Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 150 : Unmapped Road
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาข้างๆ เอริกะนั้นก็คือร่างเงาจางๆ ของหญิงสาววัยกลางคนที่ถูกเด็กสาวในชุดผ้าคลุมและเหล่าแฟรี่เรียกขานว่า ‘คุณแม่’ นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นการปรากฏตัวของร่างเงาของคุณแม่ที่ควรจะอยู่ฝ่ายเดียวกับศัตรูของพวกเธอนั้นก็กลับไม่ได้ทำให้อลิซที่เฝ้าดูการกระทำของเอริกะอยู่เปลี่ยนสีหน้าไปเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่เด็กสาวทำนั้นก็มีเพียงแค่การยกมือขึ้นมากอดอกขมวดคิ้วจ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าต่อไปอย่างเงียบๆ เพียงเท่านั้น
ส่วนทางด้านร่างเงาของหญิงสาวเองก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะให้ความสนใจในตัวอลิซที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอคิดว่ายังไงซะคนอื่นๆ นอกจากเอริกะก็ไม่สามารถมองเห็นร่างของเธอที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศแบบนี้ได้อยู่แล้ว เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปมองดูภาพที่เลนส์แว่นตาของเอริกะฉายอยู่ด้วยความสนอกสนใจก่อนจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“แม่ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมหนูถึงเชื่อมต่อกลับเข้ามาแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องที่แพนเทร่าเองสินะจ๊ะ… ถ้ายังไงจะให้แม่ช่วยเชื่อมต่อเข้าระบบของที่นั่นให้หรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงมือคุณแม่ก็ได้ หนูจัดการเองได้ค่ะ”
เอริกะพูดตอบร่างเงาของหญิงสาวกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนที่บนเลนส์แว่นตาของเอริกะจะปรากฏตัวเลขและข้อความต่างๆ ขึ้นมาและเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แอ๊ด—แอ๊ด—
“หืม…?”
แต่ว่าทันใดนั้นเองอยู่ๆ ตัวแว่นตาของเอริกะก็กลับส่งเสียงร้องเตือนขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เลนส์แว่นตาของเอริกะจะถูกย้อมไปด้วยสีแดงที่มีข้อความเตือนกะพริบติดๆ ดับๆ อย่างถี่ยิบ
การเข้าถึงถูกปิดกั้น ไม่สามารถตรวจสอบสถานะได้
สิ้นสุดการเชื่อมต่อ สิ้นสุดการเชื่อมต่อ สิ้นสุดการเชื่อ—-
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
“โอ๊ะตายล่ะ—”
ภาพคำเตือนสีแดงที่กะพริบถี่ๆ ก่อนที่ตัวเลนส์แว่นจะแตกร้าวเป็นทางยาวและปะทุกระแสไฟฟ้าเล็กๆ ออกมานั้นได้ทำให้เอริกะต้องรีบปิดตาของตัวเองและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับขาแว่นตาของเธอโยนทิ้งไปให้ไกลตัวที่สุดเท่าที่จะได้
ปุ้ง—!!
“โอ๊ย—!?”
“เอริกะ—!?”
“ฉ—ฉันไม่เป็นไร!! แค่เฉียดๆ ไปนิดหน่อยน่ะ!”
แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของเอริกะก็เหมือนจะไม่ทันการเพราะว่าในทันทีที่แว่นตาของเธอหลุดพ้นออกจากใบหน้านั้น มันก็ได้ปะทุออกเป็นลูกไฟลูกเล็กๆ ส่งเศษกระจกที่เคยทำหน้าที่เป็นเลนส์แว่นมาก่อนพุ่งกระจายไปทั่ว อีกทั้งส่วนหนึ่งของมันก็พุ่งบาดใบหน้าของเธอจนเรียกแผลเอาไว้เป็นทางยาวเอาไว้อีกด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณเอริกะเผลอทำอะไรระเบิดอีกแล้วหรอครับ? มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?”
หลังจากที่สิ้นเสียงระเบิดเล็กๆ ไปได้ไม่ทันไรก็ได้มีเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงพูดสอบถามของคอนแนลดังขึ้นมาจนทำให้เอริกะต้องรีบพูดบอกปัดกลับไปก่อน
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่อุปกรณ์มันระเบิดนิดๆ หน่อยๆ เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“งั้นหรอครับ ถ้ายังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับคุณเอริกะ”
เสียงของคอนแนลที่ดังตอบกลับมาจากเบื้องนอกห้องทำงานนั้นฟังดูไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก เพราะว่ายังไงซะเอริกะก็มักจะทำการทดลองสิ่งประดิษฐ์ประหลาดๆ ของเธอจนเกิดเหตุระเบิดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงระเบิดดังออกมาจากห้องของเอริกะอีกด้วย
และเมื่อเอริกะมั่นใจว่าคอนแนลคงจะไม่ผลีผลามเข้ามาในห้องทำงานของเธอแล้วเธอก็ยกมือขึ้นมาปาดหยดเลือดใบบนหน้าก่อนจะก้มลงไปมองดูแว่นตากรอบแดงของเธอที่ในขณะนี้ได้กลายเป็นซากสีดำกองอยู่กับโต๊ะทำงานก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถึงขนาดทำให้มันระเบิดได้เลยหรอเนี่ย…”
“เรื่องนี้ทางฝั่งแม่ไม่เกี่ยวนะจ๊ะ”
“หนูรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ… เพราะยังไงเรื่องการวางยาในระบบแบบนี้มันก็ไม่ใช่วิธีที่เธอคนนั้นชอบใช้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ”
“เหอะ…”
ในขณะที่เอริกะและร่างเงาของคุณแม่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ทางด้านอลิซที่กลับไปยืนกอดอกพิงกำแพงขมวดคิ้วจ้องมองร่างเงาของหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ได้พ่นลมหายใจออกมาเหมือนกับว่าเธอไม่ค่อยจะถูกใจบทสนทนาของทั้งสองคนสักเท่าไหร่นัก
ซึ่งการกระทำของอลิซนั้นก็ได้เรียกความสนใจของร่างเงาของหญิงสาวมาทางเธอก่อนที่ทันใดนั้นเองร่างเงาของคุณแม่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เธอ… มองเห็นฉันงั้นสินะจ๊ะ…”
“………”
อลิซไม่ได้พูดตอบคำถามของร่างเงาของหญิงสาวกลับไปและละสายตาจากร่างเงาเบื้องหน้าไปมองทางด้านเอริกะแทน และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบหาเรื่องพูดสั่งให้อลิซออกไปจากห้องทำงานก่อนขึ้นมา
“อลิซ เธอไปหยิบกล่องพยาบาลจากห้องนั่งเล่นมาให้ฉันหน่อยสิ ขืนฉันออกไปเองในสภาพแบบนี้มีหวังคอนแนลคุงเขาได้ร้องโวยวายแหงเลย”
“กล่องพยาบาลสินะ… ได้สิ”
อลิซพยักหน้าพูดตอบเอริกะกลับไปและเดินตรงออกจากห้องทำงานของเอริกะไปอย่างรวดเร็ว โดยมีร่างเงาของคุณแม่จ้องมองตามเธอไปด้วยความสงสัยจนลับสายตา
“เฮ้อ… ถึงตอนได้นั่งรถเป็นครั้งแรกๆ จะรู้สึกตื่นเต้นดีก็เถอะ แต่ว่าพอเคยนั่งมาหลายครั้งแล้วแล้วต้องมานั่งรถนานๆ แบบนี้มันก็ออกจะเบื่อๆ อยู่เหมือนกันนะ”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เอริกะกำลังเจอเรื่องน่ากลุ้มใจเพิ่มขึ้นมาอยู่นั้นเอง ทางด้านรถกระบะของพวกนากาที่เคลื่อนตัวออกไปจากเขตโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ก็ได้มีเสียงพูดบ่นของเด็กหนุ่มตาสองสีดังขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย จนทำให้มีอาที่นั่งตรวจสอบอุปกรณ์การแพทย์ในกระเป๋าของเธออยู่อดไม่ได้ที่จะหันมายิ้มพูดตอบนากากลับไป
“เรื่องนั้นมันช่วยไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะถ้าเกิดว่าเร่งเครื่องไปมากกว่านี้มันจะกินแรงเดรคเขาเปล่าๆ น่ะ ฉันถึงได้เลือกออกเดินทางตั้งแต่เช้าพวกเธอจะได้ไม่ต้องนอนค้างกันด้านนอกไงล่ะ”
“ก็พอจะเข้าใจอยู่แหล่ะครับ แต่ว่าให้มันนั่งเฉยๆ แบบนี้มันก็อดจะบ่นไม่ได้นี่นา…”
“ฮะฮะ เรื่องนั้นฉันก็เถียงไม่ได้เหมือนกันแหล่ะจ้ะ”
มีอาหัวเราะพูดตอบนากากลับไปในขณะที่มือของเธอก็เก็บอุปกรณ์การแพทย์กลับเข้ากระเป๋าไปด้วย และเมื่อจัดเก็บอุปกรณ์ส่วนตัวเสร็จแล้วเธอก็แอบเหลือบหันไปมองทางด้านหูแมวของโมโกะที่แหว่งหายไปข้างหนึ่งแล้วจึงแอบกระซิบพูดถามนากาขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด
“ว่าแต่หลังจากที่ฉัน… ทำแผล ให้โมโกะจังเขาไปแล้วนี่เขาเป็นยังไงบ้างหรอจ๊ะ? ตอนที่เจอกันครั้งล่าสุดนั่นฉันจำได้ว่าเขาถึงขั้นวิ่งหนีไปไม่ยอมให้เธอเห็นหน้าเลยนี่นา…”
“ถ้าหลังจากวันนั้นจะว่าดีขึ้นแล้วก็ได้ล่ะมั้งครับ… โชคดีที่ได้อีฟมาอยู่ด้วยก็เลยทำให้โมโกะเขาอาการดีขึ้นมากเลยน่ะครับ”
“เพราะเด็กคนนั้นสินะจ๊ะ…”
มีอาพยักหน้าพูดตอบนากากลับไปเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองอีฟที่ถูกโมโกะนั่งคุมไม่ให้เล่นซนจะใช้มือเล็กๆ ของเธอปัดๆ ไปที่แก้มของโมโกะที่เธอกำลังนั่งตักอยู่และชี้ไปทางกระต่ายสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีออกห่างไปจากตัวถนนด้วยท่าทีสนอกสนใจจนทำให้โมโกะต้องเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“กระต่ายนั่นมันทำไมหรออีฟจัง…?”
“……?”
อีฟที่ได้ยินคำถามที่โมโกะพูดถามกลับมาได้ละสายตาออกมาจากกระต่ายขาวตัวน้อยและหันไปเอียงคอจ้องมองโมโกะด้วยดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ของเธอแทน ซึ่งนั่นก็ทำให้โมโกะเข้าใจว่าเด็กสาวตัวน้อยคงจะไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตสี่ขาที่กำลังวิ่งหนีไปอย่างแน่นอน เธอจึงเริ่มต้นแนะนำสัตว์น้อยน่ารักให้อีฟได้รู้จัก
“เจ้าตัวเล็กนั่นมันถูกเรียกว่ากระต่ายน่ะ ที่มันวิ่งหนีไปแบบนั้นน่าจะเป็นเพราะว่ามันกลัวรถคันใหญ่เสียงดังของพวกเราล่ะมั้ง”
“….!”
อีฟที่ได้ยินคำพูดอธิบายของโมโกะได้พยักหน้าถี่ๆ กลับไปให้โมโกะก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองทางด้านกระต่ายตัวน้อยอีกครั้งหนึ่งจนมันมุดพงหญ้าหายไป
ซึ่งภาพของอีฟที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีกระต่ายตัวน้อยกำลังวิ่งอยู่ในทุ่งโล่งทั้งๆ ที่เด็กสาวกำลังหลับตาอยู่นั้นก็ได้ทำให้มีอาต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะพูดถามนากาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา
“นี่นากาคุง อีฟจังเขาหลับตาอยู่แบบนั้นแล้วเขารู้ได้ยังไงว่ามีกระต่ายอยู่ตรงนั้นน่ะ ขนาดฉันว่าฉันสายตาดีแล้วยังมองแทบไม่เห็นเลยนะ”
“อ่า… ก็เหมือนว่าเธอจะมีความสามารถอะไรสักอย่างจนทำให้มองเห็นได้ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่แบบนั้นน่ะครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง”
“แล้วเธอไม่เคยพาไปให้ใครตรวจดูหรืออะไรแบบนั้นบ้างเลยหรอ?”
“ถ้าเรื่องนั้นเอริกะเคยตรวจดูให้แล้วก็บอกว่าปกติดีน่ะครับ แล้วอีกอย่างนึงพอมีใครเอามือเข้าไปใกล้ๆ ตาของอีฟเขาก็งอแงใส่ตลอดเลย ผมก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีเหมือนกัน”
“คุณเอริกะพูดไว้ว่างั้นหรอจ๊ะ…”
มีอาพูดตอบนากากลับไปเบาๆ พลางลองมองสังเกตดูท่าทางของอีฟที่ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าเธอเอาแต่หลับตาอยู่ตลอดเวลาและไม่ยอมพูดยอมจาแล้วก็นับว่าดูเป็นเด็กที่ร่าเริงดีอยู่ ในขณะที่ทางด้านนากานั้นก็ได้พูดอธิบายออกมาให้มีอาได้ฟัง
“ส่วนเรื่องที่ว่าอีฟเขาไม่ยอมพูดนั่นเอริกะเขาบอกว่าน่าจะเป็นเพราะว่าเรื่องจิตใจหรืออะไรประมาณนั้นและทางที่ดีที่สุดก็คือรอจนกว่าเธอจะยอมพูดด้วยตัวเองน่ะครับ แล้วในเมื่ออีฟเขาก็เข้าใจที่คนอื่นพูดแถมยังแสดงออกด้วยท่าทางได้ผมว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรหรอกมั้งครับ”
“หมายความว่าต่อให้อีฟเขาพูดไม่ได้แบบนี้ต่อไปเธอก็ไม่มีปัญหาอะไรงั้นหรอ?”
“ก็… จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้งครับ ในเมื่ออีฟเขายังไม่พร้อมจะพูดจะให้ไปบังคับอะไรมันก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ อีกอย่างนึงต่อให้อีฟเขาเป็นแบบนั้นก็ยังดูมีความสุขดีไม่ใช่หรอครับ?”
นากาพูดตอบมีอากลับไปก่อนที่เขาจะหันไปมองดูอีฟที่กำลังนั่งอยู่บนตักของโมโกะเพื่อมองดูวิวทิวทัศน์ที่กำลังเคลื่อนผ่านไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ และนั่นก็ทำให้มีอาได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะล้มเลิกความคิดที่จะอาสาช่วยตรวจหาสาเหตุที่อีฟไม่ยอมพูดไม่ยอมลืมตาไปและหยิบเอาหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาแทน
“นั่นสินะจ๊ะ… ถ้างั้นเอาเป็นว่าฉันขอไม่รบกวนเวลาของเธอแล้วก็แล้วกัน รีบๆ กลับไปดูแลลูกสาวของเธอเถอะ แล้วก็ระวังอย่าโอ๋อีฟจังเขามากไปด้วยล่ะ”
“ผมไม่ได้มองอีฟเขาเป็นลูกสาวสักหน่อย!”
“จ้าๆ เข้าใจแล้วล่ะจ้ะ”
มีอาพูดตอบนากากลับไปด้วยน้ำเสียงล้อเลียนก่อนที่เธอจะเปิดหนังสือในมือออกมาอ่าน และนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วจึงขยับตัวไปรวมกลุ่มกับโมโกะที่กำลังเอ่ยปากเตือนการกระทำของเด็กสาวขึ้นมาอยู่
“อย่ายื่นมือออกไปนอกตัวรถแบบนั้นสิอีฟจัง ถ้าเกิดรถมันเฉี่ยวผ่านอะไรเข้าเดี๋ยวจะเป็นอันตรายเอานะ…”
“ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง เดี๋ยวฉันคอยดูข้างหน้าให้เองว่ารถมันทำท่าจะเฉี่ยวเข้าใกล้อะไรเข้าให้น่ะ… ว่าแต่ต้องมาเดินทางไกลแบบนี้นี่เธอไม่รู้สึกเจ็บแผลหรือว่าอะไรขึ้นมาใช่มั้ยโมโกะ?”
นากาที่ขยับตัวเข้ามาได้ยินคำพูดเตือนของโมโกะพอดีนั้นได้เอ่ยปากพูดเกลี้ยกล่อมให้โมโกะยอมปล่อยให้อีฟได้เล่นสนุกต่อไปขึ้นมาพร้อมทั้งพูดถามอาการบาดเจ็บของโมโกะขึ้นมาด้วย
และนั่นก็ทำให้โมโกะที่ไม่ทันสังเกตเห็นว่านากาขยับตัวเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ต้องสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไป
“แผลของฉันมันไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นแล้วล่ะ… ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า แค่เธออาการดีขึ้นแบบนี้ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ”
“พูดถึงอาการดีขึ้น… แล้วทางด้านนายเป็นยังไงบ้างล่ะนากา นับตั้งแต่วันนั้นน่ะ…”
“นับตั้งแต่วันนั้นงั้นหรอ…”
นากาเอ่ยปากพูดทวนคำของโมโกะขึ้นมาพร้อมกัยแหงนหน้าขึ้นไปมองก้อนเมฆยามเย็นบนท้องฟ้า ในขณะที่ในหัวของเขานั้นก็นึกไปถึงท่าทีตื่นเต้นของพรีมูล่าในยามที่พวกเขานั่งรถออกมาจากหมู่บ้านเพื่อเดินทางไปสู่เมืองรีมินัสเป็นครั้งแรกขึ้นมา
ซึ่งโมโกะที่ดูเหมือนว่าจะคิดถึงเรื่องเหตุการณ์เดียวกันอยู่นั้นก็ได้เอนหัวมาพิงไหล่ของนากาเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“ถ้าเกิดว่ายัยตัวแสบนั่นได้มากับพวกเราด้วยก็คงจะตื่นเต้นไม่ต่างจากอีฟสักเท่าไหร่หรอกเนอะ…”
“อื้ม… ก็คงจะเป็นอย่างที่เธอว่ามานั่นแหล่ะ”
นากายิ้มพูดตอบโมโกะกลับไปพลางยกมือขึ้นไปลูบหัวของอีฟที่หันกลับมามองทางพวกเขาราวกับกำลังนึกสงสัยอยู่ว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไรกันอยู่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“จะว่าบอกดีขึ้นแล้วมันก็คงจะไม่ใช่หรอกล่ะมั้ง… เพราะจนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงของยัยตัวแสบนั่นโผล่มาปลุกทุกเช้าอยู่เลยน่ะ…”
“ฉันก็เหมือนกัน…”
“แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเข้มแข็งกันเอาไว้ใช่มั้ยล่ะ… เพื่อตัวพวกเราเอง… แล้วก็เพื่อคนอื่นๆ ที่เป็นห่วงพวกเราน่ะ…”
“อื้อ…”
“……..?”
ในขณะที่นากาและโมโกะกำลังเอาหัวพิงกันและพูดกันเองอยู่เบาๆ นั้นเอง อยู่ๆ อีฟที่นั่งตักของโมโกะอยู่ก็ได้ขยับตัวเพื่อหันกลับมาทางพวกเขาและยกมือขึ้นไปลูบหัวของผู้ปกครองของเธอทั้งสองคนราวกับว่ากำลังพยายามปลอบใจพวกเขาอยู่ และนั่นก็ทำให้ทั้งนากาและโมโกะต้องเหล่ตาไปมองกันเองก่อนที่พวกเขาจะเผยรอยยิ้มออกมา
“ฮะฮะ… พวกพี่ไม่เป็นไรหรอกอีฟ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“อื้อ… ก็แบบที่พี่นากาเขาบอกไปนั่นแหล่ะจ้ะ…”
“………”
ก๊อก ก๊อก
แต่แล้วในขณะที่อีฟยังคงลูบหัวของนากาและโมโกะอยู่ไม่เลิกอยู่นั้นเอง ที่ด้านหลังของสองสหายจากหมู่บ้านโมริโกะอันเป็นตำแหน่งของห้องโดยสารก็ได้มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้นมาจนทำให้พวกเขาต้องรีบแยกตัวออกจากกันในทันที
และเมื่อพวกเขาหันกลับไปมองทางต้นเสียง พวกเขาก็ได้พบเข้ากับรีซาน่าที่ถูกเดรคจับไปนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารกำลังชี้มือชี้ไม้เหมือนกับว่ากำลังพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเขาอยู่
ซึ่งภาพการแสดงภาษามือของรีซาน่านั้นก็ได้ทำให้นากาและโมโกะต้องหันไปมองหน้ากันเองด้วยความงงงวยก่อนที่ทันใดนั้นเองรีซาน่าที่นั่งอยู่ภายในห้องโดยสารจะสะดุ้งไปเล็กน้อยและหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเดรคที่กำลังนั่งขับรถอยู่แล้วจึงเอื้อมมือมาเปิดกระจกบานเลื่อนเล็กๆ ที่ติดอยู่ด้านหลังห้องโดยสารออกและพูดบ่นออกมาเบาๆ
“ทำไมคุณเดรคถึงไม่บอกกันก่อนละคะว่าเจ้านี่มันเปิดได้ด้วยน่ะ ปล่อยให้ฉันนั่งเฉยๆ ไม่มีเพื่อนคุยมาตั้งนาน…”
“ฮึ่ม….”
คำพูดบ่นของรีซาน่านั้นได้ทำให้เดรคพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง และนั่นก็ทำให้รีซาน่าสะดุ้งไปอีกครั้งและรีบพูดเข้าเรื่องในทันที
“คือว่าเดี๋ยวอีกสักประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงป่าที่หมู่บ้านของฉันตั้งอยู่แล้วล่ะค่ะ ถ้ายังไงพวกนากาคุงเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ดีนะคะ”
“โอ้ เข้าใจแล้วล่ะ”
นากาพยักหน้าพูดตอบรีซาน่ากลับไปก่อนที่เขาจะยันตัวเองขึ้นไปให้พ้นหลังคาห้องโดยสารและได้พบเข้ากับทิวเขาสูงใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไกลจนแทบจะสุดสายตา เขาจึงหดหัวกลับลงมาเพื่อพูดถามรีซาน่าขึ้นมา
“หมู่บ้านของเธออยู่ตรงเทือกเขานั่นน่ะหรอรีซาน่า?”
“ก็แถวๆ นั้นแหล่ะค่ะ แต่ฉันว่าตอนเดินทางเข้าไปข้างในป่าอาจจะมีปัญหากันสักหน่อยล่ะมั้งคะ เพราะเท่าที่ฉันจำได้มันไม่มีถนนสักเส้นที่ตรงเข้าไปที่หมู่บ้านของฉันให้รถวิ่งผ่านเลยน่ะค่ะ ขนาดรถม้าที่เล็กกว่ารถคันนี้ก็ยังเข้าไปไม่ได้เลย…”
“ไม่เข้า…”
“เอ๋? อะไรนะคะ คุณเดรค?”
ในขณะที่รีซาน่ากำลังพูดออกมาด้วยความกังวลใจว่าจะเอายังไงกับยานพาหนะของพวกเธออยู่นั้นเอง อยู่ๆ เดรคที่นั่งขับรถอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาสั้นๆ จนทำให้รีซาน่าต้องหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเดรคก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไปจนทำให้มีอาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่จำเป็นต้องพูดถามพวกเด็กๆ ขึ้นมา เพราะเธอนึกว่าเอริกะได้พูดอธิบายเรื่องนี้เอาไว้แล้วเสียอีก
“ก็ทางด้านฉันกับเดรคจะไม่ได้เข้าไปที่หมู่บ้านด้วยกันกับพวกเธอน่ะสิ พวกเธอไม่รู้หรอกหรอ?”
“เอ่อ… ผมเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเนี่ยแหล่ะ”
นากาที่ได้ยินคำถามของมีอาได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวพูดตอบเธอกลับไป เพราะเขานึกว่าที่ทางโรงเรียนอนุญาตให้พวกเขาออกมาตามหาอารอนถึงกลางป่ากลางเขาข้างนอกนี่มันเป็นเพราะว่ามีผู้ใหญ่ที่น่าจะไว้ใจได้อย่างมีอาและเดรคตามมาด้วยเสียอีก
ซึ่งในขณะที่นากากำลังมึนงงกับเรื่องที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้นั้น ทางด้านรีซาน่าเองก็ได้เหลือบมองไปทางเดรคเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดถามมีอาที่ดูเข้าถึงได้ง่ายกว่าขึ้นมา
“จะว่าไปนี่พวกคุณมีอารู้ว่าหมู่บ้านของฉันตั้งอยู่ที่แถวไหนด้วยงั้นหรอคะ? คือพอดีว่าระหว่างทางคุณเดรคเขาไม่ได้พูดถามทางสักคำนึงเลยน่ะค่ะ…”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็เธอคงต้องไปถามคุณเอริกะเอาเองแล้วล่ะจ้ะ เพราะว่าพอคุณเอริกะรู้ว่ามันเป็นหมู่บ้านของเธอ เขาก็ส่งคนที่—
“ฮึ่ม…”
ในขณะที่มีอากำลังพูดตอบคำถามของรีซาน่าออกมาอยู่นั้นเองทางด้านเดรคก็ได้พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้งจนทำให้มีอาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดต่อขึ้นมาให้จบประโยคด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“คุณเอริกะเขาก็เลยส่งคนที่น่าจะรู้จักพื้นที่ทางฝั่งทิศเหนือของเมืองรีมินัสอย่างเดรคเขามาเลยน่ะจ้ะ”
“……….”
คำพูดของมีอาในคราวนี้นั้นไม่ได้ทำให้เดรคส่งเสียงขัดออกมาอีก และนั่นก็ทำให้มีอาตัดสินใจที่จะเปิดหนังสือในมือของเธอออกมาอ่านอีกครั้งพลางพูดอธิบายออกมาให้พวกเด็กๆ ฟังไปด้วย
“แต่ว่าพวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ้ะ เดี๋ยวเดรคเขาจะพาพวกเธอไปส่งถึงชายป่าได้อย่างไม่หลงแน่นอนจ้ะ ถึงถ้าเป็นเรื่องหลังจากนั้นแล้วพวกเธอจะต้องพึ่งให้รีซาน่าจังเขานำทางให้ก็เถอะนะ~”
“หมายความว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเดินป่ากันจริงๆ งั้นสินะเนี่ย…”
นากาที่ได้ยินคำพูดของมีอาได้พูดบ่นออกมาเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้อีฟที่ได้ยินว่านากากลับไปทำน้ำเสียงกลุ้มใจอีกแล้วยกมือขึ้นไปลูบหัวของเขาเพื่อให้กำลังใจอีกครั้งหนึ่ง