Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 188 : Consortium
“ม–เมืองมาร์นาร์ฟงั้นหรอคะ? แต่ไม่ใช่ว่าเมืองนั้นมันตั้งอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของทะเลแล้วก็เลือกที่จะตัดการติดต่อกับพวกเราไปแล้วหรอกหรอคะ?”
“แหม่ ที่เธอพูดถึงนั่นมันเมืองนิวมาร์นาร์ฟ หรือเมืองมาร์นาร์ฟแห่งใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นมาหลังจากที่เมืองนี้ถูกส่งลงมาใต้ดินแล้วต่างหากล่ะ ส่วนที่เธอไม่รู้จักเรื่องของเมืองนี้มันก็คงจะไม่แปลกหรอก เพราะว่าถึงเมืองแพนเทร่าจะได้วิทยาการหลายๆ อย่างมาจากเมืองมาร์นาร์ฟจนเจริญกว่าเมืองอื่นๆ ในช่วงแรกก็เถอะแต่ว่ามันถูกก่อตั้งหลังจากเรื่องนั้นตั้งหลายปีนี่นา”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดด้วยความตกใจของอาริสะได้พูดอธิบายออกมาให้เด็กสาวฟัง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอาริสะก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับในคำอธิบายของเอริกะและพูดเถียงขึ้นมาตามที่เธอเข้าใจ
“ป–เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ! เรื่องใหญ่ขนาดย้ายเมืองทั้งเมืองลงใต้ดินแบบนี้ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องจริงมันก็ต้องมีบันทึกอะไรหลงเหลือทิ้งเอาไว้บ้างไม่ใช่หรอคะ!? แต่นี่ดิฉันไม่เคยเห็นเรื่องราวอะไรพวกนั้นถูกบันทึกเอาไว้แม้แต่กระทั่งข้างในห้องสมุดหลวงเลยนะคะ!”
“แหม่ ก็แล้วเธอคิดว่าเป็นใครกันล่ะที่เป็นคนเขียนหนังสือประวัติศาสตร์พวกนั้นขึ้นมาน่ะ~”
“มันก็ต้องเป็นนักโบราณคดีที่ได้รับการยอมรับจากทางวัง…อยู่แล้วสิคะ… นั่นสินะคะ… อื้ม…”
อาริสะที่กำลังพูดตอบเอริกะกลับไปนั้นเหมือนจะสะกิดใจอะไรบางอย่างและก้มหน้าลงด้วยท่าทีครุ่นคิด และนั่นก็ทำให้เอริกะส่งยิ้มให้กับขุนนางตัวน้อยไปเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับแป้นพิมพ์และหน้าจออันเล็กเบื้องหน้าของเธอต่อ
ก๊อกแก๊กก๊อกแก๊ก— แอดแอ๊ดดดด—
“หืม…?”
เอริกะที่เพิ่งจะเคาะนิ้วพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในแป้นพิมพ์นั้นได้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ตรงส่วนด้านในสุดของห้องนั้นก็คือแถบคาดสีแดงอันใหญ่ที่มีอตัวอักษรโบราณที่แปลกความหมายได้ว่า ‘การเข้าถึงถูกปฏิเสธ โปรดติดต่อผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึง’ ที่ถึงกับทำให้เอริกะต้องขมวดคิ้วพูดพึมพำออกมา
“แม้แต่ที่ห้องควบคุมนี่ก็ยังเชื่อมต่อไม่ได้งั้นหรอ… ท่าจะแย่จริงๆ แล้วสิแบบนี้…”
“นั่นมันอะไรกันน่ะคะคุณเอริกะ!? ปกติสีแดงมันหมายถึงมีอะไรอันตรายไม่ใช่หรอคะ!? มันจะไม่อยู่ๆ ก็ระเบิดที่นี่ทิ้งใช่มั้ยคะ!?”
เสียงของสัญญาณเตือนและแถบคาดสีแดงที่มีข้อความในภาษาโบราณถูกเขียนเอาไว้นั้นได้ทำให้อาริสะหลุดออกมาจากห้องความคิดของเธอและพูดถามขึ้นมาด้วยท่าทีลนลานจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นต้องรีบพูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกน่า แค่ว่าเหมือนข้างล่างนั่นจะมีปัญหาอะไรบางอย่างจนทำให้พวกเราขอดูอย่างอื่นนอกจากแผนที่นี่ไม่ได้เลยน่ะสิ”
“เอ๋ะ— ปัญหางั้นหรอคะ? แล้วแบบนี้พวกเราจะต้องทำยังไงล่ะคะ?”
“อันดับแรกก็คงจะต้องหาวิธีเข้าไปข้างในระบบให้ได้ก่อนน่ะ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าตอนนี้นอกจากแผนที่แล้วจะป้อนคำสั่งอะไรไปก็โดนปฏิเสธหมดเลยนั่นแหล่ะ…”
เอริกะพูดตอบอาริสะกลับไปก่อนที่เธอจะเดินไล่ดูไปตามแผงแป้นพิมพ์อันอื่นๆ ดูอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเธอได้ค้นพบแผงแป้นพิมพ์อันหนึ่งที่มีรอยคราบสีดำแห้งกรังเปื้อนอยู่ตามปุ่มกด และนั่นก็ทำให้เอริกะล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอเพื่อหยิบเอากระดาษและปากกาออกมาเขียนยุกยิกแล้วจึงส่งมันให้กับอาริสะพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ฝากเธอไปเอากระเป๋าของฉันกับของพวกนี้ลงมาที่นี่ให้หน่อยสิอาริสะ”
“ขอฉันดูก่อนนะคะ… แผ่นโลหะซิลิคอนกับแผ่นทองแดง ลวดตะกั่วกับลวดทองแดง อุปกรณ์สำหรับตัดเชื่อมโลหะ คริสตัลวิซสีใสความบริสุทธิ์สูงกับเส้นใยคริสตัลวิซ แล้วก็…เสบียงอาหารน้ำกับขนม…?”
รายชื่อสิ่งของต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งของรายการสุดท้ายอย่างขนมทานเล่นนั้นได้ทำให้อาริสะต้องเลิกคิ้วมองหน้าเอริกะด้วยท่าทีเหมือนกับคาดไม่ถึง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจท่าทีของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยและพูดถามกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าซะด้วยซ้ำ
“เธอพอจะหามาให้ได้หรือเปล่าล่ะ เพราะถ้าไม่ได้ฉันจะได้คิดหาวิธีอื่นที่มันน่าจะช้ากว่านี้เยอะเลยน่ะ~”
“เรื่องอุปกรณ์พวกนี้น่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะเพราะว่าที่โรงต่อเรือเหาะก็พอจะมีเก็บเอาไว้บ้าง… แต่คุณเอริกะมั่นใจใช่มั้ยคะว่าถ้าเกิดว่าคุณซ่อมของพวกนี้ได้แล้วมันจะช่วยแก้ปัญหาหมอกควันของเมืองนี้ได้น่ะค่ะ?”
“ต้องบอกว่ามันจะช่วยทำให้พวกเรารู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรหมอกพวกนี้มันถึงกระจายออกไปทั่วเมืองได้ต่างหากล่ะ เพราะว่าตอนนี้นอกจากเปิดแผนที่ขึ้นมาดูเล่นแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้เลยอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นคุณเอริกะสัญญากับดิฉันได้หรือเปล่าคะว่าถ้าคุณเอริกะรู้ถึงสาเหตุแล้วคุณเอริกะจะช่วยหาทางจัดการกับหมอกพวกนี้น่ะ”
อาริสะที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่เธอต้องการจากเอริกะนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดถามนักประดิษฐ์สาวขึ้นมาตรงๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปตรงๆ เช่นเดียวกัน
“ก็ถ้าเกิดว่าหมอกพวกนี้มันเป็นปัญหาจากที่นี่จริงๆ ฉันก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะ แต่นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าทางเมืองของพวกเธอจะให้ความร่วมมือกับพวกฉันขนาดไหนด้วย”
“…เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นดิฉันขอตัวไปเตรียมนำของที่คุณเอริกะขอมาให้ก่อนก็แล้วกันนะคะ”
อาริสะที่ได้รับคำตอบที่พอรับได้จากเอริกะไปนั้นได้ค้อมหัวให้กับเอริกะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินส่ายหางจิ้งจอกสีแดงนุ่มฟูของเธอออกไปจากห้องควบคุมด้วยความดีใจจนทำให้เอริกะที่โดนหางฟูๆ สีแดงที่ส่ายไปส่ายมาดึงดูดสายตาไปอีกครั้งหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“รู้เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนจริงๆ น๊า…”
คำพูดของเอริกะไม่ได้ทำให้อาริสะที่กำลังเดินจากไปด้วยความดีใจหันกลับมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอาริสะก็ได้เดินตรงกลับไปยังห้องนั่งเล่นก่อนที่ตัวห้องทั้งห้องจะสั่นสะเทือนเล็กน้อยอีกครั้งโดยที่ในครั้งนี้อาริสะกลับรู้สึกเหมือนกับว่าตัวหนักขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวห้องกำลังเคลื่อนที่กลับขึ้นไปด้านบนอยู่นั่นเอง
และหลังจากที่การเคลื่อนไหวของห้องหยุดลงแล้วนั้นเอง อาริสะก็รีบเดินตรงออกจากตัวปราสาทเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงต่อเรือเหาะเพื่อรวบรวมวัสดุที่เอริกะต้องการในทันที หรืออย่างน้อยๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ว่าจะทำจนกระทั่งฝีเท้าเธอถูกหยุดเอาไว้โดยชายหนุ่มผมสีน้ำเงินในชุดเครื่องแบบขุนนางตรงบริเวณแถวหน้าตัวปราสาทนั่นเอง
“เคาน์เตสอาริสะ พอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวไหมครับ?”
“………”
เสียงเรียกของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินในชุดเครื่องแบบขุนนางที่ดูเหมือนกับชุดสูทสีขาวมีลวดลายสีแดงประดับด้วยตราสัญลักษณ์และตราประจำตำแหน่งอันเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของเหล่าขุนนางเมืองแพนเทร่านั้นได้ทำให้อาริสะต้องหยุดเท้าของเธอไปและแอบกำหมัดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปพูดตอบเขาด้วยท่าทีสุภาพ
“ตอนนี้ดิฉันคงจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่น่ะค่ะท่านเคาน์เวอร์มอนด์ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าคะ?”
“ผมแค่มีเรื่องอยากจะสอบถามสักเล็กน้อยน่ะครับ รบกวนขอเวลาสักครู่ได้หรือเปล่าครับ?”
“ถ้าแค่สักครู่เดียวก็ได้อยู่หรอกค่ะ…”
อาริสะที่เพิ่งจะตอบปฏิเสธไปนั้นได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยอมหยุดคุยกับขุนนางหนุ่มแต่โดยดีเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา และนั่นก็ทำให้เคาน์เวอร์มอนด์ไม่รอช้าที่จะพูดตรงเข้าเรื่องในทันที
“เมื่อสักครู่นี้ผมได้ยินมาจากคนรับใช้ว่าคุณรีบออกมาต้อนรับแขกด้วยตัวเอง… ไม่ทราบว่าแขกท่านนั้นเป็นคนสำคัญถึงขนาดที่ต้องทำให้ขุนนางยศเคาน์เตสอย่างคุณออกไปต้อนรับด้วยตัวเองเลยงั้นหรอครับ?”
“ค่ะ เขาเป็นแขกจากเมืองรีมินัสที่อาจจะสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องหมอกควันที่ปกคลุมเมืองของเราอยู่ได้ ดิฉันก็เลยต้องออกไปต้อนรับด้วยตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่เป็นการเสียมารยาทน่ะค่ะ”
“อ๋อ… เกี่ยวกับเรื่องปัญหาหมอกควันนี่เอง… ว่าแต่ไม่ทราบว่าแขกท่านนั้นไปอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะครับ? เมื่อสักครู่นี้ผมเพิ่งจะไปที่ห้องทำงานของคุณมาแล้วแต่ก็ไม่เจอใครเลยนี่ครับ”
“…….”
คำถามของขุนนางหนุ่มในครั้งนี้ได้ทำให้อาริสะนิ่งเงียบไปชั่วขณะเพื่อตัดสินใจว่าควรจะบอกเรื่องเกี่ยวกับห้องควบคุมที่แท้จริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ดินและเรื่องของเมืองมาร์นาร์ฟเก่าที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้ออกมาให้เขาฟังดีหรือไม่
แต่ว่าเมื่ออาริสะคิดได้ว่าถ้าหากเรื่องที่เธอยอมปล่อยให้คนนอกเข้าไปด้านในห้องนั้นอย่างง่ายๆ ทั้งๆ ที่เธอแทบจะปฏิเสธคำขออนุญาตจากขุนนางคนอื่นๆ ภายในวังมาโดยตลอดถูกคนอื่นล่วงรู้เข้าล่ะก็มันคงจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน เธอจึงได้ตัดสินใจที่จะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เสียก่อน
“ตอนนี้เขาลองออกไปตรวจสอบสภาพหมอกภายในเมืองอยู่ก็เลยไม่ได้อยู่ด้านในตัวปราสาทน่ะค่ะ ถ้าหากว่าท่านเวอร์มอนด์อยากจะพบกับเขาล่ะก็พอเขากลับมาเมื่อไหร่เดี๋ยวฉันจะแจ้งให้ทราบก็แล้วกันนะคะ”
“เรื่องนั้นคงไม่ต้องหรอกครับเพราะตอนนี้ผมสนใจเรื่องอื่นมากกว่า… ไม่ทราบว่าช่วงค่ำของวันนี้คุณว่างหรือเปล่าน่ะครับ พอดีว่าผมอยากจะขอคุยเรื่อง… คนรู้จักของกบฏไมเคิลที่คุณจัดการพลาดนั่นสักหน่อยน่ะครับ”
“…….”
คำพูดของเคาน์เวอร์มอนด์นั้นได้ทำให้อาริสะก้มหน้าลงด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนก่อนที่เธอจะพูดถามเขากลับไปเบาๆ ราวกับว่าเธอกลัวว่าคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยินเข้า
“…ที่ห้องพักของท่านเหมือนเดิมใช่หรือเปล่าคะ”
“ครับ แต่คราวนี้ก็อาจจะมีท่านเคาน์ท่านอื่นมาด้วยเหมือนเดิม คุณคงจะไม่มีปัญหาอะไรสินะครับ”
“…ตามใจพวกท่านเถอะค่ะ”
อาริสะที่ได้ยินสิ่งที่เวอร์มอนด์พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่มุมปากนั้นได้เม้มปากแน่นก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปเบาๆ ในขณะที่ทางด้านเวอร์มอนด์ที่ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการแล้วก็ได้ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวเธอไปแต่โดยดี
“ถ้างั้นผมขอไม่รบกวนเวลาของ ‘เคาน์เตส’ อาริสะแล้วก็แล้วกันนะครับ ถ้ายังไงอย่าลืมเรื่องการนัดหมายของพวกเราก็แล้วกันนะครับ”
“….ดิฉันไม่ลืมอยู่แล้วล่ะค่ะ”
อาริสะพูดตอบขุนนางหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะจงใจเน้นย้ำที่ชื่อตำแหน่งของเธอเป็นพิเศษกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะรีบเดินออกไปในทันทีเหมือนกับว่าไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาอีกต่อไป และเมื่ออาริสะเลี้ยวพ้นตรงหัวมุมหนึ่งจนขุนนางหนุ่มมองไม่เห็นร่างของเธอแล้ว เธอก็ได้หยุดพักยืนพิงกำแพงและยกมือขึ้นมาทาบอกหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่ากำลังพยายามสงบจิตสงบใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
และหลังจากนั้นอีกสักพักหนึ่งอาริสะจึงได้ค่อยออกก้าวเดินต่อตรงไปยังโรงต่อเรือเหาะเพื่อขอเบิกอุปกรณ์ต่างๆ ที่เอริกะร้องขอมา ซึ่งทางด้านพนักงานของโรงงานที่ได้รับแผ่นกระดาษบรรจุรายชื่อสิ่งของที่เอริกะต้องการไปนั้นก็ได้เดินหายเข้าไปด้านในตัวโรงงานสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเดินกลับมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ก่อนที่เขาจะหยิบเอาสิ่งของภายในออกมาตั้งให้เรียงกันให้อาริสะได้ดู
“แผ่นโลหะที่ทำจากซิลิคอนกับทองแดง เส้นใยคริสตัลหนึ่งม้วน ม้วนลวดตะกั่วกับม้วนลวดทองแดงแล้วก็เทปกาว ส่วนข้างในกระเป๋านี่เป็นอุปกรณ์สำหรับตัดเชื่อมโลหะครับ”
“แล้วคริสตัลวิซสีใสความบริสุทธิ์สูงล่ะคะ?”
“อันนั้นพวกเราไม่มีของเหลืออยู่แล้วล่ะครับ เพราะว่าคริสตัลชุดสุดท้ายเพิ่งจะถูกจองเอาไว้สำหรับทำเส้นใยคริสตัลในชิ้นส่วนวงจรวิซของเรือเหาะรุ่นใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้เอง ถ้าเกิดว่าดึงออกมาใช้ก่อนตอนนี้มันจะกระทบกับแผนงานส่วนอื่นเป็นทอดๆ น่ะครับ”
“อย่างงั้นเองหรอคะ…”
อาริสะที่ได้ยินคำตอบของพนักงานคนนั้นได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีกลุ้มใจ เพราะว่านอกจากที่นี่แล้วเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถไปหาคริสตัลวิซความบริสุทธิ์สูงที่ค่อนข้างจะหายากและเป็นที่ต้องการมากในตลาดมาจากที่ไหนได้อีก
ซึ่งท่าทางลำบากใจของอาริสะที่ไม่ได้พูดสั่งให้พวกเขาแบ่งคริสตัลพวกนั้นให้กับเธอในทันทีแตกต่างจากท่าทีอวดเบ่งเอาแต่ใจของขุนนางส่วนใหญ่นั้นก็ได้ทำให้พนักงานคนนั้นยกมือขึ้นมาลูบคางเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดแนะนำขึ้นมา
“ถ้าเกิดว่าท่านต้องการคริสตัลพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็มีพ่อค้าคนนึงที่น่าจะยังมีของพวกนั้นเหลืออยู่นะครับ พวกเขาเพิ่งจะนำของมาเสนอขายเมื่อตอนเช้ามืดนี้แล้วก็เห็นบอกว่าจะเอาของส่วนที่เหลือไปขายต่อที่ด้านในเมืองน่ะครับ”
“เป็นความจริงหรอคะ!? พ่อค้าคนที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนหรอคะ!?”
อาริสะที่ได้ยินคำพูดของพนักงานคนนั้นได้พูดถามเขากลับไปด้วยความดีใจ และเมื่อเธอได้ข้อมูลของพ่อค้าคริสตัลวิซคนนั้นมาแล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบขนของตรงเข้าไปด้านในตัวเมืองแพนเทร่าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยสายหมอกสีขาวในทันที
“ผู้ชายวัยกลางคนผมสีดำที่มีเขาสีดำงั้นหรอ… คนนั้นหรือเปล่านะ…”
อาริสะที่เดินมาถึงโรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่งในตัวเมืองแพนเทร่านั้นได้พูดพึมพำออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปหาชายวัยกลางคนผมสีดำที่มีเขาสัตว์สีดำอยู่บนศีรษะที่กำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ที่บาร์ของทางโรงแรมโดยที่ไม่สนใจว่าชุดเดรสหรูหราของเธอจะดึงดูดสายตาของชาวเมืองเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะพูดถามชายเบื้องหน้าขึ้นมา
“ขอโทษนะคะ คุณใช่คุณ เบรนสัน พ่อค้าขายคริสตัลวิซที่เพิ่งจะขายคริสตัลให้กับทางเมืองเมื่อเช้านี้หรือเปล่าคะ?”
“เอ๋ะ? อ่ะ–ครับ ผมเบรนสันคนที่ว่านั่นแหล่ะครับ”
ชายวัยกลางคนผู้ที่มีเส้นผมและเขาสัตว์สีดำ หรือก็คือ เบรนสัน หัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ของหมู่บ้านของรีซาน่าที่ดูเหมือนว่าจะยังคงรับหน้าที่ค้าขายกับโลกภายนอกอยู่ด้วยนั้นได้พูดตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงประหม่าเมื่อเขาได้เห็นเด็กสาวที่แต่งตัวดูสูงศักดิ์เดินเข้ามาพูดถามใกล้ๆ แบบนั้น ก่อนที่เขาจะคิดขึ้นมาได้ว่าเด็กสาวที่แต่งตัวหรูหราแบบนี้ก็คงจะต้องเกี่ยวข้องกับพวกขุนนาง และพวกขุนนางก็ต้องเกี่ยวข้องกับทางเมือง และเรื่องที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับทางเมืองก็มีเพียงแค่เรื่องสินค้าของเขาอันเป็นคริสตัลวิซที่เขาเพิ่งจะขายไปเมื่อเช้านั่นเอง
“ค–คุณหนูมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่าสินค้าเมื่อเช้านี้มันมีปัญหางั้นหรอครับ ผมยินดีรับผิดชอบนะครับ!”
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นหรอกค่ะ ดิฉันเคาน์เตส อาริสะ ได้ยินว่าเมื่อเช้านี้มีพ่อค้ามาขายคริสตัลให้กับทางเมืองแล้วก็น่าจะยังมีสินค้าเหลืออยู่ดิฉันก็เลยต้องการที่จะมาดูสินค้าพวกนั้นน่ะค่ะ”
อาริสะที่เห็นท่าทีประหม่าปนกังวลใจของเบรนสันได้รีบพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง และนั่นก็ทำให้เบรนสันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่เขาจะหยิบเอากระเป๋าสะพายที่เขาวางเอาไว้ข้างๆ ขึ้นมาเปิดให้อาริสะดู
“ฟู่ว… เป็นอย่างงั้นเองสินะครับ โชคดีนะครับเนี่ยที่ผมไม่ได้รีบกลับไปก่อนน่ะ เพราะว่าตอนที่เอาไปให้ร้านค้าแถวๆ นี้ดูก็ไม่มีใครยอมรับซื้อกันสักคนนึงเลยน่ะครับ ถึงจะเหลืออยู่แค่สองก้อนแต่ก็เชิญเลือกได้ตามสบายเลยครับ”
“ไม่ยอมรับซื้องั้นหรอคะ? แต่ถ้าเกิดว่าทางวังยอมรับซื้อสินค้าของคุณร้านค้าอื่นๆ ก็น่าจะไม่มีปัญหา— เอ๋… สีชมพู…?”
อาริสะที่กำลังพูดถามกลับไปนั้นได้ชะงักไปก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าที่ก้นกระเป๋านั้นได้มีก้อนคริสตัลสีใสที่ออกไปทางสีชมพูจางๆ สองก้อนถูกกองทิ้งเอาไว้
ซึ่งอาริสะที่ได้เห็นก้อนคริสตัลสีชมพูใสนั้นก็ได้หยิบมันขึ้นมามองสำรวจดูด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดถามเบรนสันขึ้นมาเมื่อเธอตรวจสอบมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“นี่คุณ…. พยายามจะเอาคริสตัลพวกนี้ไปขายให้กับร้านค้าของทางเมืองงั้นหรอคะ?”
“ครับ แต่พอพวกเขาเห็นก้อนคริสตัลที่เหลืออยู่พวกนี้พวกเขาก็ไม่ยอมรับซื้อแถมเผลอๆ บางร้านก็ยังไล่ผมออกมาทันทีเลยน่ะครับ จะมีก็แค่ที่ทางคลังสินค้าของทางวังที่ยอมรับซื้อไปห้าก้อนน่ะครับ”
“อย่างงั้นเองหรอคะ… ถ้างั้นคุณเบรนสันพอจะสะดวกเดินทางไปที่ปราสาทอีกครั้งนึงหรือเปล่าคะ? ดิฉันต้องการที่จะขอซื้อคริสตัลทั้งสองก้อนนี่เลยน่ะค่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากจะขอลงชื่อจองคริสตัลสีชมพูพวกนี้ที่คุณเบรนสันอาจจะหามาได้ในอนาคตเอาไว้ก่อนด้วยน่ะค่ะ”
“เอ๋? จองเอาไว้ก่อนงั้นหรอครับ?”
“ถ้าคุณเบรนสันไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ”
“ก็ต้องสะดวกอยู่แล้วสิครับ ขอเวลาผมเก็บของก่อนแป๊บนึงนะครับ!”
เบรนสันที่ได้ยินว่าสินค้าจากหมู่บ้านในป่าเขาของเขาเป็นที่ต้องการถึงขนาดที่ว่ามีคนอยากจะลงชื่อจองเอาไว้ก่อนนั้นได้รีบพูดตอบเด็กสาวขุนนางกลับไปด้วยความดีใจก่อนที่เขาจะรีบดื่มกาแฟในถ้วยจนหมดและขนข้าวของเดินตามหลังอาริสะไปในทันที
ซึ่งในระหว่างที่อาริสะกำลังเดินนำเบรนสันตรงไปทางปราสาทแพนเทร่าอยู่นั้น เธอก็ได้ถือโอกาสนี้ในการพูดสอบถามเบรนสันเกี่ยวกับสินค้าของเขาขึ้นมาด้วย
“ดิฉันขอถามสักหน่อยจะได้หรือเปล่าคะว่าทางคลังรับซื้อสินค้าของคุณไปในราคาเท่าไหร่น่ะคะ?”
“เอ… เขาซื้อไปห้าก้อนจากเจ็ดก้อนที่ผมเอามา ก้อนล่ะหนึ่งร้อยคริสต้า รวมแล้วก็ห้าร้อยคริสต้าน่ะครับ ส่วนสองก้อนที่เหลือนี่พวกเขาบอกว่าคงจะไม่ขอรับเอาไว้เพราะว่าเป็นของมีตำหนิน่ะคับ”
“อื้ม… ก็เป็นราคาปลึกมาตรฐานสำหรับคริสตัลวิซความบริสุทธิ์สูงก้อนใหญ่… ว่าแต่คุณเบรนสันไม่มีปัญหาอะไรกับราคานั้นหรอคะ?”
“เอ๋? ก็ไม่มีนะครับ แล้วอีกอย่างนึงห้าร้อยคริสต้าก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ที่หมู่บ้านขาดแคลนอยู่ได้ครบอยู่แล้วล่ะครับ ได้เท่านี้ผมก็นับว่าเยอะแล้วนะครับนั่น”
“นับว่าเยอะแล้วงั้นหรอคะ…?”
คำตอบของเบรนสันในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะต้องหันไปมองเบรนสันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะว่าจากการที่เธอได้ลองตรวจสอบคริสตัลวิซสีชมพูจางๆ ดูเมื่อสักครู่นี้ ถึงแม้ว่าสีของมันจะไม่ได้ใสบริสุทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าคุณภาพของมันนั้นกลับยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคริสตัลสีใสก้อนไหนๆ ที่ทางวังหลวงเคยหามาให้เธอได้เสียอีก
ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องของก้อนคริสตัลวิซสีชมพูที่ถูกเล่ากันมาปากต่อปากในเมืองแพนเทร่าแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วก็ตาม แต่ว่าที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยได้เห็นมันกับตาตัวเองจริงๆ จนทำให้อาริสะตัดสินใจที่จะลองพูดสอบถามเบรนสันเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู
“ที่ผ่านมาคุณเบรนสันเคยนำคริสตัลสีชมพูพวกนี้มาขายในเมืองบ้างหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ… จะเรียกว่าขายก็คงจะไม่ใช่สักเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าเป็นการขายมันจะต้องมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องใช่มั้ยล่ะครับ แต่ที่ผ่านมาพวกผมก็เคยเอามันมาแลกพวกยารักษาหรืออุปกรณ์ที่ทางหมู่บ้านต้องการอยู่บ้างน่ะครับ”
“หมายถึงการเอาสินค้ามาแลกสินค้าน่ะหรอคะ? นีคุณเบรนสันหลุดมาจากยุคไหนกันแน่คะเนี่ย?”
“แหะๆ”
เบรนสันที่ได้ยินคำพูดของอาริสะนั้นได้แต่ส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ กลับไปให้เธอ เพราะว่าที่ผ่านมาหมู่บ้านของพวกเขาที่อยู่ในป่าลึกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าปิดกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอกมาตลอดจนกระทั่งได้พวกเด็กๆ จากโรงเรียนรีมินัสช่วยเข้ามาเปลี่ยนแปลงมันนั่นเอง
“เอาเถอะค่ะ ถ้างั้นเอาเป็นว่าคุณเบรนสันจะสะดวกหรือเปล่าถ้าเกิดว่านับจากนี้ดิฉันอยากจะให้คุณขายคริสตัลวิซสีชมพูที่คุณหามาได้ให้กับทางวังหลวงเท่านั้นน่ะค่ะ”
“ตัวผมน่ะสะดวกอยู่แล้วล่ะครับ แต่ว่าแบบนั้นมันจะดีงั้นหรอครับ?”
“ก็ต้องดีอยู่แล้วสิคะ เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วดิฉันคิดว่าพวกเราน่าจะได้ประโยชน์กันทั้งคู่นะคะ เพราะว่าทางด้านคุณเบรนสันเองก็คงจะหาร้านที่รับซื้อพวกมันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ?”
“มันก็จริงนั่นแหล่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมพอร้านค้าพวกนั้นเห็นว่าตัวคริสตัลมันออกเป็นสีชมพูแบบนี้พวกเขาก็แทบจะไล่ผมออกมาจากร้านเลยน่ะครับ”
เบรนสันพูดตอบอาริสะกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ออกจะแฝงเอาไว้ด้วยความกลุ้มใจเล็กน้อย เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว สำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านของเขาแล้วคริสตัลวิซสีชมพูนั้นค่อนข้างที่จะดูคล้ายกับคริสตัลที่ประดับอยู่บนตัวของชิโยะผู้เป็นเทพมังกรที่เป็นที่นับถือในหมู่บ้านจนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจที่ตัวคริสตัลสีชมพูจางๆ ในกระเป๋าของเขาโดนร้านค้าต่างๆ ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเสียอย่างนั้น
ซึ่งน้ำเสียงของเบรนสันนั้นก็ได้ทำให้อาริสะตัดสินใจที่จะพูดอธิบายขึ้นมาให้เขาฟัง
“ที่พวกเขาทำแบบนั้นมันเป็นเพราะว่าปกติแล้วคริสตัลวิซที่สามารถรับได้ทุกธาตุแบบนั้นมันจะต้องเป็นสีใสไม่ใช่สีออกชมพูแบบนี้ไม่ว่าความบริสุทธิ์ของมันจะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตามน่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณเบรนสันคงจะบอกพวกเขาไปว่ามีคริสตัลที่สามารถรับได้ทุกธาตุมาขายสินะคะ แล้วพอพวกเขาเห็นคุณเบรนสันหยิบเอาคริสตัลสีชมพูออกมาก็คงจะคิดว่าคุณเป็นพวกหลอกลวงน่ะค่ะ”
“อ…อย่างงั้นเองหรอครับ… นี่ผมเผลอทำอะไรเสียมารยาทกับเจ้าของร้านพวกนั้นไปแล้วสินะครับเนี่ย…”
“ที่คุณเป็นห่วงคือเรื่องนั้นงั้นหรอกหรอคะ…”
คำพูดของเบรนสันได้ทำให้อาริสะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะพาเบรนสันเดินตรงไปยังส่วนของโรงงานต่อเรือเหาะที่เธอเพิ่งจะเดินจากมาเมื่อสักครู่นี้และเอ่ยปากพูดอธิบายให้เบรนสันได้ฟังเพิ่มเติม
“สำหรับดิฉันที่ได้รับหน้าที่ค้นคว้าและวิจัยแล้ว ดิฉันขอบอกเลยนะคะว่าคริสตัลสีชมพูที่คุณหามาได้นั่นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การวิจัยเพื่อหาคุณประโยชน์ของมันมากค่ะ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับการขอร้องให้คุณเบรนสันนำคริสตัลที่คุณหามาได้มาขายให้กับทางเมืองแค่ที่เดียว ดิฉันจะไม่ถามถึงวิธีการที่คุณหาคริสตัลพวกนั้นมาได้เป็นยังไงคะ?”
“ถ้าคุณอาริสะบอกว่าจะไม่ถามถึงเรื่องนั้นทางผมก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวดิฉันจะแจ้งให้พนักงานทราบว่าการสั่งซื้อคริสตัลวิซสีชมพูเป็นคำสั่งซื้อพิเศษจากดิฉันก็แล้วกันนะคะ ถ้าหากคุณต้องการนำคริสตัลมาขายเมื่อไหร่ก็นำสินค้ามาที่นี่แล้วแจ้งว่าเป็นคำสั่งซื้อของดิฉันได้เลย”
“เข้าใจแล้วครับ”
อาริสะที่เข้าใจว่าคริสตัลพิเศษเหล่านี้คงจะไม่ได้หามาได้อย่างง่ายๆ นั้นได้เสนอข้อเสนอที่ไม่ได้ระบุจำนวนขั้นต่ำหรือว่าระยะเวลาที่แน่นอนเอาไว้ เผื่อในกรณีที่เบรนสันอาจจะไม่สามารถจัดหาสินค้ามาให้เธอได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เบรนสันพยักหน้าตอบรับข้อเสนอแต่โดยดี
และหลังจากที่เด็กสาวขุนนางและชายหัวหน้าหมู่บ้านทำข้อตกลงกันจนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาริสะก็ได้บอกลาเบรนสันและรีบนำวัสดุต่างๆ ที่เอริกะร้องขอมากลับไปให้เธอที่ห้องควบคุมในทันที