เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2314 : บริวารขอบเขตบรรพกาล
ตอนที่ 2314 : บริวารขอบเขตบรรพกาล
จู่ ๆ เจี้ยนเฉินก็นึกถึงบางอย่าง เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นและมีดอกกล้วยไม้ปรากฏขึ้นมา
ดอกกล้วยไม้นี้มีสติของตัวเองและค่อนค้างมีความฉลาดที่สูง ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา มันก็เอนไปมาราวกับว่าทักทายเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินหันไปสนใจกล้วยไม้กลืนกินอมตะในมือ เขายิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “ในที่สุดเจ้าก็ขึ้นไปถึงขอบเขตเทพได้ เจ้าควรจะได้ลิ้มรสศพของราชาเทพ 2 คน” เมื่อพูดจบ ศพสองศพก็ลยออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ใกล้ ๆ เท้าของเจี้ยนเฉิน
ศพทั้งสองเป็นศพคนของกลุ่มกงเจิงซิ่นที่ส่งมาจัดการเขาตอนที่เขาออกจากโถงเซียนธาตุแสง สุดท้ายพวกนั้นก็ถูกถึงเข้าไปในโถงศักดิ์สิทธิ์และถูกเฮยหยาจัดการ
เจี้ยนเฉินเก็บศพพวกนี้เอาไว้สำหรับกล้วยไม้กลืนกินอมตะ เพื่อที่จะให้สารอาหารกับกล้วยไม้
กล้วยไม้กลืนกินอมตะมีความฉลาดระดับหนึ่งแล้ว เมื่อมันเห็นศพทั้งสอง มันก็ตื่นเต้นขึ้นมา มันได้กระโดดออกจากมือของเจี้ยนเฉิน และฝังรากเข้าไปในศพศพหนึ่งก่อนจะเริ่มแผ่รากออกไป
กล้วยไม้กลืนกินอมตะขึ้นไปถึงแค่ขอบเขตเทพ มันเท่ากับขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้น ชัดแล้วว่ามันไม่อาจจะกินศพสองศพที่แข็งแกร่งกว่ามันได้ในพริบตา หากดูจากความแข็งแกร่งที่มีตอนนี้ ผลก็คือมันได้ฝังรากเข้าไปในศพหนึ่งที่มีแผลเปิดและค่อย ๆ ดูดซับเลือดของราชาเทพ
พลังงานภายในตัวราชาเทพนั้นมหาศาลเกินไปสำหรับมันในตอนนี้ ผลก็คือกล้วยไม้กลืนกินอมตะได้แต่ค่อย ๆ ดูดซับเลือดทีละหยด ๆ
เจี้ยนเฉินมองดูกล้วยไม้กลืนกินอมตะด้วยความตื่นเต้น ดอกกล้วยไม้ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้นอาจจะสามารถดูดซับหยดเลือดได้แค่ทีละหยด แต่จำนวนเลือดที่มันดูดซับได้แต่ละครั้งนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อมันมีความแข็งแกร่งระดับหนึ่งแล้ว มันสามารถที่จะกินศพทั้งศพในคราวเดียวรึอาจจะทีละหลาย ๆ ศพได้
“ข้ายกศพทั้งสองนี้ให้กับเจ้า เจ้าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองขึ้นมาอีกในครั้งหน้า” เจี้ยนเฉินพูดขึ้นมา กล้วยไม้กลืนกินอมตะตอนนี้ยังไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา แต่เขาเชื่อคำพูดของจิตวิญญาณกระบี่ กล้วยไม้กลืนกินอมตะจะมีประโยชน์ต่อเขาอย่างมากในอนาคต
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชั้น 9 ไปยังจุดที่ฉิงยี่หยวนบ่มเพาะอยู่
ตอนนี้ฉิงยี่หยวนนั่งอยู่กับพื้นหยกพร้อมกับแสงสีทองที่แผ่ออกมารอบตัวนาง นางดูราวกับเทพเจ้า
พลังของกฎแห่งกระบี่หมุนวนรอบตัวนาง ปราณกระบี่ได้อัดแน่และส่องประกายแสงสีขาวออกมาวนเวียนอยู่รอบตัวนางราวกับลูกอ๊อดตัวเล็ก ๆ
ปราณกระบี่ที่แหลมคมครอบคลุมระยหลายสิบเมตรรอบตัวนาง
“เหนือเทพช่วงต้น ! ” เจี้ยนเฉินตรวจสอบความแข็งแกร่งของฉิงยี่หยวนในตอนนี้ได้ทันที และเขาก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ด้วยความเร็วระดับนี้แล้ว ฉิงยี่หยวนก็จะขึ้นเป็นราชาเทพหรืออาจจะขึ้นไปถึงขอบเขตบรรพกาลได้ในไม่ช้า
แน่นอนว่านอกจากแกนสีทองของกฎภายในตัวนางแล้ว หยกชะตาก็ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของนางอย่างมาก
“จุดคอขวดสำหรับขอบเขตนั้นทะลวงผ่านได้อย่างง่ายดาย ภายใต้ความช่วยเหลือจากแกนสีทองของกฎและหยกชะตาแล้ว อัตราการพัฒนาของนางก็อธิบายได้ว่าร้ายกาจ แต่ยิ่งนางก้าวหน้าเท่าไหร่ มันยิ่งยากที่จะทะลวงผ่านได้ในแต่ละขอบเขตเท่านั้น แม้ว่าจะมีแกนสีทองของกฎและหยกชะตา แต่มันก็คงใช้เวลาสักพักกว่าที่นางจะก้าวหน้าขึ้นมา ข้าสงสัยว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนที่นางจะเข้าใจกฎแห่งกระบี่ขึ้นไปถึงขั้นราชาเทพได้” เจี้ยนเฉิน พึมพำกับตัวเอง เขาใช้หยกชะตาเพื่อทำความเข้าใจความลึกลับในแกนสีทองของกฎ เขาใช้มันกว่าครึ่งปีกว่าจะขึ้นถึงขั้นราชาเทพช่วงต้นได้ในกฎหนึ่ง ๆ
แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ฉิงยี่หยวนจะมีความเร็วแบบเดียวกัน ผลก็คือฉิงยี่หยวนต้องใช้เวลามากกว่าเจี้ยนเฉิน แม้ว่าจะใช้วิธีเดียวกันในการทำความเข้าใจก็ตาม
เจี้ยนเฉินยื่นมือออกไปพร้อมกับที่ฉิงยี่หยวน ที่นั่งอยู่บนแท่นหยกชะตาได้มีพลังที่มองไม่เห็นห่อหุ้มตัวไว้ ก่อนที่นางจะลอยขึ้นช้า ๆ ออกจากแท่นหยกแห่งชะตาไป
แท่นหยกแห่งชะตาได้ลอยไปตกอยู่ในมือของเจี้ยนเฉิน
ฉิงยี่หยวนไม่อาจจะรับรู้อะไรได้เลย เพราะเจี้ยนเฉินได้ยกนางขึ้นด้วยพลังของหอคอยอนัตตา ภายใต้การควบคุมของเจี้ยนเฉิน นางจึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ออกจากชั้น 9 พร้อมกับหยกชะตาและกลับมายังที่ชั้น 1 ที่เฮยหยาอยู่ แค่คิด เขาก็ควบคุมหอคอยอนัตตาและวางแท่นหยกชะตาไว้ใต้ร่างของเฮยหยาได้
ทันใดนั้นแสงอันพร่ามัวจากแท่นหยกชะตาก็ได้ห่อหุ้มตัวเฮยหยาเอาไว้
หลังจากที่วางแท่นหยกชะตาไว้ที่นั่น เจี้ยนเฉินก็รับรู้ได้ว่าพลังของเฮยหยาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนแล้วว่าหยกชะตานี้ช่วยในการทะลวงผ่านของเฮยหยาอย่างมาก
“ข้าหวังว่าเจ้าจะขึ้นไปถึงขอบเขตบรรพกาลได้ก่อนที่ข้าจะออกจากที่นี่” เจี้ยนเฉินคิด เพื่อให้เฮยหยาทะลวงผ่านขึ้นไปยังขอบเขตบรรพกาลให้เร็วที่สุด เจี้ยนเฉินใช้ทุกอย่างที่เขาคิดออก เขาถึงกับใช้สมบัติอย่างหยกชะตากับ เฮยหยาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับเฮยหยา
เจี้ยนเฉินไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า ๆ เช่นกัน เขาได้ใช้เวลาที่เหลือสั้น ๆ ในการบ่มเพาะเช่นกัน
“ข้าเข้าใจกฎแห่งความแข็งแกร่ง, กฎของมิติและกฎของการทำลายล้างจนถึงขั้นราชาเทพตอนที่ข้าอยู่ในถ้ำใต้ดิน ที่เหลืออยู่คือกฎแห่งการสร้างสรรค์, กฎแห่งไฟ, กฎแห่งการกัดกร่อน, กฎแห่งคำสาป ข้าได้เข้าใจกฎแห่งคำสาปจนถึงขั้นเหนือเทพช่วงกลางแล้ว ตอนนี้ข้าเกือบขึ้นถึงขั้นราชาเทพแล้ว….”
“ข้าต้องทำความเข้าใจกฎทั้งเจ็ดจนถึงระดับราชาเทพให้เร็วที่สุด พวกมันจะมีบทบาทโดยตรงว่าข้าจะออกจากที่ราบรกร้างหรือไม่ก็ตาม…”
“แม้ว่าข้าจะไม่อาจรักษาหอคอยอนัตตาไว้ได้ แต่ข้าจะเป็นคนที่ส่งมันให้กับพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง ข้าไม่อาจจะให้คนอื่นใช้ประโยชน์จากข้าได้….”
เจี้ยนเฉินหลับตาลง กฎที่เป็นของพลังแห่งคำสาปได้ห่อหุ้มรอบตัวเขา
มิติที่จิตวิญญาณวัตถุพำนักอยู่รายล้อมไปด้วยหมอกขาว มันไม่มีร่างสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงการไหลของเวลาได้ จู่ ๆ พลังอันแข็งแกร่งอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา มันราวกับพายุที่ก่อตัวขึ้นมาบนทะเลที่เงียบสงบ มันทำให้มิติที่สงบนี้มีพลังงานปะทุขึ้นมา สายลมนี้พัดหวนมีเสียงร้องราวกับภูตผี