เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2588: หัวหน้าคนใหม่
ตอนที่ 2588: หัวหน้าคนใหม่
ผู้อาวุโสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นผู้คนมากมายสนับสนุนกงซุนอี้ ความเชื่อเดิมของพวกเขาเริ่มโอนเอน ในท้ายที่สุดคนอีกส่วนหนึ่งก็เดินมายืนข้างหลังกงซุนอี้
ตอนนี้ผู้อาวุโสหกในสิบส่วนสนับสนุนกงซุนอี้
“เฮ้อ กงซุนอี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของจอมปราชญ์สูงสุด” ทันใดนั้นรองหัวหน้าก็ถอนหายใจเบา ๆ และค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขาเดินไปทางกงซุนอี้
“ด้วยตัวตนและสถานะของกงซุนอี้ ข้าจะไม่ต่อต้านเขาหากเขาต้องการควบคุมโถงเซียนธาตุแสงของเรา” รองหัวหน้าอีกคนกล่าว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนอยู่กับกงซุนอี้ แต่คำพูดของเขาก็แสดงถึงการสนับสนุนกงซุนอี้.
“กงซุนอี้ครอบครองกระบี่ผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังที่สุด ข้าเชื่อว่าเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะสามารถปลดปล่อยพลังจากกระบี่ผู้พิทักษ์ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเชื่อว่าโถงเซียนธาตุแสงจะมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของกงซุนอี้” รองหัวหน้าคนที่สามเดินไปยืนข้างกงซุนอี้
ทันใดนั้นโถงประชุมก็เงียบลงอีกครั้ง บรรยากาศค่อนข้างแปลก
ผู้อาวุโสกว่าหกในสิบส่วนและรองหัวหน้า 3 คนเลือกที่จะสนับสนุนกงซุนอี้ ผลลัพธ์นี้ทำให้หลายคนไม่ทันตั้งตัว พวกเขาพบว่ามันค่อนข้างยากที่จะยอมรับ
แม้แต่ซวนจ้านก็เงียบสนิท
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากงซุนอี้จะครอบครองอิทธิพลอันยิ่งใหญ่เหนือโถงเซียนธาตุแสงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“หัวหน้าหยู่เฉิน ข้า กงซุนอี้ ขอท้าทายอย่างเป็นทางการ ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกในอนาคต” กงซุนอี้พูดเสียงดัง ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาดูตื่นเต้นอย่างมาก
แม้ว่าหยู่เฉินจะเป็นขั้นอัครสูงสุดของโถงเซียนธาตุแสงเพียงคนเดียว แต่กงซุนอี้ก็มีกระบี่ผู้พิทักษ์ เขาไม่กลัวหยู่เฉินสักนิด
โถงศักดิ์สิทธิ์เกิดความโกลาหล มีคนท้าทายหัวหน้าโถงเซียนธาตุแสงต่อหน้าสาธารณชน นี่เป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ขององค์กร
นี่เป็นเพราะหัวหน้าเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในการดูแลโถงเซียนธาตุแสง เขาสามารถระดมทุกอย่างที่โถงเซียนธาตุแสงมี พวกเขาเป็นบุคคลที่ครอบครองอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
การท้าทายหัวหน้าคือการต่อต้านหัวหน้า จะไม่มีผลดีสำหรับการทำเช่นนั้น ผลลัพท์ที่ตามมาจะรุนแรงมาก
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทุกคนรู้สึกทุกข์ใจเพราะว่าไม่มีใครภายในโถงเซียนธาตุแสงสามารถห้ามปรามกงซุนอี้ไว้ได้อีกต่อไป
นอกเหนือจากตัวตนของเขาในฐานะทายาทของจอมปราชญ์สูงสุดแล้ว การเป็นผู้ครอบครองกระบี่ผู้พิทักษ์ก็ทำให้เขาไร้เทียมทาน
“กงซุนอี้ หากเจ้าต้องการท้าทายหัวหน้า เจ้าต้องผ่านพวกเราไปให้ได้ก่อน…”
“กงซุนอี้ แน่จริงก็อย่าใช้พลังของกระบี่ผู้พิทักษ์สิ…”
ไป๋หยูและตงหลินหยานเซว่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยกัน กระบี่ผู้พิทักษ์ของพวกนางกระพริบออกอย่างสดใส ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์หมุนรอบตัวพวกนาง พวกนางยืนขึ้นประจัญหน้ากับกงซุนอี้
“กงซุนอี้ เจ้ายอมแพ้เสียดีกว่า พวกเราหลายคนจะไม่ยอมจำนนต่อเจ้า แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นหัวหน้าก็ตาม เพราะเจ้าขาดศักดิ์ศรีและคุณสมบัติที่สามารถโน้มน้าวทุกคนได้” หานซินเริ่มพูดเช่นกัน,เขาพยายามเกลี้ยกล่อมกงซุนอี้
“เจ้าต้องการหยุดข้ารึ ? ” ดวงตาของกงซุนอี้ส่องประกายด้วยแสงเย็น จิตสังหารปรากฏขึ้น เขาไม่ได้พยายามที่จะซ่อนมัน
ไป๋หยูและตงหลินหยานเซว่ไม่อายเลย พวกนางพร้อมที่จะหยุดยั้งกงซุนอี้ตลอดเวลา แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ผู้พิทักษ์ของโถงเซียนธาตุแสงกำลังจะปะทะกัน พวกเขาพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรต่อกันได้ แต่พวกเขาก็จะไม่แพ้ในทางเปรียบเทียบ
“หยุด ! ”
เมื่อผู้พิทักษ์กำลังจะเริ่มต่อสู้ หัวหน้าโถงเซียนธาตุแสง หยู่เฉิน ก็ร้องตะโกน เขาหยุดผู้พิทักษ์ทันเวลา เขากล่าวอย่างเคร่งเครียด “กระบี่ผู้พิทักษ์เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโถงเซียนธาตุแสงของเรา เหตุผลเดียวที่โถงเซียนธาตุแสงของเรามีสถานะที่ยอดเยี่ยมบนที่ราบรกร้างในตอนนี้ก็เพราะกระบี่ผู้พิทักษ์ ในฐานะผู้ครอบครองกระบี่ผู้พิทักษ์ พวกเจ้าควรรวมกันเป็นหนึ่งเดียว อย่าต่อสู้กันเอง มิฉะนั้นจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับโถงเซียนธาตุแสงของเรา” หยู่เฉินกล่าวอย่างมีพลัง เขาเปล่งรัศมีด้วยความชอบธรรมที่ฉายแสง ในขณะนั้นเขาดูเหมือนคนที่ยิ่งใหญ่และไม่เห็นแก่ตัว
“กงซุนอี้ ! ” หยู่เฉินจ้องมองกงซุนอี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าในขณะที่เขาพูดในแบบที่ค่อนข้างเสรี “เนื่องจากเจ้าต้องการตำแหน่งหัวหน้า ข้าจะก้าวลงจากตำแหน่งนี้นับตั้งแต่วันนี้ จากนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ใช่หัวหน้าโถงเซียนธาตุแสง”
คำพูดของหยู่เฉินสร้างความตื่นตระหนกใจ การตัดสินใจของเขาทำให้โถงศักดิ์สิทธิ์ยุ่งเหยิงทันที ทุกคนประสบกับความวุ่นวายทางอารมณ์
แม้ว่ากลุ่มหนึ่งจะสนับสนุนกงซุนอี้ให้เป็นหัวหน้า แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อหยู่เฉินก้าวลงจากตำแหน่งจริง ๆ บางคนถึงกับเริ่มตั้งคำถามกับการตัดสินใจของตัวเอง
“ท่านหัวหน้า อย่า…” ซวนจ้านและรองหัวหน้าคนอื่น ๆ เรียกร้องและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเกลี้ยกล่อมหยู่เฉิน
หยู่เฉินยกมือขึ้นเพื่อหยุดพวกเขา เขากล่าวด้วยท่าทางที่มีคุณธรรมว่า “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่มเติม ตราบใดที่โถงเซียนธาตุแสงจะมีโอกาสรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ใคร ๆ ก็สามารถเป็นหัวหน้าได้”
“กงซุนอี้ ข้าหวังว่าโถงเซียนธาตุแสงจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของเจ้า” หยู่เฉินลอยออกไปหลังจากพูดจบ เขาจากไปอย่างตรงไปตรงมามาก เขาไม่ได้รู้สึกลังเลใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้า เขารู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย
“พี่หยู่เฉิน …” ซวนจ้านไล่ตามเขาไปทันที
“หัวหน้า…”
“หัวหน้า…”
…
จากด้านหลัง เสียงที่โกรธเกรี้ยวและไม่มีความสุขของผู้อาวุโสดังออกมา ผู้อาวุโสหลายคนติดตามเขาอย่างใกล้ชิด
กงซุนอี้ยิ้มอย่างมีชัยภายในโถงศักดิ์สิทธิ์อันสง่างาม เขามองไปที่บัลลังก์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจสูงสุด ในขณะที่ดวงตาของเขาสว่างขึ้นด้วยความปรารถนาและความตื่นเต้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ไป๋หยู, หานซิน, ตงหลินหยานเซว่และซวนหมิงยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในตอนนี้สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่ากงซุนอี้จะไปสานสัมพันธ์และมีสมาชิกระดับสูงจำนวนมากขนาดนี้ มันเป็นการตัดสินใจจากผู้อาวุโสเหล่านี้และรองหัวหน้าทั้งสามที่บังคับให้หัวหน้าต้องจากไป เนื่องจากหัวหน้าไม่ต้องการเห็นโถงเซียนธาตุแสงล่มสลายจากภายใน เขาจึงต้องสละตำแหน่ง” ซวนหมิงกล่าวกับตงหลินหยานเซว่, หานซินและไป๋หยูอย่างลับ ๆ เสียงของเขาบ่งบอกถึงความรู้สึกไร้พลัง
ห่างจากโถงเซียนธาตุแสงไปหลายหมื่นกิโลเมตร หยู่เฉินและซวนจ้านที่สวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ หยู่เฉินที่เพิ่งก้าวลงมาสงบนิ่งและไม่ตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามซวนจ้านที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขารู้สึกหนักใจ
“พี่หยู่เฉิน ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ ? ” ซวนจ้านมองหยู่เฉินอย่างลึกซึ้งและถอนหายใจ
หยู่เฉินยืนกอดอก เขามองไปในทิศทางของโถงเซียนธาตุแสง ความอบอุ่นเติมเต็มดวงตาของเขา มันเหมือนกับเด็กกำลังมองดูแม่ของตัวเอง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและสุดจะพรรณนา “โถงเซียนธาตุแสงคือบ้านของข้า ตราบใดที่บ้านของข้ายังอยู่ที่นี่ ตราบใดที่ยังมีมันอยู่ มันก็ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนตัดสินใจ”
“กงซุนอี้ปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามปกติต่อไปหลังจากได้รับกระบี่ผู้พิทักษ์ เขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ข้าสามรถบอกได้ว่าตำแหน่งของข้าดึงดูดสายตาเขามานานแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงอยู่ในความคาดหมายของข้า ถ้าข้าไม่ก้าวลงมา โถงเซียนธาตุแสงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในได้ ถ้ามันรุนแรงขึ้นมา โถงเซียนธาตุแสงก็จะพังพินาศ แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น”
หยู่เฉินมองไปที่ซวนหมิงอย่างสงบ เขาไม่รู้สึกอะไรเลยจากการสูญเสียตำแหน่งหัวหน้า ราวกับว่าชื่อเสียงตำแหน่งและอำนาจเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขา “ ตอนนี้โถงเซียนธาตุแสงเผชิญกับยุครุ่งเรืองที่หาได้ยากซึ่งทุกคนต้องสามัคคีกันให้มากขึ้นกว่าเดิม เราจะมีพลังได้ด้วยการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถเกิดขึ้นกับเราภายในเวลาเช่นนี้ได้ นับประสาความขัดแย้งภายใน ซวนจ้าน ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้”
“พี่หยู่เฉิน” ซวนจ้านรู้สึกขมขื่นใจ เขาไม่รู้จะพูดอะไร จะมีสักกี่คนในโถงเซียนธาตุแสงที่สามารถปฏิบัติตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวได้เช่นเดียวกับหยู่เฉิน โดยอุทิศตัวเองอย่างบริสุทธิ์ใจเพื่อให้โถงเซียนธาตุแสงเติบโตและรุ่งเรืองอำนาจ ? เขาถึงกับสละตำแหน่งหัวหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายใน
มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่กงซุนอี้จะได้รับตำแหน่ง เนื่องจากผู้พิทักษ์ห้าในหกคนยืนหยัดข้างหยู่เฉิน
“ซวนจ้าน เจ้าควรกลับไป กงซุนอี้ที่ยังไม่แข็งแกร่งพอ เขาคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ทุกคนยอมรับเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเหลือเขาเพื่อประโยชน์ของโถงเซียนธาตุแสง อย่าปล่อยให้มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้นภายในโถงเซียนธาตุแสง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าฝากให้เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมตงหลินหยานเซว่, หานซิน, และไป๋หยูแทนข้าด้วย” หยู่เฉินร้องขออย่างจริงจัง
“พี่หยู่เฉินจะไปแล้วหรือ ? ” ซวนจ้านจ้องมองหยู่เฉินอย่างว่างเปล่า หากไม่มีตำแหน่งมาผูกมัด เขาและหยู่เฉินเหมือนเป็นพี่น้องที่ดีที่สุด พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน
มิฉะนั้นในตอนที่เจี้ยนเฉินถูกเปิดเผยในอดีตและโผล่ออกมาจากหอคอยธาตุแสงในภายหลัง หัวหน้าของโถงเซียนธาตุแสงจะไม่มีวันปล่อยตัวเจี้ยนเฉินไปง่าย ๆ เพียงเพราะคำพูดของซวนจ้าน
หยู่เฉินพยักหน้า เขาดูเคร่งเครียดอย่างน่าประหลาดใจ เขาพูดว่า “จนถึงตอนนี้ มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่รู้ความลับว่าเชื้อสายนักรบวิญญาณเป็นตระกูลราชวงศ์ ข้าวางแผนที่จะออกไปและตรวจสอบประวัติศาสตร์ระหว่างโถงเซียนธาตุแสงและเชื้อสายนักรบวิญญาณ”
“กล่าวกันว่าโลกแห่งจิตวิญญาณปราชญ์คือสมรภูมิโลกาวินาศสำหรับยุคสุดท้าย แม้โลกทั้งใบจะพังพินาศ แต่ร่องรอยโบราณยังคงหลงเหลืออยู่มากมาย ข้าวางแผนที่จะไปเยือนโลกนั้นและดูว่าข้าจะพบอะไรหรือไม่.”
“จิตวิญญาณปราชญ์ พวกเขาเป็นลูกหลานจากโลกนั้น พวกเขาดำรงอยู่เป็นระยะเวลายาวนานมาก ข้าวางแผนที่จะไปเยี่ยมพวกเขาและดูว่าข้าจะหาอะไรจากพวกเขาได้หรือไม่”