีฟ”
คอนแนลที่ได้ยินเสียงร้องเรียกของนากาได้พูดเตือนอีฟที่กำลังขี่คอของเขาอยู่เล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินนำโมโกะกลับมายังบริเวณรถม้าเพื่อขนสัมภาระของตนเองเข้าไปภายใน
และหลังจากที่พวกเขาได้ไซร่าพาไปเก็บของที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ได้เดินตามไซร่าไปที่ห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ก่อนที่ไดเอน่าและเคนซากิจะเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นภายในเวลาไม่นานและเอ่ยปากพูดสั่งงานไซร่าขึ้นมา
“อ้าว เก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ ถ้ายังไงรบกวนคุณไซร่าพาเคนซากิเขาไปที่ห้องพักของเขาให้หน่อยสิคะ”
“รับทราบค่ะคุณหนู”
“รบกวนด้วยนะครับ”
เคนซากิที่ได้ยินคำพูดสั่งงานของไดเอน่าได้ค้อมศีรษะให้กับไซร่าด้วยท่าทีสุภาพก่อนที่เขาจะเดินตามหลังสาวใช้ผมสีดำออกไป ส่วนทางด้านไดเอน่าที่เห็นว่าในบัดนี้มีแต่ชาวเมืองรีมินัสด้วยกันเองแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดถามเกี่ยวกับเรื่องงานของคุณเอริกะที่พวกนากาต้องแยกตัวไปทำขึ้นมา
“ว่าแต่แล้วเดี๋ยวทุกคนจะเอายังไงกันต่อล่ะ? คุณเอริกะเขาได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าจะให้ทำอะไรบ้างน่ะ?”
“เอ่อ… เห็นคุณเอริกะเขาบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่แล้วมาแจกแจงรายละเอียดให้น่ะครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
ในขณะที่ทางด้านนากากับโมโกะกำลังคุมไม่ให้อีฟก่อเรื่องซนอยู่นั้น ทางด้านคอนแนลที่นั่งว่างอยู่ก็ได้พูดตอบคำถามของไดเอน่าขึ้นมาจนทำให้นากาที่ได้ยินแบบนั้นต้องผละออกมาจากการคุมตัวอีฟเอาไว้และพูดอธิบายขึ้นมาบ้าง
“เท่าที่พวกฉันรู้ก็คือว่าเหมือนมันจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของทางโรงเรียนที่เธอกะจะมาทำสักเท่าไหร่นั่นแหล่ะ”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอไปจัดการเก็บของให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกันนะ ทุกคนทำตัวตามสบายกันได้เลย— อ่ะ แล้วถ้าเป็นไปได้อย่าให้อีฟเขาเผลอไปทำอะไรพังเข้าล่ะ เห็นคุณปู่ทวดเขาเคยบอกว่าของพวกนี้บางอันมันก็เป็นของโบราณที่น่าจะหาในยุคนี้ไม่ได้แล้ว… อย่างเช่นแจกันดอกไม้อันที่อีฟเขาเล่นอยู่นั่นแหล่ะ~”
“…….?”
คำพูดที่ไดเอน่าพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปได้ทำให้สายตาของคนที่เหลือมองตรงไปทางอีฟเป็นจุดเดียวก่อนที่พวกเขาจะรีบหาของเล่นชิ้นใหม่ไปให้เด็กสาวเล่นและรีบวางแจกันดอกไม้อันเล็กนั่นกลับจุดเดิมกันอย่างรวดเร็ว
“คุณเอริกะพักก่อนสักหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอคะ…?”
ในขณะที่ทางด้านเหล่าเด็กๆ กำลังนั่งเล่นอยู่กับอีฟในห้องนั่งเล่นอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่สิงตัวเองอยู่ในห้องควบคุมใต้เมืองแพนเทร่าก็ได้ยินเสียงพูดถามด้วยความเป็นห่วงของดัชเชสตัวน้อยอย่างอาริสะดังขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับกำลังยุ่งอยู่กับการมองข้อความบนหน้าจอแสดงผลและรัวมือลงไปกับแป้นพิมพ์เบื้องหน้าจนจับใจความในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก
“หืม? เมื่อกี้นี้เธอว่าไงนะ?”
“เอ่อ….”
อาริสะที่ถูกพูดถามกลับมานั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาลูบหูจิ้งจอกบนศีรษะของเธอด้วยท่าทีจนปัญญา เพราะว่าเอริกะอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนที่เธอนำอุปกรณ์ต่างๆ มาให้แล้ว อีกทั้งเธอก็ไม่รู้ว่าจะช่วยงานอีกฝ่ายยังไงด้วย
เพราะว่าจนถึงบัดนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่ายอดนักประดิษฐ์สาวผมสีแดงกำลังทำอะไรอยู่ซะด้วยซ้ำเนื่องจากว่าเธอแปลภาษาโบราณที่ปรากฏขึ้นบนสิ่งที่เรียกว่าหน้าจอนั่นไม่ทันแตกต่างจากเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับภาษาโบราณพวกนี้ดีอยู่แล้วจนแทบจะไม่ต้องเสียเวลาอ่านพวกมันเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่อาริสะจะได้พูดตอบอะไรกลับไป บนหน้าจอขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงส่วนด้านในสุดของห้องควบคุมก็ได้ปรากฏหน้าต่างสีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีข้อความสีขาววิ่งผ่านไปทางด้านบนอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับที่เอริกะได้ส่งเสียงที่ฟังดูเหมือนกับว่าเธอกำลังลุ้นอะไรบางอย่างอยู่ออกมา
“โอ๋ะ—โอ๋ะ—”
แอดแอ๊ดดดด—
แต่แล้วการเฝ้าลุ้นอย่างตื่นเต้นของเอริกะก็กลับต้องหยุดไปเมื่อข้อความสีขาวที่กำลังเลื่อนผ่านหน้าต่างสีดำไปอย่างรวดเร็วนั้นได้หยุดชะงักลงและปรากฏแถบคาดสีแดงขนาดใหญ่ที่มีคำในภาษาโบราณถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘การเข้าถึงถูกปฏิเสธ โปรดติดต่อผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึง’ โผล่มาให้เธอเห็นอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เอริกะอดไม่ได้ที่จะใช้กำปั้นทุบเข้าใส่แป้นพิมพ์อย่างแรงพร้อมกับตวาดออกมาเสียงดัง
ปึ้ง!
“ไม่มีสิทธิอะไรกันหะ!? ถ้าฉันที่เป็นหนึ่งในคนที่เขียนแกขึ้นมาเองยังไม่มีสิทธิแล้วใครที่ไหนมันจะมีสิทธิกันเล่าไอ้ระบบเส็งเคร็ง!!”
ปึ้ง! ปึ้ง!
“จ—ใจเย็นๆ ลงก่อนเถอะค่ะคุณเอริกะ!”
การโวยวายเสียงดังของเอริกะนั้นได้ทำให้อาริสะที่ตกใจจนตัวแข็งไปตั้งแต่การลงไม้ลงมือครั้งแรกของเอริกะตั้งสติได้และรีบเข้ามาห้ามหญิงสาวนักประดิษฐ์ในทันทีก่อนที่จะมีอะไรในห้องควบคุมอันแสนล้ำค่าของเมืองแพนเทร่าเสียหายไปเสียก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้เอริกะที่แทบจะไม่ได้พักผ่อนมาตลอดสองวันใจเย็นลงเลยแม้แต่น้อยเมื่อเธอได้เหวี่ยงขาเตะเข้าใส่ขาตั้งของตัวแป้นพิมพ์อีกสองสามทีเพื่อเป็นการระบายอารมณ์
ปึ้ง! ปึ้ง!
“ฮ่า… ฮ่า… ให้ตายสิ….”
หลังจากที่เอริกะโวยวายจนหมดแรงแล้วเธอก็ได้ย่อตัวลงไปเพื่อพักหอบหายใจเล็กน้อยเป็นโอกาสให้อาริสะที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดสอบถามขึ้นมา
“ว่าแต่นี่คุณเอริกะคิดจะทำอะไรกันแน่หรอคะ? ถ้าเกิดว่า… เอ่อ… ‘มัน’ ต้องการให้เราติดต่อผู้ที่มีสิทธิในการเข้าถึงทำไมเราถึงไม่ลองทำแบบนั้นดูล่ะคะ?”
“ก็เพราะว่าคนที่มีสิทธินั่นเขาไม่อยู่แล้วยังไงล่ะ เธอลืมไปแล้วหรอว่าก่อนหน้านี้ใครเป็นคนที่รับหน้าที่ให้มาดูแลห้องนี้น่ะ”
“ท่านไมเคิล…อย่างงั้นหรอคะ”
คำพูดของอาริสะได้ทำให้เอริกะเงยหน้ากลับขึ้นมาพยักหน้าให้กับเธอก่อนที่หญิงสาวนักประดิษฐ์จะยันตัวเองกลับขึ้นมายืนและมองตรงไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถูกคาดเอาไว้ด้วยคำเตือนสีแดงเบื้องหน้าแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“แล้วก็เพราะว่าไมเคิลถูกพวกเธอฆ่าไปแล้วแบบนั้นมันก็หมายความว่าไม่มีใครสามารถพาพวกเราลงไปที่เมืองมาร์นาฟข้างล่างนั่นได้อย่างปลอดภัยแล้วยังไงล่ะ”
“……….”
คำพูดของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะนิ่งเงียบใช้มือกำชายกระโปรงของตัวเองแน่นอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เด็กสาวจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่จากที่เขาเล่ากันมาไม่ใช่ว่ามันน่าจะยังมีทางลงทางอื่นถูกซ่อนเอาไว้ตามจุดต่างๆ ในเมืองอีกไม่ใช่หรอคะ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะสักแห่งสองแห่ง…”
“ ‘น่าจะ’ …? เธอก็พูดอย่างกับว่าเคาน์เตสอย่างเธอไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นมีทางลงอยู่กี่แห่งกันแน่เลยนะอาริสะจัง…”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอาริสะได้เลิกคิ้วพูดถามเด็กสาวกลับไป เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วตำแหน่งเคาน์เตสของเด็กสาวนั้นก็เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างจะสูงอีกทั้งเธอรับหน้าที่ค่อนข้างจะสำคัญอย่างการรับช่วงต่อหน้าที่ดูแลห้องควบคุมมาจากไมเคิลที่มีตำแหน่งเป็นถึงดยุกอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอาริสะที่ได้ยินคำถามของเอริกะก็กลับชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“คือว่ามันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ แหะๆ …”
คำตอบของอาริสะนั้นได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้อาริสะที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง
“คือแบบว่าก่อนหน้านี้มันเคยก็เคยมีขุนนางท่านอื่นมารับหน้าที่นี้หลังจากที่ท่านไมเคิลจากไปอยู่น่ะค่ะ แต่ดูเหมือนว่าการทำงานของเขาจะไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไหร่เขาก็เลยสั่งให้ดิฉันที่รู้จักแล้วก็สนิทสนมกับท่านไมเคิลดีมารับหน้าที่นี้แทนน่ะค่ะ… เขาคงจะคิดว่าท่านไมเคิลอาจจะเคยบอกอะไรดิฉันเกี่ยวกับเรื่องของห้องควบคุมเอาไว้ล่ะมั้งคะ…”
“หรือก็คือว่าเธอแค่บังเอิญได้รับหน้าที่ดูแลห้องควบคุมที่เป็นหนึ่งในทางลงนี่เฉยๆ งั้นสินะ? แล้วถ้าเกิดว่าฉันพยายามลงไปเมืองใต้ดินผ่านทางลงทางอื่นก็อาจจะได้เจอกับคนเฝ้าคนอื่นเหมือนกัน?”
“มันก็… อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ…”
คำถามของเอริกะในครั้งนี้ได้ทำให้อาริสะต้องเบี่ยงตาหลบและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะมั่นใจนักจนทำให้เอริกะพอจะคาดเดาได้ว่าตัวเด็กสาวหรือแม้แต่กระทั่งทางวังหลวงของเมืองแพนเทร่าเองก็อาจจะทำข้อมูลเกี่ยวกับทางลงเมืองใต้ดินสูญหายไปตามกาลเวลาแล้วก็เป็นได้ เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่ไล่จี้ถามเกี่ยวกับเรื่องทางลงทางอื่นจากเด็กสาวต่อและหันไปพูดเรื่องอื่นแทน
“เอาเถอะๆ เอาเป็นว่าในเมื่อทางลงนี้มันใช้ไม่ได้แล้วงั้นเดี๋ยวพวกเราลองไปไล่ดูทางลงทางอื่นดูบ้างก็แล้วกัน เอาล่ะ ไปกันเถอะๆ”
“เอ๋? คุณเอริกะรู้ว่าทางลงทางอื่นอยู่ที่ไหนด้วยงั้นหรอคะ? แต่แบบนั้นจะให้ดิฉันตามไปด้วยจะดีหรอคะ?”
“ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ อย่างเช่นที่ที่ไปได้สะดวกที่สุดในเวลานี้ก็คือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของไมเคิลเขานั่นไง”
“อ…เอ๋… สถานเลี้ยงเด็กของท่านไมเคิลนั่นน่ะหรอคะ…?”
คำพูดของเอริกะที่เกี่ยวข้องกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของไมเคิลที่อาริสะเคยอาศัยอยู่ในวัยเด็กนั้นได้ทำให้เคาน์เตสตัวน้อยที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีตื่นเต้นอยู่ชะงักนิ่งไปภายในพริบตาก่อนที่เธอจะรีบกวาดเอาสิ่งของต่างๆ ที่เอริกะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานกับแผงแป้นพิมพ์และหน้าจอในช่วงสามวันนี้มากองรวมกันและรีบเอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันที
“ค–คุณเอริกะคงจะไม่ว่าอะไรถ้าดิฉันอยากจะขอนำของพวกนี้ไปศึกษาดูสินะคะ!? มันน่าจะเอาไปใช้พัฒนาพวกแผงวงจรต่างๆ ของเมืองได้พอดีเลยใช่มั้ยล่ะคะ!”
“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ไม่ใช่ว่าเธอก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยวิจัยเลยหรอกหรอ เรื่องแค่นี้สั่งให้พวกลูกน้องของเธอไปทำให้ก็ได้มั้ง”
“ห–หัวหน้าอย่างดิฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ! ล–แล้วในเมื่อดิฉันติดงานอยู่แบบนี้คุณเอริกะคงจะต้องไปตรวจดูที่นั่นคนเดียวแล้วล่ะค่ะ! เอาล่ะรีบไปกันเถอะค่ะ!”
อาริสะพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยท่าทีลนลานอย่างเห็นได้ชัดและรีบเดินนำเอริกะกลับไปในโถงทางเดินเหล็กที่เชื่อมต่อไปยังทางลงห้องควบคุม และในทันทีที่พวกเธอกลับขึ้นไปถึงพื้นด้านบนอาริสะก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เอริกะอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ไม่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย…”