Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 135 : Borrowed Peace
“นี่เธอเอาของที่กินลงไปไปไว้ไหนหมดเนี่ยอีฟ…”
“นั่นสิ…”
“……?”
หลังจากที่มื้ออาหารขนาดใหญ่ราวกับการจัดงานเลี้ยงที่คอนแนลขนออกมาจากห้องครัวผ่านพ้นไปแล้ว นากาและโมโกะก็ได้แต่จ้องมองอีฟที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาด้วยความงงงวยกับปริมาณอาหารที่เด็กสาวสามารถยัดเข้าไปในร่างเล็กๆ ของเธอได้
เพราะถึงแม้ว่าในตอนแรกที่พวกเขาเห็นปริมาณอาหารจำนวนมากที่คอนแนลทำมาแล้วพวกเขาจะหน้าซีดไปเพราะว่าพวกเขาเพิ่งจะทานข้าวกับเอริกะมาก็ตาม แต่ว่าหลังจากที่อีฟกระตุกชายเสื้อของนากาและโมโกะสลับกันไปกันมาเรื่อยๆ เพื่อขอให้ป้อนอาหารให้อยู่สักพักหนึ่งแล้ว ปริมาณอาหารที่เหลืออยู่ก็ลดลงด้วยความรวดเร็วอย่างน่าใจหายจนหมดไปภายในพริบตาโดยที่ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้แตะต้องอะไรเลย
และหลังจากที่พวกเขาจัดการข้าวกลางวันก็ไม่ใช่ข้าวเย็นก็ไม่เชิงของคอนแนลเป็นที่เรียบร้อยแล้วนากาก็ได้เดินตรงไปที่ห้องนอนของเขาเพื่อจัดการเตรียมเสื้อผ้าเพื่อที่จะได้ไปนอนเป็นเพื่อนโมโกะที่ห้องของเธอเหมือนกับทุกวัน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องชะงักไปก่อนที่จะได้ก้าวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้าซะด้วยซ้ำ เมื่อเขาได้พบว่าโมโกะและอีฟได้เดินเข้ามาภายในด้วยทั้งๆ ที่เขาบอกให้พวกเธอรออยู่ข้างนอกไปแล้ว
“วันนี้เธอจะนอนที่นี่หรอโมโกะ?”
“อ…อื้อ… มะ…ไม่ได้หรอ…?”
“ก็ต้องได้อยู่แล้วสิ”
นากาพูดตอบโมโกะกลับไปพร้อมกับยกมือขึ้นไปลูบหัวของเธอเบาๆ ก่อนจะพูดถามเรื่องเกี่ยวกับดวงตาของเธอขึ้นมา
“ว่าแต่ตาข้างนั้นของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะโมโกะ? พวกเอริกะกับคาร์เทียร์เขาได้พูดอะไรบ้างมั้ย?”
“มันก็ยังพอมองเห็นอยู่บ้างแหล่ะ… แค่ว่ามันเบลอไปหมดจนมองไม่ชัดเท่านั้นเอง…”
“เจ็บหรือเปล่า…?”
“ไม่หรอก…”
โมโกะเอ่ยปากพูดตอบนากากลับไปพร้อมกับจับมือของนากาที่ลูบหัวของเธออยู่ลงมาเพื่อใช้แก้มของเธอคลอเคลียกับฝ่ามือของเขาราวกับลูกแมวตัวน้อย
“ตอนนี้ไม่รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ…”
“จริงหรอ?”
“อื้ม…”
โมโกะพูดตอบนากากลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเพียงเล็กน้อยจนเขาแทบจะไม่สังเกตเห็น แต่ว่ามันก็ทำให้นาการู้สึกโล่งใจขึ้นมามากที่เพื่อนสาวหูแมวของเขาสามารถแสดงอารมณ์ด้านบวกออกมาได้บ้างแล้ว
“ถ้าฉันมานอนด้วยแบบนี้จะรบกวนนายหรือเปล่า…?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า… ตอนนี้ถ้ามีอะไรที่เธอทำแล้วรู้สึกสบายใจก็ทำไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”
“อื้ม…”
คำตอบของนากาได้ทำให้โมโกะซุกหน้าเข้ากับอ้อมแขนของเขาอย่างเงียบๆ ในขณะที่ทางด้านอีฟที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้นก็เริ่มที่จะซนไปทั่วห้องของนากาโดยการเปิดตู้เสื้อผ้าและกระโดดเข้าไปสำรวจด้านในด้วยความสนใจเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนที่นากาจะได้พูดดุเธอออกมา โมโกะที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ได้เอ่ยปากเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเสียก่อน
“นี่นากา…”
“หืม? ว่าไง”
“ฉันตัดสินใจแล้ว… ว่าฉันเองก็จะเข้าร่วมกลุ่มดอว์นกับนายด้วย…”
“……..”
คำพูดของโมโกะก็ได้ทำให้นากาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่ทั้งสองคนจะจ้องมองกันอย่างเงียบๆ สักพักหนึ่งจนในที่สุดแล้วนากาก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเองเพื่อยืนยันความคิดของเธอ
“เธอแน่ใจแล้วหรอ…? งานของกลุ่มดอว์นมันอันตรายมากเลยนะ แถมทางเมืองเองก็ยังทำท่าเหมือนกับว่าจะไม่ยอมให้ความร่วมมืออะไรสักเท่าไหร่เลยซะด้วยซ้ำ…”
“ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องไปช่วยด้วยยังไงล่ะ… ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบวันนั้นเกิดขึ้นที่อื่นอีกโดยที่ไม่มีใครยอมทำอะไรอีกแล้ว… ไม่ใช่ต่อหน้าฉันแน่ๆ ล่ะ…”
“งั้นหรอ… ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปบอกไดเอน่าให้ตอนที่เขากลับมาแล้วก็ละกัน แล้วระหว่างนี้ถ้าเธอเปลี่ยนใจก่อนก็อย่าลืมมาบอกฉันล่ะ”
“อื้อ…”
โมโกะพูดตอบนากากลับไปเบาๆ และซุกหน้ากลับลงไปในอ้อมแขนของนากาก่อนที่ทันใดนั้นเองทั้งสองคนจะต้องชะงักไปเมื่ออยู่ดีๆ อีฟที่เดินสำรวจห้องของนากาอยู่จะเดินเข้ามากระตุกแขนเสื้อของนากาพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างออกมาให้เขาดู
“หืม? มีอะไรหรออีฟ?”
“กล่องนั่นมัน… ของขวัญวันเกิดของยัยพรีมูล่าที่พวกเราไปช่วยกันเลือกมาเมื่อตอนนั้นนี่…”
สิ่งที่อยู่บนมือของอีฟนั้นก็คือกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้นากากับโมโกะไปช่วยกันเลือกมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของพรีมูล่าที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ที่พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสได้จัดมันอีกต่อไปแล้วนั่นเอง
“………….”
ตัวตนของกล่องของขวัญใบน้อยที่พวกเขาลืมมันไปเสียสนิทได้ทำให้ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่นากาจะยื่นมือไปหยิบมันมาจากอุ้งมือของอีฟและตัดสินใจที่จะแกะห่อของขวัญชิ้นน้อยออกเพื่อหยิบเอาสร้อยคอเส้นเล็กๆ ที่มีแท่งคริสตัลสีใสกระจ่างราวกับก้อนน้ำแข็งสีใสบริสุทธิ์ห้อยอยู่ออกมาพร้อมกับพูดพึมพำออกมาด้วย
“ตอนนั้นพวกเราก็อุตส่าห์หาเลือกก้อนคริสตัลใสๆ แบบนี้กันแทบตาย… แล้วยัยนั่นก็ดันมาชิงจากไปก่อนจะได้เอาให้ซะได้… เฮ้อ… เอาไงดีล่ะ เธอจะเก็บเอาไว้มั้ยล่ะโมโกะ”
“ไม่ล่ะ… เชยจะตายไป… สีใสๆ ไม่มีลายอะไรเลยแบบนี้ไม่รู้ว่ายัยตัวแสบนั่นชอบเข้าไปได้ยังไง…”
“ถ้างั้นแล้วจะเอาไงดีล่ะเนี่ย…”
ท่าทางของโมโกะที่ไม่มีท่าทีว่าจะอยากได้สร้อยแสนสวยในความคิดของใครบางคนไปเลยนั้นทำให้นากาต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนที่ทันใดนั้นเองอีฟที่ถูกแย่งกล่องของขวัญไปจะชะโงกหน้าเข้ามาดูตัวสร้อยที่นากาหยิบออกมาจากกล่องด้วยความสนอกสนใจจนทำให้นากาตัดสินใจที่จะลองเอ่ยปากถามโมโกะขึ้นมา
“นี่โมโกะ… ถ้าฉันจะให้สร้อยนี่กับอีฟเขาไปเธอจะว่าอะไรหรือเปล่าน่ะ”
“เรื่องนั้นก็แล้วแต่นายเลยก็แล้วกัน…”
“เธอไม่ว่าอะไรแน่ๆ นะ?”
“อื้ม… อย่างน้อยๆ มันก็คงจะดีกว่าการทิ้งมันเอาไว้เฉยๆ จริงมั้ยล่ะ…”
“นั่นสินะ… ถ้างั้นเธอหันมานี่หน่อยสิอีฟ”
นากาพยักพูดตอบโมโกะกลับไปก่อนที่เขาจะหันไปทางอีฟและปลดตะขอของสร้อยคอออกเพื่อที่จะได้สวมใส่มันให้กับเธอ
แต่ว่าก่อนที่เขาจะปลดมันได้สำเร็จนั้นทางด้านอีฟก็กลับอ้าปากและยื่นหน้าตรงไปยังตัวคริสตัลบนสร้อยคอราวกับว่าเธอจะกินมันเข้าไปจนทำให้โมโกะต้องรีบร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นมันไม่ใช่ของกินนะ…”
“…….?”
“ฮะฮะ อีฟเขาเห็นอะไรใหม่ก็เอาใส่ปากก่อนตั้งแต่ตอนที่ฉันเจอตัวแล้วล่ะ หลังจากนี้ไปก็คงจะต้องสอนกันอีกยาวเลยล่ะมั้ง… เอ้า มานี่มา”
นากาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับท่าทางไร้เดียงสาของอีฟและจับตัวเธอเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะสวมสร้อยคอคริสตัลให้กับเธอและหันไปพูดถามโมโกะที่อยู่ข้างๆ กันขึ้นมา
“เธอคิดว่าไงบ้างล่ะ?”
“ก็ไม่แย่นะ… แต่ปกติเด็กตัวแค่นี้เขาคงไม่ใส่เครื่องประดับแบบนี้กันหรอกมั้ง…”
“นั่นสินะ แล้วเธอว่าไงบ้างล่ะอีฟ? ถ้าเธอรำคาญหรือว่าไม่ชอบมันล่ะก็เดี๋ยวฉันจะถอดให้ก็แล้วกันนะ”
“……!!”
คำพูดของนากาได้ทำอีฟสะบัดหน้าไปมาอย่างรวดเร็วและใช้มือทั้งสองข้างกุมสร้อยคอคริสตัลเอาไว้และยื่นมันออกห่างจากนากาไปจนสุดเท่าที่ตัวสร้อยคอจะยืดได้จนทำให้นากาหลุดยิ้มออกมา
“งั้นเอาไว้ถ้าเกิดเธออยากถอดมันเมื่อไหร่ก็มาบอกฉันหรือไม่ก็โมโกะก็แล้วกันนะ”
“……..”
อีฟพยักหน้าตอบนากากลับไปทีหนึ่งก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาด้วยท่าทีงัวเงีย และนั่นก็ทำให้นากายื่นมือออกไปลูบหัวของอีฟเบาๆ แล้วจึงเดินจูงมือเธอไปยังเตียงนอนของเขา
และในทันทีที่อีฟกระโดดลงไปนอนบนเตียงนั้นเองเธอก็ได้ผล็อยหลับไปในพริบตาจนทำให้โมโกะอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“หลับไปแล้วแหะ…”
“เด็กๆ ก็งี้แหล่ะ…มั้ง… แต่เอาเป็นว่าพวกเราเองก็พักกันบ้างเถอะ”
“อื้อ…”
โมโกะพยักหน้าตอบนากากลับไปก่อนที่ทั้งสองคนจะปีนขึ้นไปนอนข้างๆ อีฟฝั่งละคนจนดูราวกับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้อ… พวกเด็กๆ เขานี่ก็น๊า~ ถึงอีฟจังเขาจะค่อนข้างว่านอนสอนง่ายกว่าเด็กทั่วๆ ไปอยู่พอสมควรก็เถอะ แต่ว่ายังไงฉันก็ไม่ถูกกับเด็กเล็กแบบนั้นจริงๆ นั่นแหล่ะ~”
ในขณะเดียวกันกับที่นากา โมโกะ และอีฟเพิ่งจะนอนหลับไปกันนั้นเอง ทางด้านเอริกะก็ได้ละสายตาออกมาจากอุปกรณ์ของเธอที่มีลักษณะเหมือนกับกระเป๋าพับโลหะที่เธอวางเอาไว้บนโต๊ะทำงานเพื่อหันไปพูดกับนิลิมที่ยืนอยู่ข้างๆ กันขึ้นมา
แต่ว่าก่อนที่นิลิมจะได้พูดตอบอะไรกลับไปก็ได้มีเสียงของเซซิเรียดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเอริกะที่เธอวางทิ้งเอาไว้ข้างๆ กันเข้าเสียก่อน
“แต่ทั้งๆ ที่เธอบ่นอย่างงั้นเธอก็ยังเก็บเด็กนั่นเอาไว้อีกนะ ถ้าเธอเกลียดเด็กจริงๆ ล่ะก็ทำไมเธอไม่เอาไปปล่อยให้พวกชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะเขาเลี้ยงดูกันเองไปเลยล่ะ”
“แหม่~ ก็นากาคุงเขาเป็นคนเอ่ยปากบอกว่าจะขอรับอีฟจังไปเลี้ยงด้วยตัวเองเลยนี่นา~ แถมเขายังรับปากด้วยว่าจะยอมส่งหนูอีฟคืนครอบครัวแท้ๆ ถ้าเกิดว่าหาตัวเจอด้วยนะ เพราะงั้นมันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี่นา~”
“นากาคุง…”
นิลิมที่ได้ยินสิ่งที่เอริกะพูดออกมาได้พูดชื่อของลูกชายของเธอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เพราะว่าตัวเธอที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นรู้ดีว่าการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งมันยากเย็นแค่ไหน
ซึ่งน้ำเสียงเป็นห่วงของนิลิมนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องหาเรื่องเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาเพื่อไม่ให้คุณแม่ลูกสองที่ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยไปมากคนนี้ต้องกังวลจนเกินเหตุไปเสียก่อน
“ว่าแต่ตอนนี้สถานการณ์รอบๆ เขตรีมินัสเป็นยังไงบ้างล่ะนิลิม?”
“ก็… จะบอกว่าเรียบร้อยทุกอย่างมันก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เพราะตอนนี้ที่พวกชาวบ้านเขาทำกันได้ก็มีแค่การตั้งเต็นท์พักอาศัยกันอยู่ที่ทุ่งหญ้าทางตะวันออกเฉียงเหนือกันเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนกันดีน่ะ”
“งั้นตอนนี้ตรงแถวนั้นก็แทบจะกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไปแล้วงั้นสินะ…”
คำพูดของนิลิมได้ทำให้เซซิเรียที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเครื่องมือสื่อสารที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดอธิบายออกมาให้ทั้งสองคนฟัง
“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็พอจะเดาแผนการของพวกนั้นได้แล้วล่ะ พวกนั้นทำลายหมู่บ้านต่างๆ จนไม่เหลือซากทำให้พวกคนที่รอดมาได้ได้แต่หวังไปพึ่งเมืองหลวงที่อยู่ใกล้ๆ …. แต่ก็อย่างที่พวกเรารู้กันว่าวังหลวงของแต่ละเมืองขี้เหนียวกันขนาดไหน เพราะงั้นก็แน่นอนว่าที่พักที่ทางเมืองจัดให้ต้องไม่พออยู่แล้วจนผู้รอดชีวิตต้องมาจับกลุ่มพึ่งพาอาศัยกันเอง…”
เมื่อเอริกะพูดมาถึงตรงนี้เธอก็เริ่มที่จะหมุนเก้าอี้ของเธอเล่นไปมาราวกับว่าอยากจะระบายความเครียดพร้อมกับพูดอธิบายออกมาต่อไปด้วย
“อื้มมมม… แล้วพอคนที่ไม่คุ้นเคยกันต้องมาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันแบบนั้นก็แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ให้ความร่วมมือกันเท่าที่ควรสักเท่าไหร่ และที่มั่นใจได้แน่ๆ เลยก็คือว่าวังหลวงของแต่ละเมืองน่าจะเจียดเสบียงออกมาให้แค่ส่วนเดียวเพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระของตัวเองให้แค่นี้ก็ใจดีมากแล้ว… แล้วพออาหารขาดแคลนแบบนั้นก็แน่นอนว่าจะต้องมีคนล้มป่วย แล้วพอมีคนป่วยก็จะต้องมีคนตายเพิ่มขึ้น… พอมีคนตายเยอะๆ เข้าก็ตามมาด้วยโรคระบาด พอมีโรคระบาดแล้วสุดท้ายก็ ตู้ม คนที่เหลือรอดอยู่ตายกันหมด แถมเผลอๆ โรคมันอาจจะลามไปสร้างความลำบากให้กับแต่ละเมืองจนประหยัดแรงเจ้าพวกนั้นไปหน่อยด้วย… ถึงจะไม่อยากชมเจ้าพวกนั้นแต่ก็เรียกได้ว่าแผนของพวกนั้นมันแทบจะไร้ที่ติจริงๆ นั่นแหล่ะ”
ทันทีที่เอริกะพูดออกมาจนจบเธอก็หยุดเก้าอี้ของตัวเองที่กำลังหมุนด้วยความเร็วที่ดูน่าหวาดเสียวและหันไปเคาะลงบนแป้มพิมพ์ของอุปกรณ์ที่หน้าตาเหมือนกระเป๋าพับของเธออย่างต่อเนื่อง ส่วนทางด้านนิลิมที่ได้ยินคำพูดอธิบายยาวเหยียดของเอริกะเข้าไปแล้วก็ได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับกัดฟันพูดออกมาเบาๆ
“นี่พวกเราทำได้แค่นี้เองหรอ…”
“ใช่แล้วล่ะ ทั้งหมดที่ฉันกับเอริกะพยายามทำกันมาไม่ว่าจะเป็นพวกกองกำลังทหารรับจ้าง การสนับสนุนงานวิจัยของเมืองต่างๆ หรือแม้แต่การกระโดดเข้าไปขัดขวางแผนการของพวกนั้นโดยตรงนั่น… สุดท้ายมันก็ทำได้แค่เพิ่มจำนวนผู้รอดชีวิตจากแผนการของยัยพวกนั้นมาแค่นิดเดียวอย่างที่เห็นนั่นล่ะ”
เซซิเรียที่ยังคงอยู่ในสายการสื่อสารได้พูดขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเธอก็ยังคงไม่มีความท้อแท้เจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยเพราะเธอตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะต้องหยุดแผนการของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมให้ได้ตั้งแต่ตอนที่เธอได้เจอกับเด็กสาวเมื่อคราวก่อน และในครั้งนี้ก็เป็นเพียงความพ่ายแพ้ในศึกแรกเท่านั้น พวกเธอยังคงมีโอกาสในศึกต่อๆ ไปเหลือให้คาดหวังได้อยู่
ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้เอ่ยปากพูดตามขึ้นมาตรงๆ ด้วยอีกคนหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าพวกเธอจะดูเหมือนแพ้ยับเยินแบบนี้ตั้งแต่ศึกแรกก็ตาม แต่ว่าด้วยการแทรกแซงของใครบางคนที่ไม่มีตัวหมากใดๆ ที่เต้นอยู่บนกระดานหมากนี้คาดถึงก็ทำให้สถานการณ์ที่ควรจะเลวร้ายชนิดดิ่งลงเหวเปลี่ยนแปลงไปมาก
“ถึงพวกเราจะดูเหมือนแพ้ยับเยินตัวถลอกปลอกเปิกตั้งแต่ยกแรกแบบนี้ก็เถอะนะ… แต่ฉันขอบอกตรงๆ เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนที่หมู่บ้านโมริโกะนั่นก็ทำให้แผนการของพวกนั้นรวนไปพอสมควรเลยล่ะ”
“แต่นั่นมันก็ต้องแลกมากับชีวิตของอารอนแล้วก็ผู้ช่วยของเขาไม่ใช่หรือไง…?”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้เซซิเรียต้องพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เพราะถึงแม้ว่าอารอนจะตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือเอริกะในครั้งนี้จนต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาก็ตาม แต่ว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาอารอนได้ถอนตัวออกไปจากกลุ่มของพวกเธอเพื่อหลบซ่อนตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ หลังจากที่เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นในอดีตและแทบจะไม่ได้โผล่กลับมายุ่งเกี่ยวกับพวกเธอหรือว่ากลุ่มของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่เขาโผล่มาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ยุ่งยากผิดคาดและมีแค่เขาคนเดียวที่สามารถทำได้ตามคำขอของเอริกะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของพวกเธอ
ซึ่งคำพูดของเซซิเรียนั้นก็ได้ทำให้นิลิมต้องก้มหน้าลงต่ำ เพราะว่าที่ผ่านมาเธอเคยรบกวนอารอนเอาไว้มากตามคำขอของเอริกะที่เคยขอร้องให้อารอนมาช่วยเหลือเธอ
แต่ว่าทันใดนั้นเองนิลิมก็ต้องเงยหน้ากลับขึ้นมามองเอริกะด้วยความตกใจในสิ่งที่นักประดิษฐ์สาวที่เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของอารอนพูดขึ้นมา
“ถ้าเรื่องอารอนล่ะก็พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกหน่า~ อย่างอารอนเขาน่ะไม่ยอมตายง่ายๆ ด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะ~”
“….!”
คำพูดของเอริกะได้ทำให้นิลิมได้แต่จ้องมองนักประดิษฐ์สาวด้วยความแปลกใจในสิ่งที่เธอได้ยิน ซึ่งทางด้านเอริกะก็ได้หมุนเก้าอี้ของเธอไปทางด้านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องออฟฟิศของเธอและเงยหน้าขึ้นไปมองหมู่ดาวเบื้องบนที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ด้านนอกก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“เธอเองก็น่าจะสัมผัสได้ไม่ใช่หรอนิลิม เสียงร้องเรียกจากแขนทั้งสองข้างของเธอนั่นน่ะ คาร์เทียร์จังเขาเองก็น่าจะสัมผัสได้จากดวงตาของเขาเหมือนกัน… เพราะไม่อย่างงั้นพวกเธอทั้งคู่คงจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ในเมืองแบบนี้หรอกใช่มั้ยล่ะ…”
“เสียงร้องเรียกงั้นหรอคะ…”
นิลิมเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ และยกฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอที่มีสีผิวขาวซีดผิดกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายขึ้นมาจ้องมองอยู่ชั่วขณะก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มเศร้าๆ ออกมาแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไป
“นั่นสินะคะ…ถึงในตอนนี้ฉันจะสัมผัสไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ว่าคุณอารอนยังมีชีวิตอยู่จริงๆ สินะคะ…”
“ถ้าเกิดว่าพวกเธอรู้สึกแบบนั้นงั้นก็หมายความว่าเขายังอยู่ดีนั่นแหล่ะ~ ที่เหลือก็มีแค่ว่าพวกเราจะหาตัวเขาเจอก่อนหรือว่าเขาจะโผล่กลับมาหาพวกเราก่อนก็แค่นั้น~”
คำพูดยืนยันของเอริกะได้ทำให้นิลิมกลับมามีท่าทีสดใสอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ทันใดนั้นเองเซซิเรียที่นั่งฟังอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของอุปกรณ์สื่อสารจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ว่าสำหรับแม็กซิสนั่น… เขาคงจะไม่ได้โชคดีขนาดนั้นสินะ แต่ก็เอาเถอะ… สำหรับเขาแล้วการได้ทำอะไรแบบนั้นเป็นอย่างสุดท้ายในชีวิตก็คงจะทำให้เขาพอใจแล้วล่ะ”
หลังจากที่เซซิเรียพูดจบแล้วทั้งสามคนก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งราวกับว่าเป็นการไว้อาลัยให้กับชายชราที่เป็นหนึ่งในคนรู้จักเก่าแก่ของพวกเธออีกคนหนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานนิลิมที่มีชนักติดหลังก็ได้เอ่ยปากพูดกับเซซิเรียขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“นี่เซซิเรีย… ขอโทษที่ฉันทิ้งเธอเอาไว้แล้วไปที่หมู่บ้านโมริโกะคนเดียวแบบนั้นนะ… แล้วหลังจากนี้ฉันคงจะไปทำงานกับเธอไม่ได้อีกสักพักใหญ่เลยด้วย…”
“เธอไม่ต้องคิดมากเรื่องนั้นหรอก แค่เธอกลับมาอย่างปลอดภัยได้แบบนี้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
เซซิเรียที่ได้ยินนิลิมพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดได้พูดตอบกลับมาแบบไม่ได้ถือสาอะไรเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัวไปทำงานต่อขึ้นมา
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอไปดูอาการของพวกคนเจ็บก่อนก็แล้วกันนะเอริกะ เอาไว้เดี๋ยวพอเธอวางแผนขั้นต่อไปเสร็จแล้วก็ค่อยติดต่อมาหาฉันก็แล้วกัน”
“จ๋าจ้ะ~ แต่เอาจริงๆ ช่วงนี้ก็ไม่น่าจะมีแผนให้ทำอะไรมากนักหรอกนะ เพราะงั้นพักนี้เธอก็คอยดูแลคนเจ็บแล้วก็สร้างขวัญกำลังใจให้พวกเขาไปก่อนเถอะเพราะว่าคราวหน้าพวกเราคงจะไม่ได้โชคดีมีตัวแปรที่คาดไม่ถึงอย่างคราวนี้อีกแล้วนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวถ้ามีอะไรฉุกเฉินให้เธอทำฉันจะติดต่อไปก็แล้วกัน~”
ปิ๊บ
หลังจากที่เอริกะพูดตอบกลับไปจบแล้วเธอก็ยื่นมือไปจิ้มบนด้านที่เป็นกระจกของเครื่องมือสื่อสารของเธอเพื่อตัดสายการสื่อสารไปในทันที ในขณะที่ทางด้านนิลิมนั้นก็กลับมีท่าทีแปลกใจกับท่าทางผ่อนคลายของนักประดิษฐ์สาวจนทำให้เธอต้องเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา
“คุณเอริกะดูไม่รีบร้อนจะเตรียมการรับมือกับแผนการขั้นต่อไปของพวกเขาเลยนะคะ… ทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งจะแพ้ยับมาแบบนั้นแท้ๆ น่ะ”
“ก็นะ~ ถึงในรอบนี้พวกเราจะแพ้ยับเยินมาก็เถอะ แต่ว่าการลงมือของอารอนน่ะทำให้พวกเราได้รับสิ่งสำคัญที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้มาแล้วล่ะนะ”
“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ของพวกเรางั้นหรอคะ?”
“ช่าย~ มันก็คือ ‘เวลา’ ยังไงล่ะ~”