เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2004: เป็นทั้งพรและคำสาป
ตอนที่ 2004: เป็นทั้งพรและคำสาป
เจี้ยนเฉินไม่ใช่คนเดียวที่ตกใจ จิตวิญญาณกระบี่ก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน
“เป็นไปได้อย่างไร ? นายท่านเข้าใจความสามารถของหมาป่านภาโบราณผ่านพลังสีเงินนั่น ? นายท่านเป็นมนุษย์ เพราะงั้นนี่จึงเป็นไปไม่ได้” จือหยิงตะโกนออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ พลังสายเลือดได้หมดลงไปแล้ว มันไม่เพียงที่จะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อเจี้ยนเฉิน แต่มันกลายเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินสามารถใช้งานมันได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกำจัดมันอีกต่อไป
“จือหยิง เจ้าอย่าลืมการคงอยู่ของนายท่าน สิ่งต้องห้ามของโลกไม่อาจทำได้ สิ่งที่ควรเป็นไปไม่ได้ก็ยังคงเกิดขึ้นกับนายท่าน ข้าคิดว่าการคงอยู่ของนายท่านสามารถทำให้เกิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” ฉิงโซวอธิบาย
จือหยิงพยักหน้าเห็นด้วย “ตอนนี้คงต้องคิดแบบเจ้าว่าแล้ว ข้าคิดว่ามันสมเหตุสมผล แต่เนื่องจากการคงอยู่ของนายท่านนั้นถูกห้ามจากโลก มันจึงไม่ยากอย่างที่คิด มันจะมีต้องมีความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้าม”
“มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่แม้ว่าเราจะเกิดมาในจักรวาลและเราสามารถคาดการณ์บางสิ่งได้ แม้กระทั่งจอมปราชน์สูงสุดที่เข้าใจเส้นทางแห่งการทำลายล้างก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ มันเป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ทราบว่ามีความลับซ่อนอยู่ที่ไหนอีกในจักรวาล แม้แต่จักรวาลก็ห้ามไม่ให้เขาปรากฏตัว”
“นายท่านยังอ่อนแออยู่ในตอนนี้ เขาไม่ได้เป็นอมตะหยวนเก้าสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปลุกจักรวาลได้ อย่างไรก็ตามเมื่อนายท่านมีอำนาจจนถึงจุดที่ทั้งจักรวาลต้องการเขาอย่างจริงจังหรือถึงจุดที่เขาจะสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งจักรวาล นั่นมีโอกาสมากว่านายท่านจะถูกสังหารอย่างไร้ความปราณีด้วยกฏของโลก” จือหยิงพูดสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากในตอนท้าย
ฉิงโซวก็ทำท่ากลัว นางพูดอย่างโหดเหี้ยม “กฏของโลกฆ่าคนอย่างไร้ความปราณีนั้นหายากอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เรามีสติ เราก็ไม่เคยเห็นใครรอดชีวิตจากการสังหารของกฏของโลก อาจจะมีบ้าง….แต่ต้องเป็นคนที่มีการบ่มเพาะเท่ากับนายท่านคนก่อนเท่านั้นที่จะต้านทานได้”
จือหยิงถอนหายใจ “แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงระดับการบ่มเพาะเช่นเดียวกับนายท่านคนเก่าของเรา เขาเป็นหนึ่งในห้าจอมปราชน์ของโลกอมตะถึงขีดจำกัดสูงสุดของอมตะเที่ยงแท้ แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนไม่จำเป็นต้องเป็นจอมปราชน์สูงสุด นอกเหนือจากนั้น การบ่มเพาะร่างบรรพกาลของนายท่าน มีหลายคนที่บ่มเพาะร่างบรรพกาลตลอดหลายพันปีและมีความสามารถพิเศษมากกว่าในหมู่พวกเขา อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่สามารถบ่มเพาะร่างบรรพกาลให้เป็นอมตะเที่ยงแท้ได้”
จือหยิงหยุดก่อนที่จะพูดต่อ “แต่การคงอยู่ของนายท่านเป็นสิ่งต้องห้ามของโลก ดังนั้นข้าเชื่อว่านายท่านจะสร้างปาฏิหาริย์ ข้าหวังว่านายท่านจะเป็นคนแรกที่บ่มเพาะร่างบรรพกาลไปจนถึงอมตะเที่ยงแท้คนแรกในประวัติศาตร์และเข้าให้ถึงระดับตำนานของร่างบรรพกาล ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกสังหารตามกฏของโลกอย่างแน่นอน”
จือหยิงและฉิงโซวพูดคุยกันอย่างลับ ๆ โดยที่เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่
ตอนนี้เจี้ยนเฉินกำลังตรวจสอบสภาพร่างกายของเขาอย่างรอบคอบ เขามุ่งความสนใจของเขาไปที่สายเลือดหมาป่านภาโบราณ ตอนนี้พลังสายเลือดที่กำลังดูดซับทำให้เจี้ยนเฉินฟื้นตัว
ในที่สุด ครึ่งวันต่อมาพลังสายเลือดก็ดูดซับเพียงพอและมันก็ได้หยุดการดูดซับพลังของเจี้ยนเฉิน มันหยดพลังงานเล็ก ๆ ออกมาและเติมพลังเต็มขึ้นมาอีกครั้ง
สัมผัสที่อ่อนแอจากร่างกายของเขาและการเชื่อมโยงของเขากับพลังสายเลือด เจี้ยนเฉินรู้สึกขมขื่นภายใน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าหยดทรงพลังนี้เป็นคำสาปหรือพร
นี่เป็นเพราะในครึ่งวันนั้นพลังสายเลือดที่ซึมซับพละกำลังมากมายจนต้องใช้เวลาตลอดทั้งปีในการเต็มให้เต็ม
และนี่ยังอยู่ภายใต้การฟื้นฟูของร่างบรรพกาล หากเป็นคนอื่นเขาต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือแม้แต่หลายร้อยปี
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินตรวจสอบพลังวิญญาณของเขาที่มาจากจิตมาร ก่อนหน้านี้มันมีพลังอ่อนแออย่างมาก เขาสามารถปราบมันได้อย่างง่ายดายด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นพลังวิญญาณจะหมดไป พลังมารก็ยังคงดิ้นรนซึ่งส่งผลต่อจิตสำนึกของเขา
ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่เขาเข้ามาในโลกเซียน เขาไม่ได้เป็นขั้นเทพที่อ่อนแอซึ่งต่อสู้กับบรรพชนตระกูลลู่อีกต่อไป โดยธรรมชาติแล้วความแข็งแกร่งของเขานั้นไกลเกินกว่าพลังมารมาก
แต่ตอนนี้การปรากฏตัวจากพลังสายเลือดได้รับการดูดซับโดยพลังมารและมันก็ได้รับประโยชน์มากกว่าเขา แม้เมื่อพลังวิญญาณของเขามาถึงราชาเทพขั้นต้น ความแตกต่างระหว่างเขาและพลังมารก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
เจี้ยนเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยเกี่ยวกับพลังมารในวิญญาณของเขา สิ่งที่เขาทำได้คือการเสริมความแข็งแกร่งของเขาให้เร็วที่สุด
เจี้ยนเฉินออกจากห้อง ทันทีที่เขามาถึงข้างนอก เขาก็พบกับไคยะเขาหาเขาในชุดสีน้ำเงิน
เมื่อเจี้ยนเฉินเห็นไคยะ เขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นนางก็ยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า”เจี้ยนเฉิน เจ้าออกมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับประโยชน์มากมายในครั้งนี้”
“ไคยะ เจ้าสัมผัสความแข็งแกร่งของวิญญาณข้าด้วยหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถามด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เขาปกปิดตัวตนของเขาอย่างหมดจด จนดูเหมือนว่าเขาจะหวนคืนสู่สามัญ เขาไม่ได้ปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณของเขาเลย แต่ไคยะก็สามารถรู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจมาก
นี่เป็นเพราะปัจจุบันเขาอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่ไคยะก็ยังสัมผัสได้ มันมีทั้งราชาเทพและขั้นเหนือเทพมากมายที่ไม่อาจมองเห็นเขาได้ แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็ตาม
“ใช่ มันไม่ใช่แค่เจ้า ข้าพบว่าข้าสามารถมองเห็นได้ราชาเทพหลายคนที่ซ่อนตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน ข้ายังเห็นอีกด้วยว่าพวกเขาอ่อนแอหรือไม่ ? ” ไคยะกล่าว
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่ไคยะอย่างบอกไม่ถูก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ของไคยะทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิดของเขา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงเปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากที่ตื่นขึ้น นางยังคงเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน เว้นแต่ความสามารถของนางที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างท่วมท้น
เจี้ยนเฉินไม่เชื่อว่าสมบัติสวรรค์จำนวนมากที่นางกินเข้าไปในขณะที่หมดสติทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่สมบัติสวรรค์จะส่งผมกระทบที่ไม่น่าเชื่อนี้
ไคนะมาถึงด้านหน้าเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า “เจี้ยนเฉิน มีการรวมตัวขนาดใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในยานอวกาศ แม้ว่ามันจะเป็นแบบแผน แต่มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนสมบัติระหว่างผู้บ่มเพาะ ข้าได้ยินว่ามีความเข้าใจในกฏของกระบี่ซึ่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตดั้งเดิมทิ้งเอาไว้ ข้าคิดว่ามันอาจจะช่วยเจ้าได้บ้าง”
“ห๊ะ ? ความเข้าใจในกฏของกระบี่ซึ่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตดั้งเดิมทิ้งเอาไว้หรือ ? ” ดวงตาเจี้ยนเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาได้รับทรัพยากรที่เขาต้องการเพื่อไปยังขั้น 12 ของร่างบรรพกาล สิ่งที่เขาขาดคือความเข้าใจ
เมื่อเขาพัฒนาความเข้าใจและบรรลุความสำเร็จขั้นกลางของจิตวิญญาณกระบี่ เขาจะสามารถทะลวงร่างบรรพกาลของเขาไปยังขั้นที่ 12