Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 169 : Eccentric Affinity
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 169 : Eccentric Affinity
“ฮึ่บ— วางเอาไว้ตรงนี้ใช่มั้ยครับคุณลุง”
“โอ้ ขอบใจมากนะเดริค… เฮ้อ… ต้องขอโทษที่ต้องมารบกวนตั้งแต่เช้าแบบนี้ด้วยนะ แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วล่ะก็ คงจะมีแค่เธอเท่านั้นแหล่ะที่ฉันเชื่อได้ว่าจะขนของมาได้โดยไม่มีอะไรตกหล่นหรือว่าหายตัวไปไหนเฉยๆ กลางทางน่ะ…”
ในขณะที่ทางบ้านเอริกะกำลังเกิดเรื่องวุ่นวายอันคาดไม่ถึงจากฝีมือของหนูอีฟตัวน้อยอยู่นั้นเอง ทางด้านเด็กหนุ่มสารพัดรับจ้างสุดขยันอย่างเดริคที่อาศัยอยู่ที่เมืองกราวิทัสเองก็ได้เริ่มต้นทำงานรับจ้างสารพัดของเขาตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เช่นเดียวกัน
ซึ่งคำชมของชายสูงวัยผู้ที่เป็นผู้ว่าจ้างในคราวนี้นั้นก็ทำให้เดริคได้แต่หันไปยิ้มให้เขาด้วยความเห็นใจ
“แหม่ ก็ถ้าเกิดว่ามีอะไรหายไประหว่างทางขึ้นมาวันหน้าวันหลังก็ไม่มีคนมาจ้างผมกันพอดีสิครับ ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ผมก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงกับฐานลูกค้าเอาไว้นะครับ~”
“เฮ้อ… ถ้าเกิดว่าพวกคนงานของทางเมืองเขาพูดแบบเธอบ้างก็คงจะดีนะ… เอ้านี่ ค่าจ้างของเธอน่ะ…”
“โอ้ ขอบคุณครับ… ว่าแต่… นี่มันเยอะกว่าที่ตกลงกันเอาไว้ไม่ใช่หรอครับนั่น?”
เดริคที่ได้รับเงินค่าจ้างมาจากชายชราได้เลิกคิ้วเล็กน้อยให้กับค่าจ้างที่เขาได้รับมาที่มันมากกว่าที่พวกเขาตกลงกันเอาไว้ในทีแรกเกือบเท่าตัวและพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านชายชราก็กลับทำเพียงให้ยิ้มให้เขาอย่างใจดีและพูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มได้ฟัง
“ก็ไหนๆ เธอก็อุตส่าห์ยอมรับงานใช้แรงตั้งแต่เช้าๆ แบบนี้ฉันก็เลยคิดว่าควรจะเพิ่มเงินให้เธอสักหน่อยเป็นค่าเหนื่อยน่ะสิ… แล้วถ้าเกิดว่าเธอคิดจะปฏิเสธล่ะก็… เอาเป็นว่าฉันขอฝากเธอเอาเงินส่วนที่เกินจากค่าจ้างนั่นไปซื้อของไปแจกพวกคนข้างนอกกำแพงให้หน่อยก็แล้วกัน”
“เอ่อ…”
คำพูดของชายชรานั้นได้ทำให้เดริคชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเรื่องที่ตนซื้ออาหารไปแจกผู้ประสบภัยที่หลบหนีมาอาศัยอยู่ที่ด้านนอกกำแพงเมืองจะกลายเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วแล้วแบบนี้เขาจึงได้แต่ยิ้มเจือนๆ และพูดตอบกลับไป
“ถ้าคุณลุงขออย่างงั้นมันก็ได้แหล่ะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวเลยก็แล้วกันนะครับ ขืนไม่ยอมออกไปสักทีเดี๋ยวคุณผู้ปกครองเขาจะเป็นห่วงจนบุกเข้ามาซะก่อนน่ะ”
“ผู้ปกครอง…? อ๋อ… แม่หนูผมขาวที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้านั่นน่ะหรอ…”
“แหะๆ มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ ถ้ายังไงก็เอาไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่นะครับ”
เดริคพูดตอบชายชรากลับไปก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากบ้านของชายชราโดยมีเสียงของขุนนางสาวผมสีขาวที่คราวนี้อยู่ในชุดลำลองที่คอยตามติดเขาไม่ปล่อยดังขึ้นมาต้อนรับในทันทีที่เขาก้าวออกมาพ้นบริเวณบ้านของชายชรา
“ใจดีจังนะนาย ไปเที่ยวรับปากเขาแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ถังแตกอีกรอบหรอก”
“อ้าว… ได้ยินที่ฉันพูดกับลุงเขาด้วยหรอน่ะ เป็นถึงขุนนางแท้ๆ แต่มาแอบฟังชาวบ้านคุยกันแบบนี้มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลยนะเซียจั—”
หมับ—
คำพูดของเดริคที่เติมคำลงท้ายให้กับชื่อของเซียตามแบบที่คนที่สนิทกันใช้เรียกกันนั้นได้ทำให้ขุนนางสาวเซียไม่รอช้าที่จะยื่นมือของเธอออกไปบิดหูของเด็กหนุ่มอย่างแรงพร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“จะเรียกฉันว่าเซียเฉยๆ ฉันก็ไม่ว่า แต่อย่ามาเติมคำว่า จัง ต่อท้ายเข้าใจมั้ย!”
“โอ๊ยๆ แล้วถ้าไม่ให้เรียกว่าเซียจั— โอ๊ย—”
คำพูดของเดริคที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการพูดเถียงนั้นได้ทำให้เซียออกแรงบิดไปที่หูของเขามากขึ้นจนเด็กหนุ่มต้องร้องโวยวายออกมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งเซียจึงได้ยอมปล่อยมือออกจากใบหูของเดริคเมื่อเห็นว่าเขายอมสงบปากสงบคำลงแล้วโดยมีเสียงพูดบ่นของเดริคดังพึมพำตามมาด้วย
“ให้ตายสิ แค่ล้อเล่นนิดหน่อยไม่เห็นจะต้องบิดแรงขนาดนั้นเลยแท้ๆ”
“……..”
“อุ้ย… เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรกินก่อนสักหน่อยแล้วค่อยไปหาทีออสที่หอนาฬิกาก็แล้วกัน เธอจะตามไปด้วยหรือเปล่า?”
เดริคที่กำลังพูดบ่นออกมานั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้เห็นสายตาเอาเรื่องของเซียและมือที่พร้อมจะพุ่งมาบิดหูเขาอีกครั้งหนึ่งของอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะหยุดเรื่องล้อเล่นเอาไว้ก่อนพร้อมกับพูดแผนงานต่อไปของเขาขึ้นมาจนทำให้เซียที่ถูกพูดถามขึ้นมาได้แต่พูดบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“พูดอย่างกับว่าฉันมีทางเลือกงั้นล่ะ…”
เสียงบ่นเบาๆ ของเซียนั้นได้ทำให้เดริคยักไหล่เล็กน้อยแล้วจึงเดินนำขุนนางสาวไปทางตลาดของเมืองเพื่อซื้อขนมปังสองสามชิ้นเป็นอาหารเช้าก่อนที่เขาจะโยนขนมปังทอดที่ถูกห่อเอาไว้ในกระดาษชิ้นหนึ่งไปให้เซียจนทำให้ขุนนางสาวได้แต่ส่งเสียงด้วยความแปลกใจออกมา
“อะไร?”
“ข้าวเช้าเธอไง มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ขนมปังทอดชื้นนึงเนี่ยนะ? ของแค่นี้ฉันซื้อเองได้—”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า วันนี้เธอยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยไม่ใช่หรือไง”
“……….”
คำพูดของเดริคที่พูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะหันไปยืนพิงกำแพงเพื่อเริ่มต้นทานขนมปังนั้นได้ทำให้เซียเงียบเสียงลงไปพร้อมกับเลิกคิ้วมองตรงไปทางเด็กหนุ่มด้วยท่าทีประหลาดใจก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาตรงๆ เพราะเธอนึกว่าเขาจะไม่ชอบเหล่าขุนนางและคนที่ทำงานให้กับทางวังหลวงอย่างเธอเสียอีก
“ทำไมนายถึงซื้อมาให้ฉัน? ไม่ใช่ว่านายออกจะเกลียดพวกขุนนางกับคนที่ทำงานให้กับทางวังหลวงจะตายหรอกหรอ?”
“เฮ้ยๆ ที่ฉันเกลียดมันก็มีแค่พวกขุนนางไม่ได้เรื่องข้างในนั้นกับพวกที่คอยทำงานให้กับวังหลวงแล้วดันเที่ยวเอาตำแหน่งมาเบ่งมาข่มเอาเปรียบคนอื่นเขาต่างหากเล่า… อย่างเธอน่ะถึงตอนแรกฉันจะรำคาญก็เถอะ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างพวกไม่ได้ความพวกนั้นแถมยังช่วยทำเรื่องขอยืมรถให้พวกฉันเดินทางไปเอาชิ้นส่วนหอนาฬิกาของทีออสที่รีมินัสอีก ฉันจะตอบแทนเธอบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือไง?”
“ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานเท่านั้นแหล่ะน่า! ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้นายคิดว่าจะมีใครที่ไหนกล้าปล่อยให้ประชาชนธรรมดาๆ แบบนายออกเดินทางไปข้างนอกนั่นด้วยตัวเองทั้งๆ ที่คนร้ายที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมายังลอยนวลอยู่แล้วก็อาจจะลงมือก่อเหตุอีกครั้งตอนไหนก็ได้อยู่อีกหรือไง!?”
“แล้วที่เธออุตส่าห์ยอมเดินทางไปถึงรีมินัสด้วยกันกับพวกฉันนั่นล่ะ?”
“ก็เผื่อนายจะลืมไปแล้วนะว่าหน้าที่ของฉันไม่ใช่ให้มาเดินเล่นตรวจตราเมืองเฉยๆ แต่ว่าเป็นคอยตามติดนายที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีร้านเหล้านั่นน่ะ เพราะงั้นต่อให้นายจะเดินทางไปที่ไหนมันก็เป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องตามไปด้วยอยู่แล้วต่างหาก”
เซียพูดตอบเดริคกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนที่เธอจะละสายตาออกไปจากเขาและเริ่มลงมือทานขนมปังปิ้งที่อีกฝ่ายส่งมาให้โดยไม่มีท่าทีว่าจะพูดตอบอะไรกลับมาอีกจนทำให้เด็กหนุ่มได้แต่ยักไหล่ก่อนที่เขาจะเริ่มลงมือทานขนมปังในมือของตนเองด้วยเช่นเดียวกัน
และหลังจากที่ทั้งสองคนจัดการกับขนมปังในมือกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเดริคก็ได้นิ่งเงียบไปเพื่อชั่งใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามเซียขึ้นมาตรงๆ
“แต่ถ้าจะให้พูดไป… สรุปแล้วว่านี่เธอจะต้องคอยตามฉันไปอีกนานแค่ไหนล่ะเนี่ย? เรื่องบาร์เหล้าระเบิดนั่นมันก็ผ่านมาสักพักนึงแล้วไม่ใช่หรอ?”
“ก็จนกว่าจะมีใครหาคนร้ายตัวจริงเจอได้นั่นล่ะ เพราะงั้นฉันก็คงจะต้องติดอยู่กับงานบ้าๆ นี่ไปอีกสักพักใหญ่เลยล่ะมั้ง ให้ตายสิ แล้วคนที่ตายไปก็ดันเป็นขุนนางที่ขึ้นตรงกับองค์ราชาแบบนี้ด้วย…”
“แต่ถ้าเป็นเรื่องคนร้ายตัวจริงนั่นฉันก็เคยบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรอว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของลูกค้าผู้หญิงผมสีแดงคนที่ให้กระเป๋านั่นฉันมาน่ะ?”
“ก็ต่อให้มันจะเป็นเรื่องจริงแล้วนายให้ฉันทำยังไงกันล่ะในเมื่อเบื้องบนเขาไม่เชื่อเรื่องนั้นน่ะ แล้วเผลอๆ สาเหตุที่เจ้าพวกนั้นไม่ยอมเชื่อมันก็อาจจะเป็นเพราะไม่กล้าจะยอมรับว่าขุนนางในสังกัดขององค์ราชากับองครักษ์คนสนิทจะไปพลาดท่าให้กับผู้หญิงตัวคนเดียวซะด้วยซ้ำก็เลยพยายามมองหาผู้ต้องสงสัยคนอื่นไปทั่วแบบนั้นน่ะ”
เซียที่เป็นหนึ่งในขุนนางของเมืองกราวิทัสได้พูดตอบเดริคกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดเตือนเด็กหนุ่มที่เธอต้องเฝ้าจับตาดูอยู่ออกมา
“ส่วนนายเองก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีเถอะ ถ้าเกิดว่าพวกนั้นจนตรอกหาคนร้ายตัวจริงไม่ได้สักทีฉันเองก็ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะเบนเข็มมาที่ผู้สงสัยอันดับหนึ่งที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างนายหรือเปล่าเหมือนกัน”
“โอ๊ะๆ ถ้าเกิดว่าพวกคุณท่านขุนนางทั้งหลายเขาคิดจะจับฉันไปรับโทษในความผิดที่ฉันไม่ได้ก่อจริงๆ ล่ะก็นะ ต่อให้พวกเขาจะส่งคุณขุนนางสาวสวยชนิดหาตัวจับได้ยากแบบเธอมาเองฉันก็ไม่ยอมอยู่เฉยให้โดนจับหรอกนะเออ~”
“ก็เพราะแบบนั้นฉันถึง—”
คำพูดของเดริคที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายใจเฉิบนั้นได้ทำให้เซียทำท่าเหมือนกับว่าจะพูดเถียงกลับไปก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยและรีบหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าของตัวเองที่ขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อคิดได้ว่าคำว่าขุนนางสาวสวยที่เขาพูดนั่นมันหมายถึงใครและพูดต่อว่าเขาขึ้นมาแทน
“เดี๋ยวสิ— น—นี่นายพูดบ้าอะไรออกมาเนี่ยหะ!?”
“หืม? ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่ เธอเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องข่าวลือเรื่องจับแพะมาบ้างไม่ใช่หรอ ที่ว่าเวลามีคดีอะไรเกี่ยวกับพวกขุนนางทีทางวังหลวงก็จับพวกชาวบ้านไปรับผิดทีนึงน่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าพวกเธอคิดจะจับฉันไปเข้าคุกเพราะเรื่องนั้นจริงๆ ล่ะก็ ฉันเองก็แอบเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้วเหมือนกันนะ”
“ม–ไม่ใช่! ฉันหมายถึง— ฮะแฮ่ม!! ฉันหมายถึงว่านายไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกนะ เพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่มีขุนนางคนไหนเลยที่คิดจะแก้ต่างให้นาย แต่ว่าฉันจัดการให้แน่ใจไปแล้วว่าพวกเขาจะต้องหาตัวคนร้ายที่แท้จริงมาลงโทษให้ได้อย่างแน่นอนเพราะงั้นเรื่องจับแพะอะไรนั่นน่ะไม่มีแน่”
เซียที่ร้องโวยวายออกมาแต่กลับพบว่าเดริคเหมือนจะไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำว่าเมื่อสักครู่นี้เขาพูดอะไรออกมานั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องออกมาในทันทีและนั่นก็ทำให้เดริคได้แต่ยักไหล่ให้กับท่าทีของขุนนางสาวคนนี้และพูดขอบคุณออกมาตรงๆ
“เห… ถ้างั้นฉันก็คงจะต้องขอบใจเธองั้นสินะเนี่ย ขอบใจมากนะเซียจัง~”
“ให้ตายสิ…”
คำพูดของเดริคที่แอบหาโอกาสกลับมาเรียกเธอด้วยคำลงท้ายอีกครั้งหนึ่งแล้วนั้นได้ทำให้เซียต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจและทำท่าเหมือนกับว่าจะยื่นมือออกไปบิดหูของเด็กหนุ่มอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เดริคต้องรีบพูดขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ลงมือทำอะไร
“เอาล่ะ! ถ้างั้นพวกเราก็ไปหาทีออสที่หอนาฬิกากันเลยก็แล้วกัน!”
ทันทีที่เดริคพูดออกมาจนจบเขาก็ได้รีบเดินหนีออกไปจากอุ้งมือมรณะของขุนนางสาวในทันทีทำให้เซียได้แต่ต้องเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปแต่โดยดี
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่พวกเขาจะได้เดินไปจนถึงถนนเส้นหลักของตัวเมือง พวกเขาก็ต้องชะงักฝีเท้าลงไปด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังลั่นออกมาจากสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเข้าเสียก่อน
“ที่ผ่านมาทางกองทัพเบิกงบประมาณไปเป็นอันดับต้นๆ ของทุกกระทรวงเลยไม่ใช่หรือไง! ทำไมถึงยังปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อีก!!”
“ยอดเงินบริจาคทั้งหมดมันรวมได้เป็นแสนเป็นล้านคริสต้าเลยไม่ใช่หรอ! ทำไมการช่วยเหลือถึงยังไปไม่ถึงพวกผู้ประสบภัยที่หน้าเมืองอีก!! เงินของพวกเรามันหายไปที่ไหนหมด!!”
“อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาหายตัวไปไหนกันแน่!! หรือเพราะว่าเขาไม่เห็นด้วยกับพวกแกก็เลยไม่คิดจะตามสืบกันจริงจังกันหา!!”
“…มีเรื่องอะไรกันล่ะนั่น”
สิ่งที่เดริคได้เห็นนั้นได้ทำให้เขาต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขานั้นก็คือกลุ่มของชาวเมืองกราวิทัสกว่าร้อยชีวิตที่กำลังยืนตะโกนด่าทอใส่ป้อมทหารเล็กๆ ประจำสวนสาธารณะแห่งนี้อยู่ด้วยท่าทีโกรธเคือง อีกทั้งยังดูเหมือนว่านอกจากพวกชาวบ้านคนอื่นที่อยู่แถวนั้นจะไม่ห้ามปรามแล้วก็ยังเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มคนที่ว่านั่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ซึ่งคำพูดพึมพำด้วยความสงสัยของเดริคและภาพของกลุ่มคนเบื้องหน้านั้นก็ได้ทำให้ขุนนางสาวเซียต้องหลุบตาลงต่ำเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามของเขากลับไป
“ก็พวกกลุ่มชาวบ้านที่ไม่พอใจทางเมืองจนออกมาจับกลุ่มประท้วงกันเหมือนอย่างเคยนั่นล่ะ… อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเขาก็เพิ่งจะจับกลุ่มประท้วงกันไปรอบนึงเหมือนกัน”
“เอ๋ะ? เมื่อสัปดาห์ก่อนก็มีงั้นหรอ?”
“อื้ม แต่เห็นว่าตอนนั้นเป็นเรื่องที่ว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกขึ้นภาษีน่ะ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละกลุ่มกันด้วย”
“แล้ว… ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะต้องไปทำอะไรกับพวกเขาหรือเปล่าล่ะเนี่ย? เพราะงานของเธอเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรอ?”
“ก็ถ้าเป็นตามปกติแล้วฉันก็คงจะต้องพากองทหารมาคุมไม่ให้พวกเขาใช้ความรุนแรงหรือว่าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาล่ะมั้ง แต่ว่าตอนนี้หน้าที่ของฉันคือคอยตามคุมนายเอาไว้เพราะงั้นก็คงจะไม่ต้องทำอะไร… ยกเว้นเสียแต่ว่านายคิดจะเข้าไปร่วมชุมนุมกับพวกเขาน่ะนะ”
เซียพูดตอบเดริคกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พลางยกมือขึ้นมากอดอกจ้องมองไปทางเดริคราวกับกำลังจะรอดูว่าเขาจะตัดสินใจยังไง ซึ่งเดริคก็ได้ละสายตาออกไปจากเซียเพื่อมองดูกลุ่มผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดตอบขุนนางสาวกลับไป
“ไม่ล่ะ ถ้าจะให้ฉันไปจับกลุ่มร้องโวยวายแบบนั้นฉันขอเอาเวลาไปทำงานหาเงินเก็บเพิ่มดีกว่า แถมตอนนี้พวกเขาก็มีคนมาร่วมชุมนุมเป็นร้อยแล้วนี่ ต่อให้ทางวังหลวงไม่อยากจะได้ยินข้อเรียกร้องของพวกเขาก็น่าจะต้องได้ยินแล้วล่ะมั้ง”
“ที่ว่าได้ยินแล้วมันก็ใช่ แต่จะรับฟังหรือเปล่ามันก็อีกเรื่อง…”
คำตอบของเดริคนั้นได้ทำให้เซียละสายตาออกไปจากเด็กหนุ่มเพื่อหันไปมองทางกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเดริคก็กลับได้ยินในสิ่งที่เธอพูดพึมพำออกมาและพูดถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เธอหมายความว่ายังไงน่ะ?”
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นล่ะ แต่ถ้านายอยากจะรู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาไม่ยอมรับฟังฉันเองก็คงจะตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะงั้นถ้านายอยากจะรู้จริงๆ ก็ลองหาโอกาสเข้าไปถามคุณโดตั้นที่เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของพวกขุนนางเขาดูสิ”
“เหอะ… ถ้าจะให้ไปถามหมอนั่นฉันยอมไปยืนคุยกับกำแพงทั้งวันยังจะดีกว่าอีก เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเรารีบไปกันต่อเถอะ”
ชื่อของขุนนางระดับสูงโดตั้นที่ดังออกมาจากปากของเซียนั้นได้ทำให้เดริคถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทีรังเกียจแตกต่างจากท่าทีปกติของเขาที่ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับทุกคนก่อนที่เขาจะเดินนำเซียตรงไปตามถนนต่อไป
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน พวกเขาก็ได้เดินทางมาจนถึงเบื้องหน้าหอนาฬิกาใจกลางเมืองที่มีลักษณะคล้ายกับโบสถ์ขนาดใหญ่ก่อนที่เดริคจะพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจเมื่อเขาไม่พบกับทหารเฝ้ายามที่มักจะยืนประจำอยู่ที่เบื้องหน้าหอนาฬิกาดั่งเช่นทุกที
“เห วันนี้ไม่มีคนมาเฝ้ายามงั้นหรอเนี่ย… แต่ก็ดีแล้วเหมือนกันล่ะมั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูดอธิบายอะไรมาก”
“อื้ม พวกเขาน่าโดนสั่งให้ไปช่วยดูแลพวกชาวเมืองที่มาชุมนุมกันนั่นล่ะมั้ง เพราะคราวนี้เล่นมารวมตัวกันใกล้กับสถานที่สำคัญด้วยนี่นะ”
“หืม… ถ้าเกิดว่าถึงขนาดต้องเรียกรวมพลกระทั่งคนเฝ้าหอนาฬิกาไปด้วยแบบนี้นี่เธอแน่ใจนะว่าเธอจะไม่ไปช่วยพวกเขาด้วยน่ะเซีย?”
เดริคที่ได้ยินข้อสันนิษฐานของเซียนั้นได้เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไปพลางล้วงเอากุญแจพวกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและลงมือไขเปิดประตูหอนาฬิกาเบื้องหน้า และนั่นก็ทำให้เซียที่ได้ยินคำถามนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้วเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญและหันไปจ้องมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ
“จะถามเรื่องนั้นซ้ำๆ ทำไมนักหนา!? หรือว่าคิดจะแอบหนีไปจากสายตาฉันอยู่อีกหรือเปล่าหะ!?”
“ป–เปล่าสักหน่อย! ฉันแค่เห็นว่าขนาดทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ยังต้องไปช่วยเลยก็เลยสงสัยว่าเธอที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วยอะไรสักอย่างจะต้องตามไปกำกับงานพวกเขาหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“เพื่ออะไรล่ะ? ที่ชาวบ้านพวกนั้นทำก็มีแค่ออกมาส่งเสียงให้คนในวังเขาได้ยินบ้างไม่ใช่หรอ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรือว่าก่อความวุ่นวายจนจะต้องมีคนเข้าไปห้ามสักหน่อยนี่”
“หืม…”
คำตอบของเซียได้ทำให้เดริคเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมา และนั่นก็ทำให้เซียที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดถามขึ้นมา
“ยิ้มมองกันแบบนี้นี่หมายความว่ายังไงกันหะ?”
“ก็เปล่านี่ ฉันก็แค่คิดว่าถ้าเกิดพวกขุนนางคนอื่นๆ เขามีความคิดแบบเดียวกับเธอได้บ้างก็คงจะดีก็แค่นั้นเอง—”
ติ๊ก—ต่อก—ติ๊ก—ต่อก—
แต่แล้วในขณะที่เดริคกำลังพูดตอบเซียกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับกลไกของนาฬิกาขนาดใหญ่ดังแว่วลงมาจากทางด้านบนเหนือหัวของพวกเขาจนทำให้เดริคต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ
“เดี๋ยวนะ… นี่ทีออสเขาเริ่มเดินกลไกของหอนาฬิกาได้แล้วหรอเนี่ย?”
“แล้วฉันจะไปรู้ด้วยมั้ยล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกนายออกจะสนิทกันหรอกหรอ นี่เขาไม่ได้บอกอะไรนายเอาไว้เลยหรอไง?”
“ที่ว่าพวกฉันสนิทกันนั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรเวลามาเจอกันพวกฉันก็ไม่ค่อยจะได้คุยกันเรื่องงานอยู่แล้ว… ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นการนัดกันมาเพื่อคุยเรื่องงานโดยเฉพาะน่ะนะ แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้เอาเป็นว่าพวกเราขึ้นไปหาทีออสข้างบนก่อนก็แล้วกัน”
เดริคยักไหล่ให้กับคำถามของเซียก่อนที่เขาจะเดินนำขุนนางสาวขึ้นบันไดวนไปยังชั้นบนสุดของหอนาฬิกาแห่งนี้และเปิดประตูที่ตั้งอยู่ที่สุดปลายของบันไดออกพร้อมกับเอ่ยปากเรียกร้องเรียกเพื่อนของตนขึ้นมา
“โย่ว เป็นไงบ้างทีออส ฉันเอาของกินมาฝากล่ะ”
“…..”
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านทีออสที่นั่งอยู่ภายในห้องก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรเขากลับมาเมื่อเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนบันไดสูงได้จ้องมองตรงเข้าไปในกล่องเหล็กที่มีฟันเฟืองขนาดใหญ่เล็กอัดแน่นอยู่ภายในด้วยท่าทีจริงจังท่ามกลางเสียงของกลไกต่างๆ ของหอนาฬิกาที่ดังเป็นจังหวะต่อเนื่องทุกวินาที
และหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ทีออสที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับรู้ถึงการมาของเดริคและเซียเลยแม้แต่น้อยก็ได้ยื่นมือของเขาที่ถืออุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับไขควงลอดผ่านเข้าไปภายในช่องว่างระหว่างฟันเฟืองเบื้องหน้าอย่างระมัดระวังและดึงเอาฟันเฟืองขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากภายในจนทำให้เสียงของนาฬิกาที่ดังอย่างต่อเนื่องมาตลอดหยุดเงียบลงไปพร้อมๆ กับที่เขาได้พูดบ่นออกมาเบาๆ
“เฮ้อ… เฟืองชุดนี้ก็มีปัญหาอีกแล้วงั้นสินะเนี่ย…”
“มีปัญหาอีกแล้วเรอะทีออส?”
“เหวอ—!!?”
ในทันทีที่มีเสียงของเดริคดังขึ้นมานั้นเอง ทางด้านทีออสที่ไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีผู้มาเยือนนั้นก็ได้สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจจนทำให้บันไดที่เขานั่งอยู่เอนไปทางด้านข้างอย่างน่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้เดริคจำเป็นต้องรีบเข้าไปจับมันเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน
“เฮ้ย!? ระวังหน่อยสิ! ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก!”
“ถ้างั้นนายก็อย่าแอบเข้ามาเงียบๆ แบบนั้นสิเดริค!!”
ทีออสที่ได้เดริคช่วยเอาไว้นั้นได้พูดต่อว่าเพื่อนของเขาที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายแอบย่องเข้ามาเงียบๆ ขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เซียที่เห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนทำท่าเหมือนกับว่าจะได้ต่อล้อต่อเถียงกันยาวต้องพูดอธิบายออกมาให้เขาได้ฟัง
“เมื่อกี้นี้เดริคเขาเรียกทักนายตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาแล้วนะ”
“เอ๋? จริงหรอครับคุณเซีย?”
คำพูดของเซียนั้นได้ทำให้ทีออสต้องหันไปพูดถามเธอขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ซึ่งทางด้านเซียก็ได้ยักไหล่กลับมาให้เขาแบบส่งๆ จนทำให้ทีออสได้แต่หันไปสอบถามเดริคที่มีเวลาว่างแวะมาหาเขาในวันทำงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อแทน
“ว่าแต่ไหนนายบอกว่าวันนี้มีคนจ้างให้ไปช่วยย้ายบ้านหรืออะไรสักอย่างไม่ใช่หรอ ไหงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“งานที่ว่านั่นมันตั้งแต่เช้าแล้วหนู ส่วนตอนนี้น่ะมันเที่ยงแล้ว รีบๆ ลงมาจากบันไดได้แล้วมา ฉันเอาข้าวเที่ยงมาฝากนายด้วยน่ะ”
“หะ…? นี่เที่ยงแล้วหรอ?”
ทีออสที่ดูเหมือนว่าจะทำงานจนลืมเวลานั้นได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนที่เขาจะรีบไต่ลงมาจากบันไดทรงสูงที่เขานั่งอยู่เพื่อลงมาหาเพื่อนของตนจนทำให้เดริคที่เห็นแบบนั้นแทบจะหลุดหัวเราะออกมา
“ก็เออน่ะสิ นี่นายเป็นช่างทำนาฬิกาประสาอะไรถึงลืมเวลาได้ลงคอเนี่ยหะทีออส”
“แหะๆ ก็เวลาต้องใช้สมาธิมากๆ มันก็มีลืมๆ กันบ้างนั่นแหล่ะ”
ทีออสที่ได้ยินเดริคพูดล้อเขานั้นได้หัวเราะพูดตอบเพื่อนของเขากลับไปแบบไม่ถือสาอะไรมาก ในขณะที่ทางด้านเซียที่หันไปมามองซ้ายมองขวาในสถานที่ที่เธอไม่คุ้นเคยนั้นก็ได้พูดถามทีออสที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการในส่วนที่เกี่ยวกับกลไกต่างๆ ของหอนาฬิกาประจำเมืองแห่งนี้ขึ้นมา
“ว่าแต่งานในส่วนของกลไกนาฬิกามันยุ่งยากขนาดนั้นเลยหรอ ฉันเคยได้ยินมาว่าเขาวางแผนจะสร้างหอนาฬิกานี่กันตั้งนานแล้วแถมยังมีการตรวจสอบแบบแปลนกันตั้งหลายรอบ เพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยากเลยนี่ แบบว่าแค่สร้างไปตามแบบแปลนอะไรประมาณนั้น?”
“เอ้อ… ถ้าเรื่องนั้นมันก็…”
คำพูดของเซียนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังขยี้หัวกันเล่นอยู่ชะงักไปกันไปในทันทีก่อนที่เดริคจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองและโยนภาระในการอธิบายไปให้ทีออสที่เป็นผู้รับผิดชอบและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงแทน
“เอาเป็นว่านายอธิบายเองเลยก็แล้วกันนะทีออส”
“เฮ้อ…”
ทีออสที่ถูกเพื่อนของตนโยนเรื่องยุ่งยากมาให้นั้นได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินนำทุกคนไปยังโต๊ะทำงานตัวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกล่องกลไกนาฬิกาและทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้แล้วจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องให้เซียได้ฟัง
“ก็ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องวางแผนก่อสร้างนี่รวมเวลาแล้วมันก็เกือบจะเป็นสิบปีอย่างที่คุณเซียเข้าใจนั่นแหล่ะครับ”
“ก็นั่นแหล่ะ แล้วตัวอาคารเองมันก็ถูกสร้างจนเสร็จมาได้สักพักนึงแล้วนี่ แล้วถ้าเกิดว่านายเริ่มเข้ามาทำงานทันทีตั้งแต่ที่ตัวอาคารสร้างเสร็จจนถึงตอนนี้นายก็น่าจะปิดงานได้สบายๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”
“ก็ถ้าเกิดว่าทุกอย่างมันง่ายแบบนั้นมันก็คงจะดีน่ะสิครับ…”
“นายหมายความว่าไง?”
คำตอบของทีออสพูดพูดตอบกลับมาเบาๆ พร้อมๆ กับที่เขาได้หลบสายตาหันหนีไปทางอื่นนั้นได้ทำให้เซียต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจและพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้ทีออสนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ก่อนที่เขาจะพูดตอบกลับมาเบาๆ
“คุณเซียเคยได้ยินชื่อ ‘แคทเธอรีน’ หรือเปล่าครับ เจ้าของฉายา คล็อกเวิร์ค แคทเธอรีน ที่เป็นช่างกลไกและนักประดิษฐ์คนนั้นน่ะครับ”