Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 173 : Curious Trespasser
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 173 : Curious Trespasser
“นี่รองหัวหน้า พวกเราแอบเข้ามากันแบบนี้โดยไม่บอกทีเอร่าจังก่อนมันจะดีจริงๆ หรอ?”
ในขณะที่ทีเอร่าและเอริกะกำลังร้องโวยวายกันอยู่ที่เมืองรีมินัสอยู่นั้นเอง ที่เส้นทางเดินใต้ดินของเมืองแพนเทร่าก็ได้มีเสียงของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงที่มีชื่อว่า ยุย เอ่ยปากพูดถามเพื่อนร่วมทีมผู้เป็นรองหัวหน้ากลุ่มของเธอหรือก็คือชายหนุ่มที่มีชื่อว่า รัซเซล ขึ้นมา
ซึ่งทางด้านรัซเซลที่กำลังเดินถือไม้คทาติดคริสตัลวิซสีแดงที่มีไฟลุกท่วมเพื่อใช้ส่องทางเบื้องหน้าอยู่นั้นก็ได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามเธอกลับมา
“เธอเป็นห่วงเด็กคนนั้นหรือไงกันยุย? ฟังดูไม่ค่อยจะสมกับเป็นเธอสักเท่าไหร่เลยนะ”
“ฉันหมายถึงว่าป่านนี้มีหวังทีเอร่าจังเขาคงได้ติดต่อแจ้งคุณเอริกะว่าพวกเราแอบทำตามใจตัวเองกันผ่านเครื่องมือสื่อสารมหัศจรรย์อะไรของเธอนั่นไปเรียบร้อยแล้วล่ะมั้งต่างหากล่ะ”
ยุยที่ถูกรัซเซลพูดถามกลับมานั้นได้ขมวดคิ้วพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ออกจะหงุดหงิดเล็กน้อยเหมือนกับไม่พอใจที่อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นห่วงทีเอร่าที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอกคนเดียวอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีแดงอีกคนหนึ่งที่สวมฮู๊ดคลุมหัวปิดหน้าปิดตาเดินตามหลังพวกเธออยู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง
“แต่ฉันว่าที่รัซเซลเขาพูดมันก็ฟังขึ้นอยู่นะยุย เธอดูแปลกไปตั้งแต่ที่พวกเราเดินทางออกมาจากรีมินัสแล้วล่ะ เพราะถ้าเป็นตามปกติเธอจะเอาแต่พูดว่า ‘ห้ามใช้ความรู้สึกส่วนตัวเวลาทำงานสิ’ หรือไม่ก็ ‘ถ้าเป็นหัวหน้าล่ะก็จะ…’ เสร็จแล้วก็ออกไปทำอะไรตามใจไม่สนใจคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราเลยอะไรประมาณนั้นนี่”
“เห็นมั้ยล่ะ ขนาดด็อคก็ยัง—”
“แต่ที่ฉันบอกว่าแปลกไปนี่ฉันรวมถึงนายด้วยเหมือนกันนะรัซเซล”
ในขณะที่รัซเซลกำลังพูดขึ้นมาด้วยความดีใจที่มีคนสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของยุยเช่นเดียวกับเขาอยู่นั้นเอง ทางด้านชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีแดงที่สวมฮู๊ดคลุมหัวเอาไว้ก็ได้ชิงพูดขัดรัซเซลขึ้นมาเสียก่อน ก่อนที่เขาจะพูดถามเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนของเขาขึ้นมาตรงๆ
“นี่ตกลงว่าตอนที่พวกเราโดนยัยผู้หญิงผมชมพูนั่นหักหลังจนฉันกับเคนต้องเข้าโรงพยาบาลที่เมืองรีมินัสนี่มันเกิดอะไรขึ้นมากันแน่น่ะ? มาจนถึงตอนนี้พวกนายน่าจะบอกฉันได้แล้วล่ะมั้ง…”
“……”
คำถามของชายหนุ่มสวมผ้าคลุมแดงที่มีชื่อว่า ด็อค นั้นได้ทำให้รัซเซลและยุยต้องหันไปมองหน้ากันเองเล็กน้อยก่อนที่รัซเซลจะเป็นคนชิงเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน
“ไหนๆ ตอนนี้เจ้าเคนก็ไม่อยู่งั้นก็น่าจะเล่าได้แล้วล่ะมั้ง เอาเป็นว่าเธอเล่าให้ด็อคเขาฟังก็แล้วกันนะยุย พอดีว่าฉันต้องเฝ้าระวังทางด้านหน้าอยู่น่ะ”
“นี่… รู้อะไรมั้ย ถ้าฉันจำไม่ผิดเหมือนว่าเมื่อกี้นี้นายเพิ่งจะเป็นคนสั่งให้ฉันเป็นคนใช้วิซตรวจจับพวกกับดักหรือความผิดปกติรอบๆ นี่ไม่ใช่หรือไง?”
ยุยที่ได้ยินคำสั่งของรัซเซลนั้นได้ตบไปที่ข้างเอวของเธอที่ห้อยจี้คริสตัลสีเหลืองที่กำลังเรืองแสงสีเหลืองสว่างออกมาเอาไว้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอกำลังใช้วิซใส่มันเพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติบริเวณรอบๆ ที่ต้องใช้สมาธิมากพอตัวอยู่
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านรัซเซลก็กลับทำเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยและพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“อ้าว แต่ไหนไม่ใช่เธอเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าเป็นเรื่องวิซล่ะก็ต่อให้นอนหลับอยู่ก็ยังควบคุมได้สบายๆ เลยหรอกหรอ?”
“ม..มันก็จริงนั่นแหล่ะ ให้ตายสิ…”
คำพูดหยอกเย้าของรัซเซลได้ทำให้ยุยได้แต่พูดบ่นออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่กลุ่มของพวกเธอโดนหญิงสาวผมชมพูผู้ใช้อุปกรณ์แขนกลและดาบยักษ์หัวหน้าหน่วยลับของเมืองซากิหรือไม่ก็ของเมืองยูกิอย่าง อิซานางิ หลอกใช้และหักหลังจนเกือบจะย่ำแย่ออกมาให้เพื่อนของเธอที่ถูกเล่นงานไปเสียก่อนได้ฟัง
“ก็นายจำตอนที่พวกเราโดนยัยหัวชมพูโรคจิตนั่นหักหลังจนต้องหนีกลับมาก่อนแล้วปล่อยให้เด็กนักเรียนคนนั้นที่พวกเราไปส่งจดหมายให้รับมือไปก่อนคนเดียวได้ใช่มั้ยล่ะ?”
“จำได้สิ แล้วตอนที่พวกเรากำลังจะวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือที่เมืองก็เจอกับเด็กนักเรียนอีกคนนึงในป่าที่กำลังรีบวิ่งไปช่วยเด็กคนนั้นใช่มั้ย?”
“อื้ม… แล้วถ้าฉันจะบอกว่าเด็กนักเรียนคนที่พวกเราเจอระหว่างทางคนนั้นคือเด็กคนเดียวกับที่อยู่ในกลุ่มที่น่าจะเป็นเป้าหมายของหัวหน้าเขาในหมู่บ้านโมริโกะนายจะว่ายังไงล่ะ?”
“หะ…? เห… ก็คงจะพูดได้แค่ว่าโลกมันกลมดีล่ะมั้ง… แต่จะว่าไปหัวหน้าเขาก็ชอบบ่นอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนี่”
ด็อคที่ได้ยินคำพูดของยุยได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามขึ้นมาต่อ
“แต่ว่าเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเธอทำตัวแปลกไปนั่นล่ะ? แค่บังเอิญไปเจออดีตเป้าหมายเข้าอีกรอบนึงมันคงไม่ถึงกับทำให้พวกเธอ… เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะ… เคร่งกับคำสั่งของหัวหน้าน้อยลงหรอกมั้ง”
“มันก็ไม่เชิงว่าอย่างงั้นหรอก… แค่ว่าตอนนั้นหัวหน้าบอกว่ามีเหตุเร่งด่วนให้พวกเรารีบไปเสริมที่หมู่บ้านนั้นใช่มั้ยล่ะ… แต่ว่าพอพวกเราไปถึงจริงๆ คนที่เจอก็ดันเป็นแค่คุณหมอคนนึง คนขับรถอีกสองคนแล้วก็กลุ่มของพวกเด็กๆ ที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อในเมืองเองนี่… แถมพวกเขายังดูเหมือนจะเป็นเด็กดีอีกต่างหาก… ขนาดที่ว่าพอเจอคนที่เคยเข้าไปหาเรื่องอย่างพวกเรากำลังต้องการความช่วยเหลือก็ยังยอมช่วยโดยไม่เกี่ยงอะไรเลยนะ… แล้วพอเป็นอย่างงั้นฉันก็เลยอดสงสัยไม่ได้ที่ผ่านมาสิ่งต่างๆ ที่หัวหน้าเขาทำลงไปมันถูกต้องจริงๆ หรือเปล่าน่ะ…”
ยุยที่ได้ยินคำถามของด็อคได้พูดพึมพำตอบเขากลับไปเบาๆ ยาวยืดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ราวกับว่าเธอกำลังหาข้ออ้างอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งท่าทางและคำพูดของยุยนั้นก็ได้ทำให้ด็อคที่ดูเหมือนจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มต้องขมวดคิ้วด้วยท่าทีไม่ชอบใจก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ยุย นี่เธอลืมไปแล้วหรอว่าถ้าเกิดพวกเราไม่ได้หัวหน้าช่วยฝึกให้ล่ะก็ป่านนี้พวกเราก็คงจะได้เน่าตายอยู่ข้างในเมืองกราวิทัสนั่นไปแล้วน่ะ เพราะงั้นแค่เรื่องที่พวกเราบังเอิญไปเจอกับเป้าหมายเก่าอีกรอบนึงนั่นเธอไม่ต้องเก็บมาคิดให้รกสมองมากนักก็ได้… ส่วนรัซเซล นายเองก็เป็นถึงรองหัวหน้าเพราะงั้นก็คอยหัดพูดเตือนเวลาลูกน้องทำตัวไม่เหมาะสมซะบ้างสิ”
คำพูดต่อว่าของด็อคที่มีอายุเยอะที่สุดในกลุ่มของพวกเธอนั้นได้ทำให้ทั้งยุยและรัซเซลมีท่าทีสลดลงไปกันทั้งคู่ก่อนที่ทางด้านรัซเซลที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มจะเป็นคนพูดตอบกลับไปก่อน
“มันก็เป็นอย่างที่นายว่ามาจริงๆ นั่นแหล่ะ ไม่ว่าจะยังไงหัวหน้าเขาก็เป็นคนที่เคยช่วยพวกเราเอาไว้แถมยังช่วยสอนวิธีการเอาตัวรอดหลายๆ อย่างให้กับพวกเราอยู่ดี เธอเองก็อย่าไปคิดมากเลยก็แล้วกันนะยุย”
“นั่นสินะ… ที่พวกเราได้ออกมาจากเงื้อมมือของพวกขุนนางเมืองกราวิทัสแล้วมีวันนี้ได้มันก็เพราะหัวหน้าเขานั่นแหล่ะ…”
ยุยที่ได้ยินคำพูดของรัซเซลได้พยักหน้าพูดตอบรองหัวหน้ากลุ่มของเธอกลับไปเบาๆ ซึ่งถึงแม้ว่าท่าทีของยุยจะยังคงดูไม่ค่อยจะมั่นใจมากนักจนทำให้รัซเซลอยากจะพูดกระตุ้นเธอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่ว่าเขาก็กลับต้องหยุดเอาไว้ก่อนเมื่อหนทางเบื้องหน้าของพวกเขาได้ปรากฏห้องกว้างขนาดใหญ่ที่มีโลงศพหินที่ดูหรูหราตั้งเรียงรายอัดแน่นอยู่ ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นก็ได้ทำให้รัซเซลต้องพูดพึมพัมออกมาเบาๆ
“ทางตันงั้นหรอ… เธอสัมผัสอะไรได้บ้างมั้ยยุย?”
“ก็ถ้านอกจากข้างในโลงศพพวกนี้ที่น่าจะมีอะไรคล้ายๆ กับคริสตัลวิซกับสมบัติที่ถูกใส่เอาไว้ตามธรรมเนียมของชาวแพนเทร่าแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ…”
“อืม… แต่ถ้าเกิดว่าที่นี่เป็นแค่สุสานใต้ดินจริงๆ งั้นทางเมืองก็ไม่น่าจะต้องส่งทหารมาเฝ้าเลยนะ แล้วไหนจะยังมีเจ้าคนที่แอบบุกเข้ามาก่อนพวกเรานั่นอีกที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เจอร่องรอยเลย…”
รัซเซลพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะกวาดตามองไปรอบๆ โถงสุสานใต้ดินอีกครั้งแล้วจึงเอ่ยปากพูดสั่งงานลูกทีมของเขาขึ้นมา
“ถ้างั้นก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาลองเปิดหีบศพดูทีละอันแล้วล่ะ นายจัดการได้เลยด็อค”
“ได้ทีก็สั่งใหญ่เลยนะคุณรองหัวหน้า…”
ด็อคที่ได้รับคำสั่งจากรองหัวหน้ากลุ่มของเขานั้นได้พูดบ่นออกมาเบาๆ เพราะถึงแม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเป็นการรักษาบาดแผลให้กับคนในกลุ่มหรือว่าการจัดการเกี่ยวกับเรื่องของร่างของเป้าหมายภารกิจเพื่อไม่ให้มีใครจับร่องรอยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มของพวกเขาได้สมอย่างชื่อ ด็อค ของเขาที่มีที่มาจากคำว่า ด็อกเตอร์ ก็ตามที แต่ว่าถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับร่างที่ถูกทิ้งเอาไว้ในสุสานใต้ดินแบบนี้สักเท่าไหร่นัก
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ด็อคจะได้ขยับตัวเพื่อเดินเข้าไปตรวจสอบโลงศพต่างๆ ในสุสานใต้ดินแห่งนี้ ทางด้านยุยก็กลับเอ่ยปากพูดห้ามพวกเขาเอาไว้ก่อนเมื่อเธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากปกติเข้าเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน! เมื่อกี้นี้เหมือนฉันจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้…”
ยุยที่ร้องห้ามทุกคนเอาไว้นั้นได้หยิบเอาจี้คริสตัลวิซสีเหลืองที่เธอห้อยเอาไว้บริเวณเข็มขัดขึ้นมาชูขึ้นสูงก่อนที่เธอจะอัดพลังวิซใส่มันจนทำให้มันเรืองแสงสีเหลืองสว่างจ้าออกมาและก่อให้เกิดคลื่นแสงสีเหลืองแผ่กระจายออกไปจากบริเวณเท้าของเธอราวกับลูกคลื่นบนผืนน้ำที่เงียบสงบ
ซึ่งคลื่นแสงสีเหลืองนั้นก็ได้ค่อยๆ เคลื่อนที่ไล่ไปตามพื้นและไต่ไปตามผนังห้องโถงจนกระทั่งมันเคลื่อนที่ไปบรรจบกันที่เพดานของห้องโถงที่เหนือศีรษะของยุยที่กำลังยืนขมวดคิ้วด้วยท่าทีเหมือนกับว่ากำลังติดใจสงสัยอะไรบางอย่างอยู่พอดี
“อื้ม…..”
“เป็นไงบ้างยุย?”
“อืม… บอกไม่ถูกแฮะ ขอลองอีกทีนึงก็แล้วกัน”
ยุยพูดตอบรัซเซลกลับเบาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักก่อนที่เธอจะอัดพลังวิซเข้าใส่จี้คริสตัลวิซในมือของเธออีกครั้งหนึ่งจนทำให้มันปล่อยวงแสงสีเหลืองออกมาถึงสามวงติดๆ กัน
และเมื่อวงแสงทั้งสามวงของยุยค่อยๆ วิ่งไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงผนังห้องโถงนั้นเอง ยุยที่ยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นและชี้ไปยังโลงศพหินโลงหนึ่งและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ตรงนั้น! ข้างในของมันว่างเปล่าแล้วก็วัสดุที่ใช้ทำพื้นรองด้านล่างของมันแปลกไปกว่าโลงศพอันอื่น ถ้าในห้องนี้จะมีทางลับก็น่าจะเป็นตรงนั้นแหล่ะ!”
“เข้าใจล่ะ ขอบใจมากนะยุย”
รัซเซลพยักหน้าพูดตอบยุยกลับไปก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสำรวจโลงศพที่ยุยพูดถึงด้วยตัวเองเนื่องจากในกลุ่มของพวกเขาสามคนที่ลงมาในสุสานใต้ดินนี้เขาเป็นคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด ในขณะที่ทางด้านด็อคนั้นก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่ยุยเพิ่งจะทำลงไป
“วิธีการใช้วิซสำหรับตรวจสอบสภาพพื้นของเธอมันใช้หาทางลับได้จริงๆ ด้วยงั้นหรอยุย ฉันนึกว่ามันจะมีประโยชน์แค่ตอนที่ต้องเดินทางในที่มืดแล้วจุดไฟไม่ได้ซะอีกนะ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้งานของแต่ละคนนั่นแหล่ะ แล้วอีกอย่างนึงทางลับในสุสานใต้ดินเก่าๆ แบบนี้มันก็เป็นแบบโบราณที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันวิธีการประยุกต์ใช้วิซสำรวจแบบใหม่ๆ ด้วยล่ะนะ เพราะงั้นก็เกิดว่าเป็นเรื่องทางลับโบราณอะไรพวกนี้ล่ะก็ไว้ใจฉันได้เลย”
ยุยพูดตอบด็อคกลับไปด้วยความมั่นใจ และนั่นก็ทำให้รัซเซลที่ยืนสำรวจดูโลงศพหินที่ดูเหมือนว่าจะเป็นประตูลับอยู่อดไม่ได้ที่จะพูดแหย่ออกมา
“แต่ถ้าจะให้พูดไป ถ้าเกิดว่าเธอซ่อนตัวคลื่นสำรวจเอาไว้ไม่ให้มันเรืองแสงออกมาได้ด้วยนี่ก็น่าจะเอาไปใช้ในภารกิจลักลอบพวกนั้นได้เหมือนกันนะ”
“อะไรเล่า! ฉันเองก็พยายามฝึกอยู่เรื่อยๆ นะ เอ้า! ว่างนักก็หลบไปเลย เดี๋ยวฉันเปิดเอง!”
ยุยที่ถูกรัซเซลพูดแซวขึ้นมานั้นได้ขึ้นเสียงพูดตอบเขากลับไปด้วยความหงุดหงิดก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปยังโลงศพหินเจ้าปัญหาและเลื่อนมันให้เปิดออกมาในทันทีโดยมีด็อคส่ายหน้าไปมาอยู่เบื้องหลังด้วยความหน่ายใจ
ครืดดด—ฟู่ว—
“ว๊าย!? / ระวัง—!”
แต่ทว่าในทันทีที่ฝาโลงศพที่สร้างขึ้นมาจากหินถูกดันให้เลื่อนเปิดออกมานั้นเอง ก็ได้มีหมอกควันสีขาวพุ่งกระจายออกมาจากด้านในอย่างรุนแรงจนทำให้รัซเซลต้องรีบขยับตัวมาขวางเอาไว้ที่เบื้องหน้า
ซึ่งหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมานั้นก็ได้ฟุ้งกระจายออกไปปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงโดยมีเสียงร้องถามของรัซเซลดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับเสียงไอของเขา
“แค่ก–แค่ก—- ยุย! ด็อค! เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะรองหัวหน้า หมอกพวกนี้ก็เหมือนกับหมอกข้างบนที่ทำให้หายในลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ฉันก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน… แต่ดูเหมือนที่เขาลือกันว่าหมอกพวกนี้มันแพร่กระจายออกมาจากใต้ดินจะเป็นเรื่องจริงงั้นสินะ…”
ยุยและด็อคที่ได้เสียงร้องถามของรัซเซลนั้นได้ผลัดกันพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบที่พวกเธอมักจะใช้ในเวลาทำงานด้วยเช่นเดียวกันก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะชะโงกหน้าไปมองดูด้านในโลงศพหินที่อยู่เบื้องหน้าและได้พบเข้ากับหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้นที่มีบันไดที่ทำจากโลหะยึดปักอยู่เป็นทางยาวหายไปในความมืดมิดเบื้องล่าง
“จะเอายังไงดีคะรองหัวหน้า? พวกเราจะลงไปกันหรือเปล่า?”
“……..”
รัซเซลที่ได้ยินคำถามของยุยนั้นได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาเงยหน้ากลับขึ้นมามองคนอื่นๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาต้องการความเห็นจากเพื่อนร่วมทีมในการตัดสินใจ และนั่นก็ทำให้ด็อคไม่รอช้าที่จะพูดความเห็นของเขาออกมาในทันที
“ฉันคิดว่าถ้าพวกเรากลับกันเลยตอนนี้พวกเราน่าจะเอาเรื่องทางลับนี่ไปขึ้นรางวัลกับคุณเอริกะได้อยู่นะ หรือถ้าเกิดว่าทางด้านคุณเอริกะเขาไม่สนจริงๆ พวกเราก็อาจจะเอาข้อมูลเรื่องนี้ไปขายให้กับพวกกลุ่มนักผจญภัยแทนได้”
“ก็นั่นสินะ… เพราะเห็นคุณเอริกะบอกว่าถ้าพวกเราได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไรแปลกๆ มาไม่ว่าจะแปลกขนาดไหนก็ให้ติดต่อไปบอกเธอเพื่อรับรางวัลได้… แล้วทางด้านเธอมีความเห็นว่ายังไงบ้างล่ะยุย?”
รัซเซลพยักหน้าพูดตอบด็อคกลับไปก่อนที่เขาจะหันไปสอบถามความเห็นของยุยบ้างแทน
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านยุยก็กลับนิ่งเงียบราวกับว่าเธอกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดออกมา
“ฉันขอออกความเห็นว่าพวกเราควรจะไปต่อ… เพราะถึงเรื่องเงินรางวัลจะน่าสนใจก็เถอะ แต่ฉันอยากรู้มากกว่าว่าทำไมหัวหน้าเขาถึงพยายามจะห้ามไม่ให้พวกเราเข้ามารับงานที่เมืองนี้หลังจากที่เขารู้ว่ามันเริ่มมีหมอกพวกนี้โผล่ออกมา ทั้งๆ ที่มันเป็นโอกาสดีที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนทำให้เมืองแพนเทร่าต้องหันมาหวังพึ่งนักผจญภัยเป็นหลัก… พวกนายเองก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าถึงปกติหัวหน้าเขาจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจพวกเราก็เถอะ แต่ว่านานๆ ทีเขาก็โผล่มาบอกแหล่งทำเงินให้กับพวกเราอยู่บ้างจริงมั้ย”
“มันก็…ใช่นั่นแหล่ะ แถมในคราวนี้ตอนที่พวกเราชวนหัวหน้ามาที่เมืองแพนเทร่าด้วยกัน หัวหน้าก็ปฏิเสธหัวชนฝาแล้วบอกว่าจะไปที่กราวิทัสแทนทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องด่วนอะไรเลยด้วย… อย่างกับว่าหัวหน้าเขาไม่อยากจะมาที่เมืองนี้อย่างงั้นแหน่ะ”
รัซเซลพูดตอบยุยกลับไปตรงๆ และนั่นก็ทำให้ด็อคอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“แต่ว่าปกติหัวหน้าเขาก็ไปไหนมาไหนตามใจอยากอยู่แล้วไม่ใช่หรอ เขาแค่อาจจะไม่มีอารมณ์อยากจะมาที่แพนเทร่านี่ก็ได้นี่”
“เรื่องนั้นมันก็ใช่… แต่จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าหัวหน้าเขาพยายามเลี่ยงที่จะไม่มาที่เมืองนี้ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่องหมอกประหลาดนี่เริ่มปรากฏออกมาแล้วล่ะ… แล้วถ้าเกิดว่าต้นตอที่ทำให้เกิดหมอกประหลาดนี่มันอยู่ข้างล่างนี่จริงๆ ฉันก็อยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่น่ะ”
คำพูดด้วยน้ำเสียงติเตียนของด็อคนั้นได้ทำให้ยุยต้องพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง ซึ่งสิ่งที่ยุยพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงทั้งสามคนนิ่งเงียบมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่รัซเซลที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มจะเป็นคนพูดตัดสินใจขึ้นมา
“ถ้างั้นยุย เธอลองใช้วิซของเธอสำรวจด้านล่างนั่นดูก่อน ถ้าเกิดว่าเส้นทางมันไม่ลึกหรือว่าซับซ้อนมากนักพวกเราจะลงไปสำรวจกันต่อ”
“ค่ะ!”
ยุยที่ได้ยินคำสั่งของรัซเซลได้พยักหน้ากลับไปให้เขาและรีบใช้วิซของเธอเข้าใส่จี้คริสตัลสีเหลืองอีกครั้ง และหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งยุยก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมา
“ดูเหมือนว่ามันจะลงไปลึกพอสมควรเลยนะ… แต่ว่าเป็นเส้นทางตรงยาวแล้วก็มีพื้นรองรับอยู่ด้านล่าง อย่างกับทางระบายน้ำใต้ดินยังไงยังงั้นแหน่ะ”
“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นพวกเราจะลงไปสำรวจกันต่อ ฉันจะเป็นคนนำลงไปก่อนเอง ยุยเธอลงไปเป็นคนที่สอง ส่วนด็อคนายคอยระวังหลังเอาไว้”
“รับทราบ!”
รัซเซลที่ได้ยินคำพูดของยุยนั้นได้พูดสั่งงานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะกระโดดลงไปในหลุมทางลับเป็นคนแรก และตามไปด้วยยุยโดยมีด็อคปีนลงไปตามท้าย
ซึ่งในขณะที่พวกเขาไต่ลงไปที่เบื้องลึกใต้เมืองแพนเทร่านั้นเอง พวกเขาก็สัมผัสได้ว่ากลุ่มหมอกควันที่เคยพวยพุ่งออกไปในโถงสุสานนั้นเหมือนจะสงบลงเล็กน้อยและลอยไปมาเอื่อยๆ อยู่รอบกายของพวกเขาจนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ท่ามกลางความมืดนั้นเอง รัซเซลที่อยู่ด้านล่างสุดก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสที่เท้าของเขามันไม่ใช่แท่งเหล็กที่ทำหน้าที่เป็นบันไดอีกต่อไป
“อ่ะ—”
“มีอะไรหรอรองหัวหน้า?”
“เปล่าหรอก… แค่พวกเราลงมาถึงแล้วเฉยๆ น่ะ”
ทันทีที่รัซเซลพูดออกมาจนจบเขาก็ได้ปล่อยมือออกจากบันไดเหล็กและขยับไปทางด้านข้างเล็กน้อยเพื่อเว้นที่ว่างให้กับคนข้างบนก่อนที่เขาจะหยิบเอาไม้คฑาที่ทำหน้าที่เป็นคบเพลิงของตนออกมาเพื่อส่องทางเบื้องหน้า
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้สังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ นั้นเอง สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาไปก็กลับไปพื้นใต้ฝ่าเท้าของเขาเองที่มันดูแตกต่างจากพื้นสุสานใต้ดินเบื้องบนกันเป็นคนละเรื่องนั่นเอง
“พื้นแบบนี้มัน… เหล็กงั้นหรอ… ไม่สิ แค่คล้ายๆ กันเฉยๆ นี่…”
รัซเซลที่ก้มลงไปสัมผัสกับพื้นโลหะเรียบเนียนสีเทาใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นได้พูดพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากว่ามันดูไม่เหมือนกับแผ่นโลหะใดๆ ที่เขารู้จักเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะชูคบเพลิงวิซในมือขึ้นสูงและส่งพลังวิซเข้าใส่มันมากขึ้นจนทำให้มันส่องแสงสว่างจ้าออกมามากตัดฝ่าหมอกควันสีขาวขมุกขมัวเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ซึ่งนั่นก็ทำให้เหล่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงได้พบว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในช่องทางเดินแคบๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็ก และที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั้นก็มีสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบันไดธรรมดาๆ ที่นำพาไปสู่เบื้องล่างอีกทอดหนึ่งจนทำให้ยุยเผลอหลุดปากออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะว่าพวกเธอเพิ่งจะปีนลงบันไดมาตั้งนานแต่ก็กลับต้องมาเจอกับบันไดอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“บันไดอีกแล้วหรอ!? นี่คิดจะให้ลงไปลึกขนาดไหนถึงจะพอใจกันเนี่ยหะ!?”
“เอาน่า เอาจริงๆ เมื่อกี้นี้ก็ยังไม่นับว่าลึกสักเท่าไหร่นะ น่าจะแค่พอๆ กับยอดหอคอยของแพนเทร่าเองล่ะมั้ง”
คำพูดบ่นของยุยได้ทำให้ด็อคอดไม่ได้ที่จะพูดปลอบใจเธอขึ้นมา ในขณะที่ทางรัซเซลนั้นก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดสั่งเหล่าลูกทีมของเขาขึ้นมา
“ไหนๆ ก็ลงมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ถอยกลับตอนนี้มันก็คงจะเสียโอกาสไปเปล่าๆ … ฉันนำหน้า ยุยอยู่ตรงกลาง ส่วนด็อคนายคอยระวังหลังเหมือนเดิม”
หลังจากที่รัซเซลพูดออกคำสั่งออกมาเสร็จเขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินนำคนอื่นๆ ลงบันไดเบื้องหน้าเป็นบันไดวนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเหล็กไปในทันที
แต่ทว่าหลังจากที่พวกเขาพากันเดินลงบันไดวนไปได้อีกสักพักใหญ่นั้นเอง ด็อคที่ทำหน้าที่ระวังหลังก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ให้ทุกคนได้ยิน
“แปลก… ที่นี่มันแปลกเกินไปแล้ว…”
“นายหมายถึงเรื่องบันไดที่อยู่ใต้บันไดที่อยู่ใต้ดินอีกทีนึงที่พวกเรากำลังเดินกันอยู่นี่หรือว่าเรื่องหมอกที่ดูไม่เหมือนกับหมอกพวกนี้กันล่ะด็อค?”
“เรื่องพวกนั้นก็ด้วย… แต่ที่มันแปลกจริงๆ มันคือเรื่องทางเดินที่พวกเรากำลังเดินอยู่นี่ต่างหากล่ะยุย… นายเองก็สังเกตเห็นเหมือนกันใช่มั้ยรัซเซล”
ด็อคที่ได้ยินคำพูดทีเล่นทีจริงของยุยนั้นได้ขมวดคิ้วพูดตอบเธอกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหันไปพูดถามรัซเซลที่เดินนำหน้าพวกเขาอยู่ขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้รัซเซลพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่มีท่าทีว่าจะคลายท่าทีเคร่งเครียดของเขาลง
“อื้ม…”
“เดี๋ยวสิ! นี่พวกนายสังเกตเห็นอะไรกันแค่สองคนกันหะ?”
“ก็กำแพงที่สร้างขึ้นมาจากโลหะพวกนี้น่ะสิ ถ้าเธอลองสังเกตดูดีๆ ก็น่าจะสังเกตเห็นนะว่ามันไม่มีรอยเชื่อมเหล็กหรือว่ารอยต่ออะไรเลยน่ะ… แล้วไม่ใช่แค่กำแพงด้วยนะ แม้แต่พื้นข้างบนตรงที่พวกเราลงมาถึงนั่นหรือแม้แต่บันไดที่พวกเรากำลังเดินอยู่นี่ก็ด้วยเหมือนกัน อย่างกับว่ามันเป็นเหล็กผืนเดียวที่ถูกดัดให้เป็นรูปร่างต่างๆ อย่างงั้นน่ะ”
“อ—เอ๋ะ? จริงด้วยแฮะ!?”
คำพูดของรัซเซลได้ทำให้ยุยที่เริ่มจะหงุดหงิดกับบันไดซ้อนบันไดเริ่มที่จะมองสังเกตดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวขึ้นมาบ้างก่อนที่เธอจะร้องออกมาด้วยความแปลกใจและหยิบเอาจี้คริสตัลสีเหลืองของเธอออกมาใช้งานอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความแปลกใจ
“ใช่… มันแปลกจริงๆ ด้วย ขนาดรอยต่อของเหล็กที่ซ้อนกันหรือว่ารอยเชื่อมเหล็กมันก็ยังไม่มีสักนิด… อย่างกับว่าเหล็กพวกนี้มันงอกออกมาเป็นรูปร่างของห้องกับบันไดพวกนี้เองอย่างงั้นแหน่ะ…”
กึก—
ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของยุยนั้นเอง อยู่ๆ รัซเซลที่เดินหน้าหน้าพวกเธออยู่ก็ได้หยุดชะงักไปอย่างกะทันหันจนทำให้ยุยจำเป็นต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เจออะไรหรือเปล่าคะรองหัวหน้า?”
“ประตูน่ะ… เหมือนว่าพวกเราจะลงมาสุดทางแล้วล่ะ”
“เฮ้อ… ในที่สุด…”
คำพูดของรัซเซลในคราวนี้ได้ทำให้ยุยถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความโล่งใจเพราะหลังจากที่เดินลงบันไดมานานขนาดนี้เธอเองก็แอบคิดเล่นๆ ว่าบันไดวนนี่มันอาจจะพาพวกเธอลงไปลึกจนถึงใจกลางโลกเสียอีก
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านรัซเซลก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนคลายท่าทีเคร่งเครียดของเขาลงและเดินนำคนอื่นๆ ตรงไปยังประตูบานที่ว่าและผลักมันให้เปิดออกเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดพึมพำออกมาเมื่อเห็นสภาพของสิ่งที่รอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า
“นี่มัน… ห้องว่างกับหน้าต่างงั้นหรอ…?”
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของรัซเซลนั้นก็คือห้องขนาดเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะเรียบเนียนไร้รอยต่อเช่นเดียวกับบันไดวนที่พวกเขาพากันเดินลงมา จะมีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อยก็ตรงที่ว่าที่ผนังห้องฝั่งตรงข้ามกับประตูที่พวกเขาเปิดเข้ามานั้นได้มีหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมติดเอาไว้เผยให้เห็นภาพของหมอกควันขมุกขมัวที่อัดแน่นอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของกระจก
ซึ่งในขณะที่รัซเซลกำลังรู้สึกแปลกใจกับสภาพห้องที่เขาได้เห็นอยู่นั้นเอง ทางด้านยุยก็กลับให้ความสนใจกับแท่งแก้วทรงกระบอกที่ถูกติดเอาไว้ด้านบนเพดานห้องที่กำลังส่องแสงสว่างสลัวๆ ออกมาได้โดยที่ไม่มีร่องรอยของการใช้พลังวิซเลยเสียมากกว่า
“ถึงจะหน้าตาไม่เหมือนกันก็เถอะ แต่ว่านั่นมันหลอดไฟแบบเดียวกับที่หัวหน้าเขาใช้ไม่ใช่หรอน่ะ? ที่ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถให้ความสว่างได้โดยที่ไม่ต้องใช้วิซน่ะ?”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ… เห็นเขาว่ากันว่าที่ใต้ดินของเมืองแพนเทร่านี่มันเป็นซากเมืองโบราณไม่ใช่หรอ มันไม่น่าจะมีของอะไรแบบนั้นได้นะ”
ด็อคที่ได้ยินคำพูดของยุยนั้นได้เงยหน้าขึ้นไปมองหลอดไฟบนเพดานเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ยุยได้แต่พูดตอบเขากลับไปอย่างเคืองๆ เพราะว่ามันฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเขาไม่เชื่อในความสามารถตรวจจับพลังวิซของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ซากเมืองโบราณหรอ? ไหนล่ะซากเมืองที่ว่า ถ้าบอกว่าเป็นซากบันไดโบราณยังจะน่าเชื่อถือกว่าเลย”
“นั่นไงซากเมือง…”
ในขณะที่ยุยกำลังพูดบ่นกระปอดกระแปดออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านรัซเซลที่เดินไปยืนอยู่ที่เบื้องหน้าหน้าต่างบานสี่เหลี่ยมก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะชี้ให้ยุยและด็อคได้เห็นภาพของพื้นที่ว่างขนาดใหญ่พอๆ กับตัวเมืองแพนเทร่าชั้นในที่มีบ้านเรือนที่ทำจากอิฐและหินบางส่วนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกสีขาวขมุกขมัวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแผ่นกระจกบางเฉียบ อีกทั้งที่บริเวณใจกลางของมันเองก็ได้มีสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนกับปราสาทขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมอกควันอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นที่บริเวณรอบๆ ซากเมืองที่ว่านั้นก็ถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงโลหะเสียทุกด้านรวมถึงด้านบนเพดานด้วยจนดูราวกับว่าที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เมืองจำลองที่ตั้งอยู่ภายในกล่องของเล่นขนาดยักษ์เสียอย่างไรอย่างนั้น
“ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย…!?”
“โห…”
ในขณะที่ทางด้านยุยกำลังร้องโวยวายกับภาพที่เธอได้เห็นอยู่นั้นเอง ทางด้านด็อคก็กลับทำเพียงแค่เบิ่งตาเล็กน้อยด้วยความตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เขาได้เห็น ในขณะที่ทางด้านรัซเซลนั้นก็ได้พยายามที่จะสังเกตดูบริเวณกำแพงและเพดานโลหะที่ถูกสร้างขึ้นมาล้อมรอบเมืองใต้ดินเอาไว้และได้พบว่าตรงจุดที่พวกเขายืนอยู่นั้นเหมือนจะอยู่ที่ด้านในกำแพงโลหะฝั่งหนึ่งนั่นเอง
อีกทั้งตามกำแพงโลหะจุดต่างๆ เองก็ได้มีบางส่วนที่ยื่นล้ำออกมาเบื้องหน้าและมีหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมแบบเดียวกันแปะติดอยู่ บ่งบอกว่ามันน่าจะเป็นสถานที่แบบเดียวกับห้องที่พวกเขากำลังยืนอยู่นั่นเอง และนั่นก็ทำให้รัซเซลมีท่าทีที่ดูโล่งใจขึ้นมามากเมื่อพบว่าจุดที่พวกเขาอยู่คงจะไม่ใช่ทางเข้าออกเพียงแค่แห่งเดียวในสถานที่แห่งนี้
“ดูเหมือนว่าตรงที่ยื่นๆ ออกมาตามกำแพงพวกนั้นน่าจะเป็นทางขึ้นลงทางอื่นงั้นสินะ”
“หรือก็หมายความว่ามันอาจจะเป็นทางออกฉุกเฉินให้กับพวกเราได้ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นงั้นสินะคะรองหัวหน้า”
ยุยที่ได้ยินคำพูดของรัซเซลเองก็ได้พูดพึมพำขึ้นมาเช่นเดียวกันจนทำให้รัซเซลอดไม่ได้ที่จะพูดแหย่ลูกทีมสาวของเขาขึ้นมา
“อะไรกัน เธอเป็นคนเสนอให้ลงมาเองแท้ๆ แต่ดันกลัวขึ้นมาแล้วหรือไงเนี่ย?”
“ก็เห็นแบบนี้แล้วจะให้ฉันรู้สึกยังไงเล่า? นายเองก็รู้ไม่ใช่หรอว่าหัวหน้าเขาทำท่าเหมือนกับไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้เมืองแพนเทร่าตั้งแต่ที่หมอกพวกนี้มันเริ่มโผล่ออกมาน่ะ… แล้วนายเห็นหมอกข้างในนั้นที่มันหนากว่าในเมืองข้างบนนั่นอีกมั้ยล่ะ แบบนี้มันก็หมายความว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างในเมืองโบราณนั่นที่ทำให้เกิดหมอกพวกนี้ขึ้นมาอยู่ข้างในนั้นแน่ๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรอไง”
“…….”
คำพูดของยุยในคราวนี้ได้ทำให้เกิดความเงียบขึ้นมาในกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่ด็อคที่เป็นคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มจะพูดสอบถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าเป็นแบบนี้แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดีล่ะรองหัวหน้า? จะชิงถอยกลับก่อนตอนที่ยังมีโอกาสเลยมั้ย? แต่ฉันขอบอกเลยนะว่าถ้าเกิดว่าเราถอยกลับกันตอนนี้พวกเราก็อาจจะโดนหมายจับจนต้องถอนตัวออกไปจากเมืองแพนเทร่าไปสักพักใหญ่ๆ จนอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับลงมาที่นี่อีกแล้วก็ได้นะ”
“ก็นั่นสินะ… ถึงจะบอกว่านี่เป็นโอกาสในการสร้างชื่อในฐานะนักผจญภัยว่าเป็นคนค้นพบเมืองโบราณใต้ดินของเมืองแพนเทร่าก็เถอะแต่ว่าเราก็แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เลยจนคาดเดาระดับความอันตรายไม่ได้ซะด้วย… เดี๋ยวสิ…”
ในขณะที่รัซเซลกำลังครุ่นคิดและทอดสายตาออกไปด้านนอกกระจกหน้าต่างอยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็ได้สะดุดไปที่ร่างเงาขนาดเล็กๆ ที่ถูกบดบังเอาไว้ด้วยม่านหมอกสีขาวที่อัดแน่นอยู่เบื้องล่างที่กำลังขยับตรงไปตามถนนเส้นหลักของเมืองจำลองเข้าจนทำให้เขาต้องเรียกลูกทีมทั้งสองคนให้เดินเข้ามาดูเพื่อขอคำยืนยันจากพวกเขา
“ด็อค ยุย มาดูนี่เร็ว! เห็นข้างล่างนั่นหรือเปล่า!?”
“นั่นมัน…”
“คนงั้นหรอ…”