Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 142 : Synergism
“รีซาน่าเขาทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่อยากจะกลับไปที่หมู่บ้านของตัวเองสักเท่าไหร่งั้นหรอ…?”
ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งภายในเขตตัวเมืองชั้นในก็ได้มีเสียงของเอริกะที่ได้รับรายงานเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มดอว์นมาจากไดเอน่าเอ่ยปากพูดถามเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะหินอ่อนขึ้นมาด้วยความสงสัย
ซึ่งไดเอน่าที่ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องรักษามาดประธานนักเรียนแล้วและกำลังเกยคางลงไปกับโต๊ะหินอ่อนด้วยท่าทีผ่อนคลายสุดๆ ก็ได้พูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“ก็ถึงรีซาน่าจังเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่หนูดูแล้วเขาก็ทำท่าทางแบบนั้นนั่นแหล่ะค่ะ”
“แล้วพอเธอเห็นรีซาน่าทำท่าแบบนั้นบวกกับที่เธอไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านของรีซาน่าเขาเลยก็เลยบอกไม่ได้ว่ามันจะมีอะไรอันตรายซ่อนอยู่หรือเปล่างั้นสินะ?”
“ก็แบบนั้นนั่นแหล่ะค่ะ เพราะงั้นหนูก็เลยนัดคุณเอริกะมาถามว่าคุณเอริกะจะอนุญาตให้นากาคุงเขาพาโมโกะจังกับเด็กที่ชื่อว่าอีฟไปด้วยหรือเปล่าน่ะ คือถึงหนูจะดูออกก็เถอะว่าในเวลานี้โมโกะจังเขาคงจะขาดนากาคุงไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าพาไปด้วยแล้วมันจะเป็นอันตรายก็คงจะต้องใจแข็งกันบ้างนั่นแหล่ะค่ะ…”
ไดเอน่าที่ดูเหมือนว่าจะปล่อยตัวเต็มที่จนใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า หนู แทนคำว่า ฉัน ตามปกติได้เอ่ยปากถามเอริกะขึ้นมาตรงๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาพร้อมกับพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าราวกับอยากจะบอกว่าในเมื่ออีกฝ่ายอนุญาตให้นากาพาทั้งสองคนไปได้แล้วจะมาถามเธออีกทำไมกัน
“ไหนๆ เธอก็อนุญาตให้นากาคุงเขาพาไปได้แล้วก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี่นา หรือเธอคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรถึงต้องมาถามฉันทีหลังแบบนี้กันล่ะ~?”
“มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แค่ว่าหนูเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาเฉยๆ น่ะ แถมถ้านากาคุงเขาจะต้องออกไปสำรวจข้างนอกแบบนั้นหนูว่าให้โมโกะจังตามไปด้วยก็น่าจะดีกว่าการปล่อยให้โมโกะจังเขาอยู่คนเดียวที่บ้านจริงๆ นั่นแหล่ะค่ะ”
“แต่จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงเรื่องโมโกะนี่… นากาคุงเขาได้บอกเธอหรือยังน่ะว่าโมโกะบอกว่าอยากจะเข้าร่วมกับกลุ่มดอว์นด้วยน่ะ”
“เฮ้อ…”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ และเปลี่ยนไปเป็นการนอนแผ่เอาหน้าไปแนบอยู่กับโต๊ะหินอ่อนแทนก่อนจะพูดพึมพำตอบเอริกะกลับไป
“…เรื่องนั้นนากาคุงเขาบอกหนูเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้วล่ะค่ะ หนูเองก็ไม่รู้ว่าโมโกะจังเขาคิดอะไรอยู่เหมือนกัน… แต่เห็นนากาคุงเขาบอกว่าโมโกะจังไม่อยากจะให้คนรู้จักของตัวเองต้องมาเจออะไรเหมือนกับตัวเองก็เลยอยากจะเข้าร่วมด้วยอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะค่ะ”
“งั้นหรอ… ถ้าโมโกะเขาพูดแบบนั้นงั้นก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะว่าเขาจะทำอะไรเพื่อให้เป้าหมายของตัวเองสำเร็จบ้างน่ะ…”
“ถ้างั้นคุณเอริกะก็เริ่มคิดตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ดีนะคะว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้น่ะ เพราะว่าหนูบอกนากาคุงเขาไปว่าให้เอาเรื่องของโมโกะจังไปขออนุญาตคุณเอริกะดูก่อนแล้วค่อยมาบอกหนูอีกทีน่ะค่ะ”
ไดเอน่าพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องก้มหน้าใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกนิ้วขึ้นไปกดที่ขาแว่นของเธอสองสามครั้งแล้วจึงพูดพึมพำออกมา
“คงจะห้ามเอาไว้ไม่ได้ซะด้วยสิ… ถ้าเอาตามที่แบบจำลองคำนวณออกมามีโอกาสสูงมากที่ถ้าโมโกะถูกห้ามไม่ให้ไปเข้าร่วมกับกลุ่มดอว์นแล้วจะกลับไปปิดใจเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเหมือนเดิมอีกครั้งนึง…”
“ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่ความเสี่ยงงั้นสินะคะ”
“ก็นะ เฮ้อ… ชีวิตมันก็อะไรประมาณนี้นี่แหล่ะ~”
เอริกะถอนหายใจยาวเหยียดออกมาพร้อมกับยืดแขนขาออกไปข้างหน้าจนสุดราวกับว่าเธอกำลังบิดขี้เกียจอยู่โดยไม่สนใจสายตาของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“แล้วอีกอย่างนึงการห้ามไม่ให้พวกเด็กๆ ทำในสิ่งที่อยากทำมันก็ไม่ใช่แนวของฉันซะด้วยสิ ถ้างั้นเรามาลองปล่อยให้พวกเขาทำตามใจตัวเองสักหน่อยดีมั้ยล่ะ ฉันหมายถึงทั้งการเข้าร่วมกลุ่มดอว์นของโมโกะกับการออกไปตามหาอารอนของพวกเขาข้างนอกนั่นน่ะ?”
“ทั้งๆ ที่เราก็ยังบอกไม่ได้ว่าหมู่บ้านของรีซาน่าจังจะมีอะไรแปลกๆ หรือว่าพวกเขาจะไปเจอกับอันตรายอะไรระหว่างทางหรือเปล่าน่ะหรอคะ? ถึงหนูจะอยากเคารพการตัดสินใจของคุณเอริกะก็เถอะ แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้หนูคงจะทำใจให้เห็นด้วยไม่ได้หรอกนะคะ”
“แหม่~ ก็ฉันไม่ได้กะจะให้พวกเขาไปกันตัวเปล่าสักหน่อยนี่ ถ้าโมโกะเขาจะไปกับนากาจริงๆ ฉันก็กะจะเตรียมคนไปทำแผลกับอุปกรณ์พิเศษไปให้พวกเขาอยู่แล้วล่ะ”
“คนกับอุปกรณ์งั้นหรอคะ…?”
คำพูดของเอริกะนั้นได้ให้ไดเอน่าผุดลุกกลับขึ้นมานั่งและเลิกคิ้วถามเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงกังวลใจ เพราะสำหรับกำลังคนนั้นยังพอว่า แต่ว่าสำหรับอุปกรณ์พิเศษที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นต่างหากที่กำลังทำให้เธอรู้สึกกังวลอยู่ เพราะถ้าเกิดว่าทางวังหลวงที่จับจ้องกลุ่มดอว์นด้วยความไม่ชอบใจอยู่แล้วทราบข่าวว่าพวกเธอได้อุปกรณ์จากคุณเอริกะไปเพิ่มอีกก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากขนาดไหนขึ้นมา
ซึ่งสีหน้ายุ่งยากใจของไดเอน่านั้นก็ได้ทำให้เอริกะแทบจะหลุดหัวเราะออกมา
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่าไดเอน่าจัง เอาจริงๆ แล้วมันก็แค่ยูนิตแค่เซตเดียวเองนั่นแหล่ะ ถ้ามีพวกวังหลวงมายุ่มย่ามล่ะก็เธอก็บอกไปเลยว่าให้มาคุยกับฉันเองเลย เพราะว่านับตั้งแต่วันที่โมโกะจังเสียคุณพ่อไปฉันก็เป็นผู้ปกครองของโมโกะจังไปแล้วไงล่ะ”
“ถึงคุณเอริกะจะพูดว่าอย่างงั้นก็เถอะ แต่ว่าของนั่นมันคือยูนิตที่สามารถใช้เป็นอาวุธแทนทหารของพวกวังหลวงได้เลยนะคะ… แล้วก็ไม่ใช่ว่าคุณเอริกะเพิ่งจะทำยูนิตของคอนแนลคุงกับซิลเวสจังที่เป็นคู่แรกของการสอบเสร็จไปเองหรอกหรอคะ เล่นข้ามมาทำให้โมโกะจังที่ยังไม่ได้จะเข้าร่วมกลุ่มก่อนเลยแบบนี้นักเรียนคนอื่นๆ จะไม่โวยวายกันแย่หรอคะนั่น?”
“อ่ะๆ ใครว่ามันคือยูนิตส่วนตัวของโมโกะกันล่ะ ที่ฉันกะจะเอาไปให้โมโกะใช้น่ะมันคือยูนิตเชสเชียร์ของอลิซเขาต่างหากล่ะ”
คำพูดอธิบายของเอริกะนั้นได้ทำให้ไดเอน่ารู้สึกปวดหัวยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก เพราะถึงเธอจะรู้สึกยินดีที่เอริกะตัดสินใจยึดของเล่นไปจากอลิซจนเด็กสาวที่ชอบฝืนตัวเองคนนั้นคงจะออกไปซ่าไม่ได้ไปสักพักหนึ่งก็ตาม แต่มันก็หมายความว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจริงๆ กำลังรบของพวกเธอที่ขาดแคลนอยู่แล้วก็จะต้องหักลบอลิซออกไปด้วย
ซึ่งเอริกะที่พอจะคาดเดาความคิดของเด็กสาวได้ก็ได้พูดขึ้นมาน้ำเสียงที่ออกจะติดตลกอยู่นิดๆ
“หน่าๆ ก็บอกแล้วว่าไงว่าเธอไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นหรอก เพราะถึงจะยังไม่ได้บอกเจ้าตัวเขาก็เถอะแต่ว่าฉันก็เตรียมของเล่นใหม่เอาไว้ให้อลิซเขาแล้วน่ะ~ แล้วอีกอย่างนึงพอโมโกะจังเอายูนิตเชสเชียร์ของอลิซไปใช้ให้คนอื่นเห็นแบบนี้ พวกเขาก็จะได้มั่นใจได้ว่ายูนิตของฉันน่ะขนาดคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วยังไม่หายดีแบบโมโกะจังก็ยังสามารถใช้งานมันได้เลย พวกเด็กนักเรียนคนอื่นๆ เขาจะได้มีกำลังใจกันไงว่าต่อให้บาดเจ็บขนาดไหนถ้ายังมีใจสู้อยู่ก็ลุยต่อได้สบายบรื๋อ”
“เฮ้อ… พูดแบบนั้นก็ฟังดูสมกับที่เป็นคุณเอริกะดีนะคะนั่น ว่าแต่แล้วเรื่องคนที่จะให้พวกนากาคุงพาไปด้วยนี่เป็นใครกันล่ะคะ พอจะบอกหนูตั้งแต่ตอนนี้เลยจะได้หรือเปล่า?”
“อ๋อ~ ก็มีอาที่เป็นฝาแฝดของอาจารย์เทียคนนั้นไง เธอน่าจะเคยเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ ถึงตอนนี้ทางโรงพยาบาลน่าจะยุ่งอยู่กับการรักษาคนเจ็บจากเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่ก็เถอะ แต่ว่าขาดมีอาเขาไปสักคนนึงก็คงจะไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
เอริกะพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยใบหน้ายิ้มร่าเหมือนกับไม่สนใจเลยว่าคนเจ็บในโรงพยาบาลที่ส่วนมากจะเป็นทหารเฝ้ากำแพงเมืองจะรู้สึกยังไง เนื่องจากว่าแต่เดิมแล้วมันก็เป็นความผิดของทหารพวกนั้นส่วนหนึ่งด้วยที่ไม่รู้จักคิดและเอาแต่ฟังคำสั่งของเบื้องบนจนทำให้พากันบาดเจ็บเสียมากมายซะขนาดนั้นทั้งจากแรงระเบิดที่เป็นอาวุธของศัตรูและจากซากกำแพงเมืองที่ถล่มลงมาใส่ ทั้งๆ ที่ถ้าเกิดว่ามีใครคิดได้และบุกออกไปจัดการกับหน่วยยิงระเบิดของศัตรูแบบเดียวกับกลุ่มดอว์นล่ะก็ ความเสียหายและผู้บาดเจ็บของกำแพงเมืองทิศอื่นๆ ก็คงจะไม่มากมายขนาดนี้
ซึ่งไดเอน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังดูใจดีดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเธอ
“แต่เล่นให้มีอาจังเขาออกมาทำภารกิจตอนนี้นี่มันจะไม่ดูใจร้ายไปหน่อยหรอจ๊ะเอริกะ ตอนนี้ที่โรงพยาบาลมีคนเจ็บเยอะจนล้นออกมาจากห้องพักเลยนะ…”
เจ้าของเสียงที่พูดทักเอริกะขึ้นมานั้นก็คือ เรสเนอร์ หญิงสาวผมสีชมพูถักเปียในชุดเกราะอัศวินสีขาวขอบทองที่เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านโมริโกะของนากาเอาไว้นั่นเอง และที่ด้านหลังของเรสเนอร์เองก็มี นิ๊กซ์ซี่ หญิงสาวผมสีน้ำเงินตาสีเขียวที่มีเขาสีดำบนศีรษะที่เป็นลูกทีมของเธออยู่ด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไดเอน่าที่ไม่ได้รู้จักกับเรสเนอร์ก็กลับได้แต่รู้สึกสงสัยและยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามเอริกะเกี่ยวกับบุคคลที่โผล่มาแทรกแซงการพูดคุยของพวกเธอขึ้นมา
“เอ่อ… คนรู้จักของคุณเอริกะหรอคะ?”
“อ๋อ~ ช่ายๆ ฉันลืมบอกไปเลยว่าที่ฉันนัดเธอออกมาคุยข้างนอกนี่เพราะว่าฉันนัดเรสเนอร์เขาเอาไว้ด้วยน่ะ~ คนที่แต่งตัวเหมือนกับอัศวินคนนี้เขาชื่อว่าเรสเนอร์น่ะ ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังนั่นชื่อว่านิ๊กซ์ซี่ พวกเธอเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่เข้าไปสำรวจทะเลมรกตแล้วก็แวะไปที่หมู่บ้านของพวกนากาเขาตอนที่เกิดเรื่องพอดีก็เลยช่วยให้พวกชาวบ้านรอดมาได้เยอะอยู่น่ะ”
“อ๋อ พวกคุณคือกลุ่มอัศวินที่นากาคุงเขาบอกเอาไว้ในรายงานงั้นสินะคะ”
“จ้ะ ตอนนั้นพวกฉันบังเอิญผ่านไปที่หมู่บ้านพอดีน่ะ… แต่ถ้าเกิดว่าพวกฉันรู้ตัวแล้วเข้าไปถึงที่นั่นไวกว่านั้นล่ะก็…”
“อย่าโทษตัวเองไปเลยค่ะเรสเนอร์ กับการโจมตีระดับนั้นน่ะพวกเราช่วยคนได้เท่านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์แล้วนะคะ”
ในขณะที่เรสเนอร์กำลังรำพึงรำพันออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านนิ๊กซ์ซี่ก็ได้พยายามพูดปลอบหญิงสาวผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและหัวหน้าของเธอขึ้นมา อีกทั้งทางด้านเอริกะเองก็ช่วยพูดปลอบใจหญิงสาวผู้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของเธอขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“มันก็ตามที่นิ๊กซ์ซี่จังเขาพูดขึ้นมานั่นแหล่ะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นพวกเธอไม่ได้เตรียมการสำหรับการอพยพคนมาตั้งแต่แรกแต่ก็ยังช่วยอพยพคนหนีออกมาได้เยอะตั้งเท่านั้นก็นับว่าน่าเหลือเชื่อแล้วแหล่ะ”
“หืม? ที่คุณเอริกะพูดแบบนี้นี่หมายความว่าคุณเรสเนอร์ไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างที่คุณเอริกะจ้างวานมางั้นหรอคะ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดปลอบใจของเอริกะนั้นเอง ไดเอน่าที่นั่งฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันมาได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าวิธีที่เอริกะและเรสเนอร์พูดคุยกันนั้นฟังดูไม่เหมือนกับผู้ว่าจ้างและผู้ถูกจ้างเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งตัวเรสเนอร์เองก็ดูไม่เหมือนกับพวกทหารรับจ้างเลยซะด้วยซ้ำจนถ้ามีใครพูดขึ้นมาว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางชั้นสูงเธอก็คงจะหลงเชื่อไป
ซึ่งเรสเนอร์ที่ได้ยินคำถามของไดเอน่านั้นก็ได้ยิ้มพูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทางใจดี
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ กลุ่มของฉันกับนิ๊กซ์ซี่แล้วก็เพื่อนๆ อีกห้าคนเป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างธรรมดาๆ เฉยๆ น่ะ ส่วนมากพวกฉันจะรับงานที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจด้านในทะเลมรกตกันมากกว่า ส่วนเรื่องที่เอริกะเขาเที่ยวไปจ้างทหารรับจ้างมาเยอะขนาดนี้นี่ฉันเองก็เพิ่งจะได้รู้ตอนที่ได้มาเจอกันอีกครั้งนี่แหล่ะจ้ะ”
“ที่บอกว่าเจอกันอีกครั้งนึงนี่หมายความว่าคุณเรสเนอร์เคยรู้จักกับคุณเอริกะเขามาก่อนแล้วหรอคะ?”
“อ่ะ—เอ่อ…”
คำถามของไดเอน่าในคราวนี้นั้นได้ทำให้เรสเนอร์ถึงกับชะงักไปก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านเอริกะเหมือนกับทำตัวไม่ถูก ซึ่งในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนกำลังมองหน้ากันเหมือนกับกำลังตกลงกันว่าจะเอายังไงโดยไร้ซึ่งคำพูดอยู่นั้น ทางด้านนิ๊กซ์ซี่ก็ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดอธิบายให้ไดเอน่าฟังขึ้นมา
“ก็ชื่อเสียงของคุณเอริกะโด่งดังซะขนาดนั้นพวกเราก็เคยได้ยินกันมาบ้างน่ะ แต่เพิ่งจะมารู้ว่าคุณเอริกะเขาจ้างทหารรับจ้างมาใช้งานส่วนตัวเยอะขนาดนี้ก็ตอนได้เจอตัวเป็นๆ นี่แหล่ะ”
“แหม่~ นิ๊กซ์ซี่จังนี่ก็ชมกันเกินไปแล้วนะ~ ว่าแต่แล้วนี่อิกนิสเขาไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรอ ที่ฉันนัดพวกเธอมาวันนี้นี่กะจะพามาแนะนำตัวกับคุณสุดยอดประธานนักเรียนสาวสวยแห่งโรงเรียนรีมินัสเลยนะเนี่ย”
ทันทีที่เอริกะได้ยินคำพูดอธิบายของนิ๊กซ์ซี่นั้นเธอก็ถือโอกาสนี้พูดตามน้ำไปกับอีกฝ่ายพร้อมกับใช้โอกาสนี้ในการพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ไดเอน่าที่รู้จักกับเอริกะมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วพอจะดูออกอยู่บ้างว่านักประดิษฐ์สาวคนนี้ไม่ต้องการที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับเรสเนอร์สักเท่าไหร่เธอจึงยักไหล่กลับไปให้เอริกะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอจะไม่จี้ถามถึงเรื่องนี้ต่อก็ได้
ส่วนทางด้านเรสเนอร์ที่เห็นว่าเอริกะพูดเปลี่ยนเรื่องให้แล้วก็พูดตอบคำถามของเอริกะกลับไปด้วยท่าทีสบายใจ
“ตอนนี้อิกนิสเขาไปที่วังหลวงของเมืองรีมินัสเพื่อขอทำเรื่องให้พวกฉันเดินทางกลับไปที่แพนเทร่าอยู่น่ะจ้ะ”
“เอ๋? แต่ว่าตอนนี้ทางวังหลวงเขาน่าจะปิดไม่ให้ใครเข้าไปติดต่อ— อ่ะ…”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังรู้สึกสงสัยอยู่กับคำพูดของเรสเนอร์อยู่นั้นเอง เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าใครกันที่น่าจะมีอำนาจในการต่อรองกับทางวังหลวงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำเรื่องให้คนต่างแดนอย่างกลุ่มของเรสเนอร์เข้าไปติดต่อกับทางวังหลวงในเวลาแบบนี้ได้
ซึ่งคนคนนั้นก็คงจะไม่พ้นนักประดิษฐ์สาวมากความสามารถอย่างเอริกะที่ในบัดนี้กำลังยิ้มแฉ่งยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นมาชี้แก้มของตัวเองราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กอนุบาลจนทำให้ไดเอน่าได้แต่ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“เฮ้อ… หนูคงจะผิดเองแหล่ะที่คิดสงสัยเรื่องนี้น่ะ…”
“แหม่ๆ อย่าพูดอย่างงั้นสิไดเอน่าจัง~ แต่ก็นะ เพราะเรื่องที่เรสเนอร์เขาว่ามานั่นแหล่ะฉันถึงได้นัดเธอออกมาเจอกันข้างนอกแบบนี้น่ะ อ่ะนี่จ้ะ เรสเนอร์ เอกสารที่อิกนิสเขาน่าจะต้องใช้น่ะ~”
เอริกะที่ยังคงยิ้มแป้นอยู่ได้ล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอและหยิบเอาซองเอกสารขนาดใหญ่พอประมาณที่ดูแล้วเธอไม่น่าจะเก็บมันเอาไว้ภายใต้เสื้อกาวน์ได้เลยออกมายื่นให้กับเรสเนอร์ด้วยท่าทีชื่นบาน
ซึ่งเรสเนอร์ที่ได้รับมันไปนั้นก็ได้ยื่นมันไปให้กับนิ๊กซ์ซี่อีกต่อหนึ่งพร้อมกับพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวของเธอจนทำให้ให้นิ๊กซ์ซี่ต้องรีบรับซองเอกสารไปและวิ่งตรงหายไปทางวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านไดเอน่าเองก็ได้แต่มองไล่หลังนิ๊กซ์ซี่และซองเอกสารในมือของหญิงสาวไปด้วยสายตาแปลกๆ พร้อมกับเอ่ยปากพูดพึมพำออกมา
“หนูว่าการที่คนคนนึงมีความสำคัญขนาดที่ว่าสามารถสั่งให้ทางวังหลวงทำแม้แต่ในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำได้แบบนี้นี่มันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่เลยนะคะ…”
“ถ้าคิดตามปกติแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ นั่นแหล่ะจ้ะ…”
ทางด้านเรสเนอร์เองที่ได้ยินคำพูดพึมพำของไดเอน่าเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความกังวลด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ถึงอย่างงั้นทางด้านเอริกะที่ตกเป็นเป้าของความเป็นห่วงนั้นก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“พวกเธอคิดมากกันเกินไปแล้วน่า~ ว่าแต่ไหนๆ ก็เสร็จธุระกันแล้วพวกเราไปหาอะไรกินกันสักหน่อยดีมั้ยเอ่ย พวกเธอจะได้มีเวลาพูดคุยทำความรู้จักกันด้วยไง~”
“ถึงหนูจะอยากไปด้วยแต่คงจะต้องขอปฏิเสธล่ะค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวหนูจะต้องกลับไปทำเอกสารขออนุญาตส่งนักเรียนออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ส่งท่านผู้อำนวยการเขาด้วยน่ะ ถ้าเกิดว่าท่านผู้อำนวยการไม่มีเวลาได้เตรียมใจก่อนพวกนากาคุงจะออกเดินทางมีหวังหนูโดนบ่นจนหูชาแน่เลย”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังพูดปฏิเสธคำเชิญของเอริกะออกมาอยู่นั้นเอง สายตาของเธอก็แอบลอบมองสำรวจดูชุดเกราะของเรสเนอร์ไปด้วย ซึ่งเธอก็ได้พบว่าตัวชุดเกราะสีขาวขอบสีทองประดับด้วยผ้าคลุมแดงที่อีกฝ่ายสวมใส่เอาไว้นั้นไม่ได้ตรงหรือว่าคล้ายกับเครื่องแบบอัศวินของเมืองไหนๆ ที่เธอรู้จักเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กลับรู้สึกคุ้นตาเธออย่างบอกไม่ถูก
ซึ่งในขณะที่ไดเอน่ากำลังมองสำรวจดูชุดเกราะของเรสเนอร์อยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่สังเกตเห็นการกระทำของไดเอน่าเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเพื่อพยายามดึงความสนใจของเด็กสาวออกไปจากเพื่อนเก่าของเธอ
“เห~ แต่ท่านผู้อำนวยการคนนั้นเขาคงจะไม่ดุนักเรียนที่แสนน่ารักของตัวเองแบบนั้นหรอกมั้ง~”
“ก็เพราะว่าท่านผู้อำนวยการเขาไม่เคยดุใครมาก่อนหนูก็เลยไม่อยากจะเป็นคนแรกที่ถูกดุไงล่ะคะ ถ้ายังไงหนูขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะคุณเรสเนอร์ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปตามคำเชิญนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แล้วก็เรียกฉันแค่ว่าเรสเนอร์เฉยๆ ได้เลยนะจ๊ะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะเรสเนอร์”
ไดเอน่าค้อมหัวพูดตอบเรสเนอร์กลับไปก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินจากไปในทันที
และเมื่อไดเอน่าเดินจากไปจนลับสายตาแล้ว เรสเนอร์ที่มองไล่หลังไดเอน่าไปด้วยแววตาเหมือนกับจะกังวลใจอะไรบางอย่างก็ได้เอ่ยปากพูดถามเอริกะขึ้นมาเบาๆ
“…เธอคิดว่าเด็กคนนั้นเขาจะรู้ตัวหรือเปล่าน่ะเอริกะ ฉันเห็นเขามองสำรวจชุดเกราะของฉันใหญ่เลยนะ”
“หมายถึงรู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่หรือเปล่าน่ะหรอ? ต่อให้เป็นไดเอน่าจังเขาก็น่าจะไม่รู้จักชุดเกราะของเธอหรอกล่ะมั้งเพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาใช้กันแล้วนี่… อ่ะ— แต่ว่าไดเอน่าจังเขาเป็นลูกหลานเหลนโหลนของแม๊กซ์ซิสเขานี่นา… ถ้างั้นก็อาจจะรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้างก็ได้ล่ะมั้ง ไม่รู้สิ”
เอริกะยักไหล่พูดตอบเรสเนอร์กลับไปด้วยท่าทีเหมือนกับว่าไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ในขณะที่เรสเนอร์เองก็ได้ทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไดเอน่านั่งอยู่เมื่อสักครู่นี้จนทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะลดเสียงของเธอลงและพูดถามเข้าเรื่องขึ้นมา
“ว่าแต่เรื่องที่ฉันฝากเธอไปถามพวกชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะนี่ได้ความว่าไงบ้างล่ะ?”
“ไม่ได้เรื่องอะไรเลยค่ะ เอาจริงๆ พวกเขาบอกว่าที่หมู่บ้านไม่มีเด็กผู้หญิงผมสีขาวสักคนนึงเลยซะด้วยซ้ำ ส่วนพวกเด็กๆ คนอื่นๆ เองก็รอดออกมาจากหมู่บ้านกันได้ทุกคนเลยด้วย ถึงพ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขาส่วนมากจะหนีออกมากันไม่ทันก็เถอะ…”
“งั้นหรอ… แต่ถ้าพวกเด็กๆ รอดออกมากันทุกคนแบบนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าอีฟจังเขาช๊อกมากจนผมกลายเป็นสีขาวก็คงจะต้องปัดตกไปก่อน… แต่เรื่องจะตามหายังไงต่อนี่เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็แล้วกัน ขอบใจมากนะเรสเนอร์~”
“…นี่เธอตั้งใจจะตามหาครอบครัวของเด็กคนนั้นจริงๆ หรือเปล่าเนี่ยคะเอริกะ?”
คำพูดตอบกลับแบบขอไปทีของเอริกะนั้นได้ทำให้เรสเนอร์ถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะพูดถามเพื่อนของเธอกลับไป ซึ่งคำถามที่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงตำหนินั้นก็ทำให้เอริกะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบพูดแก้ตัวออกมาในทันที
“ม–มันก็แน่อยู่แล้วสิ! แต่ฉันก็แค่คิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้นแล้วปล่อยให้อีฟจังเขาอยู่ฟื้นตัวกับพวกนากากับโมโกะไปอีกสักพักนึงมันก็อาจจะดีกว่าก็ได้เฉยๆ น่ะ เธอก็เห็นไม่ใช่หรอว่าหลังจากที่พวกเขารับอีฟจังไปอยู่ด้วยแล้วพวกเขาก็อาการดีขึ้นไวขนาดไหนน่ะ”
“นั่นสินะ… มันก็พอเข้าใจได้อยู่แหล่ะจ้ะ แต่ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ เธอก็ไปเจอครอบครัวของเด็กคนนั้นขึ้นมาเธอจะทำยังไงล่ะ?”
“ก็… อาจจะปิดเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนสักพักนึงล่ะมั้ง… อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าพวกนากาคุงเขาจะทำใจกันได้อ่ะ เพราะจะให้ฉันแยกพวกเขาออกจากกันในทันทีก็คงจะทำไม่ลงเหมือนกัน…”
เอริกะที่ถูกเรสเนอร์พูดถามขึ้นมาตรงๆ แบบนั้นได้แต่พูดตอบอีกฝ่ายกลับไปแบบอ้อมๆ แอ้มๆ เหมือนกับว่าตัดสินใจได้ไม่เด็ดขาดแตกต่างจากท่าทีปกติของเธออย่างสิ้นเชิง ซึ่งท่าทางของเอริกะที่เป็นแบบนั้นก็ทำให้เรสเนอร์ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะว่าเธอเองก็พอจะเข้าใจในความลำบากใจที่เอริกะต้องเผชิญอยู่บ้าง
“ถึงฉันจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าฉันด้วยกับการตัดสินใจของเธอ แต่ว่ามันก็ดูเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วล่ะจ้ะ… ถ้ายังไงเดี๋ยวระหว่างที่รอทางวังหลวงของที่นี่อนุมัติเรื่องการเดินทางฉันจะช่วยเธอหาข้อมูลจากพวกชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะให้ก็ละกัน เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ดูเป็นมิตรกับฉันมากกว่ากับพวกทหารของเมืองรีมินัสที่เป็นคนเอาเสบียงไปให้อยู่พอสมควรน่ะ”
“ก็เธอเป็นคนไปช่วยพวกเขาเอาไว้นี่นา แล้วป่านนี้พวกเขาก็คงจะรู้กันหมดแล้วล่ะว่าพวกทหารของเมืองรีมินัสไม่ยอมแบ่งกำลังคนออกไปช่วยใครเลยทั้งๆ ที่น่าจะสามารถทำได้ง่ายๆ น่ะ”
เอริกะพูดตอบเรสเนอร์กลับไปอีกครั้งหนึ่งพลางฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะหินอ่อนอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงเงยหน้ากลับขึ้นมาพูดถามเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งของเธออย่างเรสเนอร์ขึ้นมาตรงๆ
“แต่เรื่องดูแลพวกชาวบ้านนี่เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปดูแลพวกเขาเองก็ได้นะเรสเนอร์ เมื่อตอนนั้นเธอบอกว่าอยากจะอยู่เงียบๆ ก็เลยแยกตัวออกไปคนเดียวแล้วตัดการติดต่อกับคนอื่นๆ ไปเลยไม่ใช่หรอ ถ้าเธอกลับมาออกหน้าช่วยงานพวกฉันแบบนี้มันจะไม่เป็นการชี้เป้าใส่ตัวเองหรอกหรอ…”
“เธอไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ เรื่องของฉันมันก็ผ่านมาตั้งนานจนไม่น่าจะมีใครจำได้แล้วล่ะ… ถือซะว่าพวกฉันว่างๆ ก็เลยอยากจะหาอะไรที่มีประโยชน์ทำบ้างก็แล้วกันนะ”
เรสเนอร์พูดอธิบายขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือออกไปแตะมือของเอริกะพร้อมกับเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าต้องการจะให้กำลังใจ ซึ่งการกระทำของเรสเนอร์นั้นก็ได้ทำให้เอริกะซุกหน้าลงไปกับแขนเสื้อด้วยท่าทีอ่อนแอแบบที่เธอไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อนพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่แทบจะฟังไม่รู้เรื่อง
“ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็แค่ง่ายๆ อย่างการส่งทหารของตัวเองออกไปช่วยเหลือคนอื่นแท้ๆ ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงคิดไม่ได้กันนะ… ถ้ามีกำลังคนขนาดจะเอามาปิดเมืองเล่นๆ ทุกทางเข้าออกได้แบบนี้ทำไมถึงไม่ยอมแบ่งคนออกไปช่วยเหลือคนอื่นเขาตั้งแต่แรกกันเล่า…”
“ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นแบบนั้นฉันก็เลยทำใจช่วยเหลือพวกเขาเต็มที่แบบเธอไม่ลงยังไงล่ะคะ… แต่ฉันว่าแทนที่เธอจะเอาเวลามาคิดเรื่องนี้ เธอเอาเวลาไปคิดเรื่องอนาคตของพวกชาวบ้านที่อพยพมาอยู่แถวๆ นี้น่าจะดีกว่านะจ๊ะ เพราะท่าทางว่าทุกๆ เมืองจะไม่รู้วิธีการรับมือกับผู้อพยพจำนวนมากซะด้วยสิ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ฉันเคยเสนอวิธีการรับมือเผื่อในสถานการณ์แบบนี้ไปให้เมืองต่างๆ มาตั้งนานแล้ว… ที่เหลือก็แค่รอดูว่าเจ้าพวกนั้นจะเอาไปปรับใช้งานในสถานการณ์จริงกันยังไงเท่านั้นแหล่ะ… แต่ดูแล้วก็คงจะไม่แคล้วเหลวเป๋วจนล้มระเนระนาดไปกันจนหมดทุกเมืองเหมือนกับที่อากาเนะเขาเคยทำนายเอาไว้นั่นแหล่ะมั้ง…”
“หรือก็คือต่อให้หลังจากนี้พวกหัวหน้าเขาจะไม่ลงมือทำอะไร แต่ทุกอย่างก็คงจะเป็นไปตามเป้าหมายของพวกเขาแล้วสินะคะ”
เรสเนอร์พูดพึมพำตอบเอริกะกลับไปเบาๆ พลางลูบมือของอีกฝ่ายไปด้วยเหมือนกับว่าอยากจะให้กำลังใจ แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจของเธอก็กลับหวังอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันคืนแห่งโชคชะตาที่เลยผ่านมาแล้วนานแสนนานนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันอันแสนยาวนาน และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็จะได้พบว่าทุกอย่างยังคงสงบสุขดั่งเช่นวันวานที่ทุกคนยังคงอยู่พร้อมหน้ากันก็ตามที