Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 125 : Dimmest Night
หลังจากที่ครอบครัวอาร์ทิอัสอันประกอบไปด้วยนิลิม นากา และพรีมูล่าผู้จากไป ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอีกสักพักใหญ่ๆ ภายในห้องใต้ดินที่ตั้งอยู่ด้านใต้คลินิกของอารอน พวกเขาก็ได้เดินออกมาจากภายในห้องเย็นห้องนั้นมาโดยที่ทิ้งร่างของพรีมูล่าเอาไว้เบื้องหลัง
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ… รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง…?”
“ครับ…”
นากาที่ได้ยินคำถามของนิลิมได้พูดตอบเธอกลับไปสั้นๆ และหันกลับไปเบื้องหลังเพื่อมองดูร่างของพรีมูล่าที่นอนอยู่ในโลงศพน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดถามออกมา
“ว่าแต่แล้วหลังจากนี้เราจะต้องทำยังไงกับพรีมูล่าเขาต่อล่ะครับ…?
“เรื่องนั้น… ถึงจริงๆ แล้วแม่จะอยากเก็บร่างของพรีมูล่าเอาไว้กับพวกเราตลอดไปก็เถอะแต่ว่ามันก็คงจะทำไม่ได้หรอก… เอาไว้เดี๋ยวแม่จะไปถามคุณเอริกะให้เองว่าจะต้องทำยังไงต่อไปก็แล้วกันนะจ๊ะ…”
“งั้นหรอครับ…”
“จะว่าไปแล้วนี่นากาคุงลงมาหาแม่ถึงข้างล่างนี่ทำไมหรอจ๊ะ?”
นิลิมที่เห็นว่านากาได้มีท่าทีเศร้าหมองลงอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเธอเข้าไปได้ตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาจนทำให้นากาที่เพียงแค่ต้องการคนปลอบใจในตอนแรกเริ่มที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมาและพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงออกมา
“ก็… ผมแค่อยากมาหาคุณแม่เฉยๆ น่ะครับ… ถ้ามันรบกวนก็ขอโทษด้วยนะครับ…”
“ไม่หรอกๆ ลูกเป็นคนมาหาแม่เองแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะจ้ะ”
นิลิมที่เห็นท่าทางของนากาได้หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องใต้ดินลงไปและดันหลังของนากาให้เดินไปตามโถงทางเดินเล็กๆ เพื่อให้เขากลับไปรวมกลุ่มกับทุกคนที่อยู่ในห้องตรวจพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วย
“หลังจากนี้ถ้าลูกอยากจะมาหาแม่ก็มาที่นี่ได้ทุกเมื่อเลยนะ เพราะว่าแม่คงจะต้องอยู่ที่รีมินัสนี่ไปอีกสักพักใหญ่ๆ เลยล่ะ… แต่ถ้าเกิดว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวแม่จะรีบบอกให้ลูกรู้ก่อนหรือไม่ก็จะฝากคุณเอริกะไปบอกลูกก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“มาหาที่นี่…? หมายถึงที่คลินิกนี่เลยงั้นหรอครับ?”
“อื้อ… ก่อนหน้านี้คุณอารอนเขาเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าเกิดแม่ต้องมาที่รีมินัสก็ให้มาพักที่นี่ได้ตามสบาย… แม่ก็เลยว่าจะอยู่เฝ้าคลินิกให้เขาสักพักนึงจนกว่าเขาจะกลับมาน่ะ…”
“งั้นหรอครับ… งั้นถ้าเกิดว่าคุณแม่มีอะไรล่ะก็ไปหาผมที่คฤหาสน์ไม่ก็ที่โรงเรียนได้ทุกเมื่อเหมือนกันนะครับ…”
“เรื่องนั้นแม่กะจะแอบแว๊บไปดูลูกที่โรงเรียนอยู่แล้วล่ะจ้ะ…”
นิลิมพยักหน้าตอบนากากลับไปพร้อมกับเขย่งตัวเพื่อยกมือขึ้นไปลูบหัวของเขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะโบกมือให้กับเขาและเดินย้อนกลับไปทางเดิม
“ถ้างั้นเดี๋ยวขอแม่เข้าไปหาของในห้องเก็บของก่อนก็แล้วกันนะ… ลูกกลับไปหาทุกคนก่อนเถอะจ้ะ”
“ให้ผมช่วยหามั้ยครับ…?”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ… ลูกกลับไปหาคุณเอริกะก่อนเถอะ”
“ก็ได้ครับ… คุณแม่เองก็อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะครับ…”
“อื้อ…”
นิลิมพยักหน้าตอบนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในห้องเก็บของที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้ยืนหลับตาอยู่สักพักก่อนที่เขาจะลืมตากลับขึ้นมาใหม่ด้วยแววตามุ่งมั่น
“เพื่อเพื่อนๆ แล้วก็เพื่อพรีมูล่าด้วยสินะ…”
นากาพูดพึมพำออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะผลักประตูห้องตรวจคนไข้ให้เปิดออก ก่อนที่ทันใดนั้นเองเขาจะต้องผงะไปกับเสียงตวาดของเอริกะที่ดังลั่นขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน
“เธอหมายความว่ายังไงที่ว่ามันหายไปน่ะ!!?”
“มันก็ตามที่ฉันบอกนั่นแหล่ะค่ะ หลังจากที่เสาแสงนั่นหายไปทุกอย่างมันก็หายไปหมดเลยน่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยต้องรีบมาแจ้งข่าวให้เธอไปบอกทางเมืองให้เขาจัดหาที่พักให้กับพวกชาวบ้านให้หน่อยนั่นล่ะค่ะ”
หญิงสาวคนที่กำลังพูดตอบเอริกะกลับไปอย่างใจเย็นนั้นก็คือ เรสเนอร์ อัศวินสาวผมสีชมพูที่เป็นผู้ช่วยเหลือนิลิมในการอพยพชาวบ้านออกมาจากหมู่บ้านโมริโกะนั่นเอง
ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนในห้องนั้นก็ดูเหมือนว่าจะกำลังพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดจนไม่ทันได้สังเกตเห็นนากาที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาจนกระทั่งเธอได้ยินเสียงของคาร์เทียร์และซึบากิที่เพิ่งจะจัดเก็บขวดยาและอุปกรณ์ต่างๆ เสร็จและกำลังจะเดินสวนนากาออกจากห้องไปเพื่อนำยาต่างๆ ไปเก็บที่เดิม
“ขอทางหน่อยค่า~”
“อ–อื้อ…”
“อ่ะ—นากา—”
เสียงพูดตอบของนากาได้ทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ทั้งเธอและเรสเนอร์จะมีท่าทีกระอักกระอ่วนเหมือนกับว่าไม่ต้องการที่จะให้เขาได้ยินสิ่งที่พวกเธอกำลังพูดคุยกันอยู่สักเท่าไหร่นักพร้อมกับพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“นากาคุงที่เอริกะเขาพูดถึงนี่หมายถึงเธอจริงๆ ด้วยสินะจ๊ะ…”
“เอ่อ… เอ้อใช่! นายคุยกับนิลิมเขาเสร็จแล้วหรอนากาคุง”
ทันใดนั้นเองเอริกะที่กำลังพยายามหาเรื่องมาเปลี่ยนเรื่องคุยก็ได้โพล่งถามขึ้นมาเสียงดังจนนากาได้แต่หันไปมองเธอและกะพริบตาด้วยความงงงวย
“อื้อ… ก็เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“งั้นหรอ… ถ้าดูจากสีหน้าของนายแล้วหลายๆ อย่างก็น่าจะโอเคขึ้นแล้วล่ะนะ…”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง… ว่าแต่คุณคืออัศวินคนที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มที่เข้าไปช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกผมเอาไว้สินะครับ?”
“เอ๋? ฉันหรอคะ? จะว่าฉันเป็นหัวหน้ากลุ่มมันก็คงจะไม่ผิดหรอกล่ะมั้งจ๊ะ… ว่าแต่มันทำไมหรอจ๊ะ?”
เรสเนอร์ที่ได้ยินคำถามที่อยู่ๆ นากาก็หันมาถามเธอได้พูดถามเขากลับไปอย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะต้องสะดุ้งไปเมื่ออยู่ดีๆ นากาก็ได้ก้มหัวให้เธอด้วยท่าทีสุภาพ
“อ—เอ๋?”
“ผมต้องขอขอบคุณที่พวกคุณเข้ามาช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกผมเอาไว้ด้วยครับ… เพราะถ้าเกิดว่าทุกคนไม่ได้พวกคุณเข้าไปช่วยเหลือเอาไว้ก่อนล่ะก็กว่าพวกผมจะไปถึงมันก็คงจะสายเกินไปแล้วแน่ๆ …”
“อ๋อ… เรื่องนั้นเองสินะจ๊ะ”
เรสเนอร์ที่ได้ยินแบบนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยื่นมือไปดันไหล่ของนากาให้เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยปากพูดบอกเขาไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้าเรื่องนั้นทางด้านพวกฉันเองก็ต้องขอบคุณที่พวกเธอยอมฝืนตัวเองเพื่อขับรถคันนั้นไปที่หมู่บ้านด้วยเหมือนกันนะจ๊ะ เพราะถ้าเกิดว่าไม่ได้รถของพวกเธอล่ะก็พวกฉันเองก็คงจะพาคนออกมาจากหมู่บ้านได้ไม่ทันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ฉันแบบนี้หรอกนะ”
“อ—อ่า…งั้นหรอครับ…”
“แล้วก็… ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันอาจจะทำได้ยาก… แต่ว่าฉันอยากจะให้เธอเข้มแข็งเอาไว้นะจ๊ะ…”
“ครับ…”
เรสเนอร์ที่ได้รับคำตอบของนากาแล้วได้ผละมือออกมาจากไหล่ของเขาเพื่อถอดเกราะแขนของเธอข้างหนึ่งออกก่อนจะยื่นมือตรงไปให้นากาเป็นสัญญาณของการทำความรู้จักด้วยการจับมืออันเป็นมารยาททั่วไปนั่นเอง
“ฉันชื่อว่า เรสเนอร์ จ้ะ เธอเรียกฉันว่าเรสเนอร์เฉยๆ ได้เลยฉันไม่ถือหรอกนะจ๊ะ… ส่วนผู้ชายคนที่นอนแผ่อยู่ข้างนอกห้องที่เธอน่าจะได้เห็นตอนมาถึงนั่นชื่อว่า อิกนิส แล้วก็ผู้หญิงคนที่เธอเจอที่หมู่บ้านนั่นชื่อว่า นิ๊กซ์ซี่… แล้วก็จริงๆ แล้วฉันมีเพื่อนอยู่อีกสามสี่คนที่ติดงานอยู่ที่อื่นน่ะจ้ะ เอาไว้ถ้าพวกเธอมีโอกาสได้เจอกันฉันจะแนะนำให้รู้จักก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“ครับ… ผม นากามูระ อาร์ทิอัส ยินดีที่ได้รู้จักครับ… เอ่อ… พี่เรสเนอร์”
นากาพูดแนะนำตัวของเขากลับไปให้เรสเนอร์ฟังและเขย่ามือของเธอสองสามครั้ง แต่ว่าในขณะที่เขากำลังจะปล่อยมือออกมานั้นเองเขาก็กลับได้พบว่าเรสเนอร์ได้จับมือของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ อีกครั้งหนึ่ง
“แหม่~ เรียกว่าเรสเนอร์เฉยๆ ก็พอแล้วล่ะจ้ะไม่ต้องนำหน้าด้วยคำว่าพี่หรอก หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ จะเติมคำว่าคุณเอาไว้ข้างหน้าฉันก็ไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ”
“ค—ครับ เรสเนอร์…”
นากาที่ถูกเรสเนอร์พูดย้ำขึ้นมาอีกครั้งนั้นได้รีบพูดตอบเธอกลับไปจนทำให้เรสเนอร์ยอมปล่อยมือของเธอออกแต่โดยดีก่อนที่นากาจะหันกลับไปพูดสอบถามเอริกะเกี่ยวกับเรื่องที่ถึงกับทำให้หญิงสาวทั้งสองคนขึ้นเสียงใส่กันในตอนที่เขาเพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาในห้องขึ้นมา
“ว่าแต่เมื่อกี้นี้พวกเธอกำลังเถียงกันเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ? ที่ว่าอะไรมันหายไปแล้วก็อะไรเกี่ยวกับพวกชาวบ้านนั่นน่ะ?”
“อ—อ่า เรื่องนั้นมัน…”
“บอกเขาไปเถอะค่ะเอริกะ ฉันว่านากาคุงควรที่จะได้รู้เรื่องนี้เอาไว้นะคะ”
“น…นั่นสินะ… แต่ว่านายแน่ใจแล้วหรอว่าจะพร้อมฟังเรื่องนี้น่ะนากา…?”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของเรสเนอร์ได้หันไปมองดูท่าทีของเด็กหนุ่มเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงแม้ว่าท่าทีของเขาจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้ที่ดูเหมือนคนที่กำหมดหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตมากแต่ว่าเธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเขาอยู่ดี
“เธอบอกฉันมาเถอะเอริกะ เพราะจากที่ฟังพวกเธอพูดกันแล้วดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพวกชาวบ้านในหมู่บ้านของฉันด้วยนี่”
“อืม…. ถ้างั้นก็… ไอ้ที่เรสเนอร์เขาบอกว่ามันหายไปนั่นมันก็คือหมู่บ้านโมริโกะนั่นแหล่ะ…”
“หา…? โทษทีนะ ฉันว่าฉันได้ยินไม่ชัดสักเท่าไหร่… เมื่อกี้นี้เธอบอกว่า ‘หมู่บ้าน’ มันหายไปงั้นหรอ? นี่เธอหมายความว่าไงน่ะ?”
“มันก็ตรงตามความหมายเลยนั่นล่ะ… ตอนที่นายนั่งรถหนีออกมาจากหมู่บ้านนายน่าจะได้เห็นเสาแสงที่โผล่ขึ้นมาที่หมู่บ้านแล้วก็ขยายตัวออกมาได้ใช่มั้ยล่ะ… เรสเนอร์เขาบอกว่าหลังจากที่เสาแสงนั่นสลายหายไปแล้วทุกอย่างที่ถูกเสาแสงนั่นกลืนเข้าไปมันหายไปหมดจนเหลือแค่ทุ่งหญ้าโล่งๆ น่ะ…”
“หะ—!?”
คำตอบของเอริกะได้แต่ทำให้นากาหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาก่อนที่เขาจะหันไปมองทางด้านเรสเนอร์เพื่อพยายามขอคำยืนยันจากเธออีกที
“เป็นเรื่องจริงค่ะ… ตรงจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านกับป่ารอบๆ มาก่อนมันไม่เหลืออะไรเลยสักนิดเดียว… แถมตอนที่นิ๊กซ์ซี่จังจะลองเข้าไปสำรวจดูเธอก็รีบวิ่งกลับออกมาเพราะรู้สึกได้ว่าพลังวิซกำลังไหลออกจากร่างเหมือนกับตอนที่อยู่ในทะเลมรกตอีกด้วย…”
“ก็ตามนั้นแหล่ะ… ตอนนี้หมู่บ้านโมริโกะของนายมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลมรกตไปแล้วน่ะ…”
“—–!?”
คำพูดของทั้งเอริกะและเรสเนอร์ได้ทำให้นากานิ่งค้างไปด้วยความตกใจ เพราะจากคำที่ว่าตรงจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านมาก่อนมันไม่เหลืออะไรเลยของพวกเธอนั้นมันก็คงจะรวมไปถึงร่างของผู้เสียชีวิตทุกคนรวมไปถึงร่างของคุณพ่อของโมโกะที่อยู่ภายในซากบ้านของเธอและอารอนกับปู่แม็กซ์ที่เขาคิดว่าเขาเห็นทั้งสองคนโผล่มาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในตอนท้ายด้วย
ซึ่งท่าทีของนากาที่นิ่งค้างไปด้วยความตกใจนั้นก็ได้ทำให้เอริกะผ่อนคลายท่าทีของเธอที่เตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อในกรณีที่นากาจะรีบร้อนวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านของเขาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองลงไปและเอ่ยปากพูดบ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“แต่ปัญหาจริงๆ สำหรับตอนนี้ก็คือฉันไม่รู้ว่าพวกเอริซาเบธจะช่วยปิดข่าวเรื่องนี้เอาไว้ได้นานสักเท่าไหร่เนี่ยน่ะสิ… ถ้าเกิดว่าทางเมืองต่างๆ รู้เรื่องกันเมื่อไหร่พวกนั้นก็คงจะจัดทีมส่งเข้าไปสำรวจข้างในจนพวกเรากระดิกตัวกันได้ไม่สะดวกกันแน่ๆ ล่ะ…”
“เดี๋ยวสิ— เธอพูดแบบนั้นหมายความว่าเธอวางแผนอะไรเอาไว้ในใจแล้วงั้นหรอเอริกะ?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดบ่นออกมาอยู่นั้น ทางด้านนากาที่ได้ยินคำพูดบ่นของเอริกะได้พูดโพล่งขึ้นมาจนทำให้เอริกะที่เห็นว่านากาได้สติกลับมาแล้วหันไปพูดอธิบายแผนการของเธอออกมาให้เขาฟัง
“อื้ม… จริงๆ แล้วพรุ่งนี้เช้าฉันกะว่าจะลองไปสำรวจที่นั่นดูสักหน่อยน่ะเพราะว่าเรื่องนี้มันอาจจะเกี่ยวข้องกับ— ไม่มีอะไรหรอก… เอาเป็นว่าพรุ่งนี้นายสนใจจะไปที่นั่นด้ว—”
“ไป!!”
ในทันทีที่นากาได้ยินเอริกะพูดเป็นทำนองว่าจะชวนเขาเข้าไปสำรวจในจุดที่เคยเป็นหมู่บ้านโมริโกะออกมานั้นเขาก็รีบพูดตอบเธอกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้เธอพูดออกมาจนจบก่อน ซึ่งการกระทำของนากานั้นก็ได้ทำให้เรสเนอร์อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เธอแน่ใจแล้วหรอจ๊ะนากาคุง? ถ้าเธอยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องไปวันพรุ่งนี้เลยก็ได้นะ ฉันเชื่อว่าเอริกะน่าจะกันคนอื่นออกไปได้อีกสักสัปดาห์นึงล่ะมั้งจ๊ะ เธอไม่จำเป็นต้องรีบไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้ก็ได้นะ”
“อื้ม… ฉันเข้าใจนะว่าพวกเธอคงจะยังไม่อยากให้ฉันกลับไปที่หมู่บ้านในตอนนี้น่ะ แต่ว่าพอฉันได้ยินว่าหมู่บ้านมันหายไปแบบนั้นแล้วฉันคงจะยอมอยู่เฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ให้ฉันได้ไปช่วยตามหาร่างของชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ไม่ทันได้หนีออกมาด้วยคนเถอะ…”
“บาดแผลของตัวเองเพิ่งจะดีขึ้นมานิดหน่อยก็คิดจะไปเป็นห่วงคนอื่นซะแล้วหรอจ๊ะนากาคุง… ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องที่แย่สักเท่าไหร่แต่ก็ระวังว่าตัวเธอจะรับไม่ไหวเข้าซะเองนะจ๊ะ…”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับเรสเนอร์… แต่ผมคิดว่าตอนนี้ผมน่าจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ไหวแล้วล่ะครับ… คิดว่านะ…”
นากาพูดตอบเรสเนอร์กลับไปพร้อมกับยกมือของตัวเองที่ยังคงสั่นเทาอยู่น้อยๆ ขึ้นมาจ้องมองก่อนจะกำมันแน่น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคงรู้สึกเจ็บปวดกับการจากไปของพรีมูล่า แต่ว่าเขาเองก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพื่อตัวเขาเองและเพื่อคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก
ซึ่งท่าทีมุ่งมั่นของนากานั้นก็ได้ทำให้เอริกะได้ตัดสินใจที่จะไม่พูดห้ามปรามอะไรเขาออกมาและหันไปแจ้งกำหนดการการเดินทางให้เขาได้ทราบแทน
“ถ้านายว่าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะขัดแล้วล่ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าฉันจะขับรถไปรับนายที่คฤหาสน์ก็แล้วกันนะ ถ้าเกิดว่าถึงตอนนั้นแล้วนายเปลี่ยนใจหรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็บอกฉันมาได้เลยล่ะตกลงมั้ย?”
“อื้ม…! ตกลงตามนั้นล่ะ!”
“ถ้างั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนกันก่อนเถอะจ้ะ แล้วเดี๋ยวระหว่างที่ฉันอยู่ที่รีมินัสนี่ฉันจะช่วยดูแลคุณนิลิมเขาให้ก่อนตอนที่พวกเธอไม่อยู่ก็แล้วกันนะ”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับเรสเนอร์”
นากาพยักหน้าพูดตอบเรสเนอร์กลับไปก่อนที่เขาจะเดินตามหลังเอริกะออกจากคลินิกเพื่อเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลรีวิสที่นับแต่จากนี้ไปมันคงจะไม่คึกคักสนุกสนานเช่นเดิมอีกต่อไปแล้วตลอดกาลเนื่องจากที่นั่นขาดเด็กสาวผมชมพูตัวป่วนของทุกๆ คนไปเสียแล้ว
“กลับมาแล้วหรอครับนากา!? เป็นยังไงบ้างครับ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า!?”
ในชั่วขณะที่เอริกะเพิ่งจะเดินนำทางนากามาจนถึงประตูรั้วของคฤหาสน์นั้นคอนแนลที่ยืนถือตะเกียงวิซเฝ้ารอพวกเขาอยู่ก็ได้รีบเอ่ยปากร้องถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงในทันทีจนทำให้นากาถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบตีหน้ายิ้มและพูดตอบเพื่อนอัศวินของเขากลับไปในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นก็ได้หันหลังกลับและโบกมือให้กับพวกเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
“อ…อื้อ ถ้าเป็นฉันล่ะก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากหรอก…”
“เอาล่ะ ในเมื่อมาถึงแล้วถ้างั้นฉันก็ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ ฝากเธอดูแลนากาเขาด้วยล่ะคอนแนลคุง”
“ได้เลยครับ! รีบเข้าไปนั่งพักด้านในกันก่อนเถอะครับนากา”
“ขอบใจที่อุตส่าห์เดินมาส่งกันนะเอริกะ”
นากาที่ถูกคอนแนลลากตัวเข้าไปด้านในคฤหาสน์ได้รีบพูดบอกขอบคุณเอริกะกลับไปและมองไล่หลังเอริกะไปสักพักหนึ่งจนกระทั่งร่างของเอริกะหายเข้าไปในความมืดรอบกายแล้วเขาจึงได้ยอมเดินตามคอนแนลเข้าไปนั่งพักในห้องรับแขกแต่โดยดีแล้วจึงพูดถามคอนแนลขึ้นมา
“แล้วโมโกะเป็นยังไงบ้างล่ะ…?”
“ค่อนข้างจะน่าเป็นห่วงเลยล่ะครับ… ตั้งแต่ตอนที่กลับมาเธอก็ยังไม่พูดอะไรเลยสักคำ แถมยังไม่ยอมกินข้าวที่ผมทำไปให้ด้วย…”
“งั้นหรอ…”
นากาพูดตอบคอนแนลกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะนิ่งเงียบไปจนทำให้บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็มีแต่ความเงียบงันน่าอึดอัดอยู่สักพักหนึ่ง และหลังจากที่ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันได้ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ คอนแนลก็ได้กำหมัดแน่นและทุบมันไปที่ขาของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความอัดอั้น
“ถ้าเกิดว่าตอนนั้นผมไม่ได้สลบไปก่อนล่ะก็…!!”
“ทั้งฉันทั้งโมโกะไม่มีใครโทษนายหรอกนะคอนแนล…”
“ต—แต่ว่าถ้าเกิดผมไปกับทุกคนด้วยล่ะก็—”
“ต่อให้ตอนนั้นนายไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์หรอก… ยัยเด็กในชุดผ้าคลุมนั่นเก่งซะจนไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเลยซะด้วยซ้ำ… แล้วยิ่งพรีมูล่าพยายามล่อเป้ายัยนั่นออกมาจากคุณแม่ด้วยตัวเองแบบนั้นแล้วด้วยต่อให้นายจะอยู่ด้วยก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ….”
“ต—-แต่— แต่ว่า…”
คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พยายามที่จะพูดหาข้ออ้างออกมาเพื่อพูดเถียงนากากลับไป แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินชื่อของพรีมูล่าดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในหัวของเขาก็ขาวโพลนไปหมดจนแทบจะนึกอะไรไม่ออก เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งได้พบกับพรีมูล่ามาเป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ แต่ว่าเขาก็คิดกับอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากน้องสาวแท้ๆ เลยซะด้วยซ้ำจนทำให้เขาได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเพื่อพยายามกั้นน้ำตาที่กำลังจะหลั่งไหลออกมาเอาไว้
“นายอย่าโทษตัวเองเลยคอนแนล… พรีมูล่าเขาไม่อยากให้ใครมาร้องไห้กับทางที่เธอเลือกหรอกนะ เพราะงั้นนายเข้มแข็งเอาไว้เถอะ… ทั้งเพื่อตัวนายเองแล้วก็เพื่อพรีมูล่าด้วยน่ะ…”
“……?”
คอนแนลที่ถูกนากาพูดปลอบใจขึ้นมาได้ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจพร้อมกับยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาของตนเองไปก่อนที่เขาจะพยายามพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติตามเดิม
“…นี่ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาพูดปลอบนากาแบบนั้นงั้นหรอครับนั่น?”
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอน่ะ…?”
“ก็ปกติแล้วนากาพูดอะไรแบบนั้นเป็นซะที่ไหนกันล่ะครับ…ฮึก…ย…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้แน่ๆ ล่ะครับ…”
คอนแนลพูดตอบนากากลับไปโดยพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของเขาเอาไว้ แต่ว่าเมื่อเขาได้หันไปเห็นโซฟาตัวที่พรีมูล่าชอบลงไปนอนแผ่เล่นอยู่บ่อยๆ ในตอนที่เธอว่างแล้วเขาก็ได้แต่ต้องรีบหันหนีและเอ่ยปากขอตัวออกมา
“ฮึก… ถ..ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ… นากาเองก็รีบไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ…”
“ฉันว่าจะแวะไปดูโมโกะเขาก่อนน่ะ…เห็นเมื่อกี้นี้นายบอกว่าโมโกะยังไม่ได้กินข้าวเลยใช่มั้ย? นายเอาไปเก็บไว้ที่ไหนแล้วล่ะ?”
“วางไว้บนโต๊ะในห้องครัวน่ะครับ…”
“อ่า… ถ้างั้นเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะคอนแนล”
นากาพูดตอบคอนแนลกลับไปก่อนที่เขาจะรีบเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อหยิบเอาจานข้าวผัดที่คอนแนลทำทิ้งเอาไว้ขึ้นมาถือเอาไว้และเดินตรงไปยังห้องนอนของโมโกะที่อยู่ไม่ห่างไปจากห้องนอนของเขาสักเท่าไหร่นักและยื่นมือไปเคาะมันเบาๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“โมโกะ…นี่ฉันเองนะ…”
แกร๊ก แอ๊ด…
“ฉันเข้าไปเลยนะ…”
นากาที่ลองหมุนลูกบิดประตูดูได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้พบว่าประตูห้องนอนของโมโกะไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้อีกทั้งภายในห้องของเธอก็มืดสลัวโดยมีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาให้ความสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่ตัวเด็กสาวหูแมวผู้เป็นเจ้าของห้องก็กำลังนั่งกอดเข่าจ้องมองรูปภาพรูปหนึ่งที่เธอถือเอาไว้ในมือโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกับผู้มาเยือนเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสภาพของโมโกะนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เธอพร้อมกับพยายามพูดถามขึ้นมา
“โมโกะ…”
“…..”
“นี่…ได้ยินฉันหรือเปล่า…”
“…..”
“ถ้าเธอไม่กินข้าวสักหน่อยเดี๋ยวจะไม่มีแรงเอานะโมโกะ…”
“…..”
ถึงแม้ว่านากาจะพูดถามเพื่อนสาวหูแมวของเขาไปสักกี่ครั้งแต่ว่าโมโกะก็ยังคงไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะลุกยืนขึ้นเพื่อนนำจานอาหารไปวางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
หมับ
“ย…อย่า…ไปไหนเลย…นะ…”
เสียงพูดอันแผ่วเบาและแรงกระตุกที่ชายเสื้อของนากานั้นได้ทำให้เขาชะงักไปในทันทีก่อนที่เขาหันกลับไปมองดูโมโกะที่นิ่งเงียบไปอีกครั้งแล้วแต่ก็ยังคงจับชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่นโดยไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเลยแม้แต่น้อยและนั่งลงกลับไปที่ข้างๆ ตัวเธออีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหัวของเธอโดยพยายามเลี่ยงบริเวณใบหูแมวและศีรษะที่ถูกไฟไหม้ของอีกฝ่ายเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงนะ…ฉันไม่หนีเธอไปไหนหรอก…”