Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ - ตอนที่ 204 : Strategic Withdrawal
- Home
- Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่
- ตอนที่ 204 : Strategic Withdrawal
“ถึงผมจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ… แต่ว่าผมก็หวังว่าคุณจะเป็นคนเดียวกับเจ—” ”
“โอ๊ะโอ๋~ สต็อปปุ~ สต็อปปุ~ ฉันแนะนำว่านายอย่าพูดชื่อนั้นขึ้นมาจะดีกว่านะ~”
ในขณะที่เวก้ากำลังจะพูดชื่อของหญิงสาวคนรักของเขาที่จากไปเพราะผลกระทบของการทดลองที่เขาได้รับมาจากวังหลวงของรีมินัสออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูขี้เล่นของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาขัดเขาเอาไว้เสียก่อนจนทำให้ทุกคนต้องหันไปมองดู
และนั่นก็ทำให้ทุกคนได้พบเข้ากับนัวร์ในร่างของหญิงสาวผมยุ่งสีดำที่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าสุสานที่กำลังใช้มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกาวน์ยาวเกินตัวดันไปที่ต้นคอของทหารในหน่วยไวท์ ฮาวด์ทั้งสองคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเพื่อให้เขาหลีกทางให้กับเธอ
ซึ่งในทันทีที่ซิสเตอร์โจน่าได้เห็นหน้าตาและการแต่งตัวอันเป็นเอกลักษณ์นั้นเองเธอก็ได้หลุดปากพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ท่านนัวร์!?”
“จ๋าจ้ะ~ ท่านนัวร์คนนั้นเองยังไงล่ะจ๊ะ นาร์เซียจัง~”
นัวร์ที่ได้ยินโจน่าหลุดปากเรียกชื่อของเธอขึ้นมานั้นได้ยกแขนเสื้อของเธอขึ้นมาโบกไปมาเพื่อเป็นการทักทายและพูดตอบกลับไปด้วยชื่อที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนก่อนที่เธอจะสะบัดแขนเสื้อกาวน์ตรงไปทางด้านเวก้าและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“นายผมสีน้ำตาลที่ชื่อว่าเวก้าตรงนั้นน่ะ เอริกะเขาฝากมาบอกว่าให้รีบพาแม่หนูคนนั้นกับทหารรับจ้างนั่นหนีไปที่ปลอดภัยก่อนน่ะ”
“แต่ว่า—”
“ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงในชุดแม่ชีนี่เคยเป็นใครและมีความสัมพันธ์อะไรกับนายมาก่อนหรอกนะ แต่ว่าในตอนนี้เธอคนนี้ไม่ใช่คนที่นายเคยรู้จักอีกต่อไปแล้วล่ะ”
นัวร์พูดขัดคำพูดของเวก้าขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินตรงไปหาริวที่ยืนเฝ้าระวังอยู่และสะบัดมือของเธอออกมาจากแขนเสื้อกาวน์ที่ยาวเกินตัวและใช้มันจิ้มไปที่ต้นคอของริวเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทันจนทำให้ริวสะดุ้งไปเล็กน้อย
“โอ๊ย— อะไรกันครับเนี่ย?”
“ก็แค่นิดหน่อยเองน่า เป็นถึงทหารหัวหน้าหน่วยเลยไม่ใช่หรอแค่โดนจิ้มทีเดียวเองอย่าร้องโวยวายเป็นเด็กๆ ไปสิ~”
นัวร์ที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายของริวไม่ได้มีท่าทีว่าจะรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะหันไปทางเวก้าและร้องสั่งเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“เอ้าๆ รีบไปกันได้แล้วไป๊ ถ้ายังโอ้เอ้กันอยู่อย่างงี้ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยหรอกนะ”
“………”
เวก้าที่ได้ยินคำสั่งของนัวร์เป็นครั้งที่สองได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มลงไปมองแขนของตนเองที่หักงอจนผิดรูปกับท่าทางหวั่นๆ ของทีเอร่าและหันไปพยักหน้าให้กับเคนจนทำให้เคนที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะคว้าตัวทีเอร่าขึ้นมาแบกเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นวิ่งออกไปจากเขตสุสานในทันทีโดยทิ้งเสียงโวยวายเอาไว้เบื้องหลัง
“ด–เดี๋ยวสิพี่เคน พี่โจน่าเขา—”
“ยังจะมาพี่โจนงโจน่าอะไรอีกเล่า!? เมื่อกี้นี้เธอเกือบจะโดนเขาจับหักคอจิ้มน้ำจิ้มกินแล้วไม่ใช่หรอไงหะ!?”
“คิดจะหนีไปไหนคะ!!”
ในทันทีที่โจน่าเห็นพวกเวก้ากับเคนกำลังหิ้วตัวทีเอร่าวิ่งหนีไปนั้นเองเธอก็ได้ขมวดคิ้วและทำท่าเหมือนกับว่าจะพุ่งตัวตามพวกเขาไปด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่โจน่าจะได้ขยับตัวซะด้วยซ้ำ ทางด้านนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้แล้วก็ได้เอ่ยปากพูดขัดเธอขึ้นมาเสียก่อน
“อ่ะๆ เธอนั่นแหล่ะจะรีบไปไหนเอ่ยนาร์เซียจัง~”
จึ๊ก
ในทันทีที่นัวร์เอ่ยปากพูดออกมาจนจบนั้นเองเธอก็ใช้นิ้วที่เพิ่งจะจิ้มใส่ต้นคอของริวมาจิ้มใส่ที่ต้นคอของตัวเองก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดประโยคคำสั่งออกมา
“ยิงคุ้มกันให้สามคนนั้นด้วยครับ!!”
เสียงที่ออกมาจากปากของนัวร์นั้นไม่ใช่เสียงของหญิงสาวอย่างที่ควรจะเป็นแต่ทว่ากลับเป็นเสียงห้าวๆ ของริวที่เป็นชายหนุ่มเสียแทน และนั่นก็ทำให้ลูกน้องของริวทั้งสองคนที่ยืนประจำตำแหน่งอยู่ด้านหลังจนไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูดสั่งขึ้นมาเอ่ยปากรับคำสั่งและทำตามโดยการยิงสกัดโจน่าที่กำลังจะออกวิ่งตามพวกเวก้าไปในทันที
“ครับ!”
ปั๊ง—พลั๊ก!!
“ด—เดี๋ยวสิครับ!? นี่ทำอะไรลงไปกันครับเนี่ย!?”
ภาพของซิสเตอร์โจน่าที่ถูกยิงด้วยกระสุนวิซธาตุไฟเข้าที่ท่อนขาจังๆ และล้มคะมำลงไปได้ทำให้ริวหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจในขณะที่ทางด้านลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็ได้ชะงักไปด้วยความแปลกใจเช่นเดียวกันเพราะว่าเมื่อสักครู่นี้มันเป็นเสียงของริวเองที่สั่งให้พวกเขายิงคุ้มกัน
“เอ่อ… ก็เมื่อตะกี้นี้หัวหน้าสั่งให้ยิงคุ้มกันไม่ใช่หรอครับ?”
“ไม่ใช่ครับ! เมื่อกี้นี้มันเสียงของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ของผมสักหน่อย!!”
“เรื่องนั้นน่ะมันไม่สำคัญหรอก! รีบจับกุมตัวผู้หญิงคนนั้นเอาไว้เร็วครับ!!”
ในขณะที่ริวและลูกน้องของเขากำลังพูดเถียงกันอยู่นั้นเอง ทางด้านนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะทำอะไรสักอย่างกับลำคอของเธอจนทำให้ตัวเธอในร่างของหญิงสาวมีเสียงเหมือนกับริวอย่างไม่ผิดเพี้ยนก็ได้พูดสั่งขึ้นมาด้วยเสียงของริวอีกครั้งหนึ่งจนทำให้พวกลูกน้องของริวที่ได้เห็นชัดๆ ว่าใครเป็นคนพูดสั่งพวกเขาชะงักไปด้วยความตกใจจนเปิดโอกาสให้โจน่ามีเวลาได้ยันตัวเองให้ค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้สำเร็จ
“…………”
โจน่าที่ยันตัวเองกลับขึ้นมายืนนั้นได้ก้มลงมองดูแผลไหม้ที่น่องของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอาฝ่ามือของตนไปสัมผัสกับมัน และนั่นก็ทำให้ม่านหมอกบริเวณใกล้ๆ ร่างของเธอไหลเวียนหมุนวนไปที่บาดแผลของเธออีกครั้งและค่อยๆ รักษาแผลกระสุนวิซของเธอจนหายสนิท
ซึ่งภาพของซิสเตอร์โจน่าที่สามารถใช้ม่านหมอกที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่าเอาไว้นานนับครึ่งปีในการรักษาบาดแผลของตัวเองได้นั้นก็พอจะทำให้ริวคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมอกปริศนาพวกนี้ไม่มากก็น้อยเขาจึงพูดสั่งลูกน้องของเขาขึ้นมาในทันที
“เอาเป็นว่าตอนนี้จับกุมซิสเตอร์โจน่าเอาไว้ก่อนก็แล้วกันครับ!”
“ใช่แล้วครับ! จัดการจับกุมได้เลยครับ!”
“เอ่อ….”
เสียงของริวที่ดังออกมาจากปากของนัวร์อีกครั้งหนึ่งด้วยคำพูดสนับสนุนได้ทำให้ริวผู้เป็นเจ้าของเสียงต้องหันไปมองนัวร์ด้วยท่าทางเหมือนกับอยากจะขอร้องให้เธอเลิกทำแบบนั้นเสียที แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ก็ทำให้แค่ยิ้มตอบกลับมาให้เขาด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ส่วนทางด้านลูกน้องของริวทั้งสองคนที่ได้รับคำสั่งด้วยเสียงของริวทั้งสองเสียงเองก็แทบจะต้องยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนที่พวกเขาจะหันปืนยาวในมือตรงไปทางโจน่าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าริวหันกลับมาพยักหน้าให้กับพวกเขาเพื่อยืนยันคำสั่ง
แต่ทว่าในช่วงเวลาที่พวกเขาทำตามคำสั่งล่าช้าเพราะความสับสนอยู่นั้นเอง โจน่าที่รักษาแผลเสร็จแล้วก็ได้มองตรงไปทางนัวร์และเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้าเป็นไปได้ฉันเองก็ไม่อยากจะทำอย่างนี้หรอกนะคะท่านนัวร์…!”
ตึกตึกตึกตึก—
“บ๊อก!! บ๊อก!!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของโจน่านั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าของมนุษย์กับเสียงเห่าของลูกสุนัขดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยินก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีลูกสุนัขสีน้ำตาลและชายหนุ่มผมสีม่วงเข้มที่มีดวงตาสีขาวขุ่นวิ่งตรงเข้ามาในสุสานและแยกกันพุ่งเข้าใส่ลูกน้องของริวทั้งสองคนโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว
“เดี๋ยว— มาจากไหนเนี่ย”
“กรรรรร—”
“ทำอะไรของคุณเนี่ย—”
ผลัวะ!!
“…….”
ถึงแม้ว่าลูกน้องของริวทั้งสองคนจะร้องโวยวายออกมาแต่ทว่าชายหนุ่มผมสีม่วงที่อยู่ๆ ก็วิ่งมาทำร้ายเขาก็ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมา จะมีก็เพียงแค่เสียงร้องขู่ของลูกหมาน้อยตัวนั้นที่ทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะขย้ำหนึ่งในลูกน้องของริวให้จมเขี้ยว
ซึ่งเสียงร้องโวยวายที่ดังขึ้นมาทางด้านหลังนั้นก็ได้ทำให้เวก้าต้องหันกลับไปมองดูและนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับร่างของผู้ชายผมสีม่วงที่กำลังโถมเข้าใส่หนึ่งในลูกน้องของริวอยู่จนทำให้เขาต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากว่าเขาจำได้อย่างขึ้นใจว่าชายผมสีม่วงคนนั้นคือชายผู้เคราะห์ร้ายที่ทีเอร่าไปเจอเขานอนเสียชีวิตอยู่ในตรอกข้างร้านขนมอย่างแน่นอน
“ผู้ชายคนนั้น…. ได้ยังไงกัน”
“จะผู้ชายคนนั้นหรือคนไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่นายได้คิดเอาไว้หรือเปล่าเนี่ยว่าพวกเราจะวิ่งหนีไปที่ไหนกันน่ะหะ?”
“เอาเป็นว่าวิ่งวนไปรอบๆ ก่อนก็แล้วกันครับ…”
เวก้าพูดตอบเคนกลับไปก่อนที่เขาจะเลี้ยวเข้าตรอกแคบข้างๆ กันเพื่อสลัดให้พ้นจากสายตาของโจน่า ในขณะที่ทางด้านริวที่เห็นว่ามีคนกับลูกสุนัขบุกเข้ามาช่วยเหลือโจน่าเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนว่าจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยงั้นสินะครับ… ถึงถ้าเป็นไปได้ผมจะไม่อยากลงมือกับผู้หญิงเลยก็เถอะนะ…”
“หลีกทางไป!!”
แต่ทว่าก่อนที่ริวจะได้ชักดาบคาตานะของเขาออกมาก็ได้มีเสียงร้องของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่มีร่างของหญิงสาวผมสีเขียวกระโดดข้ามรั้วสุสานเข้ามาภายในและส่งหอกคริสตัลสีเขียวสี่เล่มพุ่งตรงเข้าใส่โจน่าในทันที
ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—ฟุ๊บ—สวบ!!
หอกคริสตัลที่พุ่งผ่านเหนือศีรษะของริวไปในแนวเฉียงนั้นได้พุ่งทะลุแขนขาของโจน่าอย่างแรงจนทำให้ซิสเตอร์สาวหงายหลังล้มลงไปอีกทั้งตัวหอกคริสตัลสีเขียวที่พุ่งทะลุร่างของโจน่าไปนั้นก็ยังพุ่งทะลุฝังลงไปกับพื้นดินอีกด้วยจนดูราวกับว่าที่จริงแล้วมันเป็นลิ่มคริสตัลขนาดยักษ์เสียมากกว่า
ส่วนทางด้านเซซิเรียผู้เป็นเจ้าของหอกคริสตัลเหล่าก็ได้กวาดตาดูรอบๆ สุสานแห่งนี้และเมื่อเธอไม่พบกับพวกเวก้าหรือว่าร่างที่เหลืออยู่ของพวกเขาแล้วเธอก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ยังทันอยู่สินะ…”
“แล้วนี่ใครกันอีกล่ะครับเนี่ย?”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังแสดงท่าทีโล่งใจออกมาอยู่นั้นเองทางด้านริวที่เห็นว่ามีผู้มาเยือนเพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้มาใหม่คนนี้จะมาช่วยเหลือพวกเขาเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้นัวร์ที่ได้ยินคำถามของริวไม่รอช้าที่จะพูดตอบกลับมาด้วยเสียงของตัวเธอเอง
“คนคนนั้นชื่อว่าเซซิเรียจังยังไงล่—”
“อย่ามาต่อท้ายชื่อฉันด้วยคำว่าจังนะยัยนัวร์!! เรื่องของฉันน่ะไม่สำคัญหรอก รีบเข้าไปช่วยลูกน้องของนายก่อนเร็ว ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่ว่าคนคนนั้นกับลูกหมานั่นไม่ใช่คนกับลูกหมาธรรมดาหรอกนะ!”
เซซิเรียพูดตัดบทนัวร์ขึ้นมาเสียงดังก่อนที่เธอจะหันไปพูดสั่งริวขึ้นมาจนทำให้ริวที่ได้ยินแบบนั้นต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปดูทางด้านลูกน้องของเขาบ้าง
และนั่นก็ทำให้ริวได้พบว่าในบัดนี้ลูกน้องของเขาคนหนึ่งที่ชื่อว่า ไดเมอร์ นั้นกำลังโดนชายหนุ่มผมสีม่วงเข้มจับล็อกเอาไว้กับพื้นในขณะที่ลูกน้องอีกคนหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า คาฮาร่า ก็กำลังถูกลูกสุนัขขนสีน้ำตาลคาบหลังคอเสื้อลากออกไปจากสุสานอยู่และนั่นก็ทำให้ริวต้องรีบผละตัวไปช่วยเหลือเหล่าลูกน้องของเขาในทันที
ส่วนทางด้านโจน่าที่ถูกหอกคริสตัลของเซซิเรียขึงร่างของตัวเองเอาไว้กับพื้นก็ได้ขมวดคิ้วจ้องมองหอกคริสตัลเหล่านั้นอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะหันไปมองเซซิเรียแล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ถึงถ้าเป็นท่านเอริกะหรือว่าท่านนัวร์ที่ใครก็เดาความคิดในหัวไม่ได้จะยังพอว่า… แต่ว่านี่แม้แต่ท่านเซซิเรียก็ไปเข้าพวกกับมนุษย์พวกนี้ด้วยงั้นหรอคะ!!?”
“อ้าว~ ทำไมของฉันถึงดูเหมือนจะพิเศษกว่าคนอื่นซะงั้นล่ะนาร์เซียจัง”
“เงียบน่านัวร์!”
ในขณะที่นัวร์ที่กลับไปใช้เสียงของตัวเองแล้วกำลังพูดหยอกล้อแบบไม่ดูสถานการณ์ดั่งเช่นที่เธอทำอยู่ทุกทีอยู่นั้นเองเซซิเรียก็ได้ขึ้นเสียงพูดขัดจอมป่วนผมยุ่งสีดำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาโจน่าและพูดตอบหญิงสาวกลับไป
“ถึงฉันจะร่วมมือกับเอริกะอยู่ก็เถอะแต่มันก็ไม่ใช่ว่าฉันเป็นพวกเดียวกับมนุษย์ยุคนี้หรอกนะ… แต่ว่าสำหรับตอนนี้มันมีเหตุผลที่ฉันต้องหยุดแผนการที่จะทำลายที่นี่ของเธอเอาไว้ก่อนน่ะ”
“มีเหตุผลที่จะต้องหยุดฉัน…? ท่านเซซิเรียจำไม่ได้หรอคะว่ามนุษย์พวกนี้มันเคยทำอะไรลงไปบ้างน่ะ!? ท่านจำเรื่องของท่านกราเซียสไม่ได้แล้วหรือยังไงกันคะ!?”
“………”
เสียงร้องตะโกนของโจน่าได้ทำให้ริวที่เพิ่งจะจัดการช่วยเหลือลูกน้องของเขาจากเงื้อมมือของลูกหมาขนสีน้ำตาลและชายวัยฉกรรจ์เสร็จต้องเลิกคิ้วและเหลือบมองไปทางเหล่าสาวๆ ที่กำลังพูดเถียงกันอยู่ด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเซซิเรียที่ได้ยินคำพูดของโจน่าเข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจเขามากนักเมื่อเธอพูดตอบโจน่ากลับไปด้วยสีหน้าลำบากใจ
“เรื่องนั้นใครจะไปลืมได้กันล่ะ… ตอนนี้ฉันขอให้เธอวางมือก่อนได้หรือเปล่านาร์เซีย แล้วเดี๋ยวหลังจากจัดการเรื่องข้างบนนี้เสร็จแล้วพวกฉันจะลงไปคุยกับเธอแบบจริงๆ จังๆ เอง…”
“ฉันไม่สนค่ะ!! ถ้าเกิดว่าคิดจะเข้ามาขัดขวางกันล่ะก็ต่อให้เป็นท่านเซซิเรียฉันก็จะ—”
ซิสเตอร์โจน่า หรือหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า นาร์เซีย ที่ได้ยินคำพูดของเซซิเรียเข้าไปนั้นได้ขึ้นเสียงตวาดกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวราวกับว่าเธอมีความแค้นอะไรบางอย่างกับผู้คนที่ถูกเรียกว่า ‘มนุษย์พวกนี้’ จนไม่อาจอภัยให้ได้และพยายามที่จะดื้นให้หลุดออกจากหอกคริสตัลสีเขียวทั้งสี่โดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้ปากแผลบริเวณที่โดนหอกคริสตัลปักอยู่ฉีกจนเหวอะหวะก็ตามที
ซึ่งภาพของหญิงสาวที่พยายามจะดื้นให้หลุดออกจากพันธนาการโดยไม่สนใจว่าร่างกายของตนเองจะเป็นยังไงก็ได้ทำให้เซซิเรียต้องหลุบตาลงต่ำก่อนที่เธอจะพูดถามนัวร์ขึ้นมาเบาๆ
“เมื่อตอนนั้นเธอเป็นหนึ่งในคนที่ดูแลโปรเจคนี้ใช่มั้ยนัวร์? ถ้าเกิดว่าฉันจัดการร่างที่นาร์เซียใช้อยู่ตอนนี้ไปจะส่งผลกระทบอะไรหรือเปล่า?”
“ก็ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่านาร์เซียจังน่าจะงอนเธอจนไม่ยอมคุยด้วยแล้วก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแหล่ะมั้ง~ อ่ะ– แต่ถ้าจะจัดการแบบนั้นล่ะก็ต้องทำลายทิ้งทั้งร่างแบบไม่มีเวลาให้ฟื้นฟูได้เลยนะ”
“ถ้าไม่ยอมคุยด้วยก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวปล่อยให้เอริกะคุยให้แทนก็ได้…”
เซซิเรียที่ได้รับคำตอบกลับมาจากนัวร์ที่เป็นหนึ่งในผู้ดูแลเกี่ยวกับการย้ายเมืองมาร์นาฟเก่าลงใต้ดินในสมัยก่อนได้พูดพึมพำออกมาก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปหาซิสเตอร์โจน่า หรือหญิงสาวคนที่เธอและนัวร์เรียกว่านาร์เซียและเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“มันอาจจะเจ็บสักหน่อยนะนาร์เซีย…”
“ตอนนี้แหล่ะค่ะท่านไมเคิล!!”
โคร๊ม!!!
แต่แล้วในจังหวะที่เซซิเรียกำลังจะจัดการลงมือนั้นเอง อยู่ๆ โจน่าก็หยุดการดิ้นรนของเธอและร้องตะโกนชื่อชื่อหนึ่งขึ้นมาก่อนที่ทันใดนั้นเองตัวอาคารทางลงไปยังส่วนสุสานใต้ดินจะระเบิดออกอย่างรุนแรงและปรากฏร่างของสัปเหร่อชราผู้มีนัยน์ตาขมุกขมัวพุ่งตรงออกมา
“ไมเคิล…?”
“ท่านไมเคิล!?”
ภาพของชายชราในชุดสัปเหร่อที่พุ่งทะลุอาคารทางลงสุสานใต้ดินออกมาได้ทำให้ทั้งเซซิเรียและริวต้องพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าที่จริงแล้วชายชราที่เคยแนะนำตัวกับพวกนากาว่าตัวเองชื่อว่า มิคาเอล ก็คือคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเซซิเรียและริวดีอย่าง ดยุก ไมเคิล เซฟ่า ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องควบคุมที่ถูกทางวังหลวงของเมืองแพนเทร่าประกาศว่าเป็นกบฏและประหารชีวิตไปแล้วนั่นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นไมเคิลก็ไม่ได้พูดตอบอะไรเซซิเรียผู้ที่เป็นคนรู้จักเก่าและริวที่เคยเป็นหัวหน้าหน่วยทหารส่วนตัวของเขามาก่อนและพุ่งหมัดเข้าใส่เซซิเรียด้วยความว่องไวผิดกับสภาพร่างกายของเขาที่ดูค่อนข้างมีอายุมากแล้วจนทำให้เซซิเรียต้องรีบขยับถอยห่างออกจากร่างของโจน่าที่ถูกตรึงเอาไว้กับพื้นเสียก่อน
และเมื่อไมเคิลเห็นว่าเซซิเรียถอยเว้นระยะห่างออกไปแล้วเขาก็รีบหันไปหาโจน่าและพูดสอบถามซิสเตอร์สาวขึ้นมาในทันที
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยนาร์เซีย?”
“อ..อื้ม… ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แหม่ๆ ดูสิใครมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นสายซะป่านนี้~ แต่ฉันก็คิดเอาไว้แล้วล่ะนะว่าอย่างนายไม่น่าจะตายเร็วแบบนั้นแน่ๆ ล่ะ~”
ในขณะที่ไมเคิลและโจน่ากำลังสอบถามอาการกันอยู่นั้นเอง ทางด้านนัวร์ที่ในตอนแรกดูเหมือนว่าจะทำเพียงแค่เฝ้าดูเซซิเรียลงไม้ลงมือก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีและก้าวเดินออกมาทางเบื้องหน้าจนทำให้โจน่าตัดสินใจที่จะลงมือขัดขวางในทันทีก่อนที่นัวร์จะได้มีโอกาสทำอะไร เพราะถ้าเทียบกับเซซิเรียที่สู้กันซึ่งๆ หน้าอย่างตรงไปตรงมาแล้วทางด้านปิศาจตัวน้อยอย่างนัวร์นั้นเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่ามาก
“อย่าเข้ามานะคะท่านนัวร์!!”
หมับ–
ในทันทีที่สิ้นเสียงของโจน่านั้นเอง ชายหนุ่มผมสีม่วงเข้มที่ถูกริวจัดการไปในตอนที่นายทหารหนุ่มเข้าไปช่วยลูกน้องของตนเอาไว้ก็ได้ผุดลุกกลับขึ้นมาและโถมตัวเข้าใส่นัวร์อย่างรุนแรงจนทั้งสองคนล้มกลิ้งไปกับพื้น
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ที่ถูกชายหนุ่มผมสีม่วงเข้มจับกดเอาไว้กับพื้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยเมื่อเธอได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีดั่งเช่นเดิม
“โอ๋ะโอ๋~ พลาดท่าซะแล้วสิ แต่ว่าเล่นสั่งให้ผู้ชายมาจับกดฉันเอาไว้แบบนี้นี่คิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ยนาร์เซียจัง~ น่ากลั๊วน่ากลัวเนอะ~”
“……….”
คำพูดล้อเล่นแบบไม่ดูสถานการณ์ของนัวร์ได้ทำให้บรรยากาศโดยรอบนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่ทุกคนจะตัดสินใจที่จะไม่สนใจคำพูดของเธอและหันกลับไปทำในสิ่งที่ตนเองต้องทำแทน โดยไมเคิลนั้นก็ได้พยายามที่จะใช้เรี่ยวแรงผิดมนุษย์มนาของเขาในการดึงหอกคริสตัลของเซซิเรียให้หลุดออกจากร่างของโจน่า ส่วนทางด้านเซซิเรียก็ได้เหลือบไปมองนัวร์เล็กน้อยราวกับกำลังคิดตัดสินใจว่าเธอต้องช่วยอีกฝ่ายดีหรือไม่ ในขณะที่ทางด้านริวและลูกน้องในหน่วยของเขาก็ยังคงจ้องมองตรงไปทางดยุก ไมเคิลที่พวกเขาเคยรับใช้ที่ควรจะเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนด้วยท่าทางตกตะลึง
ปึ๊ก—เพล้ง!!!
เพียงแค่ชั่วขณะที่เซซิเรียหันไปดูว่านัวร์ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่นั้นเอง ทางด้านไมเคิลที่พบว่าเขาไม่สามารถที่จะใช้กำลังดึงหอกคริสตัลสีเขียวของเซซิเรียขึ้นมาจากพื้นได้ก็ได้ตัดสินใจที่จะตวัดขาเตะเข้าไปที่บริเวณปลายหอกของเซซิเรียทั้งสี่เล่มจนมันแตกกระจายออกเพื่อที่จะได้ยกร่างของโจน่าขึ้นมาซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายแต่ว่าไม่ค่อยจะปลอดภัยกับสภาพบาดแผลแทน
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโจน่าที่สามารถใช้หมอกควันที่ปกคลุมเมืองแพนเทร่าในการรักษาบาดแผลของตัวเองได้และนั่นก็ทำให้ไมเคิลไม่รอช้าที่จะยกร่างของโจน่าขึ้นมาจากพื้นและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยราวกับคนเป็นพ่อที่พูดถามลูกสาวของตัวเองที่หกล้มจนได้แผลอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็นไรแล้วนะ… ฉันจัดการคนที่เข้าไปข้างในนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้พวกเรารีบหนีออกจากที่นี่ก่อนเถอะ ท่านเซซิเรียกับท่านนัวร์เล่นมาด้วยกันแบบนี้เผลอๆ พวกท่านอารอน ท่านโอริเวอร์หรือแม้แต่ท่านไคเลอร์ก็อาจจะมาด้วยก็ได้ แล้วไหนจะยังมีพวกแคทเธอรีนกับแม็กซ์ซิสอีก…”
“อ่ะๆ ถ้าเป็นพวกชื่อหลังๆ นั่นล่ะก็—”
“เงียบน่านัวร์!”
ในขณะที่นัวร์ที่ได้ยินคำพูดของไมเคิลกำลังจะพูดอะไรออกมาอยู่นั้นเองเซซิเรียก็ได้พูดขัดเธอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ทางด้านโจน่านั้นเหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจนัวร์เลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดตอบไมเคิลกลับไป
“ถึงจะผิดแผนไปหน่อยแต่ก็น่าจะต้องทำอย่างนั้นแหล่ะค่ะ เพราะถ้าเกิดว่าท่านนัวร์ยอมร่วมมือกับท่านเอริกะแบบนี้คงจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเราแน่…”
“อื้ม…”
ไมเคิลที่ได้รับคำตอบจากโจน่าได้พยักหน้ากลับไปให้เธอก่อนที่เขาจะออกแรงอุ้มเธอขึ้นจนทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นต้องรีบพูดขึ้นมาในทันที
“เดี๋ยวก่อนสินาร์เซียจัง ถ้าเป็นไปได้ก่อนจะไปก็บอกให้ลูกน้องของเธอปล่อยฉันก่อนสิ อีกนิดนึงเดี๋ยวแขนฉันก็จะหลุดออกมาแล้วเนี่ย พอดีว่าฉันขี้เกียจต่อใหม่น่ะ~”
“ถ้าเกิดว่าไม่มีใครเข้าไปใกล้เขาพอพวกฉันไปแล้วเดี๋ยวเขาก็จะปล่อยท่านนัวร์เองล่ะค่ะ”
โจน่าที่เหลือบไปมองทางด้านนัวร์เล็กน้อยได้พูดตอบอีกฝ่ายกลับไปก่อนที่เธอจะหันไปพยักหน้าให้กับไมเคิลเล็กน้อยจนทำให้ไมเคิลขยับตัวหันไปทางด้านอาคารทางลงสุสานใต้ดินและทำท่าเหมือนกับว่าจะกระโดดไปทางนั้น
“เดี๋ยวก่อนสิครับ!!”
“……….”
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่ไมเคิลจะได้ออกตัวกระโดดหนีไปนั้นเอง ริวที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ได้ร้องตะโกนรั้งเขาเอาไว้ก่อนจนทำให้ไมเคิลต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองอดีตลูกน้องเขาอย่างเงียบๆ
ซึ่งภาพใบหน้าของไมเคิลที่ริวคุ้นเคยดีก็ได้ทำให้ริวนิ่งเงียบไปด้วยอีกคนหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาตรงๆ
“คุณคือไมเคิลคนนั้นใช่มั้ยครับ ท่านดยุก ไมเคิล เซฟ่า คนที่เคยเป็นหัวหน้าของพวกผมคนนั้นน่ะครับ…”
“……….” .
ไมเคิลที่ได้ยินคำถามของริวได้เบือนหน้าหนีไปทางอื่นและนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาโดยไม่ได้หันกลับไปมองนายทหารหนุ่ม
“ริว… รีบไปบอกให้อาริสะหนีออกจากเมืองนี้ไปซะ บอกให้เธอไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ใช่มาเป็นเพียงแค่หนึ่งในฟันเฟืองชิ้นเล็กๆ แบบที่พ่อเลี้ยงของเธอขีดเขียนเอาไว้… บอกให้เด็กคนนั้นไปเป็นตัวละครหลักในชีวิตของตัวเอง ใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่บนเส้นทางที่เธอเป็นคนเลือกเอง… ไม่ใช่เป็นแค่ตัวประกอบที่จะต้องหายไปหลังจากเวทีของฉันปิดม่านลง นี่เป็นคำสั่ง…ไม่สิ… นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของฉัน”
“ท่านอาริสะน่ะหรอครับ…? ทำไมถึง—”
“ถ้านายมีอะไรจะบอกเด็กคนนั้นก็ไปบอกเขาด้วยตัวเองสิ!!”
ในขณะที่ริวกำลังจะพูดถามไมเคิลกลับไปนั้นเอง ทางด้านเซซิเรียก็ได้สะบัดหอกคริสตัลสีเขียวในมือของเธอและออกตัวพุ่งตรงเข้าใส่ไมเคิลเพื่อขัดขวางการหลบหนีของอีกฝ่ายในทันที
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไมเคิลก็ไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ ให้ถูกขัดขวางเมื่อเขาตัดสินใจที่จะออกตัวพุ่งตรงไปยังอาคารทางลงสุสานใต้ดินอย่างรวดเร็วและไถลตัวเขาไปภายในพร้อมกับสะบัดแขนของเขาเข้าใส่เสาต้นหลักที่ค้ำยันอาคารทั้งหลังอยู่จนมันพังถล่มลงมา
ผลั๊ก!!! โคร๊ม!!!
“คิดว่าทำแค่นี้แล้วจะหนีพ้นหรือไง!?”
แกร๊ก—
เซซิเรียที่เห็นว่าไมเคิลตัดสินใจที่จะพังอาคารทั้งหลังลงมาขัดขวางเธอเอาไว้ได้ร้องตะโกนออกมาและสร้างหอกคริสตัลสีเขียวกว่าสิบเล่มขึ้นมากลางอากาศและสั่งให้พวกมันหมุนควงอย่างรุนแรงโดยหันปลายของมันตรงไปยังซากอาคารเบื้องหน้าบ่งบอกว่าเธอตั้งใจจะใช้มันพุ่งทะลวงซากอาคารลงไปอย่างแน่นอน และนั่นก็ทำให้ริวต้องรีบร้องห้ามหญิงสาวผมสีเขียวขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนครับ!! ลูกน้องของผมอีกสองคนยังอยู่ข้างล่างนั่นนะครับ!!”
“—!?”
เสียงร้องห้ามของริวได้ทำให้เซซิเรียต้องชะงักไปก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะสลายหอกคริสตัลสีเขียวของเธอทิ้งไป เนื่องจากว่าถ้าเธอใช้มันทะลวงซากอาคารเพื่อเปิดทางล่ะก็มีโอกาสที่โถงทางเดินใต้ดินจะพังถล่มลงมาจนใช้มันเป็นทางกลับออกมาไม่ได้อยู่เช่นเดียวกันและนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงนายทหารผู้เป็นลูกน้องของริวทั้งสองคนที่ถูกส่งลงไปตรวจสอบข้างล่างนั่นและโดนไมเคิลบอกว่าเล่นงานไปแล้วเลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นก็คงจะต้องรอจัดการซากพวกนี้สักพัก แต่ว่าแบบนั้นก็คงจะตามพวกนั้นลงไปได้ไม่ทัน… เฮ้อ…”
“เฮ้ๆ นายตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสองคนที่ติดอยู่ข้างล่างนั่นหรอกนะ อย่างพวกเขาน่ะคงจะไม่ทำอะไรสองคนนั้นหรอก~”
ในขณะที่เซซิเรียกำลังยกมือขึ้นมาเสยผมและพูดบ่นขึ้นมาอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของนัวร์ที่เอ่ยปากพูดเจื้อยแจ้วให้ริวได้ฟังดังขึ้นมาให้เธอได้ยิน
ซึ่งภาพของนัวร์ที่ถูกผู้ชายผมสีม่วงเข้มจับกดเอาไว้กับพื้นแต่ว่าก็ยังสามารถที่จะพูดจาด้วยน้ำเสียงร่าเริงได้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ทำให้เซซิเรียต้องพูดบ่นออกมาก่อนที่เธอจะก้าวเดินเข้าไปหายัยตัวแสบผมยุ่งสีดำ
“โดนจับเอาไว้อย่างงั้นแล้วจะไม่ทุกข์ร้อนอีกนะยัยนี่…”
กร๊อบ—กร๊อบ—
ในทันทีที่เซซิเรียก้าวเท้าตรงเข้าไปหานัวร์นั้นเองชายหนุ่มผมสีม่วงที่จับนัวร์เอาไว้กับพื้นก็ได้เพิ่มแรงกดลงไปมากขึ้นจนทำให้กระดูกแขนของนัวร์เริ่มที่จะส่งเสียงแปลกๆ ออกมาพร้อมๆ กับที่หญิงสาวเจ้าของร่างได้ร้องโวยวายออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
“โอ๊ยๆๆ หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะเซซิเรียจัง! นาร์เซียจังเขาก็บอกเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอว่าถ้าไม่มีใครเข้ามาใกล้เดี๋ยวเขาก็ปล่อยฉันเองน่ะ!”
“กับกระดูกแค่สองสามท่อนไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง แล้วมันก็ใช่ว่าเธอจะรู้สึกเจ็บด้วยไม่ใช่หรอไง?”
“แต่อย่างน้อยๆ ก็อย่าทำอย่างนี้ต่อหน้าเพื่อนใหม่ของพวกเราสิ! นั่นน่ะเขาจ้องอยู่ตาเป็นมันแล้วนะ! เธอคิดว่าถ้าเกิดฉันแขนหักต่อหน้าเขาแล้วลุกกลับขึ้นมายืนได้หน้าตาเฉยแบบนั้นกว่าฉันจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้มันจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันล่ะ!?”
“ให้ตายสิ…”
เซซิเรียที่ได้ยินคำพูดบ่นของนัวร์ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองริวและพวกลูกน้องจะเดินเข้ามาหาพวกเธอและเอ่ยปากพูดถามเซซิเรียที่ดูเหมือนจะคุยรู้เรื่องมากกว่าขึ้นมา
“ที่บอกว่าพวกท่านไมเคิลจะไม่ทำอะไรสองคนนั้นนั่นหมายความว่ายังไงหรอครับ?”
“ถ้าจะให้ฉันเดาฉันคิดว่าพวกนายน่าจะเคยทำงานให้ไมเคิลมาก่อนที่จะย้ายไปอยู่หน่วยของอาริสะเขาใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นเขาก็เลยไม่น่าจะทำอะไรสองคนนั้นที่ติดอยู่ข้างล่างนั่นหรอก ไม่เหมือนกับพวกฉันที่ถึงจะรู้จักกับไมเคิลมาก่อน แต่เหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะมองพวกฉันเป็นศัตรูไปแล้วน่ะ…”
“งั้นหรอครับ…”
ริวที่ได้ยินคำตอบของเซซิเรียได้ก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมานั้นเหมือนจะเป็นการยืนยันว่าชายในชุดสัปเหร่อคนเมื่อสักครู่นี้คือ ดยุก ไมเคิล เซฟ่า เจ้าของฉายา ดยุกอมตะ หรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่ากบฏไมเคิลที่เคยเป็นหัวหน้าของพวกเขาจริงๆ
ส่วนทางด้านเซซิเรียที่เห็นท่าทางลำบากใจของริวเองก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“ว่าแต่ตอนนี้เอริกะอยู่ข้างในปราสาทกับอาริสะเขาหรือเปล่า? เอริกะนักประดิษฐ์คนที่ใส่แว่นสีแดงๆ แล้วก็ชอบมัดผมเป็นทวินเทลคนนั้นน่ะ”
“เอ่อ…”
ริวที่ได้ยินคำถามของเซซิเรียได้มีท่าทางลังเลเล็กน้อยที่จะพูดตอบกลับไป เพราะว่าที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้จักผู้หญิงผมสีเขียวเบื้องหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย จนทำให้หนึ่งในทหารในหน่วยของเขาที่เคยได้พบเซซิเรียมาก่อนในตอนที่หญิงสาวไปยื่นเรื่องขอพบกับไมเคิลที่ปราสาทแพนเทร่าแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องรีบเดินเข้าไปกระซิบบอกหัวหน้าหน่วยของเขาขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าเซซิเรียครับ ที่ก่อนหน้านี้มายื่นเรื่องขอพบท่านไมเคิลจนท่านอาริสะต้องทำตามขั้นตอนน่ะครับ แล้วเธอก็เป็นคนแนะนำให้ท่านเอริกะเดินทางมาให้ความช่วยเหลือท่านอาริสะในการใช้งานห้องควบคุมด้วยครับ”
“ก็ตามที่ลูกน้องของนายว่ามานั่นแหล่ะ ถ้าเกิดว่าเอริกะเขาอยู่ที่ปราสาทล่ะก็เดี๋ยวขอฉันตามพวกนายไปที่นั่นด้วยก็แล้วกัน พอดีว่าฉันมีเรื่องจะคุยกับยัยเอริกะเขาสักหน่อยน่ะ”
“อ่ะๆ ถ้าจะไปที่ปราสาทกันล่ะก็ฝากบอกพวกเขาให้เตรียมห้องนอนส่วนตัวให้ฉันด้วยสิ ก่อนหน้านี้พ่อหนุ่มขุนนางคนที่ต้อนรับฉันเขาไม่ได้จัดห้องให้จนฉันต้องออกไปซุกหัวนอนในโรงแรมเองทั้งๆ ที่เอริกะเขาได้นอนในห้องหรูๆ มาตั้งเป็นสัปดาห์แล้วเนี่ย ถ้าเป็นไปได้ขอเป็นห้องที่อยู่ชั้นสูงๆ หน่อยหรือเป็นหอคอยส่วนตัวก็ไม่เลวเหมือนกัน— อ่ะ— เดี๋ยวสิๆ เซซิเรียจังอย่าเพิ่งเดินมาทางนี้สิ เขายังจับไหล่ของฉันเอาไว้อยู่— อ๊าาาาาาาา”
กร๊อบ—